ระดับเหลืองกำจัดขุนนางชั้นกลาง งานค่อนข้างยากมีอันตรายแต่มีโอกาสสำเร็จเกินครึ่ง จ่ายห้าร้อยตำลึงทองต่อหนึ่งหัว
และระดับสุดท้าย ระดับแดง งานอันตรายความเสี่ยงสูง ผลสำเร็จไม่อาจคาดเดา ส่วนมากจะเป็นการว่าจ้างให้ลอบสังหารขุนนางในรั้วในวังหรือระดับแม่ทัพใหญ่ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้เกียรติ ค่าว่าจ้างค่อนข้างสูงมากกว่าห้าพันตำลึงเห็นจะได้ ตั้งแต่ประมุขกู่เหนียงก่อตั้งหุบเขานักฆ่ามาเกือบยี่สิบปี มีผู้ว่าจ้างระดับแดงมาเพียงสองคนเท่านั้น
ส่วนการเปิดรับจดหมายจ้างวานก็ง่าย ๆ เพียงแค่ติดต่อคนของหุบเขานักฆ่าในตลาดมืด ส่งจดหมายพร้อมตั๋วเงินแนบมาในชื่อว่า 'สาส์นจากปรโลก' คนของหุบเขาไร้เงาที่อยู่ด้านนอกก็จะส่งมาที่หุบเขาเพื่อพิจารณาหาคนที่เหมาะสมทำงานนั้น ๆ
"ท่านประมุขก็รู้กฎของข้าดี"
"สืบสาวความจริงกระจ่างก่อนค่อยลงมือ"
เสียนต้วนอี้กล่าวตัดหน้าสตรีข้างกายอย่างรู้ใจ
"ที่ข้าถามเพราะจวนสกุลซุยเป็นขุนนางที่ปรึกษาของศาลเทียนอวี่"
เพียงได้ยินคำว่า 'ศาลเทียนอวี่' สตรีชุดแดงนางนี้ถึงกับกำหมัดแน่น ร่างเกร็งดวงตาแข็งกร้าวอย่างมิอาจปกปิดสายตาผู้อื่นได้ว่าตอนนี้นางมีความรู้สึกเช่นไร
หวาดกลัวหรือ? ก็คงแค่ครึ่งส่วน
เคียดแค้นนี่สิถึงจะเรียกได้ว่าออกมาจากแววตาของนางทั้งหมด
"งานนี้ข้าไปด้วย"
"ไม่จำเป็น"
"แต่เจ้ารับมือคนเลวพวกนั้นไม่ไหวแน่"
"เจ้ากำลังหยามข้า?"
"ไม่ใช่เช่นนั้น"
เสียนต้วนอี้ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้นางในดวงใจคิดไปแง่นั้น เขาแค่เป็นห่วง
จนลืมตัวปากไวไม่ตริตรองให้ดี
"งานนี้ข้าขอพิจารณาอีกที"
คำว่า 'ขอพิจารณา' ที่ออกจากปากหญิงสาวนั่นหมายความว่า นางยื่นมือรับงานแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งนางต้องทำตามกฎที่ตนเองตั้งขึ้น สืบสาวให้กระจ่างว่าผู้ที่อยู่ในรายชื่อสั่งฆ่านั้นทำผิดจริงหรือไม่ ต่อให้งานนี้รายชื่อคนผู้นั้นอยู่ในเจ้าพนักงานของศาลเทียนอวี่นางก็ต้องสืบให้กระจ่างก่อนเพราะมิอยากทำผิดปลิดชีพผู้บริสุทธิ์เฉกเช่นคนชั่วพวกนั้น!
"ลงเขาครั้งนี้ระวังตัวด้วย ข้าได้ข่าวว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่ากำลังตามสืบเรื่องนักฆ่าดอกเบญจมาศอยู่"
น้ำเสียงของประมุขกู่เหนียงมีแต่ความห่วงใยสตรีตรงหน้า
"ข้าทราบแล้ว จวี๋ฮวาขอตัว"
เมื่อกล่าวลาเสร็จสตรีอาภรณ์แดงก็เร่งกลับมาที่พักตนเพื่อเตรียมตัวลงเขาทันที
ครั้นเข้ามาที่พักเรียบร้อย สิ่งแรกที่นางทำคือนั่งบนตั่งมองตนเองผ่านเงาสะท้อนของกระจกทองเหลืองตรงหน้า
สิ่งแรกที่สะท้อนในแววตาของนางคือสายฝนห่าใหญ่ที่กระหน่ำเทลงมาโชลมพื้นดินที่ย้อมไปด้วยสีแดงฉาน กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดในวันนั้นยังติดอยู่ที่ปลายจมูกรั้นของเยว่อันหนิงทุกครั้งที่นึกถึง
ในหูทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวและความเจ็บปวดของผู้เคราะห์ร้ายราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้น
มือบางจิกกำเข้าหากันแน่นเมื่อความเคียดแค้นเริ่มเกาะกินหัวใจนางอีกครั้ง
"ศาลเทียนอวี่"
ริมฝีปากหยักได้รูปขยับเอ่ยชื่อสถานที่ที่นางจดจำมิเคยลืมแม้วันเวลาผ่านมาแล้วถึงเก้าปี
หากวันนั้นนางมิได้ประมุขกู่เหนียงที่บังเอิญลงเขาแล้วผ่านไปเส้นทางนั้นช่วยไว้ ป่านนี้ชีวิตที่เหลือริบหรี่ของนางคงได้ตามบิดาและพี่ ๆ ทั้งสี่ไปแล้ว
"หนิงหนิง ข้าเข้าไปได้หรือไม่"
เสียงเล็กแหลมของยี่ซูสหายหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถพูดคุยกับเยว่อันหนิงได้สนิทใจดังขึ้น
"เข้ามา"
นักฆ่าสาวที่ตอนนี้ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งเด็ดเดี่ยว แต่กลับไร้แววของความสุขในชีวิตรีบสลัดสีหน้าเศร้าสลดให้กลับมาเรียบนิ่งเช่นปกติก่อนจะผินสายตามองสหายในชุดทะมัดทะแมงราวชายชาตรีสีดำเดินเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมนี้
"ข้าได้ข่าวว่าเจ้ารับงานใหม่มา"
สมแล้วที่เป็นหน่วยข่าวเร็วของหุบเขาไร้เงาแห่งนี้
ยี่ซูอายุห่างจากเยว่อันหนิงราว ๆ เจ็ดปีได้ หากแต่ใบหน้านางอ่อนเยาว์ราวดรุณีวัยไม่ถึงสิบสี่เพราะในร่างกายยี่ซูมีพิษหนอนไหมแดงที่ช่วยชะลอการเติบโตของผิวพรรณเอาไว้ในวัยที่ถูกพิษ หากแต่อวัยวะส่วนอื่นยังคงเติบโตตามปกติ
พิษที่ยี่ซูได้รับเป็นผลงานชิ้นเอกของนางที่คิดค้นร่วมกับผู้เฒ่าฝูหนาน เจ้าแห่งพิษของหุบเขาไร้เงาแห่งนี้
"ยังก้ำกึ่ง"
เพราะนางต้องทำตามขั้นตอน มิสามารถยอมรับเต็มปากว่ารับสาส์นจากปรโลกฉบับนั้นแล้ว
ยี่ซูหยักหน้าให้สหายสนิทที่นิสัยตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว ก่อนจะเดินไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเยว่อันหนิงที่เปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่เป็นจวี๋ฮวา
ทว่าเวลาที่ยี่ซู เสียนต้วนอี้ รวมถึงประมุขกู่เหนียงอยู่กับนางตามลำพังจะยังเรียกขานนางด้วยชื่อแซ่เดิมอยู่
"เมื่อวานข้าไปที่เมืองเทียนติ่งมา"
สหายรักเริ่มบทสนทนาพร้อมมือบางก้มลงหยิบหวีเล่มเล็กขึ้นมาสางผมให้เยว่อันหนิง
"ในเมืองตอนนี้มีข่าวลือว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่ากำลังตามสืบเรื่องนักฆ่าบุปผาเบญจมาศ"
เป็นข่าวเดียวกับที่ประมุขกู่เหนียงเพิ่งแจ้งนางเมื่อครู่
"เจ้ามาเพื่อเตือนข้า"เยว่อันหนิงมองสบตายี่ซูผ่านกระจกตรงหน้า ทั้งสองสบตากันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินคำตอบต่อมา"ข้ารู้ว่านักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่เคยทิ้งร่องรอยและไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าจนสาวมาถึงตัวได้ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าทิ้งดอกจวี๋ฮวาไว้ในที่เกิดเหตุทุกครั้ง ไม่กลัวคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าจะสืบตัวตนเจ้าผ่านดอกไม้นั่นหรือไร"น้ำเสียงยี่ซูจริงจังฟังดูห่วงใยสหายตรงหน้าเป็นอย่างมาก ผิดกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นเป็นห่วงที่ค่อย ๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมมุมปากสีสดที่ยกสูงนางมิได้ยิ้มหวาน ต้องเรียกว่าแสยะยิ้มแบบมีเล่ห์เหลี่ยมถึงจะถูก"หากจะสืบจากดอกไม้แห้งเหี่ยวนั่น ต่อให้พวกเขาพลิกแผ่นดินหาคงมิเจอ"ที่เยว่อันหนิงมั่นใจถึงเพียงนี้เพราะดอกจวี๋ฮวา(ดอกเบญจมาศ) ที่นางใช้ทิ้งไว้บนศพแตกต่างจากดอกจวี๋ฮวาที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปนางลงมือปลูกดอกไม้ชนิดนี้ตั้งแต่อายุเก้าขวบ เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะต้องแก้แค้นให้สกุลเยว่ในสักวัน และที่นางเลือกใช้ดอกจวี๋ฮวาเพราะเป็นดอกไม้ที่มารดานางโปรดปรานที่สุด อีกทั้งผู้คนต่างบอกว่าดอกจวี๋ฮวาคือดอกไม้แทนสัจจะ ความซื่อสัตย์และความตายเยว่อันหนิงจึงคิ
โฉมสครวญเดินหันหลังลงจากเขาหลังจากร่ำลาผู้คนเสร็จวันนี้นางแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง หากแต่สีของอาภรณ์ก็มิเคยเป็นสีอื่นใดนางจากสีแดงไม่แดงสดก็แดงเลือดหมู มีเพียงแค่สีเหล่านี้ที่เยว่อันหนิงสวมใส่แล้วรู้สึกมีพลัง แม้จะเป็นตอนทำภารกิจ นางยังสวมใส่สีแดงไว้ด้านในและทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านนอกการเดินทางลงจากเขาแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก คนในเท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงกับดักที่หุบเขาไร้เงาทำเอาไว้ได้ แต่ก็มักจะมีสมาชิกบางคนเผลอเรอลืมจุดตั้งกับดักจนพลาดท่าถูกทำร้ายมาแล้วก็มีมากเช่นกันเยว่อันหนิงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตากิ่งก้านของต้นไม้จากกิ่งนี้ไปต้นนั้น จวบจนนางผ่านกับดักทุกด่านและลงเขาได้อย่างปลอดภัย"เสียงฝีเท้าม้า?"ครั้นลงจากเขามาได้แค่ครึ่งลี้ หูที่สามารถรับเสียงได้ไกลของเยว่อันหนิงได้ยินเสียงเท้าม้าห่างจากจุดที่นางอยู่ราว ๆ ครึ่งลี้หญิงสาวจึงเร่งรุดเดินทางไปดักด้านหน้า แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้รกจึงเห็นขบวนม้าเร็วสี่ห้าตัว คนที่คุมบังเหียนบนหลังม้าเหล่านั้นคล้ายทหารหน่วยลาดตระเวนของสักกองทัพ ครั้นพอสายตาแหลมคมเห็นที่ห้อยเอวตัวอักษร 'หลาง' นางก็รู้ในทันทีว่าเป็นของกองทัพเขี้ยวห
"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้""เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ""เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า""ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น""คำไหนคำนั้น""อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบ
หออี้เฉิงหลัน...เยว่อันหนิงใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเร็วเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเมืองเทียนติ่งเก้าปีที่นางกลายเป็นนักฆ่าของหุบเขาไร้เงา นางเข้าออกบ้านเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่เป็นการมาเพื่อทำภารกิจสาส์นจากปรโลก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเฉียดเข้าใกล้จวนสกุลเยว่ของตนสักหนหากแต่วันนี้ภารกิจคือจวนสกุลซุยที่ห่างจากจวนสกุลเยว่เพียงไม่กี่รั้วบ้าน ทำให้นางต้องปักหลักที่หออี้เฉิงหลัน หอชื่อดังแหล่งรวมความรื่นรมย์ของเหล่าขุนนางและผู้มีเงินหนาถึงจะเข้าพักกินดื่มชมการแสดงในนี้ได้"เชิญแม่นาง"เยว่อันหนิงเดินตามหลังสตรีนางหนึ่งที่เป็นคนดูแลหอแห่งนี้เพื่อเข้าสู่ห้องพักในชั้นสอง"หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม สั่นกระดิ่งทองนี้ได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ"สตรีโฉมสะครวญนางนี้ภายนอกดูเหมือนเถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของกิจการทั่วไป หากแต่เบื้องหลังนางเป็นหนึ่งในสายลับของหุบเขาไร้เงา ทำให้เยว่อันหนิงได้รับการต้อนรับค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่น"ส่วนนี่คือทั้งหมดที่ผู้น้อยจัดเตรียมเอื้อความสะดวกให้แก่แม่นาง"สายลับนามว่าอี้หลันหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาวางลงตรงหน้าโฉมงามอาภรณ์แดงเยว่อันหนิงทำเพียงก้มหน้าเล็กน้
ตอนนี้เป็นเวลายามจื่อแล้ว เยว่อันหนิงค่อย ๆ เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดรัดกุมสีดำ โดยมีเสื้อตัวบางสีแดงซ่อนอยู่ด้านในผมยาวสลวยถูกรวบตึงมัดตรงกลางศีรษะ ปล่อยให้ปลายผมลู่ลงคล้ายหางของม้าใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยผ้าบางสีดำเช่นเดียวกับสีชุดดวงตาคู่สวยคล้ายไข่มุกยามต้องแสงราตรีผินมองไปยังพระจันทร์เสี้ยวเหมาะแก่การลงมือลดประชากรคนชั่วให้แผ่นดินถังเฉียนสูงขึ้นอีกหนึ่งมือเรียวสวยหยิบเอาอาวุธคู่กายเป็นมีดสั้นสลักดอกจวี๋ฮวาที่ด้ามจับเสียบไว้ด้านหลังสามเล่ม ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนผู้คนโดยใช้ความมืดอำพรางซ่อนเร้นกายจนถึงจวนสกุลซุยเป็นดั่งคาด ยามนี้ทหารยามของสกุลซุยเบาบางจนนางมิต้องลงมือสังหารผู้ใดให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแผนผังเรือนพักของซุยฉีเฉียนถูกนางจดจำไว้ในสมองอย่างแจ่มแจ้ง เรือนปีกซ้ายคือห้องนอนของเป้าหมายในครั้งนี้เยว่อันหนิงในชุดสีดำค่อย ๆ ย่องด้วยวิชาตัวเบาเพื่อไปยังห้องพักของขุนนางชั่วที่ว่า หากแต่พอเลี้ยวตรงมุมด้านหน้าที่เป็นห้องรับรองของเรือนกลางกลับได้ยินเสียงคนสนทนากันในยามวิกาล"วันนี้คุณหนูถูกคนลอบทำร้ายที่หออี้เฉิงหลัน ข้าน้อยให้คนของ
ผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเค่อ(1เค่อ = ประมาณ 15 นาที) คนของเฉินเจียนหลางก็กลับมาพร้อมรองแม่ทัพซ่างฮ้วน"เรียนแม่ทัพน้อย นี่คือชาวบ้านที่ถูกขังไว้ในห้องใต้ดินของจวนซุยขอรับ"ซุยฮูหยินเบิกตาโตแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชาวบ้านมากกว่าสิบคนเนื้อตัวถูกเฆี่ยนตีทรมานจนมีแผลแทบทุกคน"ไม่จริง พวกเจ้าจัดฉากเรื่องนี้!" มือที่ชี้หน้าเฉินเจียนหลางสั่นระริกจะบอกว่าโมโหจึงมือสั่นคงไม่ใช่ทั้งหมด อาการที่ซุยฮูหยินแสดงออกต้องเรียกว่าหวาดกลัวมากกว่า"ท่านแม่ทัพน้อยโปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ"สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่ถูกจับตัวไปรีบคุกเข่าลงเพื่อขอร้องบุรุษตรงหน้า"เสวี่ยอี! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่? เมื่อบ่ายเจ้าลอบทำร้ายข้าไม่สำเร็จจึงโกรธเคืองปลุกปั่นผู้คนให้มาสังหารบิดาข้า!"ซุยผิงผิงเห็นชัดตาว่าสตรีที่ออกหน้าคุกเข่าอยู่นั้นคือสาวใช้ที่นางต้องการพบตัวอยู่พอดี"คุณหนูใส่ร้ายบ่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จริงอยู่เมื่อบ่ายฝีมือบ่าวเองที่นำขนมถั่วไปให้ท่าน แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของบ่าวเท่านั้นที่ครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมแถมยังถูกหักเบี้ยหวัดสองเดือน ส่วนเรื่องการ
หลังจากเยว่อันหนิงส่งจดหมายลับไปที่จวนสกุลเฉินเรียบร้อยนางก็ไม่ได้อยู่รอดูละครฉากสำคัญนั้นต่อ รีบเร่งเดินทางออกจากเมืองเทียนติ่งด้วยเส้นทางลับที่คนของหุบเขาไร้เงาเท่านั้นที่รู้ในทันทีเมื่อคล้อยหลังนางไม่ถึงครึ่งก้านธูปประตูเมืองก็ถูกปิดตายจากคำสั่งขององค์รัชทายาท มีทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันประตูเมืองอย่างแน่นหนาส่วนเรื่องนอกเหนือแผนการจ้างวานฆ่าในค่ำคืนนี้ที่เยว่อันหนิงดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเรียกว่าเป็นหมากในกระดานของนางสกุลเฉินเป็นจวนทางทหารย่อมไม่มีอำนาจบุกค้นจวนโดยไม่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่ที่นางเลือกส่งจดหมายไปหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ว่าที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าคนสกุลเฉินภักดีต่อฝ่าบาทและแผ่นดินเป็นจริงกี่ส่วนเหตุผลสำคัญอีกหนึ่งที่เยว่อันหนิงต้องการยืมมือสกุลเฉินคือจัดการลงโทษคุณหนูสกุลซุย หากบุกค้นจวนซุยจริงและให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านได้ เยว่อันหนิงเดาว่าต้องมีสักคนที่เปิดโปงจิตใจโหดเหี้ยมของซุยผิงผิงให้นางได้รับโทษที่ใช้อำนาจรังแกคนอื่นเป็นแน่"ครั้งนี้เจ้าเหมือนยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกหลายตัว"เสียนต้วนอี้กล่าวชมสตรีที่กลับมาถึงหุบเขาไร้เงาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว"กำจัดค
"ยาลบความจำ""ยาลบความจำ! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้จะมียาชนิดนี้ด้วยหรือ"เยว่อันหนิงส่ายหัวน้อย ๆ พลางตอบ"ไม่มี""แล้วเจ้ายังจะคิดค้นเนี่ยนะ"ยี่ซูมองสหายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดนางหรือว่าลึก ๆ แล้ว เยว่อันหนิงไม่ได้อยากล้างแค้นให้ตระกูลนางจึงอยากใช้ยาตัวนี้เพื่อลบความทรงจำเลวร้ายนั่นให้สิ้น"เพราะไม่มีถึงได้อยากลอง"ก็ถูกของนาง หากไม่คิดค้นขึ้นมา ยาแบบนี้จะให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร ยี่ซูนี่ช่างถามไม่รู้จักคิด"แต่เรามียาลืมเลือนของผู้เฒ่าฝูแล้วนี่ เหตุใดเจ้าต้องคิดค้นยาลบความทรงจำนั้นขึ้นมาอีก"นั่นสิ!หากฟังจากชื่อยาแล้ว ยาลืมเลือนที่นางมีก็ช่วยลบความทรงจำได้หมือนกัน"เพราะไม่เหมือนกัน ยาลืมเลือนใช้ได้ผลเพียงแค่ชั่วขณะ พอหมดฤทธิ์ ทุกอย่างที่เคยเห็นเคยลืมก็จะกลับมา""อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เจ้าจะใช้มันเองหรือ"หลังจากเข้าใจความแตกต่างของยาทั้งสองยี่ซูจึงรีบถามออกไป"เหตุใดข้าต้องใช้"อ้าว! ในเมื่อเป็นยาลบความทรงจำ เยว่อันหนิงไม่ใช้เองแล้วจะให้ผู้ใดใช้กัน"แล้วเจ้าจะเอาไปใช้ประโยชน์อันใด งานของเราคือนักฆ่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาลบความทรงจำกับตัวเองและคนที่กำลังจะตายพวกนั้น"มือแน่งน้อยของเ
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก