"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"
เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน
"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"
หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล
"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"
หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน
"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้"
"เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ"
"เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า"
"ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น"
"คำไหนคำนั้น"
"อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"
สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น
"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบุตรีของจวนมู่เจ้ากลับไม่ขบคิดสักครึ่งเค่อ ตอบได้อย่างฉะฉานถึงนามของสตรีผู้นั้น เช่นนี้ยังต้องให้ข้าอธิบายเพิ่มหรือไม่"
ซ่างฮ้วนถึงกับหน้าชา นี่เขาพลาดไปแล้วหรือที่เค้นคอให้จ่าฝูงหมาป่าเลือดเย็นเจียนหลางผู้นี้จับจุดอ่อนเขาได้
"เจ้าพูดเกินไปกระมัง คนในจวนเฉินข้าจะมิรู้ชื่อพวกนางได้เช่นไร"
"แม่นมข้าชื่ออะไร" ไม่รอให้อีกคนหายใจเต็มปอด เฉินเจียนหลางรีบถามออกไปทันควัน ทำเอาคนที่อวดเก่งเมื่อครู่ถึงกับอ้ำอึ้ง
"แม่นมเจ้าชื่อ..."
ซ่างฮ้วนอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
เหตุใดถึงมิเคยรู้ตัวเลยว่าเขาไม่ได้จดจำชื่อของข้ารับใช้ในจวนที่ตนอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กเช่นนี้
"หึ"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอย่างเยาะหยัน หากแต่ซ่างฮ้วนกลับโต้คืนอันใดไม่ได้ เขาพลาดไปแล้วจริง ๆ หมากกระดานนี้เขาพลาดท่าบอกใบ้ความลับที่แอบซุกซ่อนอยู่ให้หมาป่าเดียวดายผู้นี้รู้ไปแล้ว
"เรื่องแต่งงานเจ้าคิดว่าข้าควรตอบรับหรือไม่"
ซ่างฮ้วนมองหน้าเฉินเจียนหลางที่ถามคำถามนี้เงียบ ๆ พลางคิดในใจ
จริงอยู่ว่าเขาบังเอิญพบเจอมู่อานจิ่วและช่วยเหลือนางจากอันธพาลที่เคยถูกบิดานางตัดสินโทษอย่างอยุติธรรมจับตัวไปเอาไว้ ทำให้ทั้งสองรู้จักกันและใจของซ่างฮ้วนกลับไม่สงบตั้งแต่นั้นมา
แต่หากถามหัวใจดี ๆ เขามิรู้ด้วยซ้ำว่ามู่อานจิ่วคิดกับเขาเช่นไรและช่วงเวลาที่ผ่านมาซ่างฮ้วนก็มิถึงขั้นคนึงหาสตรีนางนี้แล้วขาดมิได้ หากเจียนหลางจะเลือกมู่อานจิ่วเขาก็มิขัดขวาง
"ตอบรับหรือไม่ ข้ากับเจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิม"
ตอบแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
"เหตุใดเจ้าถึงตอบเช่นนั้น"
น้ำเสียงราบเรียบ ขัดกับสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมา
"ก็เจ้ารู้เรื่องที่ข้ามีใจ... เดี๋ยวก่อน หรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องข้ากับนาง?"
ซวยแล้วซ่างฮ้วน ถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ขุดกับดักให้ตกหลุมพลางเขาเสียแล้ว
"อ้อ แท้จริงแล้วที่เจ้าจดจำชื่อแซ่สตรีนางนี้ได้เป็นเพราะเจ้าเสน่หานางอยู่นี่เอง ข้านึกว่าเจ้าจำชื่อนางได้เพราะเป็นคนรวบรวมข้อมูลตระกูลมู่ให้ข้าเสียอีก"
เฉินเจียนหลางมีความสุขยามได้กลั่นแกล้งสหายผู้นี้
"เจียนหลาง! เจ้ามันหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหลอกให้ข้าเผยความลับนี้ให้ขายหน้า"
ซ่างฮ้วนเดือดเป็นไฟ หากแต่กลับทำได้เพียงแค้นใจตนเองที่ตกหลุมพลางสหายจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้
"ข้าหลอกเจ้าหรือเจ้าร้อนตัวกันแน่"
ครั้งนี้ซ่างฮ้วนทำเพียงเจ็บแค้นในใจ ดวงตาเขากำลังบอกเฉินเจียนหลางว่าฝากไว้ก่อน อย่าพลาดมีนางในดวงใจให้เขาล่วงรู้ เขาจะรอวันเอาคืนให้หายแค้นใจ
"เอาละ ๆ เลิกล้อเล่นกันได้แล้ว มาเข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า"
น้ำเสียงแม่ทัพน้อยเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา แววตาเขาดุดันราวหมาป่ากำลังดักรอเหยื่อ
"การแต่งงานในครั้งนี้จวนมู่ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยปาก เจ้าว่าไม่แปลกหรือ"
ผู้นำตระกูลมู่ในเวลานี้คือมู่ตงหยวน เสนาบดีกรมตุลาการผู้คุมอำนาจศาลเทียนอวี่แห่งเมืองเทียนติ่ง
ทั้งสองจวนแทบไม่เคยไปมาหาสู่กัน ผู้นำทั้งสองจวนพบเจอกันเพียงแค่ในท้องพระโรงตอนประชุมเหล่าขุนนางว่าราชการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบุตรชายและบุตรีของทั้งสองพวกเขาเรียกได้ว่าไม่เคยพูดคุยหรือพบเจอกันแม้เฉียดผ่าน
การที่จื่อเชว่รายงานเรื่องมงคลของสองตระกูลนี้มาแทบจะแปลกทุกส่วน
"หรือว่าใต้เท้ามู่จะรู้เรื่องที่เราตามสืบเขาอยู่"
ซ่างฮ้วนแสดงความคิดเห็น และเป็นสิ่งเดียวกับที่เฉินเจียนหลางกำลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้
"หากอยากรู้คงมีทางเดียว"
"เจ้าจะตอบรับการทาบทามนี้?"
คนถูกตั้งคำถามเงียบครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดถึงผลลัพธ์ในใจ เมื่อคิดดีแล้วจึงขยับปากหยักลึกเอื้อนเอ่ย
"มีทางเลือกไหนดีกว่านี้อีก"
"แล้วคำทำนายนั่น..."
ซ่างฮ้วนหนักใจแทนสหายรัก
'คำทำนาย' ที่เขาหลุดปากคือคำทำนายจากหมอดูชะตาเร่ร่อนผู้หนึ่งที่เคยตรวจดวงชะตาให้เฉินเจียนหลางตั้งแต่เขาเกิด
หมอดูชะตาผู้นั้นเคยบอกไว้ว่า หากเมื่อใดที่เฉินเจียนหลางมีความคิดเรื่องมงคลตบแต่งฮูหยินเข้าเรือน วันนั้นจะเป็นวันที่อาบไปด้วยสีแดงชาดของโลหิต
คราแรกบิดากับมารดาเขาก็ไม่มีใครใคร่เชื่อ จวบจนเมื่อบุตรชายอายุได้สิบสี่ขวบ เฉินเจียนหลางบังเอิญพบเจอสตรีนางหนึ่งจนคิดคนึงหาพิสวาสตั้งแต่แรกเจอ ในใจเขาขบคิดว่าหากพบนางอีกไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจเขาจะต้องตบแต่งนางเข้าจวนสกุลเฉินให้จงได้
หากแต่ความคิดเขาต้องดับลงเมื่อข่าวที่ได้รับช่างโหดร้าย คำทำนายของหมอดูชะตาผู้นั้นเป็นจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ
นับตั้งแต่นั้นมา เฉินเจียนหลางก็ไม่เคยคิดเรื่องงานมงคลตบแต่งสตรีเข้าเรือนสกุลเฉินอีกเลย
"หากเป็นจริงดั่งคำทำนาย กองทัพเขี้ยวหมาป่าคงให้เจ้าเป็นคนดูแลต่อแล้ว"
"ถุย ๆ วาจาเจ้านี่ช่างเหม็นเน่าไม่เป็นมงคลนัก"
ซ่างฮ้วนรีบถ่มน้ำลายไล่คำอัปมงคลที่สหายรักเพิ่งพ่นออกมา ก่อนจะส่งสายตาตำหนิคนที่เล่นไม่รู้เลิก
"จื่อเชว่บอกว่าอีกไม่กี่วัน เช่นนั้นคืนนี้เราเดินทางกลับเมืองเทียนติ่งกัน"
"อยากเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวขนาดนั้นเชียว"
ซ่างฮ้วนพูดจาประชดอีกคน หากแต่ทำไมเขากลับดูร้อนรนเสียเอง
"ข้าหมายถึงกลับเมืองเทียนติ่งเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เหตุใดสมองเจ้าถึงมีแต่เรื่องสตรีอยู่เช่นนั้น"
เป็นอีกครั้งที่ซ่างฮ้วนยื่นเนื้อตนให้สุนัขป่าอย่างเฉินเจียนหลางกินอย่างสบายอุรา ส่วนตนกลับได้แต่เจ็บส่วนที่เฉือนให้เขาเองกับมือเงียบ ๆ
"ข้าจะทูลฟ้ององค์รัชทายาทว่าเจ้ารังแกข้า"
"เป็นบุรุษ คับข้องใจก็เอาคืนเอง"
ใครจะกล้าเล่นกับหมาป่าชั่วร้ายอย่างเขากัน ยามที่มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วยไม่เห็นจะเย็นชากับพระองค์เช่นที่ทำกับตนตอนนี้เลย
"เจ้าออกไปเตรียมการเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว"
ไม่ต้องไล่ซ่างฮ้วนก็คิดจะจากออกไปอยู่แล้ว
"เชิญเจ้าสำราญใจรอวันร่วมหอล่วงหน้า"
ไม่ใช่คำพูดประชดให้ตนเองเจ็บ แต่เป็นการตอกย้ำผู้ฟังให้นึกถึงคำทำนายที่อาจจะเป็นจริงหรือไม่เกิดให้แตกฉาน
จากนั้นบุรุษอกผายไหล่ผึ่งก็เดินออกจากกระโจมแห่งนี้ไป ปล่อยให้เฉินเจียนหลางนั่งจมอยู่กับอดีตที่ยากจะลืม
"มงคล สีชาด หลั่งโลหิต สมหวัง"
เขาทบทวนสิ่งที่บิดาเคยบอกไว้ เป็นคำทำนายจากหมอดูผู้นั้นตอนที่เขาเกิด
"หากหลั่งโลหิตแล้วจะสมหวังได้เช่นไร"
เฉินเจียนหลางขบขันออกมาเบา ๆ อย่างเหยียดเยาะ ก่อนจะร่ำสุราดีรอเวลาหวนกลับเทียนติ่งในค่ำคืนนี้
หออี้เฉิงหลัน...เยว่อันหนิงใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเร็วเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเมืองเทียนติ่งเก้าปีที่นางกลายเป็นนักฆ่าของหุบเขาไร้เงา นางเข้าออกบ้านเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่เป็นการมาเพื่อทำภารกิจสาส์นจากปรโลก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเฉียดเข้าใกล้จวนสกุลเยว่ของตนสักหนหากแต่วันนี้ภารกิจคือจวนสกุลซุยที่ห่างจากจวนสกุลเยว่เพียงไม่กี่รั้วบ้าน ทำให้นางต้องปักหลักที่หออี้เฉิงหลัน หอชื่อดังแหล่งรวมความรื่นรมย์ของเหล่าขุนนางและผู้มีเงินหนาถึงจะเข้าพักกินดื่มชมการแสดงในนี้ได้"เชิญแม่นาง"เยว่อันหนิงเดินตามหลังสตรีนางหนึ่งที่เป็นคนดูแลหอแห่งนี้เพื่อเข้าสู่ห้องพักในชั้นสอง"หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม สั่นกระดิ่งทองนี้ได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ"สตรีโฉมสะครวญนางนี้ภายนอกดูเหมือนเถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของกิจการทั่วไป หากแต่เบื้องหลังนางเป็นหนึ่งในสายลับของหุบเขาไร้เงา ทำให้เยว่อันหนิงได้รับการต้อนรับค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่น"ส่วนนี่คือทั้งหมดที่ผู้น้อยจัดเตรียมเอื้อความสะดวกให้แก่แม่นาง"สายลับนามว่าอี้หลันหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาวางลงตรงหน้าโฉมงามอาภรณ์แดงเยว่อันหนิงทำเพียงก้มหน้าเล็กน้
ตอนนี้เป็นเวลายามจื่อแล้ว เยว่อันหนิงค่อย ๆ เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดรัดกุมสีดำ โดยมีเสื้อตัวบางสีแดงซ่อนอยู่ด้านในผมยาวสลวยถูกรวบตึงมัดตรงกลางศีรษะ ปล่อยให้ปลายผมลู่ลงคล้ายหางของม้าใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยผ้าบางสีดำเช่นเดียวกับสีชุดดวงตาคู่สวยคล้ายไข่มุกยามต้องแสงราตรีผินมองไปยังพระจันทร์เสี้ยวเหมาะแก่การลงมือลดประชากรคนชั่วให้แผ่นดินถังเฉียนสูงขึ้นอีกหนึ่งมือเรียวสวยหยิบเอาอาวุธคู่กายเป็นมีดสั้นสลักดอกจวี๋ฮวาที่ด้ามจับเสียบไว้ด้านหลังสามเล่ม ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนผู้คนโดยใช้ความมืดอำพรางซ่อนเร้นกายจนถึงจวนสกุลซุยเป็นดั่งคาด ยามนี้ทหารยามของสกุลซุยเบาบางจนนางมิต้องลงมือสังหารผู้ใดให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแผนผังเรือนพักของซุยฉีเฉียนถูกนางจดจำไว้ในสมองอย่างแจ่มแจ้ง เรือนปีกซ้ายคือห้องนอนของเป้าหมายในครั้งนี้เยว่อันหนิงในชุดสีดำค่อย ๆ ย่องด้วยวิชาตัวเบาเพื่อไปยังห้องพักของขุนนางชั่วที่ว่า หากแต่พอเลี้ยวตรงมุมด้านหน้าที่เป็นห้องรับรองของเรือนกลางกลับได้ยินเสียงคนสนทนากันในยามวิกาล"วันนี้คุณหนูถูกคนลอบทำร้ายที่หออี้เฉิงหลัน ข้าน้อยให้คนของ
ผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเค่อ(1เค่อ = ประมาณ 15 นาที) คนของเฉินเจียนหลางก็กลับมาพร้อมรองแม่ทัพซ่างฮ้วน"เรียนแม่ทัพน้อย นี่คือชาวบ้านที่ถูกขังไว้ในห้องใต้ดินของจวนซุยขอรับ"ซุยฮูหยินเบิกตาโตแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชาวบ้านมากกว่าสิบคนเนื้อตัวถูกเฆี่ยนตีทรมานจนมีแผลแทบทุกคน"ไม่จริง พวกเจ้าจัดฉากเรื่องนี้!" มือที่ชี้หน้าเฉินเจียนหลางสั่นระริกจะบอกว่าโมโหจึงมือสั่นคงไม่ใช่ทั้งหมด อาการที่ซุยฮูหยินแสดงออกต้องเรียกว่าหวาดกลัวมากกว่า"ท่านแม่ทัพน้อยโปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ"สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่ถูกจับตัวไปรีบคุกเข่าลงเพื่อขอร้องบุรุษตรงหน้า"เสวี่ยอี! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่? เมื่อบ่ายเจ้าลอบทำร้ายข้าไม่สำเร็จจึงโกรธเคืองปลุกปั่นผู้คนให้มาสังหารบิดาข้า!"ซุยผิงผิงเห็นชัดตาว่าสตรีที่ออกหน้าคุกเข่าอยู่นั้นคือสาวใช้ที่นางต้องการพบตัวอยู่พอดี"คุณหนูใส่ร้ายบ่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จริงอยู่เมื่อบ่ายฝีมือบ่าวเองที่นำขนมถั่วไปให้ท่าน แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของบ่าวเท่านั้นที่ครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมแถมยังถูกหักเบี้ยหวัดสองเดือน ส่วนเรื่องการ
หลังจากเยว่อันหนิงส่งจดหมายลับไปที่จวนสกุลเฉินเรียบร้อยนางก็ไม่ได้อยู่รอดูละครฉากสำคัญนั้นต่อ รีบเร่งเดินทางออกจากเมืองเทียนติ่งด้วยเส้นทางลับที่คนของหุบเขาไร้เงาเท่านั้นที่รู้ในทันทีเมื่อคล้อยหลังนางไม่ถึงครึ่งก้านธูปประตูเมืองก็ถูกปิดตายจากคำสั่งขององค์รัชทายาท มีทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันประตูเมืองอย่างแน่นหนาส่วนเรื่องนอกเหนือแผนการจ้างวานฆ่าในค่ำคืนนี้ที่เยว่อันหนิงดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเรียกว่าเป็นหมากในกระดานของนางสกุลเฉินเป็นจวนทางทหารย่อมไม่มีอำนาจบุกค้นจวนโดยไม่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่ที่นางเลือกส่งจดหมายไปหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ว่าที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าคนสกุลเฉินภักดีต่อฝ่าบาทและแผ่นดินเป็นจริงกี่ส่วนเหตุผลสำคัญอีกหนึ่งที่เยว่อันหนิงต้องการยืมมือสกุลเฉินคือจัดการลงโทษคุณหนูสกุลซุย หากบุกค้นจวนซุยจริงและให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านได้ เยว่อันหนิงเดาว่าต้องมีสักคนที่เปิดโปงจิตใจโหดเหี้ยมของซุยผิงผิงให้นางได้รับโทษที่ใช้อำนาจรังแกคนอื่นเป็นแน่"ครั้งนี้เจ้าเหมือนยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกหลายตัว"เสียนต้วนอี้กล่าวชมสตรีที่กลับมาถึงหุบเขาไร้เงาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว"กำจัดค
"ยาลบความจำ""ยาลบความจำ! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้จะมียาชนิดนี้ด้วยหรือ"เยว่อันหนิงส่ายหัวน้อย ๆ พลางตอบ"ไม่มี""แล้วเจ้ายังจะคิดค้นเนี่ยนะ"ยี่ซูมองสหายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดนางหรือว่าลึก ๆ แล้ว เยว่อันหนิงไม่ได้อยากล้างแค้นให้ตระกูลนางจึงอยากใช้ยาตัวนี้เพื่อลบความทรงจำเลวร้ายนั่นให้สิ้น"เพราะไม่มีถึงได้อยากลอง"ก็ถูกของนาง หากไม่คิดค้นขึ้นมา ยาแบบนี้จะให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร ยี่ซูนี่ช่างถามไม่รู้จักคิด"แต่เรามียาลืมเลือนของผู้เฒ่าฝูแล้วนี่ เหตุใดเจ้าต้องคิดค้นยาลบความทรงจำนั้นขึ้นมาอีก"นั่นสิ!หากฟังจากชื่อยาแล้ว ยาลืมเลือนที่นางมีก็ช่วยลบความทรงจำได้หมือนกัน"เพราะไม่เหมือนกัน ยาลืมเลือนใช้ได้ผลเพียงแค่ชั่วขณะ พอหมดฤทธิ์ ทุกอย่างที่เคยเห็นเคยลืมก็จะกลับมา""อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เจ้าจะใช้มันเองหรือ"หลังจากเข้าใจความแตกต่างของยาทั้งสองยี่ซูจึงรีบถามออกไป"เหตุใดข้าต้องใช้"อ้าว! ในเมื่อเป็นยาลบความทรงจำ เยว่อันหนิงไม่ใช้เองแล้วจะให้ผู้ใดใช้กัน"แล้วเจ้าจะเอาไปใช้ประโยชน์อันใด งานของเราคือนักฆ่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาลบความทรงจำกับตัวเองและคนที่กำลังจะตายพวกนั้น"มือแน่งน้อยของเ
"คำนับประมุขกู่เหนียง ท่านเรียกข้าเข้าพบมีเรื่องอันใดเจ้าคะ"ทันทีที่เยว่อันหนิงเดินเข้ามายังที่พักของประมุขกู่เหนียง นางก็ไม่รีรอเร่งถามถึงเหตุผลที่ถูกตามตัวในครั้งนี้ โดยข้างกายมีเสียนต้วนอี้ยืนอยู่เป็นเพื่อน"นั่งก่อนเถิด ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า"คำว่า 'พวกเจ้า' ทำให้เยว่อันหนิงรู้ชะตาต่อจากนี้คงต้องมีตัววุ่นวายอย่างเสียนต้วนอี้ตามติดนางเป็นแน่"นี่คือ?"ผู้ที่แย่งถามคือบุรุษรูปงามเพียงคนเดียวในห้องนี้เยว่อันหนิงมองเทียบเชิญสีแดงมีตัวอักษร 'มู่' ประทับตราโดดเด่นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู"หน่วยข่าวที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเทียนติ่งส่งมา"เสียนต้วนอี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมชะเง้อคอมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบเชิญในมือเยว่อันหนิง"ท่านประมุขต้องการให้พวกข้าปะปนเข้าไปสังหารผู้ใด"ในเมื่อไม่มีสานส์นจากปรโลก เยว่อันหนิจึงไม่เข้าใจเจตนารมย์ของประมุขกู่เหนียงในครั้งนี้"เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สกุลมู่ต้องการหาคู่ครองให้กับบุตรีเขา"ก็ใช่ว่าไม่เห็น ในเมื่อเนื้อในเทียบเชิญเขียนเอาไว้ว่า'สกุลมู่ขอเชิญบุรุษที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้วทุกท่านเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองคุณหนูมู่อานจิ่วบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลมู
"แม้จะไม่คล่องมือ หากแต่นำมาจับอีกครั้งย่อมไม่เป็นปัญหา""ดี! ข้าจะให้ต้วนอี้ปลอมเป็นหัวหน้าคณะดนตรี นำนักแสดงและนางรำเข้าไปร่วมงานในครั้งนี้""เป็นเพียงหัวหน้าคณะดนตรีจะได้ไม่เตะตาผู้อื่น"กู่เหนียงพนักหน้าให้กับความฉลาดที่เยว่อันหนิงวิเคราะห์ความคิดตนราวมานั่งอยู่ในใจ"แต่จะดีหรือท่านประมุขถ้าให้ผู้อื่นเห็นหน้าตาอาหนิงของข้า โอ๊ย!"เสียนต้วนอี้ถึงกับตัวงอเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเยว่อันหนิงกระทุ้งเข้าลิ้นปี้ให้"ข้าคือข้า มิใช่ของของผู้ใด"เสียงเรียบนิ่งเอ่ยบอก หากแต่แววตาของนางกลับสามารถทำให้บุรุษตัวสูงใหญ่ใจวูบโหวงได้"ข้าพูดผิดไป ข้าพูดผิดไป"เสียนต้วนอี้ยกมือขึ้นตบมุมปากตนที่ปากเสียสองครั้ง ก่อนจะทำท่าเม้มปากเป็นเส้นตรงบอกคนที่ยังใช้สายตาอาฆาตให้รู้ว่าเขาจะไม่ปริปากสุนัขนี้ขัดการหารือครั้งนี้อีก"ที่จริงข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าล่ะ จะยอมเสี่ยงหรือไม่"แม้ตัวตนในฐานะนักฆ่าบุปผาเบญจมาศของเยว่อันหนิงยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่หากประมาทไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป"ชีวิตข้ายังเหลืออะไรให้กลัวอีกเจ้าคะ"น้ำเสียงเจ็บแค้นปะปนออกมาอยู่หลายส่วนแค้นโชคชะตา
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคุณชายจากหนแห่งต่าง ๆ มาเข้าร่วมงานมากถึงเพียงนี้"ซ่างฮ้วนเอ่ยกับแม่ทัพน้อยที่นั่งร่ำสุราอยู่ข้าง ๆแม้เดิมทีที่นั่งของเฉินเจียนหลางถูกจัดวางไว้ใกล้กับที่นั่งของมู่ตงหยวนที่ที่เป็นของผู้ที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าเฉินเจียนหลางกลับปฎิเสธด้วยอ้างว่าตนคุยไม่เก่งเกรงว่าจะทำให้แขกคนสำคัญคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นอึดอัดใจจึงขอปลีกตัวออกมานั่งที่ลานกว้างด้านซ้ายของเวทีการแสดงดนตรีกับรองแม่ทัพซ่างฮ้วนแทน"เจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่เห็น"เฉินเจียนหลางถามเสียงเรียบพลางมองการแสดงดนตรีตรงหน้าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ"ดนตรีไพเราะ นางรำงดงามยิ่ง"หากแต่สิ่งที่ซ่างฮ้วนตอบสหายสนิทกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถาม จากนั้นเสียงดังเหมือนถูกมดกัดของซ่างฮ้วนจึงดังขึ้น"เจ้าตีข้าทำไม"มือแกร่งลูบเอวหนาที่ถูกประทุษร้ายราวกับเจ็บปวดยิ่ง ก่อนจะมองเคืองผู้ที่ทำร้ายตนเบา ๆ"ข้าหมายถึงเจ้าคิดเช่นไรกับการจัดงานในวันนี้"เมื่อเฉินเจียนหลางอธิบายรายละเอียดแบบเจาะลึก คนที่มัวแต่ชมการแสดงบนเวทีจึงทำปากขมุบขมิบด่าทอไม่ออกเสียงแล้วเอ่ยตอบ"ดูจากการแต่งกายของบางคนน่าจะไม่ใช่คนในเมืองเทียนติ่ง เจ้าดูนั่น คุณชายรูป
"เห็นทีเราจะได้ร่วมละครฉากสนุกแล้วละ"เสียนต้วนอี้กระซิบเบา ๆ ให้เยว่อันหนิงได้ยินคนถูกชักชวนให้คุยกลับยืนนิ่ง สายตาคู่สวยมองไปยังบุรุษรูปงามทางด้านขวามือที่เอาแต่จ้องนางตาไม่กะพริบมาเป็นชั่วยามแล้ว"เจ้าว่าเรื่องนี้แม่ทัพน้อยผู้นั้นจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่"เสียนต้วนอี้มองตามสายตาสหายที่จ้องเฉินเจียนหลางอยู่จึงรีบถามความเห็นขึ้นเยว่อันหนิงทำเพียงหันกลับมามองทางมู่ตงหยวนที่จ้องคนของคณะดนตรีด้วยสายตาเหมือนตอนนั้น...ตอนที่อ่านราชโองการเลือดให้ตระกูลของนาง"ไม่"นางตอบเพียงสั้น ๆ"ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือ"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับยังสงสัยแม่ทัพที่ยืนห่างพวกเขาเพียงสามคนกั้น"ข้ามิได้บอกว่าไม่เกี่ยวข้อง"เยว่อันหนิงได้ยินเสียงพึมพำนั้นจึงอธิบายคำตอบของนางต่อ"เจ้าหมายความว่า...""ที่ข้าตอบเจ้าเพราะข้าดูชายผู้นั้นไม่ออก"หายากนักที่มือสังหารอย่างเยว่อันหนิงที่สามารถคาดเดานิสัยผู้อื่นได้เพียงการมองผ่านแววตาของอีกคนเอ่ยปากว่าไม่สามารถเดาเฉินเจียนหลางผู้นี้ได้ว่าตกลงแล้วเขาเป็นคนดีหรือเลว"ขนาดเจ้ายังไม่มั่นใจ เห็นทีคงต้องอยู่ให้ห่างจากคนผู้นี้แล้ว"เสียนต้วนอี้ลอบมองบุรุษที่ยังคงยืนกอดอกพิ
"เจ้าจับคนร้ายได้แล้วหรือ"ทันทีที่มาถึงโถงปีกซ้ายของจวน มู่ตงหยวนรีบซักไซ้คนของตนอย่างร้อนใจ"หม่าเย่าไร้ความสามารถ ตอนนี้ท่านหมอทั้งสองตรวจพิษจากอาหารที่ใช้เลี้ยงแขกรวมถึงสำรับส่วนตัวที่จัดไว้สำหรับคุณหนูอานจิ่วแล้ว ไม่พบพิษแม้นิดเดียวขอรับ"ตุ้บ!เสียงตบโต๊ะเสียงดังสะท้อนไปทั้งห้องโถง กงจิ่นซวนมององครักษ์ที่รายงานความคืบหน้าด้วยความผิดหวัง"ไม่ได้เรื่อง! นึกไม่ถึงว่าจวนสกุลมู่จะเลี้ยงคนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ไว้!"หม่าเย่ารีบคุกเข่าสำนึกผิด"ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอท่านเสนาบดีกงลงโทษด้วย!""ท่านพ่อตา หม่าเย่าเป็นลูกน้องฝีมือดีที่สุดของข้า เขาคงทำสุดความสามารถแล้ว ท่านพ่อตาโปรดเมตตาให้โอกาสเขาอีกครั้ง...""เจ้านี่เป็นคนเช่นไร บุตรสาวนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องยังจะเป็นห่วงองครักษ์ที่ไร้ความสามารถปกป้องนายอีก!"กงจิ่นซวนตำหนิเสียงฉุน สายตาที่มองมู่ตงหยวนมีแต่ความผิวหวังและดูแคลน นั่นเพราะเดิมทีเขามิได้ถูกคอกับมู่ตงหยวนสักเท่าใด หากมิเห็นแก่กงจิ๋วจื่อบุตรสาวเสน่หามู่ตงหยวนจนถึงขั้นเอ่ยตัดขาดกับตนหากมิได้แต่งเขาเข้าสกุลกงมีหรือกงจิ่นซวนจะยอมรับมู่ตงหยวนเป็นเขยเช่นทุกวันนี้"ท่านเสนากงโปรดระง
การประลองเพลงดาบผ่านมาครึ่งก้านธูป ตอนนี้จะใช้กฎสามกระบวนท่าสยบคู่แข่งไม่ได้แล้ว ในเมื่อเสียนต้วนอี้ยอมเสียหน้าเรื่องอื่นได้ แต่หากเป็นการประลองกระบี่เขาสู้ไม่ถอย บัดนี้กระบวนท่าที่สามจบลงแล้วยังไม่มีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ทำให้ต้องปล่อยให้กระบวนท่าที่สี่ดำเนินต่อไป"เรื่องประลองฝีมือสู้ไม่ถอยจริง ๆ"เยว่อันหนิงส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสหายสนิทฟาดฟันกับซ่างฮ้วนอย่างไม่มีใครยอมใครนางรู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องตนจนเสียวสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง จวบจนสายตาคู่สวยสบเข้ากับบุรุษที่บังเอิญพบที่หน้าพักมู่อานจิ่วกำลังมองนางอย่างไม่คลาดสายตา'เหตุใดสายตาของเจ้าถึงได้ดูคุ้นตาเช่นนี้'เฉินเจียนหลางถามตนเองหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ที่เขาเอาแต่จ้องมองนางรำผู้นี้ เขารู้สึกว่านางผู้นี้กับสตรีที่สวมหมวกผ้าที่หออี้เฉิงหลันคือผู้เดียวกัน หากแต่ไม่อาจด่วนสรุปได้ว่าจริงอย่างที่ลางสังหรณ์บอกเขาหรือไม่ เฉินเจียนหลางจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น คอยจับตาดูเยว่อันหนิงอย่างไม่คลาดสายตาหากแต่ยิ่งมอง ยิ่งสบตานาง เขากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สายตาที่เพิ่งพานพบ"ฝีมือคุณชายทั้งสองสูสีกันจริง ๆ"เสียงพูดคุยจากรอ
ในที่สุดสิ่งที่เสียนต้วนอี้ภาวนาก็ไม่เป็นดั่งใจหวังเมื่อพ่อบ้านฟงจูประกาศผลผู้ชนะในด่านรองสุดท้ายนี้"ยินดีกับคุณชายหย่งอวี้ฉางที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย"เสียงปรบมือดังขึ้น มีทั้งพอใจและไม่พอใจส่วนที่พอใจเห็นจะเป็นแขกคนอื่นที่ไม่รู้แผนการของมู่ตงหยวนที่วางหมากไว้แล้ว ส่วนฝ่ายที่ไม่พอใจเห็นจะเป็นใต้เท้าจู้เจิงที่หลานชายพ่ายแพ้ได้อันดับสามจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี"ก่อนการประลองด่านสุดท้าย ขอเชิญคุณหนูมู่อานจิ่วปรากฎตัวตรงหน้าด้วยขอรับ"กริยาอ่อนช้อย การก้าวย่างที่เป็นกุลสตรีอย่างไร้ที่ติของมู่อานจิ่วดึงดูดสายตาแขกเหรื่อในงานได้อย่างชะงักนิ่งใบหน้าสวยรูปไข่ที่แสนเรียวนวล แต่งแต้มผงชาดสีอ่อน ๆ ขัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อขึ้นมาหนึ่งระดับรับกับดวงตาสุกประกายอย่างไร้เดียงสาอาภรณ์สีอ่อนกลีบดอกเหมยพริ้วบางยามต้องลม ใครได้ยลคงเคลิ้มคิดว่าเป็นเทพธิดาลงมาจุติหากแต่สิ่งที่บรรยายมาทั้งหมดไม่สามารถดึงดูดสายตาของคนเพียงคนเดียวได้เท่าสตรีในชุดนางรำที่กำลังถือพิณขนาดกะทัดรัดรูปจันทร์เสี้ยวที่ยืนอยู่บนเวทีเตรียมรอแสดง"สมแล้วที่เป็นคุณหนูมู่ งดงามประหนึ่งเทพธิดามาจุติ"เสียงคุณชายท่านหนึ่งที่ตกรอบ
"ไม่ทราบแม่นางผู้นี้หลงทางมาหรือไร"ก้าวออกห่างจากหน้าห้องของมู่อานจิ่วได้ไม่ถึงห้าก้าวก็ถูกคนที่สะกดรอยตามตั้งแต่ต้นทักเข้า เยว่อันหนิงถึงกับใจหายใจคว่ำแต่พอตั้งสติได้นางจึงรีบกระชับผ้าสีแดงผืนบางที่ปกปิดใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาไว้ให้มิดชิดแล้วหันหน้าเผชิญกับเสียงทุ้มนั้น"คำนับคุณชาย ข้าน้อยเป็นนางรำของคณะดนตรีเซียงหย่ง บังเอิญว่าหาทางไปห้องน้ำมิเจอเลยเดินไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงทำตัวนอบน้อมปนหวาดกลัวคนที่สวมชุดเสื้อด้านนอกสีดำทับตัวในสีแดงเลือดนก ท่าทางสง่าผ่าเผยแถมยังรูปหล่อปานภาพวาดทวยเทพในนิยายที่นางเคยอ่านมา"ข้าก็ว่าอยู่ เดินตามแม่นางมาได้หลายเค่อดูเหมือนกำลังมองหาอะไร ที่แท้ก็ต้องการเข้าห้องน้ำนี่เอง"นี่นางถูกสะกดรอยตามหรือ?เป็นไปได้เช่นไรที่นางไม่รู้สึกตัวถึงฝีเท้าคนผู้นี้สักนิด"ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้พอจะบอกทางแก่ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าต้องกลับไปเตรียมตัวขึ้นเวทีร่ายรำแล้ว"เยว่อันหนิงไม่กล้าสบตาบุรุษรูปงามที่อยู่ตรงหน้า นางกลัวว่าจะถูกคนผู้นี้จับพิรุธได้ เพราะเมื่อครู่แค่มองแวบเดียวนางก็เห็นความช่างสังเกตในสายตาคมคู่นั้นของเขาแล้ว"เดิมทีข้าเองก็เป็น
การแข่งขันผ่านไปแล้วสามด่าน ตอนนี้มีผู้ชนะมาถึงรอบนี้สามคนรวมเสียนต้วนอี้ที่ได้ป้ายหยกด้วย"คุณชายทั้งสามมากความสามารถจริง ๆ ด่านนี้เป็นด่านที่คุณชายหย่งอวี้ฉางอาจจะได้เปรียบเล็กน้อยเพราะเป็นการประชันดนตรี"เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณเมื่อพ่อบ้านฟงจูแจ้งกติกาในด่านรองสุดท้ายจบ"ข้ามาเล่น ๆ มิได้จริงจัง ไฉนเลยถึงบังเอิญเช่นนี้"เสียนต้วนอี้ที่วันนี้มาในนามหย่งอวี้ฉางถึงกับพึมพำกับตนเองในโชคชะตาที่แสนราบรื่นในวันนี้ใครจะไปคิดว่าการปลอมเป็นคณะดนตรีจะทำให้เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรจนได้ผ่านเข้ามาถึงรอบรองสุดท้ายง่ายดายเช่นนี้"นี่คือพิณที่คุณชายทั้งสามต้องใช้แสดงความสามารถในด่านนี้ หากคุณชายท่านใดบรรเลงเพลงแล้วได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมมากที่สุดผู้นั้นจะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย เชิญทุกท่านจับไม้เพื่อเลือกลำดับการแสดง"เสียนต้วนอี้ภาวนาในใจขอให้ผู้ชนะในด่านนี้ไม่ใช่ตน ทว่าหากจะแสดงฝีมือแบบเล่น ๆ เกรงว่าจะถูกจับผิดนี่สิ เป็นถึงหัวหน้าคณะ แต่กลับไม่มีฝีมือเกี่ยวกับดนตรีได้เยี่ยงไร"ข้าได้ที่หนึ่ง"จู้เมิ่งจ๋าน หลานชายของจู้เจิงคือหนึ่งในสองคนที่เข้ารอบมาถึงด่านนี้ยกไม้ที่แต้มลำดับหนึ่งให้ทุกคนในงานดู
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคุณชายจากหนแห่งต่าง ๆ มาเข้าร่วมงานมากถึงเพียงนี้"ซ่างฮ้วนเอ่ยกับแม่ทัพน้อยที่นั่งร่ำสุราอยู่ข้าง ๆแม้เดิมทีที่นั่งของเฉินเจียนหลางถูกจัดวางไว้ใกล้กับที่นั่งของมู่ตงหยวนที่ที่เป็นของผู้ที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าเฉินเจียนหลางกลับปฎิเสธด้วยอ้างว่าตนคุยไม่เก่งเกรงว่าจะทำให้แขกคนสำคัญคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นอึดอัดใจจึงขอปลีกตัวออกมานั่งที่ลานกว้างด้านซ้ายของเวทีการแสดงดนตรีกับรองแม่ทัพซ่างฮ้วนแทน"เจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่เห็น"เฉินเจียนหลางถามเสียงเรียบพลางมองการแสดงดนตรีตรงหน้าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ"ดนตรีไพเราะ นางรำงดงามยิ่ง"หากแต่สิ่งที่ซ่างฮ้วนตอบสหายสนิทกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถาม จากนั้นเสียงดังเหมือนถูกมดกัดของซ่างฮ้วนจึงดังขึ้น"เจ้าตีข้าทำไม"มือแกร่งลูบเอวหนาที่ถูกประทุษร้ายราวกับเจ็บปวดยิ่ง ก่อนจะมองเคืองผู้ที่ทำร้ายตนเบา ๆ"ข้าหมายถึงเจ้าคิดเช่นไรกับการจัดงานในวันนี้"เมื่อเฉินเจียนหลางอธิบายรายละเอียดแบบเจาะลึก คนที่มัวแต่ชมการแสดงบนเวทีจึงทำปากขมุบขมิบด่าทอไม่ออกเสียงแล้วเอ่ยตอบ"ดูจากการแต่งกายของบางคนน่าจะไม่ใช่คนในเมืองเทียนติ่ง เจ้าดูนั่น คุณชายรูป
"แม้จะไม่คล่องมือ หากแต่นำมาจับอีกครั้งย่อมไม่เป็นปัญหา""ดี! ข้าจะให้ต้วนอี้ปลอมเป็นหัวหน้าคณะดนตรี นำนักแสดงและนางรำเข้าไปร่วมงานในครั้งนี้""เป็นเพียงหัวหน้าคณะดนตรีจะได้ไม่เตะตาผู้อื่น"กู่เหนียงพนักหน้าให้กับความฉลาดที่เยว่อันหนิงวิเคราะห์ความคิดตนราวมานั่งอยู่ในใจ"แต่จะดีหรือท่านประมุขถ้าให้ผู้อื่นเห็นหน้าตาอาหนิงของข้า โอ๊ย!"เสียนต้วนอี้ถึงกับตัวงอเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเยว่อันหนิงกระทุ้งเข้าลิ้นปี้ให้"ข้าคือข้า มิใช่ของของผู้ใด"เสียงเรียบนิ่งเอ่ยบอก หากแต่แววตาของนางกลับสามารถทำให้บุรุษตัวสูงใหญ่ใจวูบโหวงได้"ข้าพูดผิดไป ข้าพูดผิดไป"เสียนต้วนอี้ยกมือขึ้นตบมุมปากตนที่ปากเสียสองครั้ง ก่อนจะทำท่าเม้มปากเป็นเส้นตรงบอกคนที่ยังใช้สายตาอาฆาตให้รู้ว่าเขาจะไม่ปริปากสุนัขนี้ขัดการหารือครั้งนี้อีก"ที่จริงข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าล่ะ จะยอมเสี่ยงหรือไม่"แม้ตัวตนในฐานะนักฆ่าบุปผาเบญจมาศของเยว่อันหนิงยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่หากประมาทไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป"ชีวิตข้ายังเหลืออะไรให้กลัวอีกเจ้าคะ"น้ำเสียงเจ็บแค้นปะปนออกมาอยู่หลายส่วนแค้นโชคชะตา
"คำนับประมุขกู่เหนียง ท่านเรียกข้าเข้าพบมีเรื่องอันใดเจ้าคะ"ทันทีที่เยว่อันหนิงเดินเข้ามายังที่พักของประมุขกู่เหนียง นางก็ไม่รีรอเร่งถามถึงเหตุผลที่ถูกตามตัวในครั้งนี้ โดยข้างกายมีเสียนต้วนอี้ยืนอยู่เป็นเพื่อน"นั่งก่อนเถิด ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า"คำว่า 'พวกเจ้า' ทำให้เยว่อันหนิงรู้ชะตาต่อจากนี้คงต้องมีตัววุ่นวายอย่างเสียนต้วนอี้ตามติดนางเป็นแน่"นี่คือ?"ผู้ที่แย่งถามคือบุรุษรูปงามเพียงคนเดียวในห้องนี้เยว่อันหนิงมองเทียบเชิญสีแดงมีตัวอักษร 'มู่' ประทับตราโดดเด่นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู"หน่วยข่าวที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเทียนติ่งส่งมา"เสียนต้วนอี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมชะเง้อคอมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบเชิญในมือเยว่อันหนิง"ท่านประมุขต้องการให้พวกข้าปะปนเข้าไปสังหารผู้ใด"ในเมื่อไม่มีสานส์นจากปรโลก เยว่อันหนิจึงไม่เข้าใจเจตนารมย์ของประมุขกู่เหนียงในครั้งนี้"เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สกุลมู่ต้องการหาคู่ครองให้กับบุตรีเขา"ก็ใช่ว่าไม่เห็น ในเมื่อเนื้อในเทียบเชิญเขียนเอาไว้ว่า'สกุลมู่ขอเชิญบุรุษที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้วทุกท่านเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองคุณหนูมู่อานจิ่วบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลมู