หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ
ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาดจู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
ต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
ยุทธภพกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมายต่างใฝ่หาความเป็นนิรันดร์ หนึ่งในนั้นมีปีศาจน้อยรูปร่างอรชร นางคิดจะใช้ใบหน้างดงามเพื่อหลอกล่อบุรุษ ชีวิตของมนุษย์ก็เพียงแค่เอาไว้ใช้สั่งสมตบะของปีศาจณ ป่าที่อยู่ลึกสุดของแผ่นดินใหญ่ มีกระแสธาราไหลผ่านจากป่าหนึ่งไปสู่อีกป่า เสียงสายน้ำสาดกระเซ็นดังสะท้อนไปพร้อมกับเสียงไหวของกิ่งไม้ สตรีนางหนึ่งกำลังเปลือยกายลงแช่น้ำในลำธารใส ปากก็พลางฮัมเพลงอย่างสบายอกสบายใจราวกับมีนางคนเดียวอยู่ในป่าแห่งนี้ น้ำเสียงไพเราะดังกังวานไปทั่วจนแว่วเข้าสู่โสตประสาทของผู้มาใหม่ ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งได้ยินของนางก็ราวกับต้องมนต์สะกด เขาเยื่อย่างตามเสียงของดรุณีน้อยเข้าไปใกล้ลำธาร ทันทีที่เขาสบเข้ากับเรือนร่างเปลือยเปล่าของเจ้าของเสียงหวาน ผิวขาวกระจ่างยามถูกแสงจันทร์กระทบชวนให้นึกหลงใหล เต้าอวบอิ่มทั้งสองใหญ่เกินขนาดรูปร่างที่เล็กของนางไปมากมาย ยอดปทุมถันสีสดชวนให้อยากลิ้มชิมรสดูสักครั้งฉับพลันฝีเท้าของชายหนุ่มก็เผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ทำให้ดรุณีที่กำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารได้ยินเข้าจึงตกใจ นางหันไปตามเสียง จึงเห็นว่ามีบุรุษแปลกหน้ายืนมองตนอาบน้ำอยู่ด้วยแววตาหลงใหล ดวงห
เจ็ดดินแดนแปดคาบสมุทรช่างกว้างใหญ่สำหรับการเดินทางของปีศาจตนน้อยตนหนึ่ง แม้นางจะอาศัยบุรุษมากตัณหาพวกนั้นเพื่อเสริมสร้างตบะ แต่เนื่องจากเพิ่งได้ร่างมนุษย์มา พลังที่เคยมีจึงลดลงไปมากโข ร่างกายของนางตอนนี้อ่อนแอเสียจนเทียบได้กับมนุษย์เพียงผู้หนึ่ง ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เฉกเช่นปีศาจที่มีตบะแกร่งกล้า ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงได้ใช้เงินที่ขโมยมาจากจอมยุทธ์คนเมื่อวานเพื่อจ้างรถม้าเดินทางไปหั่งโจว ได้ยินมาจากพี่สาวปีศาจคนหนึ่งบอกว่าที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ซึ่งถือเป็นแหล่งชุกชุมของปีศาจหลายเผ่า ที่แห่งนั้นมีมนุษย์กับปีศาจจะอยู่ปะปนกันจนแทบแยกไม่ออก แต่เรื่องพวกนี้คงมีแค่ปีศาจเท่านั้นที่รับรู้ เพราะหากมนุษย์รู้เรื่องเหล่านี้เข้าปีศาจคงไม่อาจอยู่อย่างสงบได้หั่งโจวเป็นสถานที่เหมาะสำหรับปีศาจที่ไม่มีที่ไปเช่นนาง เสียนเปาเคยใฝ่ฝันอยากจะหาใครสักคนเพื่อมาบำเพ็ญคู่และอาศัยอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ถึงจะรู้ว่าความเป็นจริงแล้วคนที่ทนไอปีศาจได้นั้นจะมีน้อยนัก แต่นางก็ยังหวังว่าในชาตินี้นางจะได้เจอคนผู้นั้นที่นางใฝ่ฝัน ว่ากันว่าหากเป็นคู่บำเพ็ญที่เหมาะสมชีวิตของทั้งคู่อาจยืนยาวไปเป็นหมื่นปีแม้จะได้ยินมาจากปีศา
เมื่อมาถึงกระโจมที่พักแรมกลางป่าของกลุ่มชายฉกรรจ์ หญิงสาวก็รีบกระโดดลงจากรถม้าก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจโดยรอบอย่างสนอกสนใจ ที่นี่เหมือนจะเป็นค่ายอะไรสักอย่าง คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย สตรีที่เห็นกลับมีอยู่เพียงน้อยนิดเมื่อมีหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลาย นางก็ตกเป็นจุดสนใจไปในที่สุด หน้าตางดงามของนางสร้างเสียงฮือฮาจนดังกระหึ่ม ดรุณีน้อยเห็นเช่นนั้นจึงแสร้งทำท่าทีเป็นหวาดกลัว แล้วก้าวไปหลบอยู่หลังชายหนุ่มที่เพิ่งกระโดดลงจากที่คุมบังเหียน นางใช้มือจับแขนเสื้อของหวังเหว่ยแน่นก่อนจะมองเขาด้วยสายตาน่าสงสารดูสิ้ว่าเจ้าจะไม่หลงข้าได้อย่างไร...หวังเหว่ยเหลือบมองคนที่ใช้มือเกาะแขนเสื้อของตน ก่อนจะรีบสะบัดออกราวกับว่านางเป็นตัวนำโชคร้าย เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างไม่ค่อยดังนักแต่เสียนเปาที่อยู่ใกล้ ๆ กลับได้ยินชัด "อย่ามาจับข้า เจ้าชอบมิใช่หรือไง"เสียนเปายังคงแสร้งทำท่าทีใสซื่อไม่เข้าใจ "ท่านพูดอะไรเจ้าคะ"หวังเหว่ยคร้านจะพูดให้มากความกับสตรีนางนี้ จึงเลือกที่จะเดินเข้าไปในกระโจมของตนโดยไม่สนใจนางอีก ลับหลังเขาจึงไม่เห็นว่าแววตาของดรุณียามที่มองตนเดินหายเข้าไปในกระโจมน
ต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
จู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน