โฉมสครวญเดินหันหลังลงจากเขาหลังจากร่ำลาผู้คนเสร็จ
วันนี้นางแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง หากแต่สีของอาภรณ์ก็มิเคยเป็นสีอื่นใดนางจากสีแดง
ไม่แดงสดก็แดงเลือดหมู มีเพียงแค่สีเหล่านี้ที่เยว่อันหนิงสวมใส่แล้วรู้สึกมีพลัง แม้จะเป็นตอนทำภารกิจ นางยังสวมใส่สีแดงไว้ด้านในและทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านนอก
การเดินทางลงจากเขาแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก คนในเท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงกับดักที่หุบเขาไร้เงาทำเอาไว้ได้ แต่ก็มักจะมีสมาชิกบางคนเผลอเรอลืมจุดตั้งกับดักจนพลาดท่าถูกทำร้ายมาแล้วก็มีมากเช่นกัน
เยว่อันหนิงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตากิ่งก้านของต้นไม้จากกิ่งนี้ไปต้นนั้น จวบจนนางผ่านกับดักทุกด่านและลงเขาได้อย่างปลอดภัย
"เสียงฝีเท้าม้า?"
ครั้นลงจากเขามาได้แค่ครึ่งลี้ หูที่สามารถรับเสียงได้ไกลของเยว่อันหนิงได้ยินเสียงเท้าม้าห่างจากจุดที่นางอยู่ราว ๆ ครึ่งลี้
หญิงสาวจึงเร่งรุดเดินทางไปดักด้านหน้า แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้รกจึงเห็นขบวนม้าเร็วสี่ห้าตัว คนที่คุมบังเหียนบนหลังม้าเหล่านั้นคล้ายทหารหน่วยลาดตระเวนของสักกองทัพ ครั้นพอสายตาแหลมคมเห็นที่ห้อยเอวตัวอักษร 'หลาง' นางก็รู้ในทันทีว่าเป็นของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่ยี่ซูเพิ่งเล่าให้นางฟัง
"เหตุใดทหารของกองทัพแดนประจิมถึงมาอยู่ทางทักษิณนี้ได้"
หว่างคิ้วสวยขมวดแทบจะไร้ช่องว่างขวางกั้น นางใช้สมองอันชาญฉลาดขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"คงมิใช่ว่ารู้ที่ตั้งหุบเขาไร้เงาหรอกนะ"
เยว่อันหนิงมองกลับหลังไปยังเขาลูกที่เพิ่งลงมา หัวใจนางสั่นไหวครู่หนึ่งหากแต่พอตั้งสติได้จึงกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง
ไม่กระมัง แม้ทหารกลุ่มนี้จะคล้ายมาลาดตระเวนแถวนี้ แต่นำคนมาเพียงแค่สี่ห้าคนหมายความว่ากองทัพยังไม่ปักใจเชื่อว่าหุบเขาไร้เงาตั้งอยู่ที่เขาลูกนี้
อีกอย่าง หากคนเหล่านี้มาเพราะหุบเขาไร้เงาของนางคงไม่เดินทางในเวลากลางวันเช่นนี้เป็นแน่
เมื่ออธิบายกับตนเองในใจเสร็จ ทหารม้าเหล่านั้นควบม้าไปไกลนางจนไร้เสียงฝีเท้าม้าแล้วเยว่อันหนิงจึงออกจากที่ซ่อน เร่งเดินทางมาอีกทางเพื่อเข้าสู่เมืองเทียนติ่งที่อยู่ห่างจากเขาลูกนี้ถึงห้าสิบลี้
อีกด้าน
ม้าเร็วสี่ห้านายควบม้าจากเมืองเทียนติ่งมายังที่ตั้งลับของกองทัพเขี้ยวหมาป่า พวกเขาคือกลุ่มเดียวกับที่เยว่อันหนิงพบเจอเมื่อครู่
"หยุด!"
เสียงทหารหนึ่งในห้าส่งเสียงห้ามม้าที่ตนคุมบังเหียนอยู่หยุดหน้าค่ายของกองทัพ ตามด้วยทหารที่เหลือค่อย ๆ ลงจากหลังม้าเดินเท้าเข้าไปยังกระโจมหนึ่งที่ตั้งอยู่ลึกเข้ามาสองหลัง
"จื่อเชว่มาถึงแล้วขอรับ"
เสียงทหารคนเดิมที่ถึงค่ายก่อนผู้อื่นดังขึ้นเพื่อรายงานตัวกับคนที่อยู่ในกระโจม
"เข้ามาได้ ท่านแม่ทัพน้อยรออยู่"
เสียงรองแม่ทัพซ่างฮ้วนตะโกนบอกผู้มาใหม่
"ได้ข่าวอันใดบ้าง"
ทันทีที่จื่อเชว่ศิษย์คนสนิทของซ่างฮ้วนที่เขาฝึกลับคมเองมากับมือเดินเข้ามา ผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาจึงรีบไตร่ถาม
"ทางท่านเสนาบดีตุลาการมิได้มีความเคลื่อนไหวอันใด มีเพียงเรื่อง..."
จื่อเชว่เสียงขาดห้วง เขาใคร่ครวญว่าจะรายงานต่อดีหรือไม่
"มีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าลำบากใจไม่กล้ารายงานต่อ"
ครั้งนี้เป็นเสียงของบุรุษผู้สง่างาม ใบหน้าเขาไร้ที่ติราวกับภาพวาดของเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ คิ้วที่ดกหนาสีดำราวขนนกเรียงเส้นสวยงามรับกับจมูกที่สันคมกริบบ่งบอกว่าเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่น้อย ริมฝีปากหยักลึกยามขยับเอ่ยหากมองแววตาเขาควบคู่ไปด้วยกันยามสนทนาเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าจอมมารผู้เยือกเย็น
"คือว่า..."
จื่อเชว่รู้ดี หากเขารายงานเรื่องนี้ออกไปอีกคนจะต้องตอบสนองด้วยความเย็นชา และนั่นคือสิ่งที่ผู้น้อยอย่างเขาไม่อาจคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้
"จื่อเชว่ เจ้าอย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง หากช้าเพียงนิด ข้าก็มิอาจช่วยปกป้องเจ้าได้"
จื่อเชว่ตัวสั่นเทากับคำขู่ของอาจารย์ที่สอนกระบี่และกลยุทธทหารต่าง ๆ ให้เขา ในที่สุดก็ตัดสินใจรายงานต่อ
"ท่านแม่ทัพใหญ่เฉินให้ข้านำข่าวมาแจ้งแก่ท่านแม่ทัพน้อยล่วงหน้า อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ที่จวนสกุลเฉินจะมีงานมงคลขอรับ"
เส้นเสียงทหารกล้าสั่นเล็กน้อย
ทั้งกองทัพเขี้ยวหมาป่ารู้ดี คำว่า 'งานมงคล' หมายถึงอันใด และถือว่าเป็นคำต้องห้ามไม่ให้เอ่ยต่อหน้าแม่ทัพน้อยเฉินเจียนหลางผู้นี้
"งานมงคล หึ!"
หากแต่ครั้งนี้ผู้ที่เคยสร้างกฎไว้กลับไม่มีปฎิกิริยาใด ๆ กับสิ่งที่จื่อเชว่รายงาน ทำเอาทหารผู้น้อยเช่นเขาลอบมองซ่างฮ้วนเพื่อขอความช่วยเหลือให้ออกหน้าถามหรือพูดอันใดต่อจากประโยคสั้น ๆ ห้วน ๆ ของแม่ทัพน้อยเฉินเจียนหลางที
"เป็นบุตรีจวนใด"
หากแต่ยังไม่ทันมีผู้ใดต่อประโยคของเขา เฉินเจียนหลางก็เป็นฝ่ายชวนคุยต่อด้วยเสียงเรียบเฉยแทน
"ป...เป็นคุณหนู จ...จวนมู่ขอรับ"
พยายามข่มเสียงมิให้สั่นแต่จื่อเชว่ก็หวาดกลัวจิตใจคนตรงหน้าจนมิอาจควบคุมเส้นเสียงให้นิ่งได้ มือที่ประสานกันยามรายงานถึงกับสั่นจนยกค้างระดับอกไม่อยู่
"จวนสกุลมู่ บุตรีของเขาคือผู้ใด"
แววตาเย็นชาแสนลึกลับมิอาจคาดเดาความคิดเจ้าของแววตาคู่นี้ได้สบตาสหายสนิทหรือรองแม่ทัพอย่างซ่างฮ้วนทันที
"หากข้าจำมิผิด จวนสกุลมู่มีบุตรีเพียงแค่คนเดียวคือ มู่อานจิ่ว"
หึ สมแล้วที่เป็นมือเท้าให้กับเขา ขนาดเรื่องชื่อแซ่สตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจทหารซ่างฮ้วนยังมีความรู้เลย
"เจ้าขันข้ารึ"
เพราะเติบโตมาด้วยกัน ร่ำเรียน กิน นอน ฝึกเพลงกระบี่ ตัวติดกันแทบจะสิบสองชั่วยาม สหายผู้นี้แทบจะไม่มีอารมณ์ขันจึงไม่แปลกเลยที่ซ่างฮ้วนจะตกใจกับอารมณ์ที่เฉินเจียนหลางแสดงออกเมื่อครู่
"เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ กลับไปพักก่อนเถอะ"
"ขอบคุณท่านแม่ทัพน้อย ผู้น้อยขอตัว"
จื่อเชว่ร่ำลาเสร็จก็เร่งออกจากกระโจมพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้""เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ""เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า""ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น""คำไหนคำนั้น""อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบ
หออี้เฉิงหลัน...เยว่อันหนิงใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเร็วเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเมืองเทียนติ่งเก้าปีที่นางกลายเป็นนักฆ่าของหุบเขาไร้เงา นางเข้าออกบ้านเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่เป็นการมาเพื่อทำภารกิจสาส์นจากปรโลก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเฉียดเข้าใกล้จวนสกุลเยว่ของตนสักหนหากแต่วันนี้ภารกิจคือจวนสกุลซุยที่ห่างจากจวนสกุลเยว่เพียงไม่กี่รั้วบ้าน ทำให้นางต้องปักหลักที่หออี้เฉิงหลัน หอชื่อดังแหล่งรวมความรื่นรมย์ของเหล่าขุนนางและผู้มีเงินหนาถึงจะเข้าพักกินดื่มชมการแสดงในนี้ได้"เชิญแม่นาง"เยว่อันหนิงเดินตามหลังสตรีนางหนึ่งที่เป็นคนดูแลหอแห่งนี้เพื่อเข้าสู่ห้องพักในชั้นสอง"หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม สั่นกระดิ่งทองนี้ได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ"สตรีโฉมสะครวญนางนี้ภายนอกดูเหมือนเถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของกิจการทั่วไป หากแต่เบื้องหลังนางเป็นหนึ่งในสายลับของหุบเขาไร้เงา ทำให้เยว่อันหนิงได้รับการต้อนรับค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่น"ส่วนนี่คือทั้งหมดที่ผู้น้อยจัดเตรียมเอื้อความสะดวกให้แก่แม่นาง"สายลับนามว่าอี้หลันหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาวางลงตรงหน้าโฉมงามอาภรณ์แดงเยว่อันหนิงทำเพียงก้มหน้าเล็กน้
ตอนนี้เป็นเวลายามจื่อแล้ว เยว่อันหนิงค่อย ๆ เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดรัดกุมสีดำ โดยมีเสื้อตัวบางสีแดงซ่อนอยู่ด้านในผมยาวสลวยถูกรวบตึงมัดตรงกลางศีรษะ ปล่อยให้ปลายผมลู่ลงคล้ายหางของม้าใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยผ้าบางสีดำเช่นเดียวกับสีชุดดวงตาคู่สวยคล้ายไข่มุกยามต้องแสงราตรีผินมองไปยังพระจันทร์เสี้ยวเหมาะแก่การลงมือลดประชากรคนชั่วให้แผ่นดินถังเฉียนสูงขึ้นอีกหนึ่งมือเรียวสวยหยิบเอาอาวุธคู่กายเป็นมีดสั้นสลักดอกจวี๋ฮวาที่ด้ามจับเสียบไว้ด้านหลังสามเล่ม ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนผู้คนโดยใช้ความมืดอำพรางซ่อนเร้นกายจนถึงจวนสกุลซุยเป็นดั่งคาด ยามนี้ทหารยามของสกุลซุยเบาบางจนนางมิต้องลงมือสังหารผู้ใดให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแผนผังเรือนพักของซุยฉีเฉียนถูกนางจดจำไว้ในสมองอย่างแจ่มแจ้ง เรือนปีกซ้ายคือห้องนอนของเป้าหมายในครั้งนี้เยว่อันหนิงในชุดสีดำค่อย ๆ ย่องด้วยวิชาตัวเบาเพื่อไปยังห้องพักของขุนนางชั่วที่ว่า หากแต่พอเลี้ยวตรงมุมด้านหน้าที่เป็นห้องรับรองของเรือนกลางกลับได้ยินเสียงคนสนทนากันในยามวิกาล"วันนี้คุณหนูถูกคนลอบทำร้ายที่หออี้เฉิงหลัน ข้าน้อยให้คนของ
ผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเค่อ(1เค่อ = ประมาณ 15 นาที) คนของเฉินเจียนหลางก็กลับมาพร้อมรองแม่ทัพซ่างฮ้วน"เรียนแม่ทัพน้อย นี่คือชาวบ้านที่ถูกขังไว้ในห้องใต้ดินของจวนซุยขอรับ"ซุยฮูหยินเบิกตาโตแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชาวบ้านมากกว่าสิบคนเนื้อตัวถูกเฆี่ยนตีทรมานจนมีแผลแทบทุกคน"ไม่จริง พวกเจ้าจัดฉากเรื่องนี้!" มือที่ชี้หน้าเฉินเจียนหลางสั่นระริกจะบอกว่าโมโหจึงมือสั่นคงไม่ใช่ทั้งหมด อาการที่ซุยฮูหยินแสดงออกต้องเรียกว่าหวาดกลัวมากกว่า"ท่านแม่ทัพน้อยโปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ"สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่ถูกจับตัวไปรีบคุกเข่าลงเพื่อขอร้องบุรุษตรงหน้า"เสวี่ยอี! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่? เมื่อบ่ายเจ้าลอบทำร้ายข้าไม่สำเร็จจึงโกรธเคืองปลุกปั่นผู้คนให้มาสังหารบิดาข้า!"ซุยผิงผิงเห็นชัดตาว่าสตรีที่ออกหน้าคุกเข่าอยู่นั้นคือสาวใช้ที่นางต้องการพบตัวอยู่พอดี"คุณหนูใส่ร้ายบ่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จริงอยู่เมื่อบ่ายฝีมือบ่าวเองที่นำขนมถั่วไปให้ท่าน แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของบ่าวเท่านั้นที่ครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมแถมยังถูกหักเบี้ยหวัดสองเดือน ส่วนเรื่องการ
หลังจากเยว่อันหนิงส่งจดหมายลับไปที่จวนสกุลเฉินเรียบร้อยนางก็ไม่ได้อยู่รอดูละครฉากสำคัญนั้นต่อ รีบเร่งเดินทางออกจากเมืองเทียนติ่งด้วยเส้นทางลับที่คนของหุบเขาไร้เงาเท่านั้นที่รู้ในทันทีเมื่อคล้อยหลังนางไม่ถึงครึ่งก้านธูปประตูเมืองก็ถูกปิดตายจากคำสั่งขององค์รัชทายาท มีทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันประตูเมืองอย่างแน่นหนาส่วนเรื่องนอกเหนือแผนการจ้างวานฆ่าในค่ำคืนนี้ที่เยว่อันหนิงดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเรียกว่าเป็นหมากในกระดานของนางสกุลเฉินเป็นจวนทางทหารย่อมไม่มีอำนาจบุกค้นจวนโดยไม่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่ที่นางเลือกส่งจดหมายไปหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ว่าที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าคนสกุลเฉินภักดีต่อฝ่าบาทและแผ่นดินเป็นจริงกี่ส่วนเหตุผลสำคัญอีกหนึ่งที่เยว่อันหนิงต้องการยืมมือสกุลเฉินคือจัดการลงโทษคุณหนูสกุลซุย หากบุกค้นจวนซุยจริงและให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านได้ เยว่อันหนิงเดาว่าต้องมีสักคนที่เปิดโปงจิตใจโหดเหี้ยมของซุยผิงผิงให้นางได้รับโทษที่ใช้อำนาจรังแกคนอื่นเป็นแน่"ครั้งนี้เจ้าเหมือนยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกหลายตัว"เสียนต้วนอี้กล่าวชมสตรีที่กลับมาถึงหุบเขาไร้เงาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว"กำจัดค
"ยาลบความจำ""ยาลบความจำ! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้จะมียาชนิดนี้ด้วยหรือ"เยว่อันหนิงส่ายหัวน้อย ๆ พลางตอบ"ไม่มี""แล้วเจ้ายังจะคิดค้นเนี่ยนะ"ยี่ซูมองสหายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดนางหรือว่าลึก ๆ แล้ว เยว่อันหนิงไม่ได้อยากล้างแค้นให้ตระกูลนางจึงอยากใช้ยาตัวนี้เพื่อลบความทรงจำเลวร้ายนั่นให้สิ้น"เพราะไม่มีถึงได้อยากลอง"ก็ถูกของนาง หากไม่คิดค้นขึ้นมา ยาแบบนี้จะให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร ยี่ซูนี่ช่างถามไม่รู้จักคิด"แต่เรามียาลืมเลือนของผู้เฒ่าฝูแล้วนี่ เหตุใดเจ้าต้องคิดค้นยาลบความทรงจำนั้นขึ้นมาอีก"นั่นสิ!หากฟังจากชื่อยาแล้ว ยาลืมเลือนที่นางมีก็ช่วยลบความทรงจำได้หมือนกัน"เพราะไม่เหมือนกัน ยาลืมเลือนใช้ได้ผลเพียงแค่ชั่วขณะ พอหมดฤทธิ์ ทุกอย่างที่เคยเห็นเคยลืมก็จะกลับมา""อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เจ้าจะใช้มันเองหรือ"หลังจากเข้าใจความแตกต่างของยาทั้งสองยี่ซูจึงรีบถามออกไป"เหตุใดข้าต้องใช้"อ้าว! ในเมื่อเป็นยาลบความทรงจำ เยว่อันหนิงไม่ใช้เองแล้วจะให้ผู้ใดใช้กัน"แล้วเจ้าจะเอาไปใช้ประโยชน์อันใด งานของเราคือนักฆ่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาลบความทรงจำกับตัวเองและคนที่กำลังจะตายพวกนั้น"มือแน่งน้อยของเ
"คำนับประมุขกู่เหนียง ท่านเรียกข้าเข้าพบมีเรื่องอันใดเจ้าคะ"ทันทีที่เยว่อันหนิงเดินเข้ามายังที่พักของประมุขกู่เหนียง นางก็ไม่รีรอเร่งถามถึงเหตุผลที่ถูกตามตัวในครั้งนี้ โดยข้างกายมีเสียนต้วนอี้ยืนอยู่เป็นเพื่อน"นั่งก่อนเถิด ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า"คำว่า 'พวกเจ้า' ทำให้เยว่อันหนิงรู้ชะตาต่อจากนี้คงต้องมีตัววุ่นวายอย่างเสียนต้วนอี้ตามติดนางเป็นแน่"นี่คือ?"ผู้ที่แย่งถามคือบุรุษรูปงามเพียงคนเดียวในห้องนี้เยว่อันหนิงมองเทียบเชิญสีแดงมีตัวอักษร 'มู่' ประทับตราโดดเด่นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู"หน่วยข่าวที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเทียนติ่งส่งมา"เสียนต้วนอี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมชะเง้อคอมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบเชิญในมือเยว่อันหนิง"ท่านประมุขต้องการให้พวกข้าปะปนเข้าไปสังหารผู้ใด"ในเมื่อไม่มีสานส์นจากปรโลก เยว่อันหนิจึงไม่เข้าใจเจตนารมย์ของประมุขกู่เหนียงในครั้งนี้"เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สกุลมู่ต้องการหาคู่ครองให้กับบุตรีเขา"ก็ใช่ว่าไม่เห็น ในเมื่อเนื้อในเทียบเชิญเขียนเอาไว้ว่า'สกุลมู่ขอเชิญบุรุษที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้วทุกท่านเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองคุณหนูมู่อานจิ่วบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลมู
"แม้จะไม่คล่องมือ หากแต่นำมาจับอีกครั้งย่อมไม่เป็นปัญหา""ดี! ข้าจะให้ต้วนอี้ปลอมเป็นหัวหน้าคณะดนตรี นำนักแสดงและนางรำเข้าไปร่วมงานในครั้งนี้""เป็นเพียงหัวหน้าคณะดนตรีจะได้ไม่เตะตาผู้อื่น"กู่เหนียงพนักหน้าให้กับความฉลาดที่เยว่อันหนิงวิเคราะห์ความคิดตนราวมานั่งอยู่ในใจ"แต่จะดีหรือท่านประมุขถ้าให้ผู้อื่นเห็นหน้าตาอาหนิงของข้า โอ๊ย!"เสียนต้วนอี้ถึงกับตัวงอเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเยว่อันหนิงกระทุ้งเข้าลิ้นปี้ให้"ข้าคือข้า มิใช่ของของผู้ใด"เสียงเรียบนิ่งเอ่ยบอก หากแต่แววตาของนางกลับสามารถทำให้บุรุษตัวสูงใหญ่ใจวูบโหวงได้"ข้าพูดผิดไป ข้าพูดผิดไป"เสียนต้วนอี้ยกมือขึ้นตบมุมปากตนที่ปากเสียสองครั้ง ก่อนจะทำท่าเม้มปากเป็นเส้นตรงบอกคนที่ยังใช้สายตาอาฆาตให้รู้ว่าเขาจะไม่ปริปากสุนัขนี้ขัดการหารือครั้งนี้อีก"ที่จริงข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าล่ะ จะยอมเสี่ยงหรือไม่"แม้ตัวตนในฐานะนักฆ่าบุปผาเบญจมาศของเยว่อันหนิงยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่หากประมาทไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป"ชีวิตข้ายังเหลืออะไรให้กลัวอีกเจ้าคะ"น้ำเสียงเจ็บแค้นปะปนออกมาอยู่หลายส่วนแค้นโชคชะตา
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก