เส้นทางสู่หั่งโจวรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ แม้เมืองหั่งโจวในคำบอกกล่าวของเหล่าปีศาจจะเหมือนดั่งแดนสวรรค์ แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยความอันตราย เนื่องจากไม่ว่าปีศาจตนใดก็ล้วนอยากเดินทางไปที่แห่งนั้น ทำให้ยิ่งเข้าใกล้หั่งโจวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปีศาจให้เห็นได้ชัดมากหน้าหลายตา เสียนเปาน้อยใช้เงินที่ขโมยมาเช่ารถม้าสักคันเพื่อเดินทางไปให้ถึงหั่งโจวโดยเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะเห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
เสียงล้อลากของรถม้าดังมาตลอดทาง เวลากลางวันไม่ได้มีแค่เพียงนางที่สัญจรผ่านถนนสายนี้ ไกลออกไปยังเห็นรถม้าของพ่อค้าเร่และคนต่างถิ่นอีกสองสามคัน ไม่รู้ว่าเพราะความเบื่อหน่ายหรือเปล่า จึงทำให้นางเอ่ยถามอะไรบางอย่างกับคนขับรถม้า "ตาเฒ่า เจ้าเคยเจอปีศาจบ้างหรือไม่" "ย่อมต้องเคยอยู่แล้วแม่นางน้อย ตัวข้าเองทำงานรับจ้างจึงต้องขับรถม้าตระเวนไปทุกที บ่อยครั้งที่มีคนเร่งรีบ ข้าก็ต้องขับรถม้าไปส่งผู้นั้นตอนกลางคืน" ราวกับประโยคที่นางเอ่ยจุดประเด็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งสอง ตาเฒ่าขับรถม้าก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตนให้นางฟัง บ่อยครั้งที่นางเผลอหลุดขำให้กับความเชื่อผิด ๆ ที่มนุษย์มีแก่ปีศาจ "ท่านกำลังจะบอกว่าพวกปีศาจกลัวแสงอาทิตย์งั้นหรือ" "มิใช่หรือแม่นาง ข้าก็เจอปีศาจมากตั้งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นพวกมันเป็นหลังพระอาทิตย์ตกทุกที" เสียนเปาขำออกมา "ข้าไม่รู้สิ ข้าไม่ใช่ปีศาจ" ตาเฒ่าที่ได้ยินเช่นนั้นเอาแต่นั่งเงียบ เสียนเปาจึงเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุยทันที "ตาเฒ่า...เจ้าไม่มีคนรักบ้างหรือ" "ข้าเคยมี แต่ตอนนี้นางไม่อยู่กับข้าแล้ว" "นางไปอยู่ที่ใดแล้วหรือ" "ไม่รู้สิ" เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงอบอุ่นของชายชรากลับแฝงไปด้วยความเศร้าหมองอยู่ลึก ๆ จนเสียนเปาเริ่มเข้าใจทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง นางมองแผ่นหลังที่ค่อมงอนั้นอย่างนิ่งเงียบ สตรีผู้นั้นตายแล้วหรือ... "ข้าขอโทษ" "ไม่เป็นไรแม่นาง" เป็นชายชราที่ไม่นึกถือสา เขาจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังคิดถึงเรื่องราวหญิงผู้นั้น "ข้ารู้ว่าสังขารของข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงตอนนั้นข้าคงได้ไปหานางสักที" เสียนเปานั่งมองชายชราผู้นั้นอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะหลับตาเอนหลังพิงผนังรถม้า ปล่อยให้ตลอดเส้นทางมีเพียงเสียงรถม้ามุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่านางเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด ตื่นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงเวลาพลบค่ำ ชายชราคนขับรถม้าจึงแนะนำให้นางพักโรงเตี๊ยมข้างหน้า เสียนเปาจ้องมองโรงเตี๊ยมเปลี่ยวร้างที่ใกล้เข้ามาทุกที โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งแต่กลางป่าแลดูน่าประหลาดนัก แต่ถึงกระนั้นก็มีนักเดินทางจำนวนมากแวะพักที่นี่ ยิ่งรถม้าเคลื่อนตัวเข้าใกล้โรงเตี๊ยมกลิ่นอายปีศาจยิ่งเด่นชัด หญิงสาวเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างทว่าก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับคำที่ชายเชื้อเชิญ เมื่อดรุณีน้อยเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยม ดวงตาคู่งามเริ่มกวาดมองเพื่อสำรวจโดยรอบ พบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายเหมือนข้างนอกไม่มีผิด ชั้นล่างเป็นโถงกินอาหารซึ่งมีแขกที่เข้าพักนั่งอยู่ประปราย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างถิ่นที่จะเดินทางหั่งโจวและจอมยุทธ์ เมื่อมีสตรีหน้าตาสละสลวยเดินเข้ามาก็ตกเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ เสียนเปาแสยะยิ้มเพียงครู่หนึ่งจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจแล้วเดินไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่คอยรับแขก "ต้องการห้องพักกี่ห้องดีแม่นาง" เสี่ยวเอ้อร์รีบเอ่ยพร้อมยิ้มประจบนาง เสียนเปาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มตอบ "สองห้องเจ้าค่ะ" ในเมื่อนางมีเงินอยู่บ้างก็ไม่คิดจะตระหนี่กับชายชราผู้นั้น ถือซะว่าตอบแทนที่เขาดูแลและเป็นเพื่อนคุยกับนางมาตลอดทั้งวัน อีกอย่างเขาไม่ได้มีนิสัยเหมือนตาแก่ที่นางเจอเมื่อคราวก่อน! เงินพวกนี้ก็ไม่ใช่ของนาง เสียไปก็ค่อยหาเอาใหม่ก็ได้ เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็รีบจดลงสมุด แล้วเดินไปหยิบกุญแจห้องพักมาสองห้องมามอบให้ เสียนเปารับมาก่อนจะยื่นให้คนขับรถม้าที่เพิ่งเดินตามนางเข้ามาหลังจากหาที่จอดรถม้าแล้วเรียบร้อย โดยตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางใหม่ หลังจากที่แยกตัวออกมา เสียนเปาก็รีบขึ้นไปสำรวจห้องพักที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายเหมือนอย่างข้างล่างไม่มีผิด เป็นห้องขนาดเล็กซึ่งมุมห้องมีเตียงนอนไม้อยู่ ฟูกที่รองนอนดูท่าจะนุ่มสบาย อีกฝั่งซึ่งตรงกันข้ามมีหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งบัดนี้ปิดสนิท มีโต๊ะน้ำชาพร้อมเก้าอี้ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง น้ำชาในกาดูท่าจะเย็นชืดไปหมดแล้ว ในห้องยังมีชั้นเก็บของตั้งอยู่อีก แม้จะไม่หรูหราแต่ก็พออยู่ได้ ทุกอย่างเหมาะสมกับราคาที่จ่าย เมื่อเดินสำรวจจนทั่วแล้วเสร็จ ร่างบางก็เดินไปข้างเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนเอกเขนกบนเตียงพลางคิดอะไรไปเรื่อย อาจจะเพราะนั่งรถม้ามาหลายชั่วโมงทำให้เมื่อยและตอนที่นางหลับก็หลับไม่สนิท เพียงไม่นานเสียนเปาก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งจวบจนราตรีมาเยือน กลางดึกที่ผู้คนต่างหลับใหลกันไปหมด สายลมเย็นพัดลอดเข้ามาผ่านกรอบหน้าต่างบานใหญ่ สายลมนั้นมาพร้อมกลิ่นหอมแปลกประหลาด กลิ่นนั้นสร้างความตื่นตระหนกใส่สาวน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ เปลือกตาขาวนวลที่ปิดสนิทพลันเบิกกว้างขึ้นมาทั้งนัยน์ตาคู่งามยังสั่นระริก ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงราวกับมีใครกระชาก กลิ่นนี้มันอะไร... แต่เพียงไม่นานกลิ่นหอมหวานนั้นก็เลือนหายไปในที่สุด หัวคิ้วของเสียนเปายังคงขมวดเป็นปมอยู่ไม่คลาย นางยังคงคิดไม่ตกกลับกลิ่นเมื่อครู่จนต้องยกมือขึ้นลูบอกที่ภายในกำลังสั่นคล้ายจะระเบิด ครั้นนึกไปถึงยามพลบค่ำตอนที่นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปีศาจก็เริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงหน้างดงามเริ่มซีดขาวขึ้นเรื่อย ๆ มิใช่ว่ามีปีศาจตนไหนอาละวาดอยู่ในโรงเตี๊ยมหรอกนะ คนเยอะถึงเพียงนี้เจ้าปีศาจนั่นยังใจกล้าอยู่อีกหรือ! ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมในกลางดึกไม่คึกคักเท่าตอนพลบค่ำนัก เนื่องจากใครต่อใครต่างพากันพักผ่อนไปหมด มีเพียงเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังนั่งคิดเงินอยู่ตรงโต๊ะยาวซึ่งปกติเอาไว้ใช้รับแขก และแขกอีกสองสามคนที่นั่งยกจอกสุราราวกับคนเสียสติ แสงเทียนสีเหลืองนวลไม่ค่อยช่วยให้แสงสว่างมากนัก ทำให้บรรยากาศภายในโถงแห่งนี้ดูสลัว เสียงสายลมพัดลอดเข้ามาผ่านกรอบประตูที่เปิดกว้างพร้อมรับคนสัญจรผ่านมา เสียนเปาที่เพิ่งสงบใจได้หลังจากตื่นขึ้นมาอยากจะลงมาหาอะไรดื่มสักหน่อย แต่พอมาเห็นบรรยากาศเช่นนี้ยิ่งไม่ค่อยไว้วางใจเอาเสียเลย ครั้นเห็นเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มเมื่อตอนกลางวันจึงตัดสินใจเดินไปนั่งด้านข้างเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นจากลูกคิดแล้วส่งยิ้มตามมารยาทกลับ "ท่านนอนไม่หลับหรือ ให้ข้าไปชงชาอุ่น ๆ ให้หรือไม่" เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มถาม "สักหน่อยก็ดี" เสียนเปาเอ่ยเสียงราบพลางจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ตาไม่กะพริบราวกับกำลังจับผิด ทว่ากลับไม่เห็นอีกฝ่ายมีทีท่าผิดปกติอย่างที่ตนคิดเอาไว้ เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นเพียงละจากงานที่ทำแล้วเดินไปยังห้องครัวด้านหลังเพื่อยกชาร้อน ๆ มาให้ แล้วก็นั่งคิดเงินต่อไปโดยไม่สนใจนาง เสียนเปายกถ้วยชาขึ้นมาจิบ สัมผัสอุ่นร้อนพลอยทำให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านสงบลง ดวงตาคู่งามเหลือบมองออกไปนอกประตูโรงเตี๊ยมเป็นระยะ โคมสีแดงถูกแขวนอยู่ตรงประตูอย่างโดดเดี่ยวให้แสงสลัว มันถูกแขวนเอาไว้เพื่อใช้นำทางสำหรับแขกเหรื่อที่มาเข้าพัก ชั่วพริบตาเสียนเปาก็ถามบางอย่างกับเสี่ยวเอ้อร์หนุ่ม "แถวนี้เคยมีปีศาจออกมาอาละวาดบ้างหรือไม่" มือที่ดีดลูกคิดโบราณของเสี่ยวเอ้อร์พลันหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ในดวงตามีคลื่นอารมณ์บางอย่างวูบไหว "ไม่มีนะขอรับ" สิ้นคำเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มตัวน้อยก็ก้มหน้าลงคิดเงินต่อโดยไม่พูดสิ่งใดสักคำ เสียนเปาเห็นถึงความผิดปกติในดวงตาคู่นั้น แต่มองอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่นางไม่เข้าใจ...เป็นไปไม่ได้ที่กลางป่าเช่นนี้จะไม่มีปีศาจเข้ามาปะปนกับมนุษย์ที่อยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ต้องการจะปกปิดบางอย่าง แต่ก็ช่างเทิด นางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาจะซ่อนสิ่งใดไว้นั้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง หลังจากคืนนี้นางก็จะจากที่นี่ไปในทันที เสียนเปาละความสนใจทั้งหมดจากหนุ่มตัวน้อย ชั่วพริบตาเสียงฝีเท้ามั่นคงก็ดังเป็นจังหวะมาจากบันไดทางขึ้นชั้นสองของโรงเตี๊ยม พร้อมกลิ่นอายปีศาจที่นางเคยสัมผัสได้เมื่อตอนพลบค่ำ ร่างบางรีบหันไปยังทิศทางของเสียงนั้นทันทีบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คนอยู่รอบข้าง มีเพียงเสียงฝีเท้าของสตรีนางหนึ่งที่เดินลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม และเสียงลมที่พัดพากิ่งไม้ด้านนอกให้สั่นไหว ชุดสีม่วงราวกับสีดอกกล้วยไม้ขับเน้นให้หญิงผู้นั้นดูทรงเสน่ห์ หางตาที่เชิดขึ้นเต็มไปด้วยความยโสช่างเข้ากับแววตาที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงของนาง จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากที่แต่งแต้มสีแดงชาด เมื่อทุกอย่างมาหลอมรวมกันจึงทำให้หญิงผู้นั้นดูงดงามเกินกว่าใครจะเปรียบเสียนเปาจับจ้องสตรีผู้มาใหม่ตาไม่กะพริบ เหมือนคนผู้นั้นก็ดูเหมือนจะสนใจนางเช่นเดียวกัน ร่างอรชรเดินลงมาจากบนชั้นสองอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวแลดูงดงามสะกดสายตา จนกระทั่งเจ้าของร่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียนเปา ดวงตาสีม่วงมองสำรวจร่างบางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แต่ทั้งคู่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เป็นเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มที่ดูเหมือนจะเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอึดอัดจึงเอ่ยขึ้น "เถ้าแก่เนี้ย"เสียนเปาได้ยินคำของเสี่ยวเอ้อร์หนุ่ม ดวงตาหรี่เล็กลง ครั้นพอเหลือบไปเห็นว่าชายหนุ่มกำลังค้อมหัวเคารพหญิงตรงห
หลังจากที่เสียนเปาออกเดินทางตั้งแต่เช้า ไม่ถึงครึ่งวันนางก็เห็นกำแพงเมืองจากที่ไกล ๆ คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางคงจะได้เห็นหั่งโจวเสียที เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ดรุณีอารมณ์ดีขึ้นตลอดการเดินทาง ท่ามกลางเสียงล้อรถม้าลากจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของหนึ่งผู้โดยสารกับหนึ่งสารถีเมื่อรถม้าเคลื่อนมาหยุดตรงหน้าประตูเมืองขนาดยักษ์ ทั้งสองก็จำต้องร่ำลากันแต่เพียงเท่านี้"ขอบใจเจ้ามากตาเฒ่า หวังว่าเราคงได้พบกันอีก" เสียนเปากระโดดลงรถม้าพร้อมหันมาเอ่ยกับตาแก่ที่บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับก่อนจะตอบ "โชคดีแม่นาง"เสียนเปายืนมองรถม้าคันเก่าวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางที่จากมาจนลับสายตา แล้วจึงหันกลับมาเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองใหญ่ เนื่องจากหั่งโจวเป็นเมืองที่เปิดกว้างและอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจตราคัดคนเข้าเมืองอย่างเคร่งงวดสักเท่าไหร่ ดรุณีน้อยจึงสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทำอะไรมากนักบนถนนสายหนึ่งที่มีผู้คนสัญจรอยู่คับคั่ง ร้านรวงและแผงอาหารตั้งเรียงรายกันตลอดเส้นทางไปจนสดสาย สตรีรูปร่างบอบบางผู้มีใบหน้างดงามกำลังเดินปะปนกับฝู
ตระกูลอี้เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งหั่งโจว เสียนเปาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่มายืนอยู่หน้าจวนของอี้จางหมิ่นผู้นั้น แค่เพียงเห็นประตูจวนที่ทำด้วยหินแกะสลักสีดำเงาวับ กำแพงล้อมรอบจวนกินพื้นที่ไปทั่วทั้งตอกแถบนี้ ดรุณีก็รู้สึกราวกับบุญหล่นทับขึ้นมาทันทีหลังจากที่มาถึงจวนของอี้จางหมิ่น อี้จางหมิ่นก็ให้บ่าวไปจัดเตรียมห้องพักไว้ให้เสียนเปาก่อนที่ตนจะเป็นฝ่ายพาหญิงสาวเดินชมความหรูหราในจวนด้วยตนเอง ครั้นเห็นว่าแววตาคู่งามทอประกายตื่นเต้นยามมองสิ่งต่าง ๆ ก็ยิ่งรู้สึกกระหยิ่มใจเสียนเปาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเห็นความหรูหรามากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ความตื่นเต้นยินดีนี้นางมิได้เสแสร้งอย่างที่เคย ในขณะที่เดินชมสวนแห่งหนึ่งอยู่ดรุณีน้อยจึงเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่าย "ข้าไม่นึกว่าคุณชายอี้จะร่ำรวยถึงเพียงนี้""แม่นางพูดเกินเหตุ แค่นี้จะเรียกว่าร่ำรวยได้อย่างไร จวนแห่งนี้ท่านปู่เพียงแค่มอบให้ข้าตอนวันเกิดอายุครบสิบแปดเท่านั้น" แม้ถ้อยคำของอีกฝ่ายจะถ่อมตน แต่สีหน้ากลับมิได้เป็นเช่นนั้น อี้จางหมิ่นยังเอ่ยต่ออีกอย่างภูมิใจนัก "หากแม่นางได้เห็นจวนใหญ่ของสกุลอี้คงตกตะลึงเป็นแน่"
ตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น ทุกวันอี้จางหมิ่นจะไปหาเสียนเปาที่เรือนพักในเวลากลางคืนและกลับออกมาอีกครั้งช่วงดึก ในบางคืนเขาก็มักจะค้างอยู่ที่นั่นจนถึงเช้า บ่าวไพร่ในเรือนต่างรู้กันว่าคุณชายของพวกเขามีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับหญิงที่เขาเก็บมาจากข้างนอก และเหมือนทุกคนจะชินกับเรื่องจำพวกนี้ไปกันเสียหมด แม้ตัวเสียนเปาเองจะถูกคนภายนอกมองเหมือนเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงผู้หนึ่ง แต่นางก็มิได้รู้สึกรังเกียจเพราะสิ่งที่แลกมาได้นั้นมากมายเป็นพิเศษ ทุกวันนี้นอกจากจะรองรับอารมณ์ใคร่ของอี้จางหมิ่น นางก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าวปลาอาหารก็มีพร้อมไว้ให้ เสื้อผ้าสวยงามก็ประเคนเข้ามาจนแทบจะรับไว้ไม่หมดวันเวลาล่วงเลยไปถึงเจ็ดวัน นับแต่ที่นางได้ย่างกรายเข้ามาสู่จวนหลังนี้ ในคราวแรกเสียนเปาก็ยังคงต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นหวาดกลัวคุณชายอี้อยู่ แต่พอหลัง ๆ มาก็เริ่มจะขี้เกียจตีหน้าซื่อแล้ว ส่วนอี้จางหมิ่นเองก็มิได้รู้สึกว่าหญิงสาวมีอะไรแปลก เพราะเขาคงเคยพบเจอสตรีมาเกือบทุกรูปแบบเช่นกัน คงคิดว่าเสียนเปาเองก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่คิดจะหันมาพึ่งใบบุญคุณชายตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวยโดยแลกกับร่างกาย แม้ในความจริงแล้ว
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด
ต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
จู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด
"คุณชายอี้..." ใช่แล้ว...เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คืออี้จางหมิ่นที่นางคุ้นเคย แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แต่ช่างเทิด...ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า เพราะว่าใบหน้าของอี้จางหมิ่นในเวลานี้บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แววตายามที่มองไปทางหวังเหว่ยทอประกายความโกรธเกลียดอย่างไม่คิดปิดบัง แม้เสียงของนางจะไม่ดัง แต่นางเชื่อว่าอี้จางหมิ่นนั้นได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะหันมามองนางที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงตกอยู่เพียงบุรุษผู้เดียวที่ชื่อหวังเหว่ย ในขณะที่เสียนเปายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ เสียงของหวังเหว่ยพลันดังขึ้นมาเรียกความสนใจของนางได้สำเร็จ "ไม่ได้เจอกันนานนะคุณชายอี้..." ราวกับสายอัสนีฟาดลงกลางศีรษะน้อย ๆ คำทักทายเมื่อครู่บ่งบอกได้ว่าคนทั้งสองเคยรู้จักกัน และสายตาสองคู่นั้นยังบอกชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอย นางหันไปมองหวังเหว่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากเขาอยู่ด
บัดนี้ริมระเบียงเหลือเพียงแค่เสียนเปา ส่วนจ้าวหนี่ไป๋นั้น หลังจากที่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็จากไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเท้าคางกับราวระเบียงพลางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสูงซึ่งปกป้องเมืองหั่งโจวเอาไว้ ดวงจันทร์ยังคงทอแสงประกายในค่ำคืนที่มืดมิด แสงจันทร์นั้นสาดส่องไปยังมุมหนึ่งของหั่งโจวที่มีชุมชนเล็ก ๆ แออัดกันอยู่ หลังคาเรือนเก่าซอมซ่อเรียงกันเบียดเสียด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันดับไฟเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว ช่างเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกับจุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้พอสมควรเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของดรุณีน้อยดังขึ้น ชั่วขณะที่หญิงสาวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปด้านในนั้น เบื้องหน้าบังเกิดเงามืดดำรูปร่างสูงใหญ่มาขว้างทาง คนผู้นี้สูงเสียจนระดับสายตาของคนตัวน้อยเหลือเพียงแค่อกกำยำของเขา กลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยนำพาให้เสียนเปาเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดหวั่น จังหวะต่อมาดวงตาคู่งามพลันสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม นางเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่คนผู้นั้นกลับใช้มือหยาบกระดากอุดปากนางเอาไว้ ก่อนจะลากตัวสาวน้อยเข้าไปในมุมลับสายตามุมหนึ่งเสียนเปาพยายามดิ้นรนขัด
บัดนี้พระอาทิตย์ของเมืองหั่งโจวตกไปได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถนนสายต่าง ๆ เริ่มเงียบสงัด ทว่าย่านใจกลางเมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสถานเริงรมย์กลับค่อย ๆ คึกคัก บนท้องถนนเริ่มมีบุรุษสตรีเดินพลุกพล่าน ร้านค้าต่าง ๆ รายล้อมเคหสถานขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของหั่วโจวมีหอคอยเจ็ดชั้นขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่านดูแล้วช่างโดดเด่นเป็นสง่ากว่าใคร เบื้องล่างตรงหน้าประตูทางเข้าหอคอยประดับโคมไฟหลากสีสัน แม้จะไร้แสงตะวันแต่สถานที่แห่งนี้กลับยังคงสว่างไสว รถม้าของจวนสกุลใหญ่ ๆ มากมายต่างหยุดลงเบื้องหน้าประตูทางเข้าหอคอยแห่งนั้น กล่าวได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 'ฮั๋วหราน' สถานที่อันโด่งดังของหั่งโจวทันทีที่รถม้าของเสียนเปามาหยุดที่หน้าประตู นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮั๋วหรานที่อี้จางหมิ่นพูดถึงมิได้ต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก คุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาจะอยากไปที่ไหนกันหากไม่ใช่สถานเริงรมย์พวกนี้ ทว่าฮั๋วหรานแห่งนี้กลับมีทั้งบุรุษและสตรีเข้าออก การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างเสียนเปาเดินเข้าไปจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากเมื่อเข้ามาภายในฮั๋วหราน เสียนเปาก็ถึงกับตกตะลึงกับความหรูหราที่ได้เห็นตรงหน้า แม้จะบอกว่าจวน