เมื่อมาถึงกระโจมที่พักแรมกลางป่าของกลุ่มชายฉกรรจ์ หญิงสาวก็รีบกระโดดลงจากรถม้าก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจโดยรอบอย่างสนอกสนใจ ที่นี่เหมือนจะเป็นค่ายอะไรสักอย่าง คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย สตรีที่เห็นกลับมีอยู่เพียงน้อยนิด
เมื่อมีหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลาย นางก็ตกเป็นจุดสนใจไปในที่สุด หน้าตางดงามของนางสร้างเสียงฮือฮาจนดังกระหึ่ม ดรุณีน้อยเห็นเช่นนั้นจึงแสร้งทำท่าทีเป็นหวาดกลัว แล้วก้าวไปหลบอยู่หลังชายหนุ่มที่เพิ่งกระโดดลงจากที่คุมบังเหียน นางใช้มือจับแขนเสื้อของหวังเหว่ยแน่นก่อนจะมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร ดูสิ้ว่าเจ้าจะไม่หลงข้าได้อย่างไร... หวังเหว่ยเหลือบมองคนที่ใช้มือเกาะแขนเสื้อของตน ก่อนจะรีบสะบัดออกราวกับว่านางเป็นตัวนำโชคร้าย เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างไม่ค่อยดังนักแต่เสียนเปาที่อยู่ใกล้ ๆ กลับได้ยินชัด "อย่ามาจับข้า เจ้าชอบมิใช่หรือไง" เสียนเปายังคงแสร้งทำท่าทีใสซื่อไม่เข้าใจ "ท่านพูดอะไรเจ้าคะ" หวังเหว่ยคร้านจะพูดให้มากความกับสตรีนางนี้ จึงเลือกที่จะเดินเข้าไปในกระโจมของตนโดยไม่สนใจนางอีก ลับหลังเขาจึงไม่เห็นว่าแววตาของดรุณียามที่มองตนเดินหายเข้าไปในกระโจมนั้นหรี่เล็กลงอย่างอันตราย แต่นางก็ต้องกลับมาตีหน้าซื่อราวกับลูกกวางน้อยเมื่อมีเสียงของชายหน้าบากก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากนาง "แม่นาง...เจ้าหิวหรือไม่ เรื่องที่พักของเจ้าข้าให้คนไปเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว" หญิงสาวรีบปั้นหน้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นซาบซึ้งใจ "พวกพี่ชายใจดีกับข้ามากเจ้าค่ะ" ชายหน้าบากหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี "ข้าชื่ออู่หาง แม่นางน้อยไม่ต้องเกรงใจข้านัก หากเจ้ามีข้าในค่ายนี้นอกจากพี่ใหญ่ก็ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้" ขณะที่เอ่ยนั้นอู่หางก็ทำเหมือนอยากจะสัมผัสตัวดรุณีน้อย ทว่าเขาก็ยังคงยั้งมือไว้ได้ทันแล้วเอ่ย "ข้าขอตัวไปหาสหายก่อน" ร่างสูงหันหลังเดินไปนั่งกับสหายที่นั่งอยู่หน้ากระโจมห่างไปไม่ไกล เสียนเปามองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีสตรีนางหนึ่งเดินมาเรียกนางไปกระโจมที่ถูกจัดเตรียมไว้ ลับหลังสาวหญิงแววตาที่อู่หางใช้มองนางฉายแววหื่นกระหาย เขาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากแห้งผาก แทบจะรอคอยค่ำคืนนี้ไม่ไหว ราตรีย่ำกราย ท้องนภาเปลี่ยนไปเป็นสีดำสนิท ดรุณีกำลังอาบน้ำอยู่ในอ่างที่เตรียมไว้อย่างอารมณ์ดี อ่างนี้ช่างกว้างนัก ราวกับเอาไว้ใช้แช่กันหลายคน น่าเสียดายที่ตอนนี้ดรุณีน้อยต้องมานั่งแช่อยู่เพียงคนเดียว ทว่าในขณะที่คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยนั้น สองหูกลับได้ยินเสียงฝีเท้าและเงาตะคุ่มปรากฏขึ้นหลังฉากกั้นไม้ เงานั้นมีจำนวนสองสามเงาได้ ดวงตาคู่งามทอประกายวาววับครู่ ขณะที่ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มขึ้นในทันใด จังหวะต่อมานางก็แสร้งทำเป็นตื่นตกใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น "ใครกัน!" เสียงตะโกนดังพอที่คนอยู่หลังฉากกั้นจะได้ยิน ทว่าคนเหล่านั้นกลับเงียบ ถึงกระนั้นเสียนเปาก็พอจะเดาออกว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร ต่อให้รู้อยู่เต็มอกนางก็ยังอดแสร้งเป็นผู้ถูกกระทำไม่ไหว ก็แบบนี้มันน่าสนุกกว่ามิใช่หรือ ร่างบางยังคงแสดงละครต่อด้วยท่าทีที่เริ่มหวาดกลัว "พวกท่านเป็นใคร!" ฉับพลันคนที่อยู่หลังฉากกั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าสาวน้อย พวกเขาคือกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ช่วยนางเอาไว้และพานางกลับมาที่นี่ คิดเอาไว้ไม่มีผิด มนุษย์พวกนี้ไม่มีใครดีเลยสักคน ดวงตาคู่งามกวาดมองบุรุษผู้มาใหม่ หนึ่งในนั้นรวมไปถึงอู่หางด้วย ในใจก็รู้สึกดูถูก ยามทั้งสามเหมือนจะไม่รู้ความคิดของคนที่เปลือยกายอยู่ในอ่าง เพราะตอนนี้ทั้งสามสนใจแค่เพียงผิวขาวกระจ่างและเต้าอวบคู่นั้นที่ช่วยปลุกกำหนัดให้ชายทั้งสามได้อย่างดี อู่หางลากเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหายก่อนใคร ในเวลานี้เขาไม่สงวนท่าทีเฉกเช่นเมื่อตอนกลางวัน ฉับพลันแววตาของเสียนเปาก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกราวกับลูกกวาง นางขดร่างเข้ามุมอ่างแล้วใช้มือปิดบังเต้าอวบเอาไว้ เสียงหวานสั่นระริกยามที่เอ่ยยิ่งกระตุ้นให้คนฟังรู้สึกอย่างรังแก "พวกท่านจะทำอะไรเจ้าคะ" "ข้าแค่อยากเข้ามาดูว่าเจ้ามีอะไรให้พวกข้าช่วยหรือไม่" ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายอู่หางบอกกับดรุณี รูปร่างของเขาไม่สูงไม่ใหญ่ แม้ถ้อยคำจะเหมือนหวังดีแต่กลับใช้สายตาหื่นกระหายจับจ้องเรือนร่างบอบบางของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดปิดบัง มันยิ่งทำให้เสียนเปาขนลุกทั่วทั้งร่างเพราะอดทนรอต่อไปอีกไม่ไหว เข้ามาสิ... ทว่าในความเป็นจริงกลับต้องแกล้งตอบเสียงสั่นกลับไป "ม...ไม่มีเจ้าค่ะ" แต่เป็นอู่หางที่อดทนต่อความต้องการของตนไม่ไหว เขาบอกกับชายที่เพิ่งเอ่ยกับนางเมื่อครู่ "เลิกพูดมากได้แล้ว หลี่ถังไปจับนางไว้" ชายที่ชื่อหลี่ถังก็เหมือนจะรอเวลานี้มานาน เขาพยักหน้าก่อนจะรีบเดินดุ่ม ๆ เข้ามาที่อ่าง ร่างบางเห็นก็ยิ่งสั่นสะท้านอย่างตกใจ นางถอยกรูจนแผ่นหลังบางชิดขอบอ่าง พร้อมแผดเสียงแหลมดัง "พวกท่านอย่าเข้ามานะ!" ทว่าชายทั้งสามกลับไม่มีใครยอมฟังที่นางเอ่ย หลี่ถังรีบลงมาในอ่างที่ใหญ่พอจะจุชายฉกรรจ์เช่นเขาเอาไว้ ก่อนจะดึงรั้งข้อเท้าคนตัวน้อยแล้วลากให้เข้าไปหาตน หญิงสาวเกือบสำลักน้ำที่แทบล้นในขณะที่โดนลาก จนนางรู้สึกหงุดหงิดใจนิดหน่อย ไอ้พวกไม่ถนอมสตรี! "ก้งฉือ เจ้าจะยืนโง่อีกนานหรือไม่ นางดิ้นใหญ่แล้ว ไปจับตัวนางไว้สิ!" อู่หางหันไปบอกกับก้งฉือที่ยืนทำหน้าบื้ออยู่ ก้งฉือได้ยินจึงรีบอ้อมไปด้านหลังร่างบางก่อนจะล็อกแขนนางไว้ บัดนี้หญิงสาวจึงถูกตรึงเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา เสียนเปายังคงแสร้งมองอู่หางเพื่อขอความเห็นใจ "อย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าวันรุ่งขึ้นข้าจะรีบไป" ทว่าเสียงหวานของนางกลับไม่น่าดึงดูดเท่าเต้าอวบที่ไร้สิ่งใดปกปิดในเวลานี้ เมื่อมือน้อยทั้งสองข้างถูกมือใหญ่ที่ก้งฉือพันธนาการ สองเต้าอวบก็โดดเด่นเผยจุกสีหวานอมชมพูชวนให้อยากลิ้มเลีย อู่หางมองสำรวจร่างของดรุณีจนมาหยุดตรงโหนกนูนกึ่งกลางร่างอีกฝ่าย เขาสั่งให้ชายทั้งสองรีบอุ้มหญิงสาวออกมาจากอ่างน้ำเพราะขนาดมันใหญ่ไม่พอที่ชายทั้งสามคนจะลงไปอยู่พร้อมกัน ทันทีที่ร่างบางโดนอุ้มมาวางอยู่บนพื้นข้างอ่าง ขาของนางก็ถูกล็อกไว้โดยชายทั้งสองคน มือข้างที่วางของพวกเขาเอื้อมมาบีบขย้ำสองเต้าอวบกันคนละข้าง น้ำหนักมือนั้นสร้างความเจ็บและกระสันอยากให้แก่ร่างบางไม่น้อย เรียวขาถูกสองมือของชายฉกรรจ์บังคับให้ถ่างออก จนกลีบบุปผาอวบอูมปรากฏสู่สายตาของอู่หาง เขาในตอนนี้นั่งอยู่ตำแหน่งใจกลางหว่างขาของนาง กลีบเนียนสีขาวปิดสนิทเข้าหากันชวนให้คนอยากจะทะลวงบางอย่างเข้าไป หญิงสาวพยายามจะหุบขาแต่กลับสู่แรงของบุรุษทั้งสองไม่ไหว นางจึงได้แต่ใช้มือปิดบังร่องสวาทของตน ทว่าเพียงไม่นานสองมือกลับถูกอู่หางรวบเอาไว้ ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างอีกข้างบดขยี้กลีบร่องที่ปิดสนิทตรงหน้าพลางใช้นิ้วสอดเข้าไป จังหวะที่สัมผัสได้ถึงสิ่งรุกล้ำเข้ามาในกาย ร่างบางถึงกับสะดุ้งแล้วเผลอร้องคราง แววตาเยิ้มฉ่ำด้วยแรงตัณหาที่เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ "อย่าขัดขืนไปเลย ข้ารับรองว่าเจ้าต้องชอบมัน" อู่หางเอ่ยในขณะที่นิ้วสากกำลังแทงเข้าออกร่องสวาทที่คับแน่น จังหวะกระทุ้งรุนแรงเสียจนร่างเล็กรู้สึกซาบซ่าน น้ำหวานจากรสกามไหลออกมาอาบมือใหญ่จนเปียกแฉะ สองเต้าอวบอิ่มโดนบดขยี้ราวกับกำลังโดนคั้นน้ำนมไม่มีผิด จนนางต้องทักท้วงเสียงแหบพร่า "ปล่อยข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการเช่นนี้" ทว่าเสียงที่นางเปล่งออกมากระเส่ายิ่ง ประกอบกับใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ใครได้เห็นก็เป็นต้องรู้สึกปวดหนึบที่หว่างขา อู่หางเองก็เช่นกัน เขาเร่งแทงนิ้วเข้าออกร่องสวาทของนางเพื่อเปิดช่องทางให้พร้อมรับตัวตนใหญ่ยักษ์ที่ตื่นตัวเต็มที่ "แฉะถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะกล้าปฏิเสธ " อู่หางหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ "แม่นางไม่ต้องห่วง หลังจากวันนี้เจ้าจะไม่กล้าปฏิเสธข้าอีกเลย" "อ๊ะ อ๊ะ ไม่!" "ลูกพี่ ข้าจะไม่ไหวแล้ว" คนที่ชื่อหลี่ถังเอ่ย ไม่รอช้าเขาก็ควักแกนกายที่อัดแน่นจนแทบระเบิดของตนออกมาจากกางเกงก่อนจะเอามาจ่อที่ริมฝีปากบาง ทันทีที่ปลายหัวของท่อนเอ็นนั้นค่อย ๆ แทรกผ่านกลีบปาก การกระทำหุนหันของหลี่ถังทำเอาร่างบางรู้สึกปวดร้าวราวกับปากจะฉีก นางทำได้เพียงอ้าปากให้กว้างเพื่อรองรับแท่งเอ็นที่กระทุ้งเข้าออกอย่างเอาแต่ใจ ความคับแน่นที่โพรงปากทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก ชั่วขณะเมื่อกลิ่นกายบุรุษปะทะหน้าพร้อมกับน้ำกามคาวขุ่นก็ทำเอานางถึงกับตาลอย ให้หัวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสุขสมจนแทบน้ำตาไหล คนที่ชื่อก้งฉือเมื่อเห็นการกระทำของสหายก็กลัวว่าตนจะน้อยหน้า เขารีบควักความเป็นชายอวบอั๋นของตนเองออกมา ก่อนจะจ่อปลายหัววนรอบจุกนมสีหวานอย่างหยอกเย้า มือพลางสาวท่อนเนื้อของตนไปในขณะที่มองร่องสวาทคับแคบของหญิงสาวที่ยังคงถูกนิ้วของอู่หางกระแทกเข้าออกจนเกิดเสียงลามก เสียนเปารู้สึกว่าความเสียวกำลังพลุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่ ทั้งร่างถูกชายทั้งสามกระทำจนสั่นสั่นสะท้าน อู่หางเห็นสภาพหญิงตรงหน้าถูกสหายชำเราราวกับของบำเรอกาม สัญชาตญาณดิบก็ยิ่งถูกปลุก เขารีบถอนนิ้วออกก่อนจะจับหัวดุ้นขนาดใหญ่มาจ่อที่ช่องทางรักเปียกชื้นแล้วกระแทกเข้าไปจนสุดโดยไม่สนถึงความเจ็บปวดของหญิงสาว "อื้มม!!" หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่เพราะมีท่อนเนื้อของหลี่ถังคาอยู่ในปากจึงทำได้เพียงร้องประท้วงในลำคอ ความคับแน่นทำเอาอู่หางเกือบจะเสร็จสม เขาจับขาเรียวบางแยกออกกว้างเพื่อมองดูร่องสวาทซึ่งกำลังกลืนกินแท่งเนื้อของตนเข้าไป ความคับแน่นบีบรัดเสียจนเขาแทบอยากจะปลดปล่อย ชายหนุ่มเริ่มกระแทกท่อนเอ็นใส่ร่องตรงหน้าอย่างรุนแรง แรงกระแทกทำเอาเสียนเปาเสียวจนตาลอย ฟันเผลอขูดกับท่อนเอ็นที่อยู่ในปากเล็กน้อยจนหลี่ถังรู้สึกเจ็บ เพี๊ยะ! "อื้มม!!" หลี่ถังใช้มือฟาดหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงกระแทกเพื่อเป็นการลงโทษอีกฝ่าย พลางเอ่ยขู่อย่างโหดร้าย "หากยังโดนฟันอีกข้าจะฆ่าเจ้า" หญิงสาวจำต้องหันมาตั้งใจดูดเลียท่อนรัก แม้ช่วงล่างนางจะสุขสมจนแทบจะทนไม่ไหวก็ตามแต่นางไม่อยากโดนตีอีก จังหวะต่อมากลับรู้สึกได้ว่าสะโพกถูกมือใหญ่ยึดขึ้นจนลอยเด่นกลางอากาศ ชายร่างกำยำเร่งเอวสอบกระแทกกระทั้นตัวตนเข้าออกร่องสวาทที่เริ่มแดงช้ำและเต็มไปด้วยน้ำใคร่ เสียนเปารู้สึกเสียวสะท้านไปทั่วกายจนสองเท้าน้อยเริ่มจิกเกร็ง ภายในกระโจมมีเพียงเสียงเนื้อกระทบกันดังอย่างลามกไม่รู้จบสิ้น สองเต้าอวบบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำ ปากนางยังคงต้องทำงานหนักเพื่อปรนเปรอความใคร่ให้ชายทั้งสามสลับกัน ช่องทางรักที่ถูกใช้งานหนักแดงช้ำจนน่ากลัว แต่เหมือนนางจะดูถูกความใคร่ของสามบุรุษน้อยเกินไป ก้งฉือที่เพิ่งปลดปล่อยน้ำกามใส่ปากนางเหมือนจะยังไม่พอใจในที่สุด "ลูกพี่ อุ้มนางขึ้นหน่อย ข้าจะสอดใส่อีกรู" หญิงสาวได้ยินถึงกับตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู นางยังไม่เคยลองทำช่องทางนี้เลยสักครั้ง ร่างบางพลันส่ายหน้าปฏิเสธ พลางจ้องมองบุรุษทั้งสามอย่างขอความเห็นใจ "ไม่ได้นะ พี่ชาย...ถือว่าข้าขอร้องท่าน" ทว่าคำขอร้องก็เหมือนลมที่พัดมาและผ่านไป อู่หางจับยกร่างบางที่นอนถ่างขาอยู่กับพื้นขึ้นมานั่งบนตักโดยไม่คิดจะถอนตัวตนออกจากร่องแดงฉ่ำเลยแม้แต่น้อย ท่านี้ทำให้ช่องทางด้านหลังของหญิงสาวไร้สิ่งใดกั้นขว้าง ก้งฉือไม่รอช้ารีบเข้ามาประกบด้านหลังร่างบาง ก่อนจะสอดท่อนเอ็นอวบอั๋นเข้าไปในรูทวารของอีกฝ่าย "อ๊า! มันเจ็บ...ไม่เอาเช่นนี้!" เสียงร้องครวญครางของดรุณีดังลั่นราวกับจะขาดใจ นางรู้สึกอึดอัดบริเวณช่วงล่างเต็มที สัมผัสได้ว่าแกนกายทั้งสองเสียดสีกันอยู่ภายในกาย ก้งฉือไม่คิดจะสนใจเสียงร้องเจ็บปวดของอีกฝ่าย โพรงเนื้อที่บีบรัดตัวตนทำให้เขารู้สึกเสียวจนอดใจไม่ไหว เอวหนาเร่งกระแทกเข้าออกรูทวารจนร่างน้อยร้องไห้ออกมา มือสากก็เอื้อมมือบีบขย้ำเต้าอวบอิ่มที่กระเพื่อมตามแรงกระแทกของพวกเขา ดรุณีน้อยร้องครวญครางได้เพียงครู่หนึ่ง ก็ถูกท่อนเนื้อใหญ่ยาวของหลี่ถังสอดเข้ามาในโพรงปากอีกครั้ง ร่องสวาทก็ยังคงถูกอู่หางกระแทกกระทั้นตัวตนเข้าออกอย่างไม่ปรานี นางในเวลานี้รู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะฉีกขาดออกจากกัน ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งเสียวทำให้หญิงสาวคล้ายสติหลุดลอยจนกู่ไม่กลับ นางยกแขนสองข้างขึ้นคล้องคออู่หางแล้วเด้งสะโพกสวนแท่งเนื้อทั้งสองราวกับคนเสียสติ ริมฝีปากพลางดูดดุนท่อนเอ็นขนาดใหญ่ราวกับของกิน รู้สึกแสบร้อนที่อวัยวะเพศราวกับจะถูกหลอมละลาย ฉับพลันร่างบางคล้ายจะสติกระเจิงเมื่อเห็นปลายทางของฝั่งฝันอยู่ไม่ไกล ร่องแดงกระตุกตอดแกนกายก่อนจะปลดปล่อยน้ำหวานสีใสออกมาจนเปียกแฉะ ชายทั้งสามเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงกระแทกตัวตนเข้าใส่รูทั้งสามและใช้เวลาเพียงไม่นานน้ำกามขาวขุ่นก็ฉีดอัดเข้ามาแทนที่ ทั้งสามคนถอนแกนกายออกมา ก่อนจะมองดูสภาพของหญิงสาวที่พวกตนเพิ่งเสพสุขกับนางไปอย่างเมามัน นางนอนถ่างขาอยู่กับพื้น ร่องสวาทและรูทวารมีน้ำกามสีขาวขุ่นไหลทะลัก ริมฝีปากก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำกาม ตามเรือนร่างมีแต่ร่องแดงจากการกระทำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ใบหน้างดงามแดงก่ำกระทั่งแววตาที่หยาดเยิ้มคู่นั้นยังเลื่อนลอยไร้สติ "อุ้มนางไปที่เตียง พี่น้องเรายังรออยู่อีกเพียบ" อู่หางเอ่ยในขณะที่กำลังใส่เสื้อผ้าของตนกลับ เป็นหลี่ถังที่ดูจะกังวลเล็กน้อย เขาพูดในขณะที่มองร่างน้อยของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่ง "นางจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม" อู่หางเห็นสหายของตนทำตัวราวกับไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ จึงตบกระบาลหลี่ถังด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที "หากนางตายก็แค่ฝัง เจ้าจะกลัวอะไร" แค่สตรีนางเดียวตายก็หามาใหม่ เจ้าจะกลัวไปทำไมกัน!ความรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วร่างกายทำให้เสียนเปารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากฝัน แสงแดดในยามเช้าลอดผ่านม่านกระโจมเข้ามากระทบเรือนร่างที่เปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ความเจ็บแสบที่บริเวณช่วงล่างทำให้ใบหน้างดงามบิดเหยเก พอร่างบางก้มลงมองเบื้องล่างของตนเองก็ถึงกับตกใจ อยากจะกรีดร้องจนเสียสติได้เสียให้ได้เจ้าบ้าพวกนี้ ไม่คิดจะถนอมกันบ้างหรือไง! กำปั้นเล็กทุบลงบนฟูกนอน ในแววตาเต็มไปด้วยความคับข้องขุ่นหมองใจ แม้ว่าเมื่อคืนนางจะสูบพลังชีวิตของพวกนั้นมาได้เยอะ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าพวกนั้นเป็นพวกไม่รู้จักอิ่ม กินแล้วกินอีกเสียจนนางแทบขยับไม่ได้ อีกอย่างนางก็ไม่กล้าจะดูดพลังชีวิตเจ้าพวกนั้นจนถึงตาย หากความแตกมีหวังโดนจับเผาทั้งเป็นแน่ ไม่คุ้ม!...ไม่คุ้มเลยที่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้!ในขณะที่หญิงสาวสบถออกไปอย่างหัวเสีย ก็พลางสำรวจรอยช้ำตามเนื้อตัวอย่างขุ่นเคือง ถึงนางจะสามารถโคจรพลังเพื่อรักษาร่องรอยฟกช้ำตามตัวบางส่วนให้หายดี แต่ความเจ็บปวดจากศึกเมื่อคืนยังคงหลงเหลือทิ้งไว้อยู่ทุกส่วน เสียนเปากัดฟันพลางพยายามลุกจากเตียงอย่างทุลักทุเล ความเจ็บแสบบริเวณช่วงล่างยิ่งทวีความรุนแรงยามที่สองเท้าท
ตอนแรกเสียนเปาคิดว่างานเลี้ยงที่อู่หางพูดถึงจะเป็นดั่งเช่นที่นางได้ยินมาจากพี่สาวปีศาจตอนยังเด็ก ซึ่งทุกอย่างถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ทว่าผิดคาดไปนิด เมื่อมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงนางกลับเห็นเป็นเพียงแค่งานเลี้ยงรอบกองไฟธรรมดาเท่านั้น เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันนั่งร่ำสุรา ดูจากสีหน้าของพวกเขาที่แดงเพราะฤทธิ์สุราก็รู้ว่างานเลี้ยงเริ่มมานานพอสมควร ชายฉกรรจ์เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดวาบหวิวเดินเข้ามา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่ตัวนางไม่ห่าง พลางนึกถึงค่ำคืนอันเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน สายตาเหล่านั้นทำให้เสียนเปาน้อยรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ฉับพลันสองหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังของบุรุษดังมาจากภายในกระโจมใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่นางยืนอยู่ สายลมพัดกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งมาปะทะจมูกจนสาวน้อยต้องหันหน้าหนี จู่ ๆ นางก็ถูกผลักให้เดินเข้าไปข้างในกระโจมนั้นโดยไม่บอกไม่กล่าวพอมีสาวงามปรากฏตัวขึ้นภายในกระโจม สายตาหลายคู่ก็เพ่งมายังตัวนาง ส่วนมากคงจับจ้องอยู่ที่เนินอกอวบอิ่มซึ่งโผล่พ้นเศษผ้าเสียมากกว่า แม้จะถูกมองมาหลายต่อหลายครั้งเสียนเปาก็อดประหม่าไม่ได้เพราะครานี้จำนวนคงช่างมากเกินไป มื
เมื่อกลับมาที่กระโจมของหวังเหว่ย ดรุณีน้อยที่เดินตามมาติด ๆ ก็ไม่รอช้ารีบปีนขึ้นไปบนฟูกนุ่มนิ่มก่อนจะเหยียดตัวนอนอย่างสบายใจ หวังเหว่ยซึ่งเดินตามหลังเข้ามาเมื่อเห็นว่าเตียงของตนถูกคนตัวเล็กยึดไปเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้ายิ่งบูดบึ้งจนนึกว่าไปโดนผึ้งที่ไหนต่อย ร่างสูงเดินเข้าไปข้างเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปดึงขาคนตัวน้อยลากลงจากเตียง "ออกไปจากเตียงข้า" เสียนเปาเหลือบมองข้อเท้าของตน ก่อนจะรีบสะบัดมือที่เกาะกุมข้อเท้าอยู่นั้นออก "ท่านช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเสียจริง เตียงใหญ่ถึงเพียงนี้เราแบ่งกันนอนก็ได้" เหตุใดคนผู้นี้ถึงขี้งกจริงเชียว "ข้าไม่อยากนอนกับเจ้า" หวังเหว่ยส่วนกลับอย่างหงุดหงิด เขายืนเท้าเอวมองคนตัวเล็กที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างเอาเรื่อง "เช่นนั้นท่านก็ไปนอนพื้น" ดรุณีน้อยพูดเสร็จก็คร้านจะสนใจ นางนอนตะแคงข้างหันหลังให้อีกฝ่ายจนหวังเหว่ยเห็นถึงกับโกรธจัด เขาขบกรามแน่นพลางชี้นิ้วด่ากราดเสียงแข็ง "เจ้า...!" ทว่าต่อให้เสียงของเขาจะดังแต่ก็ไม่อาจเรียกให้ดรุณีสนใจ นางยังคงนอนเอกเขนกอยู่เช่นเดิม จนร่างสูงตัดสินใจเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นมาจากเตียงแล้วโยนลงพื้นอย่างไม่กลัวนางจะเจ็บ เสื้อผ้า
เสียนเปาตื่นขึ้นมาอีกก็ล่วงเข้ายามซื่อ[1]แล้ว นางยันตัวลุกจากฟูกด้วยสีหน้างัวเงียพลางบิดขี้เกียจ มือน้อยลูบท้องเพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา ครั้นก้มมองเรือนร่างของตนที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น สีหน้าก็ฉายแววครุ่นคิดเพียงชั่วอึดใจ ดวงตากระจ่างใสเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ ในเมื่ออยู่ในกระโจมของหวังเหว่ยเสื้อตัวนี้ก็ต้องเป็นของบุรุษผู้นั้น หญิงสาวไม่รีรอที่จะหยิบมันมาคลุมทับเรือนร่างของตัวเอาไว้ ก่อนจะเดินออกจากกระโจมไปอย่างสบายใจ แต่เมื่อออกนอกกระโจมก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะดูแล้วคนในค่ายโจรค่อนข้างน้อยกว่าเมื่อวาน นางสงสัยนักว่าพวกเขาหายไปไหนกันหมด แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดไปมากกว่านี้ก็เห็นแผ่นหลังของหวังเหว่ยหายเข้าไปในกระโจมหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากตรงที่นางยืน ร่างบางรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีจนหวังเหว่ยได้ยินแล้วหันกลับมามองตามเสียงฝีเท้า ดวงตาคู่คมหรี่เล็กลงยามที่เห็นเสื้อคลุมตัวโปรดของตนกำลังถูกหญิงสาวสวมใส่ "ถอดออกมา" น้ำเสียงของเขาดุดันจนใครได้ยินก็ต้องนึกหวั่น ร่างบางเองก็ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกั
เส้นทางสู่หั่งโจวรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ แม้เมืองหั่งโจวในคำบอกกล่าวของเหล่าปีศาจจะเหมือนดั่งแดนสวรรค์ แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยความอันตราย เนื่องจากไม่ว่าปีศาจตนใดก็ล้วนอยากเดินทางไปที่แห่งนั้น ทำให้ยิ่งเข้าใกล้หั่งโจวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปีศาจให้เห็นได้ชัดมากหน้าหลายตา เสียนเปาน้อยใช้เงินที่ขโมยมาเช่ารถม้าสักคันเพื่อเดินทางไปให้ถึงหั่งโจวโดยเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะเห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่านเสียงล้อลากของรถม้าดังมาตลอดทาง เวลากลางวันไม่ได้มีแค่เพียงนางที่สัญจรผ่านถนนสายนี้ ไกลออกไปยังเห็นรถม้าของพ่อค้าเร่และคนต่างถิ่นอีกสองสามคัน ไม่รู้ว่าเพราะความเบื่อหน่ายหรือเปล่า จึงทำให้นางเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับคนขับรถม้า"ตาเฒ่า เจ้าเคยเจอปีศาจบ้างหรือไม่""ย่อมต้องเคยอยู่แล้วแม่นางน้อย ตัวข้าเองทำงานรับจ้างจึงต้องขับรถม้าตระเวนไปทุกที บ่อยครั้งที่มีคนเร่งรีบ ข้าก็ต้องขับรถม้าไปส่งผู้นั้นตอนกลางคืน" ราวกับประโยคที่นางเอ่ยจุดประเด็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งสอง ตาเฒ่าขับรถม้าก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตนให้นางฟัง บ่อยครั้งที่นางเผลอหลุดขำให้กับความเชื่อผิด ๆ
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คนอยู่รอบข้าง มีเพียงเสียงฝีเท้าของสตรีนางหนึ่งที่เดินลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม และเสียงลมที่พัดพากิ่งไม้ด้านนอกให้สั่นไหว ชุดสีม่วงราวกับสีดอกกล้วยไม้ขับเน้นให้หญิงผู้นั้นดูทรงเสน่ห์ หางตาที่เชิดขึ้นเต็มไปด้วยความยโสช่างเข้ากับแววตาที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงของนาง จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากที่แต่งแต้มสีแดงชาด เมื่อทุกอย่างมาหลอมรวมกันจึงทำให้หญิงผู้นั้นดูงดงามเกินกว่าใครจะเปรียบเสียนเปาจับจ้องสตรีผู้มาใหม่ตาไม่กะพริบ เหมือนคนผู้นั้นก็ดูเหมือนจะสนใจนางเช่นเดียวกัน ร่างอรชรเดินลงมาจากบนชั้นสองอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวแลดูงดงามสะกดสายตา จนกระทั่งเจ้าของร่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียนเปา ดวงตาสีม่วงมองสำรวจร่างบางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แต่ทั้งคู่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เป็นเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มที่ดูเหมือนจะเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอึดอัดจึงเอ่ยขึ้น "เถ้าแก่เนี้ย"เสียนเปาได้ยินคำของเสี่ยวเอ้อร์หนุ่ม ดวงตาหรี่เล็กลง ครั้นพอเหลือบไปเห็นว่าชายหนุ่มกำลังค้อมหัวเคารพหญิงตรงห
หลังจากที่เสียนเปาออกเดินทางตั้งแต่เช้า ไม่ถึงครึ่งวันนางก็เห็นกำแพงเมืองจากที่ไกล ๆ คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางคงจะได้เห็นหั่งโจวเสียที เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ดรุณีอารมณ์ดีขึ้นตลอดการเดินทาง ท่ามกลางเสียงล้อรถม้าลากจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของหนึ่งผู้โดยสารกับหนึ่งสารถีเมื่อรถม้าเคลื่อนมาหยุดตรงหน้าประตูเมืองขนาดยักษ์ ทั้งสองก็จำต้องร่ำลากันแต่เพียงเท่านี้"ขอบใจเจ้ามากตาเฒ่า หวังว่าเราคงได้พบกันอีก" เสียนเปากระโดดลงรถม้าพร้อมหันมาเอ่ยกับตาแก่ที่บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับก่อนจะตอบ "โชคดีแม่นาง"เสียนเปายืนมองรถม้าคันเก่าวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางที่จากมาจนลับสายตา แล้วจึงหันกลับมาเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองใหญ่ เนื่องจากหั่งโจวเป็นเมืองที่เปิดกว้างและอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจตราคัดคนเข้าเมืองอย่างเคร่งงวดสักเท่าไหร่ ดรุณีน้อยจึงสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทำอะไรมากนักบนถนนสายหนึ่งที่มีผู้คนสัญจรอยู่คับคั่ง ร้านรวงและแผงอาหารตั้งเรียงรายกันตลอดเส้นทางไปจนสดสาย สตรีรูปร่างบอบบางผู้มีใบหน้างดงามกำลังเดินปะปนกับฝู
ตระกูลอี้เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งหั่งโจว เสียนเปาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่มายืนอยู่หน้าจวนของอี้จางหมิ่นผู้นั้น แค่เพียงเห็นประตูจวนที่ทำด้วยหินแกะสลักสีดำเงาวับ กำแพงล้อมรอบจวนกินพื้นที่ไปทั่วทั้งตอกแถบนี้ ดรุณีก็รู้สึกราวกับบุญหล่นทับขึ้นมาทันทีหลังจากที่มาถึงจวนของอี้จางหมิ่น อี้จางหมิ่นก็ให้บ่าวไปจัดเตรียมห้องพักไว้ให้เสียนเปาก่อนที่ตนจะเป็นฝ่ายพาหญิงสาวเดินชมความหรูหราในจวนด้วยตนเอง ครั้นเห็นว่าแววตาคู่งามทอประกายตื่นเต้นยามมองสิ่งต่าง ๆ ก็ยิ่งรู้สึกกระหยิ่มใจเสียนเปาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเห็นความหรูหรามากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ความตื่นเต้นยินดีนี้นางมิได้เสแสร้งอย่างที่เคย ในขณะที่เดินชมสวนแห่งหนึ่งอยู่ดรุณีน้อยจึงเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่าย "ข้าไม่นึกว่าคุณชายอี้จะร่ำรวยถึงเพียงนี้""แม่นางพูดเกินเหตุ แค่นี้จะเรียกว่าร่ำรวยได้อย่างไร จวนแห่งนี้ท่านปู่เพียงแค่มอบให้ข้าตอนวันเกิดอายุครบสิบแปดเท่านั้น" แม้ถ้อยคำของอีกฝ่ายจะถ่อมตน แต่สีหน้ากลับมิได้เป็นเช่นนั้น อี้จางหมิ่นยังเอ่ยต่ออีกอย่างภูมิใจนัก "หากแม่นางได้เห็นจวนใหญ่ของสกุลอี้คงตกตะลึงเป็นแน่"
ต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
จู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน