หลายวันผ่านพ้นไป...
“เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างเล็กของเย่หัวถอนหายใจออกมาแบบนี้ เนื่องจากในตอนที่ก่อนหน้านี้ที่นางได้หมดสติไปนั้น นางก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าที่ฝากเอาไว้ในห้วงแห่งความฝัน ที่จ่าหน้าซองเอาไว้ว่าถ้าหากนางสามารถรอดพ้นมาได้ก็แสดงว่านางนั้นจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ ได้ ซึ่งในจดหมายฉบับนี้จะมีสิ่งที่นางจะต้องรู้เอาไว้
ซึ่งสิ่งที่มันได้เขียนเอาไว้ก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาๆ อย่างนางเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่พอจะสามารถจับใจความได้คร่าวๆ ก็คือ...
อย่างแรกก็คือโลกนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง เนื่องจากช่วงเวลามันผ่านไปนานหลายภัทรกัปแล้ว และในโลกนี้นั้นเป็นช่วงเวลาขาลงของโลกที่มนุษย์จะมีอายุไขยาวนานราวสองร้อยสิบปี โดยที่แต่ละวันของโลกนี้จะยาวนานกว่าโลกเดิมของเราถึงสิบเท่า ส่วนแต่ละปีนั้นยาวนานกว่าหนึ่งพันสองร้อยวัน
ในตอนที่กวาดสายตาอ่านเจอคำพวกนี้คราวแรกนางก็ออกจะมึนๆ งงอยู่บ้าง แต่พอได้รู้รายละเอียดเรื่องของเวลาในโลกใบนี้นางก็ถึงกับอ้าปากค้าง
ถ้าอย่างนั้นที่นางอายุแปดขวบมันก็เท่ากับเท่าไหร่?...
เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ ซึ่งพอนางลองคำนวณคร่าวๆ แล้วก็ แต่ละชั่วโมงจะนานขึ้นสิบเท่า เท่ากับกว่าแต่ละวันยาวนานกว่าสองร้อยสี่สิบชั่วโมง แล้วถ้าแต่ละปีมีพันสองร้อยวันคิดคร่าวๆ ก็...
สองแสนแปดหมื่นแปดพันชั่วโมง...
หรือเท่ากับหมื่นสองพันวัน...
แล้วในตอนนี้นางอายุแปดขวบกับกี่เดือนไม่รู้มันก็เท่ากับว่าในตอนนี้นางมีอายุมาแล้วเก้าหมื่นหกพันวัน...
ถ้าตีให้มากเอาไว้ก่อนแล้วคิดแค่ให้แต่ละปีมีสามร้อยหกสิบหกวัน...
สองร้อยหกสิบกว่าปี!
นางที่ตัวเล็กๆ แบบนี้ถ้าหากเทียบกับโลกเดิมนั้นเท่ากับว่านางเป็นคุณทวดของทวดของทวดไปแล้วด้วยซ้ำ!!
นั่นว่าน่าตกใจมากแล้วแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือว่าถ้าหากว่าสิ่งที่เพื่อนตัวแสบเขียนเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้เป็นความจริงแล้วล่ะก็คนทั่วไปยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนานกว่าสองร้อยสิบปีเป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งเท่ากับว่ามันยังสามารถอยู่ได้นานกว่านั้น...
นั่นก็เท่ากับว่าถ้าหากนางสามารถมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวไปได้สักสองร้อยยี่สิบปีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย นั่นมันก็เท่ากับว่านางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้ได้ยาวนานกว่าเจ็ดพันสองร้อยวันหากเทียบเวลาของโลกเดิม...
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
ยังไม่รวมที่เนื้อหาในจดหมายได้บอกเอาไว้ว่า โลกนี้ยังเป็นโลกที่อยู่ในช่วงที่โลกยังอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้โลกนี้ยังมีพลังงานสวรรค์และโลกอุดมสมบูรณ์มากพอที่จะฝึกฝนลมปราณและบรรลุวรยุทธ์ในระดับสูง ซึ่งยิ่งถ้าหากบรรลุในระดับสูงขึ้นได้ก็จะสามารถมีชีวิตได้นานขึ้นเรื่อยๆอีกสิบปีร้อยปีหรือแม้แต่พันปี...
ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปนางก็ไม่ได้อยากที่จะฝึกฝนอะไรพวกนั้น แล้วเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่มีชีวิตอย่าสงสงบสุขก็พอแล้ว
อย่างที่สองที่ในจดหมายได้เขียนเอาไว้ก็คือหลังจากที่นางตื่นขึ้นมาถ้าหากนางเห็นหมาตัวโตๆคล้ายหมาทิเบตันมาสทิฟฟ์ก็ไม่ต้องตกใจไป ถึงจะไม่เหมือนสักเท่าไหร่แต่มันเป็นดวงจิตเดียวกับ “อีสัง” มูสัง(อีเห็น) ตัวเดิมของนางที่มาเกิดอยู่บนโลกใบนี้นานแล้ว ในระหว่างที่นางหมดสติมาอ่านจดหมายอยู่นี้มันที่รู้สึกคุ้นเคยกับดวงจิตเดิมของทิพย์ก็ได้มาดูแล เป็นหนึ่งในของขวัญที่เขามอบให้
อย่างสุดท้ายเป็นภาพวาดห่วยๆ เป็นตู้สี่เหลี่ยมสามมิติที่มีรูปคนเล็กๆสูงไม่ถึงหนึ่งในสิบของตู้เย็น โดยที่ตู้เย็นใบนี้มีของพะรุงพะรังทั้งข้างบนที่มันวาดอะไรเอาไว้ก็ไม่รู้ แล้วยังมีคำกำชับเอาไว้ว่าของในตู้เย็นนั้นเขาใส่ของที่จำเป็นเอาไว้ครบหมดแล้วและถ้าปิดเปิดใหม่ของจะเติมให้เองอัตโนมัติ แต่ถ้าหากนางไม่ยอมฝึกฝนก็จะไม่สามารถใช้งานตู้เย็นทั้งหมดได้ ส่วนตำรานางสามารถหยิบมันได้ตลอดเวลาเพียงแค่คิดถึง
ซึ่งมันยังคงเป็นคำอธิบายสั้นๆ ห้วนๆ แทบจะไม่เข้าใจเหมือนเดิม และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เพื่อนเก่าได้ทิ้งเอาไว้ให้ โดยที่ยังมีส่วนสุดท้ายเป็นปล.ของจดหมายเอาไว้ท้ายสุด
“นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่กูจะให้มึงได้แล้วจริงๆ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้กูไม่อยากให้มึงไปยึดติดกับสิ่งที่พบเจอไปก่อนหน้านี้ อย่างที่มึงรู้ช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง
ส่วนอดีตของมึงตอนนี้มึงยังจำไม่ได้หรอก แต่สักวันหนึ่งถ้ามึงแข็งแกร่งพอมึงจะจำมันได้เอง แล้วเมื่อเวลานั้นมาถึงมึงจะตัดสินใจอย่างไรค่อยว่ากัน
กูอยากให้มึงโฟกัสกับในปัจจุบันนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปในแบบที่มึงอยากมี กูรู้ว่ามึงดูซีรี่ย์มาก็ไม่น้อย นิยายที่กูส่งไปให้มึงก็หลายแนว มึงจะใช้ชีวิตแบบพวกนั้นหรือแบบที่มึงอยากทำก็ได้
กูแค่หวังว่ามึงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในแบบของมึง และเหมือนที่กูบอกกับมึงตลอดมา ไม่ว่ามึงจะทำอะไรก็ตาม แค่มึงสามารถยอมรับสิ่งที่ตามมาได้ก็พอ เพราะไม่ว่ายังไงทุกการกระทำย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ”
หลายวันมานี้นางยังคงทบทวนหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างโดยมีเจ้าหมาทิเบตันตัวเขื่องเมื่อเทียบกับร่างเล็กๆคอยเฝ้าดูไม่ห่าง จนในที่สุดในตอนนี้เองที่นางสามารถตัดสินใจได้เสียที
“เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองใช้ชีวิตใหม่ดูสักครั้งก็ได้ ถึงยังไงก็กลับไปไม่ได้อยู่แล้วนี่...ขอบใจมากนะไอ้ชา ที่ช่วยให้กูได้มีชีวิตอีกครั้ง กูรับรองว่าจะมีชีวิตอยู่ในถานะ “เย่หัว” ในแบบของกูให้ดีที่สุด”
……………………
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างไกลกับเมืองใหญ่พอสมควร เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชายป่าที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ไม่ถึงร้อยครัวเรือน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนนั้นจะอาศัยขึ้นไปหาของป่าที่ทิวเขาไกลออกไปหลายสิบลี้ เพราะว่าดินแดนแถบนี้ไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งและมีดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก ทำให้ไม่ค่อยเหมาะแก่การเพาะปลูกหัวเผือกหัวมันเท่าไรนัก ความเป็นอยู่ของผู้คนจึงลำบากมากพอตัวเลยทีเดียวถึงทิวเขาไกลออกไปหรือถ้าออกจากที่ดินผืนนี้ไปจะสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แต่ด้วยสำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ดินผืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาอย่างยาวนาน หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้ยังไม่รวมถึงเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ต้องไปทิ้งชีวิตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วด้วย สิริรวมแล้วสถานการณ์ของหมู่บ้านที่สุขสงบเช่นนี้ก็เริ่มจะไม่คอยดีมากนักจนกระทั่ง...เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนหรือนานกว่านั้น เริ่มมีผู้คนที่เดินขึ้นไปตามลำธารที่แห้งขอด ก็เริ
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรกันอย่างนั้นหรือ” เสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลจากเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่วิ่งนำลิ่วมาแต่ไกล ตามมาด้วยเด็กๆ อายุตั้งแต่หกถึงสิบห้าปีอีกสิบสองสิบสามคนที่ต่างก็พากันวิ่งมารวมตัวกันตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานย้อนความกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว ด้วยชุดที่เย่หัวสวมใส่อยู่อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างพิเศษหรือเพราะอะไรก็ตามแต่ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเพียงแค่ชุดเดียว แต่ก็เหมือนกับว่าเสื้อผ้าชุดนี้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้อย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะมอมแมมไปบ้างในหลายๆ ครั้งหลายๆ หน แต่นางก็ยังคงมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดกับเสื้อผ้าหรูหราเกินกว่าเด็กๆในหมู่บ้านเพราะแบบนั้นเองที่ทำให้ใครสักคนเรียกนางว่า “คุณหนู” แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เรียกนางว่าคุณหนูตามๆ กันมา ทั้งด้วยความแข็งแกร่งและใจดีของผู้คุ้มกันสี่ขา กับความเอื้อเฟื้ออาหารการกินสุดหรูหราให้กับเด็กๆ และผู้คนในหมู่บ้าน ถึงจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกรักและเอ็นดู “คุณหนู” เพียงหนึ่งเดีย
“คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรหรือเจ้าคะ?” จางหลัวเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในหมู่บ้านเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นก่อนใคร ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งหรือมีอายุมากกว่าคนอื่น แต่นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากพี่เบิ้มอย่าง ‘เจ้าสัง’ และเป็นคนริเริ่มเรียกเย่หัวว่า ‘คุณหนู’ “เห็นคุณหนูพูดแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”“นั่นสิขอรับ” จางซิวผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวเห็นด้วย ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างก็ลดจังหวะความเร็วในการเคี้ยวลง แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ“ก่อนอื่นข้าอยากฟังเรื่องของพวกเจ้าก่อน ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยสิ่งที่จะทำต่อไป เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าอยากจะทำมันจะสำเร็จไหม”“อะไรหรือเจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เย่หัวพยายามทบทวนความคิดของตัวเองหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว “พวกเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ทั้งรายละเอียดเรื่องอาหารการกินและภัยแล้งอะไรนั่นที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน”“พี่ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังดีกว่า พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีก
“...?”“...”“...”“ช่วย...ยังไงหรือขอรับ”“ช่วยอย่างไรหรือเจ้าคะ” เด็กๆ ที่ได้ยินต่างก็สงสัยกับคำกล่าวของเย่หัว “ทุกวันนี้คุณหนูก็ได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้มากแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่แล้วขอรับ ถึงจะไม่มีใครมากล่าวต่อคุณหนูโดยตรง แต่สำหรับพวกเราในหมู่บ้านตระกูลจางต่างก็รู้สึกขอบคุณคุณหนูจากใจ เพราะสำหรับพวกเราแล้วอาหารที่คุณหนูมอบให้มันมากเกินกว่าค่าแรงสำหรับคนจนๆอย่างพวกเราสามารถหาได้ไปไกลโขแล้วขอรับ”“...” เย่หัวมองเด็กๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย“พี่ใหญ่กับหัวหน้าไม่ได้กล่าวผิดไปแม้แต่นิดเดียวขอรับ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์ที่คุณหนูมักจะมอบให้กับผู้คนที่แวะเวียนมาช่วยงาน หรือหัวมันแปลกๆ ที่พวกเราไม่เคยพบเ
“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”“ขอรับ”“เจ้าค่ะ”ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี
บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่“อิ่มแล้วขอรับ”“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”“...”“...”ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ“ใช่แล้วข
บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวันเดือนกว่าๆ...เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นช
ตามชื่อตอนนะครับ ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงสิบตอนแรกแล้วและน่าจะปั่นเรื่องนี้ไปยาวๆ เลยอยากพูดคุยกันนิดนึงครับอย่างแรกเลยถ้าหากนักอ่านที่ตามมาจากเรื่องเก่าๆ ของไรท์น่าจะพอรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่มาใหม่ไรท์ขอแนะนำตัวคร่าวๆ นะครับไรท์ชื่อชาครับ นายปรีชาทองแก้ว ปีนี้อายุ35ปี(ในอีกไม่กี่เดือน)ตอนนี้ผมต้องดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงมาจะหกปีแล้ว (ครบหกปีวันที่4เมษา) และต้องดูแลด้วยตัวเองเพียงแค่คนเดียวมาแปดเดือนกว่าแล้ว เพราะพี่ๆ ต่างก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่พวกเขาเลือก ทำให้ผมต้องรับภาระในการดูแลพ่อคนเดียวทั้งหมดเนื่องจากอาการของพ่อผมเป็นเส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย บวกกับโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีรวมๆ ก็ หัวใจโต เก๊าต์ พาคิดสัน ปอด ต่อมลูกหมาก ไม่ร่วมโรคคนแก่อื่นๆ ซ้ำในตอนนี้(ตั้งแต่ช่วงนี้ของปีที่แล้ว) พ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสามทำให้ต้องเข้า
บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)“เจ้าว่ายังไงนะ”ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหนลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีกไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”“คุณหนู...”“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“คุณหนูฟื้นแล้ว”“...”“...”“...”เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจเย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ
บทที่ 23 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(2)“ตอนนี้แหละ!!”ทั้งกลุ่มที่ตอนนี้รวมตัวกันได้ราวยี่สิบคน แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วที่เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่กลุ่มดูต้นทางที่จะวางเอาไว้เป็นจุดๆ เพื่อป้องกันการถูกพบเห็น ซึ่งมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่อาษาทำหน้าที่นี้ ถึงจะไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากเท่ากับกลุ่มที่ไปขโมยหัวมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกตนจะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงตามไปด้วยกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มที่ต้องเอาถุงกระสอบสานลวกๆ ไปช่วยกันขนมันเท่าที่ทำได้ ซึ่งคนที่เหลือทั้งหมดแบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองคนโดยที่พวกเขาจะเอามันไปให้มากที่สุดเท่าที่กระสอบจะสามารถจุไหว แล้วค่อยสลับกันขนไปเป็นช่วงๆ แล้วแยกย้ายกันหนีกลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็ให้สัญญากันเอาไว้ว่าถ้าหากใครถูกจับได้ก็จะไม่มีการซัดทอดอย่างเด็ดขาดและเมื่อเอากลับกันไปแล้วจะไปรวมตัวกันที่บ้านของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วค่อยแบ่งกันในคืนนี้...แล้วเมื่อจัดการแบ่งสันปันส่วนหน้าที่รับผิดชอบของตนเองกันแล้ว โดยไม่สนว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันไปดูเด็กหญิงด้วยความเป็นห
บทที่ 22 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(1)“...”ท่ามกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตของเย่หัวตื่นขึ้นมาบนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น“สงสัยอะดิ ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้...”“ไอ้ชา!”“‘ไอ้ชา!’ มึงจะตะโกนเรียกชื่อกูแบบนี้ใช่ไหมล่ะ แต่กูบอกเลยว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำงานในตอนที่มึงใช้พลังไปจนหมดเป็นครั้งแรก ในกรณีที่มึงไม่ยอมฝึกฝนลมปราณเลย”“แล้ว...”“กูรู้ว่ามึงมีเรื่องมากมายที่จะถาม แต่ก็เหมือนกับจดหมายที่เคยเขียนหรือตอนที่กูส่งมึงมาที่นี่ กูมีเวลาจำกัดมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วกูของให้มึงช่วยฟังได้อย่างเดียวสได้ไหม ถือว่ากูขอละกัน
บทที่ 21 เนื้อเน่าแต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นจะไม่ทันเสียแล้ว...“จะดีหรือ” ในระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันไกลออกไปเล็กน้อย “แต่ถ้าถูกจับได้มันจะไม่ดีเอานา...”“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า จะอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่”“ใช่แล้ว อีกอย่างเราแค่จะแอบเอาไปสักหน่อยแล้วเอาไปลองปลูกที่แถวๆ บ้านเราตามคำแนะนำของจางเว่ยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหนายสักหน่อย”“แล้วอีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าหัวมันกองนั้นสามารถนำไปปลูกได้จริง แล้วมันโตเร็วเหมือนที่เด็กๆ บอกเล่าแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าหน้าหนาวในปีนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่รอดได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วจะลังเลไปทำไมกัน”
บทที่ 20 เศร้าหมองหน้าหนาว...หนึ่งในฤดูที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนหนี้ไม่กี่สิบปีก่อนอาจจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีลำธารไหลพาดผ่านหลายสายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ต้นน้ำว่ามาจากจุดไหนแต่หลังจากที่ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากฤดูหนาวธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มันจะกินเวลานานบ้างเร็วบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมเสบียงอาหารให้มากขึ้นก็เท่านั้น กลายเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลงตามความแห้งแล้งจนแทบไม่ได้เลยในปีหลังๆ มานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มจำนวนคนตายมากขึ้นในทุกๆ ปี...สำหรับหน้าหนาวที่ค่ำคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ในช่วงที่นานที่สุดอาจจะกินเวลากลางวันเกินไปถึงสองชั่วยาม เป็นช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุยืนยาวที่ไม่มีอาหารมากเพียงพอตายไปอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นหน้าหนาวที่ต้องประหยัดเนื่องจ
บทที่ 19 ข่าวดี“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้านถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดท
บทที่ 18 ความปรารถนาที่เป็นจริงในตลอดค่ำคืนอันยาวนานที่เด็กหญิงล่องลอยไปในห้องแห่งความฝันที่ไม่มีใครล่วงรู้ ผู้คนในหมู่บ้านทุกคนต่างก็มีความสุขแทบจะทุกผู้ตัวคน จะยกเว้นก็แต่บุคคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น และเริ่มที่จะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองในบางครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของบุตรชายมันก็ทำให้สติของเขากลับมาความร้อนรนที่แทบจะไม่เคยถูกดับลงไปเลยสักหนตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ มีเพียงแค่ช่วงเวลาที่นึกถึงบุตรชายผู้สืบสายเลือดของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาพอจะกลับมาพยายามในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ความตั้งใจ...สำหรับคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญมาเกิดในบ้านที่มีพี่ชายที่เก่งกาจในทุกๆ ด้าน เมื่อวันหนึ่งเขาได้แต่งงานมีครอบครัวและมีเจ้าอวบอ้วนตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เขาเลิกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองไปชั่วขณะ...
บทที่ 17 วันที่แสนวุ่นวาย“เป็นอย่างไรบ้าง พอจะกินกันได้ไหม” เย่หัวถามเด็กๆ ทั้งหมดที่กำลังกินมันหวานต้มกับเนื้อเป็นมื้อเช้า“อร่อยมากเลยขอรับ/เจ้าค่ะ”เด็กๆ ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปากยังคงมันแผลบเนื่องจากความมันของน้ำซุป“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเด็กเล็กตั้งแต่เจ็ดขวบลงไปพากันไปวิ่งเล่นกันก่อนก็ได้ ส่วนคนที่อายุมากกว่านั้นเดี๋ยวอยู่ช่วยกันเก็บล้างจานก่อน เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะไปแยกกอมันฝรั่งกัน”ด้วยที่มีเด็กๆ หกสิบกว่าคนที่มาพร้อมกันทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ทำให้แผนการต่างๆ ของนางต้องเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร อีกทั้งมันฝั่งเองที่นางจำวิธีปลูกดูแลได้แค่ลางๆ ดันโตเร็วไปกว่าที่นางคิดมากโขเลยต้องเร่งแยกกอก่อนกำหนดแต่ก็นั่นแหละอาจจะเพราะผู้คนที่โลกนี้ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยสือหรือสังคมที