เสียนเปาตื่นขึ้นมาอีกก็ล่วงเข้ายามซื่อ[1]แล้ว นางยันตัวลุกจากฟูกด้วยสีหน้างัวเงียพลางบิดขี้เกียจ มือน้อยลูบท้องเพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา ครั้นก้มมองเรือนร่างของตนที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น สีหน้าก็ฉายแววครุ่นคิดเพียงชั่วอึดใจ ดวงตากระจ่างใสเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ ในเมื่ออยู่ในกระโจมของหวังเหว่ยเสื้อตัวนี้ก็ต้องเป็นของบุรุษผู้นั้น หญิงสาวไม่รีรอที่จะหยิบมันมาคลุมทับเรือนร่างของตัวเอาไว้ ก่อนจะเดินออกจากกระโจมไปอย่างสบายใจ แต่เมื่อออกนอกกระโจมก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะดูแล้วคนในค่ายโจรค่อนข้างน้อยกว่าเมื่อวาน นางสงสัยนักว่าพวกเขาหายไปไหนกันหมด แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดไปมากกว่านี้ก็เห็นแผ่นหลังของหวังเหว่ยหายเข้าไปในกระโจมหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากตรงที่นางยืน ร่างบางรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีจนหวังเหว่ยได้ยินแล้วหันกลับมามองตามเสียงฝีเท้า ดวงตาคู่คมหรี่เล็กลงยามที่เห็นเสื้อคลุมตัวโปรดของตนกำลังถูกหญิงสาวสวมใส่ "ถอดออกมา" น้ำเสียงของเขาดุดันจนใครได้ยินก็ต้องนึกหวั่น ร่างบางเองก็ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขานักจึงรีบเอ่ยเสียงอ่อนตอบกลับไป "ข้าแค่ยืมใส่ชั่วคราวเอง ท่านอย่านึกโกรธได้หรือไม่ อย่าลืมนะว่าท่านเป็นคนบังคับให้ข้าใส่ชุดนี้" นางหมายถึงเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนี้ที่เขาให้นางใส่ไปงานเลี้ยงของพวกเขาเมื่อคืน หากนางเดินอยู่ในค่ายโจรด้วยชุดแบบนี้ คงโดนฉุดไปใต้ต้นไม้แล้วทำอะไรมิดีอีกแน่ ถึงแม่หวังเหว่ยจะรู้ดีว่าที่สตรีตรงหน้าพูดหมายถึงอะไร แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เสื้อคลุมบนเรือนร่างเล็กราวกับเป็นของรักของหวง ใช่! ในกระโจมของเขาใช่ว่าจะมีแค่เสื้อคลุมตัวนี้ตัวเดียวเสียหน่อย หากเป็นตัวอื่นที่โดนนางขโมยไปเขาคงไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ไม่ใช่กับตัวนี้! ชายหนุ่มรีบเอ่ยเสียงต่ำ "รีบไปเปลี่ยนออก" ดรุณีเห็นสีหน้าของคนตรงหน้าเริ่มไม่สู้ดีจึงรีบบอก "ข้ารู้แล้ว ๆ แต่ข้าหิว กินเสร็จค่อยไปเปลี่ยนได้หรือไม่" ว่าพลางสายตาก็มองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ กระโจมหลังนี้มีเพียงแค่หวังเหว่ย อาหารมากมายเช่นนี้เขาคงไม่คิดจะกินคนเดียวใช่หรือไม่ มีนางมาร่วมวงด้วยคงไม่เสียหายนักหรอก ชายหนุ่มมองหญิงตรงหน้าที่เอาแต่จ้องอาหารด้วยแววตาตะกละก่อนจะถอนหายใจออกมา ตั้งแต่เมื่อวานเขาไม่รู้ว่าถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว ร่างสูงหันหลังเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่สนใจสาวน้อย ถึงเขาไม่ได้เอ่ยชวนแต่เสียนเปาก็ยังคงความหน้าด้านหน้าทนของตัวเองเอาไว้แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้ารำคาญนาง ก็ตอนนี้นางหิวจะให้นางสนใจสิ่งอื่นไปไย! ในระหว่างที่กินอาหาร เสียนเปาก็นึกสงสัย "เหตุใดวันนี้ในค่ายจึงมีคนน้อยนัก" "เจ้ารู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา" น้ำเสียงของหวังเหว่ยยังราบเรียบจนเดาความคิดไม่ออก เขาก้มหน้าก้มตากินอาหาร ทำราวกับหญิงที่นั่งด้านข้างไม่มีตัวตนในสายตา "ข้าแค่สงสัยเท่านั้น เจ้าไม่ตอบก็เรื่องของเจ้า" ชายหนุ่มเหลือบมองดรุณีน้อยแวบหนึ่ง แต่ก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกินจุเสียจนแก้มตุ่ยออกมา "เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่" "แค่ก ๆ ...เจ้าพูดว่าอะไรนะ" เสียนเปารีบทิ้งน่องไก่ที่ยังแทะไม่หมด ส่วนที่อยู่ในปากก็สำลักจนเกือบจะติดคอ อะไร! คนผู้นี้รู้อะไรมา! แววตาของหวังเหว่ยมองนางอย่างประหลาดวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหันหน้าหนีเพราะใบหน้าของดรุณีน้อยในเวลานี้ดูน่าตลกเกินไป แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังต้องพยายามดัดให้ปกติเข้าไว้ "สตรีตัวเล็กเยี่ยงเจ้ากินอาหารมากมายขนาดนี้ หากเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นหมูข้าก็ไม่สงสัย" ปากเสีย! นางกินแค่นี้ถือว่าเยอะเสียที่ไหน แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ร่างบางกลับไม่ได้เถียงอีกฝ่ายกลับ เพราะกลัวว่าจะโดนไล่ตะเพิดออกจากกระโจมทั้งที่ยังไม่อิ่ม "ท่านจะไม่บอกจริงหรือว่าเหตุใดวันนี้ในค่ายคนถึงน้อยนัก" หวังเหว่ยรู้ดีว่าหากไม่ตอบคำถาม สตรีผู้นี้ก็จะถามอยู่ไม่เลิก สุดท้ายจึงเอ่ยตอบตามความจริงไป "วันนี้พวกข้าจะออกปล้น" มือของดรุณีชะงัก "พวกท่านไม่กลัวบาปกรรมเลยหรือไง" "สตรีมักมากในกามเช่นเจ้ายังมีหน้ามาด่าพวกข้าด้วยคำนี้จริงหรือ" มันก็จริง... เสียนเปายักไหล่ตอบก่อนจะนั่งกินอาหารไปเงียบ ๆ หวังเหว่ยเห็นก็กระตุกยิ้มเยาะ เพียงไม่นานร่างสูงก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกไป แต่ไม่ลืมเตือนนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ "กินเสร็จก็อย่าลืมเอาเสื้อคลุมข้าไปเปลี่ยน" ร่างบางได้ยินก็แยกเขี้ยวใส่ นางมองร่างของบุรุษเดินออกจากกระโจมไปในขณะที่กำลังนั่งแทะกระดูกไก่อยู่ เดี๋ยวนะ...นี่เป็นโอกาสเหมาะเลยสิ! ร่างบางรีบทิ้งกระดูกไก่ลงบนจาน ก่อนจะลุกขึ้นด้วยสีหน้ายินดี นางรีบวิ่งปรี่ออกจากกระโจมไป ในกระโจมพักที่อู่หางจัดไว้ให้นางในวันแรก เสียนเปากำลังเปลี่ยนชุดตัวเก่าของตนอย่างว่องไว สายตาพลันเหลือบมองเสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ประกายในแววตาพลันวูบไหวเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ ดรุณีน้อยรีบคว้าเสื้อคลุมก่อนจะวิ่งกลับไปที่กระโจมของหวังเหว่ย หมายจะขโมยของมีค่าติดไม้ติดมือก่อนจะหนี เป็นถึงหัวหน้าโจรในกระโจมจะไม่มีของมีค่าเลยหรือไง! นางจะหนีโดยที่ไม่มีเงินเช่นนี้ทำได้ที่ไหนกัน! ร่างบางค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นเงินจำนวนสามถุงถูกโยนไว้มุมกระโจมอย่างทิ้งขว้าง นางรีบเก็บเข้าย้ามน้อยของตนพร้อมกับเครื่องประดับที่ดูจะมีค่าอีกสองสามอย่างได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมที่ตอนแรกนางคิดจะคืน แต่จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจกะทันหัน เหอะ ไหน ๆ เจ้าก็เป็นขโมย โดนขโมยของเสียเองบ้างจะรู้สึกเช่นไร แค่นึกถึงใบหน้าของชายผู้นั้นตอนที่กลับมาเห็นว่าของในกระโจมของตนเองถูกรื้อค้น เสียนเปาก็แทบจะอดหัวเราะด้วยความสะใจไม่ไหว นางรีบพุ่งออกจากกระโจมของหวังเหว่ย แล้วย่องออกจากค่ายโจรไปโดยไม่มีใครพบเจอนางอีก เส้นทางสู่หั่งโจวรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ แม้เมืองหั่งโจวในคำบอกกล่าวของเหล่าปีศาจจะเหมือนดั่งแดนสวรรค์ แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยความอันตราย เนื่องจากไม่ว่าปีศาจตนใดก็ล้วนอยากเดินทางไปที่แห่งนั้น ทำให้ยิ่งเข้าใกล้หั่งโจวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปีศาจให้เห็นได้ชัดมากหน้าหลายตา เสียนเปาน้อยใช้เงินที่ขโมยมาเช่ารถม้าสักคันเพื่อเดินทางไปให้ถึงหั่งโจวโดยเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะเห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่านเสียงล้อลากของรถม้าดังมาตลอดทาง เวลากลางวันไม่ได้มีแค่เพียงนางที่สัญจรผ่านถนนสายนี้ ไกลออกไปยังเห็นรถม้าของพ่อค้าเร่และคนต่างถิ่นอีกสองสามคัน ไม่รู้ว่าเพราะความเบื่อหน่ายหรือเปล่า จึงทำให้นางเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับคนขับรถม้า"ตาเฒ่า เจ้าเคยเจอปีศาจบ้างหรือไม่""ย่อมต้องเคยอยู่แล้วแม่นางน้อย ตัวข้าเองทำงานรับจ้างจึงต้องขับรถม้าตระเวนไปทุกที บ่อยครั้งที่มีคนเร่งรีบ ข้าก็ต้องขับรถม้าไปส่งผู้นั้นตอนกลางคืน" ราวกับประโยคที่นางเอ่ยจุดประเด็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งสอง ตาเฒ่าขับรถม้าก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตนให้นางฟัง บ่อยครั้งที่นางเผลอหลุดขำให้กับความเชื่อผิด ๆ
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คนอยู่รอบข้าง มีเพียงเสียงฝีเท้าของสตรีนางหนึ่งที่เดินลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม และเสียงลมที่พัดพากิ่งไม้ด้านนอกให้สั่นไหว ชุดสีม่วงราวกับสีดอกกล้วยไม้ขับเน้นให้หญิงผู้นั้นดูทรงเสน่ห์ หางตาที่เชิดขึ้นเต็มไปด้วยความยโสช่างเข้ากับแววตาที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงของนาง จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากที่แต่งแต้มสีแดงชาด เมื่อทุกอย่างมาหลอมรวมกันจึงทำให้หญิงผู้นั้นดูงดงามเกินกว่าใครจะเปรียบเสียนเปาจับจ้องสตรีผู้มาใหม่ตาไม่กะพริบ เหมือนคนผู้นั้นก็ดูเหมือนจะสนใจนางเช่นเดียวกัน ร่างอรชรเดินลงมาจากบนชั้นสองอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวแลดูงดงามสะกดสายตา จนกระทั่งเจ้าของร่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียนเปา ดวงตาสีม่วงมองสำรวจร่างบางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แต่ทั้งคู่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เป็นเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มที่ดูเหมือนจะเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอึดอัดจึงเอ่ยขึ้น "เถ้าแก่เนี้ย"เสียนเปาได้ยินคำของเสี่ยวเอ้อร์หนุ่ม ดวงตาหรี่เล็กลง ครั้นพอเหลือบไปเห็นว่าชายหนุ่มกำลังค้อมหัวเคารพหญิงตรงห
หลังจากที่เสียนเปาออกเดินทางตั้งแต่เช้า ไม่ถึงครึ่งวันนางก็เห็นกำแพงเมืองจากที่ไกล ๆ คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางคงจะได้เห็นหั่งโจวเสียที เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ดรุณีอารมณ์ดีขึ้นตลอดการเดินทาง ท่ามกลางเสียงล้อรถม้าลากจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของหนึ่งผู้โดยสารกับหนึ่งสารถีเมื่อรถม้าเคลื่อนมาหยุดตรงหน้าประตูเมืองขนาดยักษ์ ทั้งสองก็จำต้องร่ำลากันแต่เพียงเท่านี้"ขอบใจเจ้ามากตาเฒ่า หวังว่าเราคงได้พบกันอีก" เสียนเปากระโดดลงรถม้าพร้อมหันมาเอ่ยกับตาแก่ที่บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับก่อนจะตอบ "โชคดีแม่นาง"เสียนเปายืนมองรถม้าคันเก่าวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางที่จากมาจนลับสายตา แล้วจึงหันกลับมาเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองใหญ่ เนื่องจากหั่งโจวเป็นเมืองที่เปิดกว้างและอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจตราคัดคนเข้าเมืองอย่างเคร่งงวดสักเท่าไหร่ ดรุณีน้อยจึงสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทำอะไรมากนักบนถนนสายหนึ่งที่มีผู้คนสัญจรอยู่คับคั่ง ร้านรวงและแผงอาหารตั้งเรียงรายกันตลอดเส้นทางไปจนสดสาย สตรีรูปร่างบอบบางผู้มีใบหน้างดงามกำลังเดินปะปนกับฝู
ตระกูลอี้เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งหั่งโจว เสียนเปาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่มายืนอยู่หน้าจวนของอี้จางหมิ่นผู้นั้น แค่เพียงเห็นประตูจวนที่ทำด้วยหินแกะสลักสีดำเงาวับ กำแพงล้อมรอบจวนกินพื้นที่ไปทั่วทั้งตอกแถบนี้ ดรุณีก็รู้สึกราวกับบุญหล่นทับขึ้นมาทันทีหลังจากที่มาถึงจวนของอี้จางหมิ่น อี้จางหมิ่นก็ให้บ่าวไปจัดเตรียมห้องพักไว้ให้เสียนเปาก่อนที่ตนจะเป็นฝ่ายพาหญิงสาวเดินชมความหรูหราในจวนด้วยตนเอง ครั้นเห็นว่าแววตาคู่งามทอประกายตื่นเต้นยามมองสิ่งต่าง ๆ ก็ยิ่งรู้สึกกระหยิ่มใจเสียนเปาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเห็นความหรูหรามากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ความตื่นเต้นยินดีนี้นางมิได้เสแสร้งอย่างที่เคย ในขณะที่เดินชมสวนแห่งหนึ่งอยู่ดรุณีน้อยจึงเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่าย "ข้าไม่นึกว่าคุณชายอี้จะร่ำรวยถึงเพียงนี้""แม่นางพูดเกินเหตุ แค่นี้จะเรียกว่าร่ำรวยได้อย่างไร จวนแห่งนี้ท่านปู่เพียงแค่มอบให้ข้าตอนวันเกิดอายุครบสิบแปดเท่านั้น" แม้ถ้อยคำของอีกฝ่ายจะถ่อมตน แต่สีหน้ากลับมิได้เป็นเช่นนั้น อี้จางหมิ่นยังเอ่ยต่ออีกอย่างภูมิใจนัก "หากแม่นางได้เห็นจวนใหญ่ของสกุลอี้คงตกตะลึงเป็นแน่"
ตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น ทุกวันอี้จางหมิ่นจะไปหาเสียนเปาที่เรือนพักในเวลากลางคืนและกลับออกมาอีกครั้งช่วงดึก ในบางคืนเขาก็มักจะค้างอยู่ที่นั่นจนถึงเช้า บ่าวไพร่ในเรือนต่างรู้กันว่าคุณชายของพวกเขามีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับหญิงที่เขาเก็บมาจากข้างนอก และเหมือนทุกคนจะชินกับเรื่องจำพวกนี้ไปกันเสียหมด แม้ตัวเสียนเปาเองจะถูกคนภายนอกมองเหมือนเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงผู้หนึ่ง แต่นางก็มิได้รู้สึกรังเกียจเพราะสิ่งที่แลกมาได้นั้นมากมายเป็นพิเศษ ทุกวันนี้นอกจากจะรองรับอารมณ์ใคร่ของอี้จางหมิ่น นางก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าวปลาอาหารก็มีพร้อมไว้ให้ เสื้อผ้าสวยงามก็ประเคนเข้ามาจนแทบจะรับไว้ไม่หมดวันเวลาล่วงเลยไปถึงเจ็ดวัน นับแต่ที่นางได้ย่างกรายเข้ามาสู่จวนหลังนี้ ในคราวแรกเสียนเปาก็ยังคงต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นหวาดกลัวคุณชายอี้อยู่ แต่พอหลัง ๆ มาก็เริ่มจะขี้เกียจตีหน้าซื่อแล้ว ส่วนอี้จางหมิ่นเองก็มิได้รู้สึกว่าหญิงสาวมีอะไรแปลก เพราะเขาคงเคยพบเจอสตรีมาเกือบทุกรูปแบบเช่นกัน คงคิดว่าเสียนเปาเองก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่คิดจะหันมาพึ่งใบบุญคุณชายตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวยโดยแลกกับร่างกาย แม้ในความจริงแล้ว
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
ต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
จู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน