ในที่สุดสิ่งที่เสียนต้วนอี้ภาวนาก็ไม่เป็นดั่งใจหวังเมื่อพ่อบ้านฟงจูประกาศผลผู้ชนะในด่านรองสุดท้ายนี้"ยินดีกับคุณชายหย่งอวี้ฉางที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย"เสียงปรบมือดังขึ้น มีทั้งพอใจและไม่พอใจส่วนที่พอใจเห็นจะเป็นแขกคนอื่นที่ไม่รู้แผนการของมู่ตงหยวนที่วางหมากไว้แล้ว ส่วนฝ่ายที่ไม่พอใจเห็นจะเป็นใต้เท้าจู้เจิงที่หลานชายพ่ายแพ้ได้อันดับสามจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี"ก่อนการประลองด่านสุดท้าย ขอเชิญคุณหนูมู่อานจิ่วปรากฎตัวตรงหน้าด้วยขอรับ"กริยาอ่อนช้อย การก้าวย่างที่เป็นกุลสตรีอย่างไร้ที่ติของมู่อานจิ่วดึงดูดสายตาแขกเหรื่อในงานได้อย่างชะงักนิ่งใบหน้าสวยรูปไข่ที่แสนเรียวนวล แต่งแต้มผงชาดสีอ่อน ๆ ขัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อขึ้นมาหนึ่งระดับรับกับดวงตาสุกประกายอย่างไร้เดียงสาอาภรณ์สีอ่อนกลีบดอกเหมยพริ้วบางยามต้องลม ใครได้ยลคงเคลิ้มคิดว่าเป็นเทพธิดาลงมาจุติหากแต่สิ่งที่บรรยายมาทั้งหมดไม่สามารถดึงดูดสายตาของคนเพียงคนเดียวได้เท่าสตรีในชุดนางรำที่กำลังถือพิณขนาดกะทัดรัดรูปจันทร์เสี้ยวที่ยืนอยู่บนเวทีเตรียมรอแสดง"สมแล้วที่เป็นคุณหนูมู่ งดงามประหนึ่งเทพธิดามาจุติ"เสียงคุณชายท่านหนึ่งที่ตกรอบ
การประลองเพลงดาบผ่านมาครึ่งก้านธูป ตอนนี้จะใช้กฎสามกระบวนท่าสยบคู่แข่งไม่ได้แล้ว ในเมื่อเสียนต้วนอี้ยอมเสียหน้าเรื่องอื่นได้ แต่หากเป็นการประลองกระบี่เขาสู้ไม่ถอย บัดนี้กระบวนท่าที่สามจบลงแล้วยังไม่มีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ทำให้ต้องปล่อยให้กระบวนท่าที่สี่ดำเนินต่อไป"เรื่องประลองฝีมือสู้ไม่ถอยจริง ๆ"เยว่อันหนิงส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสหายสนิทฟาดฟันกับซ่างฮ้วนอย่างไม่มีใครยอมใครนางรู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องตนจนเสียวสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง จวบจนสายตาคู่สวยสบเข้ากับบุรุษที่บังเอิญพบที่หน้าพักมู่อานจิ่วกำลังมองนางอย่างไม่คลาดสายตา'เหตุใดสายตาของเจ้าถึงได้ดูคุ้นตาเช่นนี้'เฉินเจียนหลางถามตนเองหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ที่เขาเอาแต่จ้องมองนางรำผู้นี้ เขารู้สึกว่านางผู้นี้กับสตรีที่สวมหมวกผ้าที่หออี้เฉิงหลันคือผู้เดียวกัน หากแต่ไม่อาจด่วนสรุปได้ว่าจริงอย่างที่ลางสังหรณ์บอกเขาหรือไม่ เฉินเจียนหลางจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น คอยจับตาดูเยว่อันหนิงอย่างไม่คลาดสายตาหากแต่ยิ่งมอง ยิ่งสบตานาง เขากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สายตาที่เพิ่งพานพบ"ฝีมือคุณชายทั้งสองสูสีกันจริง ๆ"เสียงพูดคุยจากรอ
"เจ้าจับคนร้ายได้แล้วหรือ"ทันทีที่มาถึงโถงปีกซ้ายของจวน มู่ตงหยวนรีบซักไซ้คนของตนอย่างร้อนใจ"หม่าเย่าไร้ความสามารถ ตอนนี้ท่านหมอทั้งสองตรวจพิษจากอาหารที่ใช้เลี้ยงแขกรวมถึงสำรับส่วนตัวที่จัดไว้สำหรับคุณหนูอานจิ่วแล้ว ไม่พบพิษแม้นิดเดียวขอรับ"ตุ้บ!เสียงตบโต๊ะเสียงดังสะท้อนไปทั้งห้องโถง กงจิ่นซวนมององครักษ์ที่รายงานความคืบหน้าด้วยความผิดหวัง"ไม่ได้เรื่อง! นึกไม่ถึงว่าจวนสกุลมู่จะเลี้ยงคนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ไว้!"หม่าเย่ารีบคุกเข่าสำนึกผิด"ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอท่านเสนาบดีกงลงโทษด้วย!""ท่านพ่อตา หม่าเย่าเป็นลูกน้องฝีมือดีที่สุดของข้า เขาคงทำสุดความสามารถแล้ว ท่านพ่อตาโปรดเมตตาให้โอกาสเขาอีกครั้ง...""เจ้านี่เป็นคนเช่นไร บุตรสาวนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องยังจะเป็นห่วงองครักษ์ที่ไร้ความสามารถปกป้องนายอีก!"กงจิ่นซวนตำหนิเสียงฉุน สายตาที่มองมู่ตงหยวนมีแต่ความผิวหวังและดูแคลน นั่นเพราะเดิมทีเขามิได้ถูกคอกับมู่ตงหยวนสักเท่าใด หากมิเห็นแก่กงจิ๋วจื่อบุตรสาวเสน่หามู่ตงหยวนจนถึงขั้นเอ่ยตัดขาดกับตนหากมิได้แต่งเขาเข้าสกุลกงมีหรือกงจิ่นซวนจะยอมรับมู่ตงหยวนเป็นเขยเช่นทุกวันนี้"ท่านเสนากงโปรดระง
"เห็นทีเราจะได้ร่วมละครฉากสนุกแล้วละ"เสียนต้วนอี้กระซิบเบา ๆ ให้เยว่อันหนิงได้ยินคนถูกชักชวนให้คุยกลับยืนนิ่ง สายตาคู่สวยมองไปยังบุรุษรูปงามทางด้านขวามือที่เอาแต่จ้องนางตาไม่กะพริบมาเป็นชั่วยามแล้ว"เจ้าว่าเรื่องนี้แม่ทัพน้อยผู้นั้นจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่"เสียนต้วนอี้มองตามสายตาสหายที่จ้องเฉินเจียนหลางอยู่จึงรีบถามความเห็นขึ้นเยว่อันหนิงทำเพียงหันกลับมามองทางมู่ตงหยวนที่จ้องคนของคณะดนตรีด้วยสายตาเหมือนตอนนั้น...ตอนที่อ่านราชโองการเลือดให้ตระกูลของนาง"ไม่"นางตอบเพียงสั้น ๆ"ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือ"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับยังสงสัยแม่ทัพที่ยืนห่างพวกเขาเพียงสามคนกั้น"ข้ามิได้บอกว่าไม่เกี่ยวข้อง"เยว่อันหนิงได้ยินเสียงพึมพำนั้นจึงอธิบายคำตอบของนางต่อ"เจ้าหมายความว่า...""ที่ข้าตอบเจ้าเพราะข้าดูชายผู้นั้นไม่ออก"หายากนักที่มือสังหารอย่างเยว่อันหนิงที่สามารถคาดเดานิสัยผู้อื่นได้เพียงการมองผ่านแววตาของอีกคนเอ่ยปากว่าไม่สามารถเดาเฉินเจียนหลางผู้นี้ได้ว่าตกลงแล้วเขาเป็นคนดีหรือเลว"ขนาดเจ้ายังไม่มั่นใจ เห็นทีคงต้องอยู่ให้ห่างจากคนผู้นี้แล้ว"เสียนต้วนอี้ลอบมองบุรุษที่ยังคงยืนกอดอกพิ
ตอนนี้ชีวิตของคนในคณะดนตรีเซียงหย่งอยู่ในกำมือของเยว่อันหนิงแล้วเมื่อครู่นางเพิ่งตบปากรับคำกับกงจิ่นซวนว่าจะรักษามู่อานจิ่วให้หายดีเพื่อให้คณะดนตรีเซียงหย่งพ้นข้อกล่าวหาทำให้ตอนนี้สมาชิกคนอื่น ๆ ถูกกักบริเวณไว้ในโถงปีกซ้ายโดยมีหม่าเย่าดูแล ส่วนตัวนางยืนอยู่หน้าห้องพักของมู่อานจิ่วโดยมีความกดดันเป็นบิดาและตาของคุณหนูมู่ยืนอยู่ด้านหลัง"แม่นางจวี๋คงไม่ถอดใจตอนนี้หรอกกระมัง"มู่ตงหยวนเห็นนางรำผู้นี้ยืนอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้าไปสักทีจึงแกล้งพูดจาถากถาง"ข้ามีชีวิตของคนในคณะเป็นเดิมพัน ใต้เท้ามู่มิต้องกังวลว่าข้าจะรามือ"เยว่อันหนิงพยายามไม่สบตามู่ตงหยวนมากนักเพราะนางเกรงว่าสัญชาตญาณนักฆ่าในตัวจะปรากฎขึ้นมาจนทนไม่ไหวชิงลงมือล้างแค้นให้สกุลเยว่ในตอนนี้"เช่นนั้นแม่นางจวี๋มัวรออันใดอยู่ หรือขาดเหลือสิ่งใดโปรดบอกพวกข้า"กงจิ่นซวนเองก็ร้อนใจจึงถามขึ้นเยว่อันหนิงฉีกยิ้มภายใต้ผ้าปิดหน้าสีแดงก่อนจะเอื้อนเอ่ย"เรียนท่านเสนากง ไม่ทราบว่าหากข้าจะขอป้องกันตนเองไว้ก่อนจะได้หรือไม่เจ้าคะ""ป้องกันตนเอง แม่นางจวี๋โปรดขยายความด้วย"กงจิ่นซวนฟังแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่เยว่อันหนิงต้องการจะสื่อเลยเร่งถาม"ข้า
"ลมปราณคุณหนูมู่ยุ่งเหยิงยิ่งนัก"เยว่อันหนิงรายงานตามอาการที่นางตรวจชีพจรดู"ตอนนี้ที่คุณหนูมู่ยังมีลมหายใจเพราะยาที่พวกเราให้นางดื่มต้านพิษเอาไว้ หากแต่ไม่ใช่ยาถอนพิษโดยตรง เมื่อครบชั่วยามจำเป็นต้องป้อนยาซ้ำเข้าไปใหม่"ท่านหมอชุนซู่อธิบายถึงการรักษาที่ผ่านมาของตนให้เยว่อันหนิงทราบ"หมายความว่าท่านหมอทั้งสองยังตรวจไม่พบพิษในตัวคุณหนูมู่หรือเจ้าคะ"เยว่อันหนิงแปลกใจยิ่งนัก มีหมอมือดีถึงสองคน เหตุใดอาการง่าย ๆ เช่นนี้ถึงตรวจสอบไม่ได้"เฮ้อ... จะหาว่าพวกข้าโง่เขลาก็มิผิด"ท่านหมอหยี่เอ้อถอนหายใจพร้อมดูถูกความสามารถของตน"ถูกแล้วที่ท่านหมอทั้งสองตรวจสอบไม่พบพิษอันใดจากคุณหนูมู่"สิ่งที่เยว่อันหนิงกล่าวขึ้นทำคนทั้งห้องแตกตื่นกันยกใหญ่ความหวังอันริบหรี่ของกงจิ่นซวนเหมือนมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง"แม่นางจวี๋ทราบแล้วหรือว่าหลานสาวข้าถูกพิษอะไร"เยว่อันหนิงส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบคำถามกงจิ่นซวน"คุณหนูมู่ไม่ได้ถูกพิษเจ้าค่ะ"คำตอบของเยว่อันหนิงทำท่านหมอทั้งสองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหมอชุนซู่ถึงกับปากคอสั่นชี้หน้านางพร้อมเอ่ย"แม่นางพูดเช่นนี้ดูถูกฝีมือการเป็นหมอของพวกข้าสองคนรึ?""ท่านหมอใจเย็น ๆ
"ตอนนี้ร่างกายคุณหนูมู่เริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามตัวแล้ว อาการตัวเย็นสลับร้อนเป็นอาการต่อต้านผงผีเสื้อราตรีที่อยู่ในร่างกาย""ผงผีเสื้อราตรี?"หมอชุนซู่ได้ยินถึงกับตกใจ หันมามองหน้ากันกับหมอหยี่เอ้อ"ผงผีเสื้อราตรีคือสิ่งใด" กงจิ่นซวนเอ่ยถาม"ผงผีเสื้อราตรีคือสิ่งที่สกัดขึ้นจากผีเสื้อยักษ์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนมากจะพบบนภูเขาที่อุดมสมบูรณ์และรกชื้นพบเจอเพียงยามเหมันต์เท่านั้นเจ้าค่ะ" เยว่อันหนิงอธิบาย"แต่อีกตั้งหลายเดือนถึงจะเข้ายามเหมันต์ จะมีผงผีเสื้อราตรีตอนนี้ได้เช่นไร"หมอชุนซู่รีบโพล่งขึ้นคล้ายจับผิด"ผีเสื้อยักษ์มีจำนวนมากในฤดูหนาว แต่ยาสามารถสะกัดก่อนข้ามปีได้"เฉินเจียนหลางรีบออกความเห็นด้วยน้ำเสียงสุขุม"ท่านแม่ทัพน้อยฉลาดยิ่งเจ้าค่ะ" เยว่อันหนิงแสดงน้ำใจชื่นชมบุรุษตรงหน้า ก่อนจะหันมาตรวจร่างกายมู่อานจิ่วที่อยู่หลังม่านบางต่อ"โชคดีที่ท่านหมอทั้งสองให้ยาที่มีฤทธิ์กลาง ไม่ร้อนไม่เย็น มิเช่นนั้นคงเป็นการกระตุ้นให้ผงผีเสื้อนี้ทำร้ายคุณหนูมู่เร็วขึ้น"ท่านหมอทั้งสองอยากจะโต้เถียง หากแต่เห็นสายตาของกงจิ่นซวนมองขวางแล้วได้แต่กลืนคำพูดลงคอ"ผู้ใดกันถึงกล้าใช้ของสิ่งนั้นกับหลานสาว
"จัดการตามที่แม่นางจวี๋ต้องการ"สุดท้ายมู่ตงหยวนจึงรีบเอ่ยสั่งคนของตนจัดการตามสิ่งที่เยว่อันหนิงร้องขอ แม้งานนี้เข้าขั้นสุ่มเสี่ยง แต่เขาอยากรู้นักว่านางผู้นี้จะมาไม้ไหนและฉลาดล้ำสักเพียงใดใช้เวลาไม่ถึงจิบชา คนและอาวุธที่เยว่อันหนิงต้องการก็อยู่กันครบหน้าที่หน้าห้องของมู่อานจิ่ว"แม่นางจวี๋จะไม่รักษาอาการของจิ่วเอ๋อร์ก่อนหรือ"กงจิ่นซวนเห็นเยว่อันหนิงปิดม่านดูอาการหลานสาวพักหนึ่งแต่ไม่เห็นกล่าวถึงการรักษาจึงรู้สึกกังวลใจ"ความจริงแล้วตอนนี้ข้ากำลังช่วยบรรเทาอาการของคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ""บรรเทาหรือ?"เยว่อันหนิงค่อย ๆ เดินไปยังโต๊ะหนังสือ ก่อนจะหยิบพู่กันกับกระดาษออกมา เขียนตัวอักษรลงไปแล้วยื่นให้กงจิ่นซวน'คุณหนูฟื้นแล้ว'พอกงจิ่นซวนอ่านจบถึงกับตกใจหากแต่ยังพอมีสติจึงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้และรีบเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในแขนเสื้อ ทำท่าทีปกติแล้วมองออกไปหน้าห้องนอนหลานสาว"ข้าน้อยซ่างฮ้วนคำนับท่านเสนาบดีกง""ไม่ต้องมากพิธี เชิญแม่นางจวี๋ต่อ"กงจิ่นซวนอยากรู้ว่านางรำผู้นี้จะใช้วิธีไหนหาตัวคนร้ายตัวจริงจึงรีบหลบทางให้"ที่ข้าเชิญท่านทั้งสองมาเพราะบนตัวของพวกท่านมีหลักฐานของผงผีเสื้
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก