ตอนนี้เป็นเวลายามจื่อแล้ว เยว่อันหนิงค่อย ๆ เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดรัดกุมสีดำ โดยมีเสื้อตัวบางสีแดงซ่อนอยู่ด้านใน
ผมยาวสลวยถูกรวบตึงมัดตรงกลางศีรษะ ปล่อยให้ปลายผมลู่ลงคล้ายหางของม้า
ใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยผ้าบางสีดำเช่นเดียวกับสีชุด
ดวงตาคู่สวยคล้ายไข่มุกยามต้องแสงราตรีผินมองไปยังพระจันทร์เสี้ยวเหมาะแก่การลงมือลดประชากรคนชั่วให้แผ่นดินถังเฉียนสูงขึ้นอีกหนึ่ง
มือเรียวสวยหยิบเอาอาวุธคู่กายเป็นมีดสั้นสลักดอกจวี๋ฮวาที่ด้ามจับเสียบไว้ด้านหลังสามเล่ม ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนผู้คนโดยใช้ความมืดอำพรางซ่อนเร้นกายจนถึงจวนสกุลซุย
เป็นดั่งคาด ยามนี้ทหารยามของสกุลซุยเบาบางจนนางมิต้องลงมือสังหารผู้ใดให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
แผนผังเรือนพักของซุยฉีเฉียนถูกนางจดจำไว้ในสมองอย่างแจ่มแจ้ง เรือนปีกซ้ายคือห้องนอนของเป้าหมายในครั้งนี้
เยว่อันหนิงในชุดสีดำค่อย ๆ ย่องด้วยวิชาตัวเบาเพื่อไปยังห้องพักของขุนนางชั่วที่ว่า หากแต่พอเลี้ยวตรงมุมด้านหน้าที่เป็นห้องรับรองของเรือนกลางกลับได้ยินเสียงคนสนทนากันในยามวิกาล
"วันนี้คุณหนูถูกคนลอบทำร้ายที่หออี้เฉิงหลัน ข้าน้อยให้คนของเราจับกุมตัวผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาขังไว้ที่ห้องใต้ดินแล้ว ทุกคนต่างไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนลอบทำร้ายคุณหนู ใต้เท้าจะลงไปสอบสวนเองอีกครั้งหรือไม่ขอรับ"
เสียงองครักษ์คู่กายของซุยฉีเฉียนดังรายงานเจ้านาย
"ชาวบ้านพวกนี้นับวันยิ่งเหิมเกริม สงสัยต้องส่งแพะสักคนไปที่ศาลเทียนอวี่เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูแล้วกระมัง"
เสียงเบ่งอำนาจบาทใหญ่ดังอย่างไม่สนว่าใครจะมาได้ยิน
ซุยฉีเฉียนมองเปลวเทียนที่ส่องสว่างตรงหน้าเหมือนเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เขาจับตัวมาก่อนจะสะบัดชายแขนเสื้อให้เทียนดวงนั้นดับลง บ่งบอกว่าเขาจะไม่ให้โอกาสคนที่โชคร้ายผู้นั้นได้รอดกลับมา
เยว่อันหนิงที่แอบฟังถึงกับแสยะยิ้มให้กับความโฉดชั่วของคนผู้นี้ นางเตรียมตัวลงมือสังหารเป้าหมายตามคำสั่งในสาส์นจากปรโลกแผ่นนั้น
มือบางเอื้อมไปกำด้ามมีดสั้นที่อยู่ด้านหลังไว้ให้มั่นทั้งสองมือ ก่อนจะบุกเข้าไปในห้องที่มีซุยฉีเฉียนและองครักษ์ฝีมือดีอยู่ในห้องด้วย
"มีคนร้า...ย"
เสียงตะโกนของซุยฉีเฉียนดับลงพร้อมเส้นหลอดลมที่ขาดสะบั้นเพียงหนึ่งกรีด จากนั้นก็เป็นลมหายใจขององครักษ์ข้างกายเขาที่ยังไม่ทันได้ชักกระบี่ก็ถูกเยว่อันหนิงปักมีดลงต้นคอจนสิ้นใจตามนายไป
มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดที่น่าสะอิดสะเอียดของพวกคนชั่วเหล่านี้ก่อนจะทิ้งมันลงพื้นพร้อมกับดอกจวี๋ฮวาสีขาวที่นางพกติดตัวมาด้วยทุกครั้งยามทำภารกิจ
"ใต้เท้า! ด้านในเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยเหมือนได้ยินเสียงท่านตะโกนเรียก"
ทหารยามที่เดินตรวจตราอยู่แถวนี้บังเอิญได้ยินเสียงซุยฉีเฉียนก่อนสิ้นใจเข้าจึงรีบวิ่งมาดูความเรียบร้อย
เยว่อันหนิงไม่รอช้ารีบกระโดดออกหน้าต่างทางด้านหลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งทันที
คราแรกนางคิดว่าจะไปช่วยชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่เดือดร้อนแทนนางก่อนค่อยจากมา แต่ทหารยามกลับจมูกเร็วเกินไปทำให้นางไม่มีเวลามากนัก
ครั้งนี้จึงขอเสี่ยงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลเฉิน
จวนแม่ทัพใหญ่ที่ใคร ๆ ต่างยกย่องว่าเป็นขุนนางน้ำดีทุกคน
ฉึก!
ธนูหัวแหลมปักเข้ายังเสาหน้าจวนสกุลเฉินอย่างแม่นยำ
"มีคนร้าย!"
ทหารเฝ้าประตูรีบชักกระบี่เตรียมปกป้องภัยจากผู้มาเยือนที่มองไม่เห็นแม้เงา
"ธนูนี้มีจดหมายมาด้วย"
ทหารอีกนายเดินมาดูธนูปริศนาที่ไม่รู้มาจากทิศทางไหนและผู้ใดยิงมาก่อนจะเห็นว่ามีกระดาษม้วนเล็ก ๆ ถูกผูกติดอยู่
"ข้าจะไปรายงานแม่ทัพใหญ่ ส่วนเจ้าคุ้มกันที่นี่ หากมีอะไรผิดปกติให้ลั่นกลองทันที"
หน้าจวนสกุลเฉินจะมีกลองแขวนไว้สำหรับส่งสัญญาณยามมีคนร้ายหรือเหตุการณ์ฉุกระหุกจวนตัวเกิดขึ้น
เยว่อันหนิงที่ซ่อนอยู่บนระเบียงชั้นสองฝั่งตรงข้ามเห็นทหารของจวนเฉินนำจดหมายที่ตนเขียนข้อความบางอย่างส่งไปให้เข้าไปในจวนแล้วจึงวางใจไปส่วนหนึ่ง
"หวังว่าคนสกุลเฉินจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง"
กล่าวจบเยว่อันหนิงก็รีบถอยออกจากพื้นที่กึ่งอันตรายนี้ทันที
จวนสกุลซุย
"ท่านพี่! ใครกันช่างโหดร้าย กล้าบุกมาทำเรื่องโหดเหี้ยมถึงในจวนซุยเช่นนี้"
ซุยฮูหยินร้องไห้แทบจะเป็นลมเมื่อรู้ข่าวว่าสามีถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด
แม้นางจะไม่กล้าดูสภาพร่างไร้วิญญาณของซุยฉีเฉียน แต่มองจากเลือดที่ไหลนองพื้นพรมนี้แล้วสามีนางคงทรมานไม่ใช่น้อยก่อนจะสิ้นใจไป
"ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงจากพวกเราไปไวเช่นนี้ แล้วข้ากับท่านแม่จะอยู่อย่างไรเจ้าคะ"
ซุยผิงผิงบุตรีเพียงคนเดียวของเขาร้องไห้กอดมารดาอยู่ข้างศพบิดา
"ต้องเป็นนาง! ใครก็ได้ไปจับตัวเสวี่ยอีมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!"
ซุยผิงผิงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นางมีเรื่องกับสาวใช้นามว่าเสวี่ยอีจึงคิดว่าการตายของบิดาคงเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้
"เรียนฮูหยิน แม่ทัพน้อยสกุลเฉินมาขอรับ"
แต่ก่อนที่จะได้นำตัวสาวใช้นางนั้นมา ทหารยามนายหนึ่งเดินเข้ามารายงานด้วยความร้อนรนก่อน
"แม่ทัพน้อยสกุลเฉิน? เหตุใดถึงไม่ใช่คนของศาลเทียนอวี่"
ซุยฮูหยินที่กำลังเศร้าอยู่ใคร่สงสัย
เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นหน้าที่ของศาลเทียนอวี่ส่งคนมาตรวจสอบถึงจะถูก เหตุใดถึงเป็นคนของจวนแม่ทัพยื่นมือเข้ามาเช่นนี้
"ข้าน้อยเฉินเจียนหลางคาราวะซุยฮูหยิน"
ยังไม่ทันได้สั่งการให้คนเชื้อเชิญแขกเข้าพบ เฉินเจียนหลางที่พาคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่ามาด้วยห้านายก็ปรากฎตัวที่หน้าประตูห้องโถงนี้แล้ว
"แม่ทัพน้อยเฉิน เหตุใดท่านถึงรู้ข่าวเร็วเช่นนี้"
ซุยฮูหยินสลัดคราบสตรีโศกเศร้าเมื่อครู่ ทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นผู้นำตระกูลในยามนี้แทนสามีที่ล่วงลับไปหมาด ๆ
"เจียนหลางเสียมารยาทที่ไม่รอซุยฮูหยินเอ่ยอนุญาต บุกเข้ามาในจวนสกุลซุย หากแต่ผู้น้อยได้รับการร้องเรียนจากบุคคลผู้หนึ่งให้มาตรวจสอบการลักพาตัวชาวบ้านมาขังไว้ในจวนแห่งนี้"
"บังอาจ! สามีข้ายังนอนเป็นศพอยู่ตรงนั้น เจ้ายังกล้าสามหาวใส่ร้ายสกุลซุยว่าแอบลักพาตัวชาวบ้านมาอีก หรือว่านี่คือฝีมือของสกุลเฉินกัน!"
ซุยฮูหยินหน้าคล้ำไปหลายส่วนด้วยความโมโหที่ได้ยินเฉินเจียนหลางกล่าวหาเช่นนั้น
เดิมทีทั้งสองสกุลแทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กันแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เพราะเวลาประชุมขุนนางภายในท้องพระโรงทีไร บิดาของเฉินเจียนหลางมักจะกระทบกระทั่งกับสามีตนบ่อยครั้ง
พอมาได้ยินเรื่องเช่นนั้นจึงคิดว่าสามีถูกคนใส่ร้ายและคนผู้นั้นคือแม่ทัพน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้านางไม่ผิดแน่
"ข้าใส่ร้ายหรือไม่ขอเพียงซุยฮูหยินอนุญาตให้คนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าค้นจวนดูก็รู้แล้ว"
ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาเย็นชาไร้ความกลัวเกรงคนของจวนซุยที่ล้อมวงเขาไว้พร้อมเปิดศึกได้ทุกเมื่อหากเฉินเจียนหลางกระทำการล่วงเกินนายหญิงของพวกเขา
"ได้! หากแม่ทัพน้อยไม่เจอหลักฐานที่ว่า แม้ข้าจะเป็นเพียงสตรีไร้กำลังก็จะขอเอาเรื่องสกุลเฉินของพวกเจ้าให้ถึงที่สุด!"
"ท่านแม่! ระวังสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ"
ซุยผิงผิงรีบประคองปลอบมารดาที่ในใจบอบช้ำกับการจากไปของสามีเป็นทุนเดิมแต่ต้องสวมหน้ากากเข้มแข็งเพื่อปกป้องสกุลซุยจนเกือบจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคน
"กระจายกำลังค้นหาให้ทั่ว!"
เฉินเจียนหลางออกคำสั่งทหารห้านายที่พามา หากแต่ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าตอนนี้ซ่างฮ้วนที่ถูกสั่งให้ลอบเข้ามาก่อนหน้าพวกเขาได้ค้นเจอห้องลับในจดหมายปริศนานั่นแล้ว
ผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเค่อ(1เค่อ = ประมาณ 15 นาที) คนของเฉินเจียนหลางก็กลับมาพร้อมรองแม่ทัพซ่างฮ้วน"เรียนแม่ทัพน้อย นี่คือชาวบ้านที่ถูกขังไว้ในห้องใต้ดินของจวนซุยขอรับ"ซุยฮูหยินเบิกตาโตแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชาวบ้านมากกว่าสิบคนเนื้อตัวถูกเฆี่ยนตีทรมานจนมีแผลแทบทุกคน"ไม่จริง พวกเจ้าจัดฉากเรื่องนี้!" มือที่ชี้หน้าเฉินเจียนหลางสั่นระริกจะบอกว่าโมโหจึงมือสั่นคงไม่ใช่ทั้งหมด อาการที่ซุยฮูหยินแสดงออกต้องเรียกว่าหวาดกลัวมากกว่า"ท่านแม่ทัพน้อยโปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ"สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่ถูกจับตัวไปรีบคุกเข่าลงเพื่อขอร้องบุรุษตรงหน้า"เสวี่ยอี! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่? เมื่อบ่ายเจ้าลอบทำร้ายข้าไม่สำเร็จจึงโกรธเคืองปลุกปั่นผู้คนให้มาสังหารบิดาข้า!"ซุยผิงผิงเห็นชัดตาว่าสตรีที่ออกหน้าคุกเข่าอยู่นั้นคือสาวใช้ที่นางต้องการพบตัวอยู่พอดี"คุณหนูใส่ร้ายบ่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จริงอยู่เมื่อบ่ายฝีมือบ่าวเองที่นำขนมถั่วไปให้ท่าน แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของบ่าวเท่านั้นที่ครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมแถมยังถูกหักเบี้ยหวัดสองเดือน ส่วนเรื่องการ
หลังจากเยว่อันหนิงส่งจดหมายลับไปที่จวนสกุลเฉินเรียบร้อยนางก็ไม่ได้อยู่รอดูละครฉากสำคัญนั้นต่อ รีบเร่งเดินทางออกจากเมืองเทียนติ่งด้วยเส้นทางลับที่คนของหุบเขาไร้เงาเท่านั้นที่รู้ในทันทีเมื่อคล้อยหลังนางไม่ถึงครึ่งก้านธูปประตูเมืองก็ถูกปิดตายจากคำสั่งขององค์รัชทายาท มีทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันประตูเมืองอย่างแน่นหนาส่วนเรื่องนอกเหนือแผนการจ้างวานฆ่าในค่ำคืนนี้ที่เยว่อันหนิงดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเรียกว่าเป็นหมากในกระดานของนางสกุลเฉินเป็นจวนทางทหารย่อมไม่มีอำนาจบุกค้นจวนโดยไม่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่ที่นางเลือกส่งจดหมายไปหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ว่าที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าคนสกุลเฉินภักดีต่อฝ่าบาทและแผ่นดินเป็นจริงกี่ส่วนเหตุผลสำคัญอีกหนึ่งที่เยว่อันหนิงต้องการยืมมือสกุลเฉินคือจัดการลงโทษคุณหนูสกุลซุย หากบุกค้นจวนซุยจริงและให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านได้ เยว่อันหนิงเดาว่าต้องมีสักคนที่เปิดโปงจิตใจโหดเหี้ยมของซุยผิงผิงให้นางได้รับโทษที่ใช้อำนาจรังแกคนอื่นเป็นแน่"ครั้งนี้เจ้าเหมือนยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกหลายตัว"เสียนต้วนอี้กล่าวชมสตรีที่กลับมาถึงหุบเขาไร้เงาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว"กำจัดค
"ยาลบความจำ""ยาลบความจำ! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้จะมียาชนิดนี้ด้วยหรือ"เยว่อันหนิงส่ายหัวน้อย ๆ พลางตอบ"ไม่มี""แล้วเจ้ายังจะคิดค้นเนี่ยนะ"ยี่ซูมองสหายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดนางหรือว่าลึก ๆ แล้ว เยว่อันหนิงไม่ได้อยากล้างแค้นให้ตระกูลนางจึงอยากใช้ยาตัวนี้เพื่อลบความทรงจำเลวร้ายนั่นให้สิ้น"เพราะไม่มีถึงได้อยากลอง"ก็ถูกของนาง หากไม่คิดค้นขึ้นมา ยาแบบนี้จะให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร ยี่ซูนี่ช่างถามไม่รู้จักคิด"แต่เรามียาลืมเลือนของผู้เฒ่าฝูแล้วนี่ เหตุใดเจ้าต้องคิดค้นยาลบความทรงจำนั้นขึ้นมาอีก"นั่นสิ!หากฟังจากชื่อยาแล้ว ยาลืมเลือนที่นางมีก็ช่วยลบความทรงจำได้หมือนกัน"เพราะไม่เหมือนกัน ยาลืมเลือนใช้ได้ผลเพียงแค่ชั่วขณะ พอหมดฤทธิ์ ทุกอย่างที่เคยเห็นเคยลืมก็จะกลับมา""อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เจ้าจะใช้มันเองหรือ"หลังจากเข้าใจความแตกต่างของยาทั้งสองยี่ซูจึงรีบถามออกไป"เหตุใดข้าต้องใช้"อ้าว! ในเมื่อเป็นยาลบความทรงจำ เยว่อันหนิงไม่ใช้เองแล้วจะให้ผู้ใดใช้กัน"แล้วเจ้าจะเอาไปใช้ประโยชน์อันใด งานของเราคือนักฆ่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาลบความทรงจำกับตัวเองและคนที่กำลังจะตายพวกนั้น"มือแน่งน้อยของเ
"คำนับประมุขกู่เหนียง ท่านเรียกข้าเข้าพบมีเรื่องอันใดเจ้าคะ"ทันทีที่เยว่อันหนิงเดินเข้ามายังที่พักของประมุขกู่เหนียง นางก็ไม่รีรอเร่งถามถึงเหตุผลที่ถูกตามตัวในครั้งนี้ โดยข้างกายมีเสียนต้วนอี้ยืนอยู่เป็นเพื่อน"นั่งก่อนเถิด ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า"คำว่า 'พวกเจ้า' ทำให้เยว่อันหนิงรู้ชะตาต่อจากนี้คงต้องมีตัววุ่นวายอย่างเสียนต้วนอี้ตามติดนางเป็นแน่"นี่คือ?"ผู้ที่แย่งถามคือบุรุษรูปงามเพียงคนเดียวในห้องนี้เยว่อันหนิงมองเทียบเชิญสีแดงมีตัวอักษร 'มู่' ประทับตราโดดเด่นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู"หน่วยข่าวที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเทียนติ่งส่งมา"เสียนต้วนอี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมชะเง้อคอมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบเชิญในมือเยว่อันหนิง"ท่านประมุขต้องการให้พวกข้าปะปนเข้าไปสังหารผู้ใด"ในเมื่อไม่มีสานส์นจากปรโลก เยว่อันหนิจึงไม่เข้าใจเจตนารมย์ของประมุขกู่เหนียงในครั้งนี้"เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สกุลมู่ต้องการหาคู่ครองให้กับบุตรีเขา"ก็ใช่ว่าไม่เห็น ในเมื่อเนื้อในเทียบเชิญเขียนเอาไว้ว่า'สกุลมู่ขอเชิญบุรุษที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้วทุกท่านเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองคุณหนูมู่อานจิ่วบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลมู
"แม้จะไม่คล่องมือ หากแต่นำมาจับอีกครั้งย่อมไม่เป็นปัญหา""ดี! ข้าจะให้ต้วนอี้ปลอมเป็นหัวหน้าคณะดนตรี นำนักแสดงและนางรำเข้าไปร่วมงานในครั้งนี้""เป็นเพียงหัวหน้าคณะดนตรีจะได้ไม่เตะตาผู้อื่น"กู่เหนียงพนักหน้าให้กับความฉลาดที่เยว่อันหนิงวิเคราะห์ความคิดตนราวมานั่งอยู่ในใจ"แต่จะดีหรือท่านประมุขถ้าให้ผู้อื่นเห็นหน้าตาอาหนิงของข้า โอ๊ย!"เสียนต้วนอี้ถึงกับตัวงอเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเยว่อันหนิงกระทุ้งเข้าลิ้นปี้ให้"ข้าคือข้า มิใช่ของของผู้ใด"เสียงเรียบนิ่งเอ่ยบอก หากแต่แววตาของนางกลับสามารถทำให้บุรุษตัวสูงใหญ่ใจวูบโหวงได้"ข้าพูดผิดไป ข้าพูดผิดไป"เสียนต้วนอี้ยกมือขึ้นตบมุมปากตนที่ปากเสียสองครั้ง ก่อนจะทำท่าเม้มปากเป็นเส้นตรงบอกคนที่ยังใช้สายตาอาฆาตให้รู้ว่าเขาจะไม่ปริปากสุนัขนี้ขัดการหารือครั้งนี้อีก"ที่จริงข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าล่ะ จะยอมเสี่ยงหรือไม่"แม้ตัวตนในฐานะนักฆ่าบุปผาเบญจมาศของเยว่อันหนิงยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่หากประมาทไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป"ชีวิตข้ายังเหลืออะไรให้กลัวอีกเจ้าคะ"น้ำเสียงเจ็บแค้นปะปนออกมาอยู่หลายส่วนแค้นโชคชะตา
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคุณชายจากหนแห่งต่าง ๆ มาเข้าร่วมงานมากถึงเพียงนี้"ซ่างฮ้วนเอ่ยกับแม่ทัพน้อยที่นั่งร่ำสุราอยู่ข้าง ๆแม้เดิมทีที่นั่งของเฉินเจียนหลางถูกจัดวางไว้ใกล้กับที่นั่งของมู่ตงหยวนที่ที่เป็นของผู้ที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าเฉินเจียนหลางกลับปฎิเสธด้วยอ้างว่าตนคุยไม่เก่งเกรงว่าจะทำให้แขกคนสำคัญคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นอึดอัดใจจึงขอปลีกตัวออกมานั่งที่ลานกว้างด้านซ้ายของเวทีการแสดงดนตรีกับรองแม่ทัพซ่างฮ้วนแทน"เจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่เห็น"เฉินเจียนหลางถามเสียงเรียบพลางมองการแสดงดนตรีตรงหน้าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ"ดนตรีไพเราะ นางรำงดงามยิ่ง"หากแต่สิ่งที่ซ่างฮ้วนตอบสหายสนิทกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถาม จากนั้นเสียงดังเหมือนถูกมดกัดของซ่างฮ้วนจึงดังขึ้น"เจ้าตีข้าทำไม"มือแกร่งลูบเอวหนาที่ถูกประทุษร้ายราวกับเจ็บปวดยิ่ง ก่อนจะมองเคืองผู้ที่ทำร้ายตนเบา ๆ"ข้าหมายถึงเจ้าคิดเช่นไรกับการจัดงานในวันนี้"เมื่อเฉินเจียนหลางอธิบายรายละเอียดแบบเจาะลึก คนที่มัวแต่ชมการแสดงบนเวทีจึงทำปากขมุบขมิบด่าทอไม่ออกเสียงแล้วเอ่ยตอบ"ดูจากการแต่งกายของบางคนน่าจะไม่ใช่คนในเมืองเทียนติ่ง เจ้าดูนั่น คุณชายรูป
การแข่งขันผ่านไปแล้วสามด่าน ตอนนี้มีผู้ชนะมาถึงรอบนี้สามคนรวมเสียนต้วนอี้ที่ได้ป้ายหยกด้วย"คุณชายทั้งสามมากความสามารถจริง ๆ ด่านนี้เป็นด่านที่คุณชายหย่งอวี้ฉางอาจจะได้เปรียบเล็กน้อยเพราะเป็นการประชันดนตรี"เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณเมื่อพ่อบ้านฟงจูแจ้งกติกาในด่านรองสุดท้ายจบ"ข้ามาเล่น ๆ มิได้จริงจัง ไฉนเลยถึงบังเอิญเช่นนี้"เสียนต้วนอี้ที่วันนี้มาในนามหย่งอวี้ฉางถึงกับพึมพำกับตนเองในโชคชะตาที่แสนราบรื่นในวันนี้ใครจะไปคิดว่าการปลอมเป็นคณะดนตรีจะทำให้เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรจนได้ผ่านเข้ามาถึงรอบรองสุดท้ายง่ายดายเช่นนี้"นี่คือพิณที่คุณชายทั้งสามต้องใช้แสดงความสามารถในด่านนี้ หากคุณชายท่านใดบรรเลงเพลงแล้วได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมมากที่สุดผู้นั้นจะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย เชิญทุกท่านจับไม้เพื่อเลือกลำดับการแสดง"เสียนต้วนอี้ภาวนาในใจขอให้ผู้ชนะในด่านนี้ไม่ใช่ตน ทว่าหากจะแสดงฝีมือแบบเล่น ๆ เกรงว่าจะถูกจับผิดนี่สิ เป็นถึงหัวหน้าคณะ แต่กลับไม่มีฝีมือเกี่ยวกับดนตรีได้เยี่ยงไร"ข้าได้ที่หนึ่ง"จู้เมิ่งจ๋าน หลานชายของจู้เจิงคือหนึ่งในสองคนที่เข้ารอบมาถึงด่านนี้ยกไม้ที่แต้มลำดับหนึ่งให้ทุกคนในงานดู
"ไม่ทราบแม่นางผู้นี้หลงทางมาหรือไร"ก้าวออกห่างจากหน้าห้องของมู่อานจิ่วได้ไม่ถึงห้าก้าวก็ถูกคนที่สะกดรอยตามตั้งแต่ต้นทักเข้า เยว่อันหนิงถึงกับใจหายใจคว่ำแต่พอตั้งสติได้นางจึงรีบกระชับผ้าสีแดงผืนบางที่ปกปิดใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาไว้ให้มิดชิดแล้วหันหน้าเผชิญกับเสียงทุ้มนั้น"คำนับคุณชาย ข้าน้อยเป็นนางรำของคณะดนตรีเซียงหย่ง บังเอิญว่าหาทางไปห้องน้ำมิเจอเลยเดินไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงทำตัวนอบน้อมปนหวาดกลัวคนที่สวมชุดเสื้อด้านนอกสีดำทับตัวในสีแดงเลือดนก ท่าทางสง่าผ่าเผยแถมยังรูปหล่อปานภาพวาดทวยเทพในนิยายที่นางเคยอ่านมา"ข้าก็ว่าอยู่ เดินตามแม่นางมาได้หลายเค่อดูเหมือนกำลังมองหาอะไร ที่แท้ก็ต้องการเข้าห้องน้ำนี่เอง"นี่นางถูกสะกดรอยตามหรือ?เป็นไปได้เช่นไรที่นางไม่รู้สึกตัวถึงฝีเท้าคนผู้นี้สักนิด"ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้พอจะบอกทางแก่ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าต้องกลับไปเตรียมตัวขึ้นเวทีร่ายรำแล้ว"เยว่อันหนิงไม่กล้าสบตาบุรุษรูปงามที่อยู่ตรงหน้า นางกลัวว่าจะถูกคนผู้นี้จับพิรุธได้ เพราะเมื่อครู่แค่มองแวบเดียวนางก็เห็นความช่างสังเกตในสายตาคมคู่นั้นของเขาแล้ว"เดิมทีข้าเองก็เป็น
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก