บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข
“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่
“อิ่มแล้วขอรับ”
“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”
“...”
“...”
ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน
“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ
“ใช่แล้วขอรับ อาหารมื้อนี้รสดีมากๆ เลยขอรับ อาจจะรสดีที่สุดในชีวิตของข้าเลย ข้าเลยกินไปซะเต็มคราบคาดว่าน่าจะอิ่มไปยันพรุ่งนี้เลย” เด็กชายอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกับเย่หัวกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ข้ากินมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ถึงคุณหนูจะบอกว่าคุณหนูมีอาหารอยู่มากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหมดลงเมื่อไหร่...”
หลังจากนั้นหลายๆ คนก็เอ่ยเป็นทำนองคล้ายคลึงกัน ทำให้เย่หัวอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ นางอยากบอกเด็กๆ เหลือเกินว่านางมีของพวกนี้อยู่มากมายไม่จำกัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกไป เพราะเคยมีสำนวนที่กล่าวเอาไว้ว่า “คนไม่ผิดผิดที่ครอบครองหยก” ถึงที่นี่จะไม่มีใครคิดร้ายต่อนาง แล้วยังมี “เจ้าสัง” อีกตัวที่คอยปกป้องคุ้มครองนางอยู่ตลอด
นางก็ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แค่ลำพังความพลั้งเผลอใจสงสารเด็กๆ ที่ผอมแห้งแรงไม่มีในตอนที่ได้พบกัน ก็ไม่รู้ว่ามันจะนำพาภัยอันตรายมาให้เมื่อไหร่...
แต่ก็แน่นอนว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปนางก็จะยังทำเหมือนเดิม และไม่คิดที่จะเสียใจที่ทำลงไป!
“เอาเถอะถือว่าเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำถ้าหากไม่ติดอะไรเดียวข้าไปเอามาให้” ว่าแล้วร่างเล็กๆ ของเด็กวัยแปดขวบก็วิ่งแจ่นเข้าไปในบ้านด้วยความเปี่ยมสุข มิได้สนใจเสียงทัดทานที่ตามหลังมา
ซึ่งสุดท้ายก็จบลงด้วยเด็กๆ แต่ละคนมีเนื้อติดมือไปคนละกิโล มันฝรั่งกับมันหวานอย่างละถุงแล้วก็ลูกอมไปอีกคนละถุง โดยที่ไม่ลืมฝากของบางส่วนไปให้กับบ้านที่ไม่เหลือใครเนื่องจากการสูญหายหลังจากที่ขึ้นเขาไปหาของป่า
แน่นอนว่าเด็กๆ ไม่สามารถที่จะขนสิ่งเหล่านี้ไปได้ด้วยตนเองทั้งหมด เพราะเด็กหลายคนก็ยังตัวเล็กอยู่มากตามอายุ ครั้นจะให้ขนของหนักหลายชั่งกลับบ้านที่ไกลออกไปเกือบห้าลี้ก็เกินจำเป็น ทำให้ในทุกๆ วันหลังจากที่เข้ายามเย็นก็จะมีพวกผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของเด็กๆ มารอรับอยู่ที่ชายป่าไกลออกไป
ส่วนเหตุผลที่ถ้าหากไม่มีการจ้างวานงานแล้วล่ะก็ พวกผู้ใหญ่จะไม่กล้าเข้าใกล้ที่แห่งนี้อย่างเด็ดขาด เพราะหวาดกัวเจ้าตันตันยักษ์ที่แยกเขี้ยวมาทางพวกเขา
ซึ่งวันนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกๆ วันที่ควรจะเป็นวันดีๆ ของทุกคน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าสังยกหัวขึ้นมองไปทางกลุ่มผู้ใหญ่ที่มารับเด็กๆ โดยตีดวงตาของมันฉายประกายคมกล้มออกมาครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปนอนต่อ หลังจากที่ได้กินเนื้อสดๆ ไปสามสี่ชั่ง...
“ท่านพ่อ วันนี้คุณหนูให้พวกเราลองปลูกเจ้าหัวมันสองสีนี่ด้วยหละ” เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ จางต้าพังเองก็ได้รับวัตถุดิบดีๆ มาจากเย่หัวด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนกับทุกๆ ครั้งเมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นเขาก็จะเล่าให้บิดาของเขาฟังเสมอ “สนุกมากเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดีทั้งอยากช่วยให้พวกเราทุกคนในหมู่บ้านไม่อดหยาก คุณหนูราวกับเทพธิดาที่ลงมาโปรดหมู่บ้านพวกเราเลยนะขอรับ”
เด็กชายยื่นของที่ได้ดับมาจากคุณหนูของเขาให้แก่บิดาของตน พลางบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างออกรสออกชาติ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ใบหน้าของบิดาของตนนั้นบิดเบี้ยวเพียงใด
อื่ม...
ผู้เป็นบิดาที่หยุดเดินไปครู่หนึ่งเนื่องจากไม่อาจจะควบคุมโทสะที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา จนกระทั่งลูกชายของเขาเรียก ถึงได้ขานรับห้วนๆ ก่อนที่จะสาวเท้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เด็กชายงุงงงสงสัยในการกระทำอันแปลกประหลาดของบิดา
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เด็กชายเห็นได้เห็นบิดาของตนแสดงความโกรธออกมาขนาดนี้ เพราะโดยปกติแล้วบิดาของเขาจะเป็นคนใจดีแล้วยิ้มให้ผู้คนอยู่เป็นนิจ ซ้ำยังมักจะแจกจ่ายอาหารหรือสิ่งของจำเป็นให้กับผู้คนในหมู่บ้านอยู่เสมอ
การที่มีใครสักคนมาช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้อีกคนหนึ่งเช่นเย่หัว เขาก็คิดว่าบิดาของเขาควรจะต้องยินดีมิใช่หรือ...
“ท่านพ่อเป็นอะไรของเขากัน...”
.................................
บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวันเดือนกว่าๆ...เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นช
ตามชื่อตอนนะครับ ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงสิบตอนแรกแล้วและน่าจะปั่นเรื่องนี้ไปยาวๆ เลยอยากพูดคุยกันนิดนึงครับอย่างแรกเลยถ้าหากนักอ่านที่ตามมาจากเรื่องเก่าๆ ของไรท์น่าจะพอรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่มาใหม่ไรท์ขอแนะนำตัวคร่าวๆ นะครับไรท์ชื่อชาครับ นายปรีชาทองแก้ว ปีนี้อายุ35ปี(ในอีกไม่กี่เดือน)ตอนนี้ผมต้องดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงมาจะหกปีแล้ว (ครบหกปีวันที่4เมษา) และต้องดูแลด้วยตัวเองเพียงแค่คนเดียวมาแปดเดือนกว่าแล้ว เพราะพี่ๆ ต่างก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่พวกเขาเลือก ทำให้ผมต้องรับภาระในการดูแลพ่อคนเดียวทั้งหมดเนื่องจากอาการของพ่อผมเป็นเส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย บวกกับโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีรวมๆ ก็ หัวใจโต เก๊าต์ พาคิดสัน ปอด ต่อมลูกหมาก ไม่ร่วมโรคคนแก่อื่นๆ ซ้ำในตอนนี้(ตั้งแต่ช่วงนี้ของปีที่แล้ว) พ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสามทำให้ต้องเข้า
บทที่ 11 พิเศษเพียงแค่ไม่กี่วันให้หลังผู้คนในหมู่บ้านต่างกรูกันไปให้เด็กหญิงใช้งานด้วยความเต็มใจ แล้วก็มีผู้คนมากเกินไปจนสุดท้ายแล้ว “พี่ชาย” ของเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงจัดส่งคนไปเป็นกลุ่มๆ เพื่อไม่ให้มีคนมากจนเกินไป จนไปสร้างความรำคาญให้กับเด็กหญิงตัวน้อยที่มาพร้อมกับผู้คุ้มกันสี่ขา จนนางเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือมันก็อาจจะทำให้ผู้คนกลับไปลำบากเหมือนแต่ก่อน พี่ชายของเขาจึงพยายามให้นางมีความสุขที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป...แม้แต่ในตอนที่เขาส่งลูกสมุนของเขาไปเพื่อแกล้งเป็นโจรปล้นอาหาร หมายจะเข่นฆ่าเด็กหญิงที่ทำให้แผนการของเขาเสียหายเสีย แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด‘มนุษย์มาร’ ที่ควรจะสามารถจัดการได้แม้แต่สัตว์อสูรระดับสองดาว ที่สามารถฆ่าคนทั้งหมู่บ้านได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยตัวคนเดียว แต่กลับเป็นว่ามนุษย์มารทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นกลับถูกกำจัดจนสิ้นในค่ำคืนเดียวด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์นั่น!
บทที่ 12 ข่าวดีโฮ้ง โฮ้ง“ทุกคนรีบมาดูนี่เร็ว!!”หลังจากที่ผ่านไปไม่นานนัก หลังจากที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของแปลงผัก เย่หัวก็เฝ้ารอให้เด็กๆ มาถึงด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อมองเห็นเด็กๆ กำลังเดินเป็นกลุ่มมาแต่ไกลตามเสียงเห่าเสียงใหญ่ๆ ของเจ้าสังที่มองไปยังทิศทางที่เด็กๆ กำลังเดินมา“มีอะไรหรือขอรับคุณหนู”“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เด็กๆ ที่ได้ยินเสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นของเจ้าของสถานที่ ก็รีบวิ่งแจ้นมาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรองถามเด็กหญิงวัยแปดขวบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ทุกคนรีบมาดูนี่สิ” ไม่รีรออะไรเย่หัวรีบพาเด็กๆ ไปที่แปลงผักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชี้ให้ทุกคนได้ดูหน่ออ่อนสีเขียวที่เริ่มแตกกอสวยงามขึ้นมา “มันที่พวกเราลงมือลงแรงช่วยกันปลูกไปเมื่อวานนี้เริ่มแตกห
บทที่ 13 เข้าครัวด้วยกัน“กลับมาแล้วขอรับ”“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”หลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมกับมีผู้ใหญ่ตามมาด้วยสองสามคน ที่พาของมาด้วยพะรุงพะรัง เนื่องจากเย่หัวได้ขอเครื่องครัวบางอย่างไปด้วย เพราะในครัวของนางในตอนนี้มีแค่หม้อใบโตหนึ่งใบกับหม้อใบเล็กอีกใบเท่านั้น“ขอบคุณท่านน้าทั้งสองมากนะเจ้าคะ ที่เป็นธุระช่วยขนของมาให้” เย่หัวพยักหน้าให้กับจางซิวจางหลัวและจางต้าพังเบาๆ ก่อนที่จะหันมากล่าวขอบคุณหญิงชายวัยยี่สิบปลายๆ ทั้งสองคน ที่เคยเห็นหน้าค่าตากันประจำ เนื่องจากทั้งสองมาคอยช่วยงานที่นี่บ่อยๆและที่จำได้แม่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพรสวรรค์ในการทำอาหารของพี่ผู้หญิงกับฝีมือในงานไม้ของพี่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยจานหรือแก้วน้ำในบ้านของนางเองก็ได้อาศัยฝีมือของพี่ผู้ชายท่านนี้เป็นส่วนใหญ่“ไ
บทที่ 14 จิตใจที่กำลังเติบโตย้อนกลับไปเดือนเศษๆ ก่อนหน้าที่เย่หัวจะลืมตาตื่นขึ้นมา ณ เนินเขาที่อยู่เหนือขึ้นมาตามสายลำธารของหมู่บ้าน เด็กหญิงรู้เพียงแค่ว่าผู้คนต้องพยายามปากกัดตีนถีบเพื่อที่จะมีชีวิตรอด เนื่องด้วยความแห้งแล้งที่กลืนกินหุบเขา ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนซึ่งภูมิประเทศโดยรวมแห่งนี้เป็นหนึ่งในหุบเขาขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมาเท่าไรนัก นานๆ สักครั้งถึงจะมีผู้คนผ่านเข้ามาสักที เนื่องจากหุบเขาที่รายล้อมแอ่งกระทะที่กินพื้นที่กว่านับร้อยลี้แห่งนี้นั้น ด้านหนึ่งเป็นเทือกเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปด้านหลังบ้านของเย่หัว เป็นเทืองเขาที่สูงลิ่วจนคนธรรมดาๆ ไม่สามารถปี่นป่ายขึ้นไปได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม แล้วยังเป็นทิศทางที่นางจากมา ก็ยังเป็นเทือกเขาสูงอีกแห่งที่เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ขวางกันพวกเขากับโลกภายนอกเอาไว้มีเพียงแค่ช่องเขาเล็กๆ ที่พวกเขาสามารถลัดเลาะลำน้ำตามออกไปจนกว่าจะพ้นเขตแดนของหุบเขาแห่งนี้ก็กินระยะทางไกลนับร้อยลี้!ยังไม่รวมกับตำนานสัตว์ปีศาจทั้งสองตนที่ครองยอดเขาแต่ละด้าน ว่ากันว่าพวกมันทั้งสองเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่เกือบจะบรร
บทที่ 15 สิ่งที่ไม่คาดคิดนอกจากการเลี้ยงฉลองที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ในวันนี้ และได้มีการให้เด็กๆ กลับไปตามผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับอาหารจากที่นี่มาหลายวันแล้ว ได้มีโอกาสกลับมากินอาหารฝีมือของเย่หัวอีกครั้ง ส่วนสองสามีภรรยาก็อยู่คอยช่วยเหลือนางตลอดวัน จนสุดท้ายวันนี้ก็จบลงด้วยการที่เด็กหญิงและคนอื่นๆ ไม่มีเวลาแวะมาดูแปลงผักเลยเนื่องจากเด็กๆ ที่แบ่งกลุ่มกันมาในแต่ละวันได้รับสิทธิพิเศษให้ทุกคนสามารถมากินด้วยกันทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่ก็มีแค่ไม่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นจำนวนคนเกือบร้อยชีวิตที่เด็กหญิงและผู้ช่วยไม่กี่คนต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันและแม้ว่าคนอื่นๆ จะขันอาสาช่วยแต่นางก็ยืนกรานว่าจะทำด้วยตัวเองที่สำคัญที่สุดนางยังทำอาหารเป็นชุดๆ มอบให้ไปยังคนแก่คนเฒ่าที่ไม่สามารถมาได้อีกหลายครัวเรือน ทำให้กว่ากว่าจะจบภารกิจในวันนี้เย่หัวแทบจะเหนื่อยตายเลยก็ว่าได้แต่มันก็เป็นวันที่นางทั้งรู้สึก
บทที่ 16 เป้าหมาย“โห!!”เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของเด็กๆ หลายสิบคนที่กำลังมาล้อมวงดูแปลงมันที่ตอนนี้เจริญเติบโตเขียวขจีเต็มหูเต็มตาไปหมด กอมันฝรั่งก็เริ่มแตกกอออกมาส่วนต้นมันเองก็สูงเกือบจะสองฉื่อแล้ว ส่วนกอมันหวานเองตอนนี้เถาของมันเริ่มยาวเฟื้อยเลื้อยไปมาเกินสามฉื่อเข้าไปแล้ว“เหลือจะเชื่อ เพิ่งจะปลูกไปเมื่อวันก่อนเอง ผ่านไปแค่สองคืนก็เติบโตขนาดนี้แล้ว...”“ใช่ๆ ”“ที่สำคัญพวกเจ้าดูที่ผืนดินตรงแปลงที่เถามันเลื้อยผ่านดูสิ มันทั้งชื้นราวกับว่าฝนเพิ่งจะตกใหม่ๆ เลย แต่กลับไม่ได้เปียกชุ่มขาดนั้น นี่มันอะไรกัน”“พวกเจ้าอย่าเอาแต่พูดจากัน ไปช่วยกันทำงานส่วนที่คุณหนูเคยบอกเอาไว้เสีย เมื่อวานคุณหนูเหนื่อยเพื่อพวกเรามามาก รีบไปทำให้เสร็จก่อนที่คุณหนูจะตื่นเสีย” จางหลัวที่เริ่มไม่ค่อยคุ้นชินกับเด็กจำน
บทที่ 27 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(6)“ท่านหัวหน้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ!!”“อะไรอะไร...มีเรื่องอะไรกัน” จางหลงที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากหน้าบ้าน ก็รีบลุกออกจากเตียงไม้ในทันที เนื่องจากเมื่อวานทุกคนเหนื่อยกันมาก แล้วเขาเองก็ต้องมาเหนื่อยใจกับคนในหมู่บ้านอีก ทำให้เมื่อคืนกว่าที่เขาจะหลับได้ก็ดึกแล้ว แล้วนี่ยังต้องมาตื่นตั้งแต่ยังไม่เช้าอีก... “มีอะไรกันตั้งแต่ยังไม่สว่างเนี่ย”“ท่านหัวหน้าช่วยพวกเราด้วยขอรับ”“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”“ท่านหัวหน้าช่วยพาพวกเราไปขอโทษนางเซียนน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ”“พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วหรับ”“ได้โปรดให้อภัยพวกเราสักครั้งเถอะนะขอรับ”“พว
บทที่ 26 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(5)“...”จางหลงทำท่าเหมือนกับจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี สำหรับพวกเขาที่อดอยากแทบตายมาหลายปีแล้ว มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากว่าทุกคนไม่ได้ใช้วิธีการที่ผิด“ท่านหัวหน้ากลับไปก่อนเถิดขอรับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พวกเราทุกคนได้ทำลงไป พวกเราก็พร้อมยินยอมที่จะรับผลที่ตามมา แต่หากว่า จะให้พวกข้าต้องเฝ้ารอความหวังลมลมแล้งแล้ง จนอาจทำให้ลูกเมียของพวกข้าต้องอดตายไปในปีนี้ ตัวข้านั้นยินยอมให้ทุกคนประณามเหยียดหยามเสียดีกว่า”เฮ้อ...จางหลงระบายลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด สวัสดี ต่อให้ยากว่ากล่าวพวกมันสักเท่าไหร่ แต่ดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว พวกมันก็คงจะเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นเดียวกัน“ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าสามารถนำความท
บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)“เจ้าว่ายังไงนะ”ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหนลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีกไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”“คุณหนู...”“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“คุณหนูฟื้นแล้ว”“...”“...”“...”เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจเย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ
บทที่ 23 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(2)“ตอนนี้แหละ!!”ทั้งกลุ่มที่ตอนนี้รวมตัวกันได้ราวยี่สิบคน แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วที่เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่กลุ่มดูต้นทางที่จะวางเอาไว้เป็นจุดๆ เพื่อป้องกันการถูกพบเห็น ซึ่งมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่อาษาทำหน้าที่นี้ ถึงจะไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากเท่ากับกลุ่มที่ไปขโมยหัวมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกตนจะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงตามไปด้วยกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มที่ต้องเอาถุงกระสอบสานลวกๆ ไปช่วยกันขนมันเท่าที่ทำได้ ซึ่งคนที่เหลือทั้งหมดแบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองคนโดยที่พวกเขาจะเอามันไปให้มากที่สุดเท่าที่กระสอบจะสามารถจุไหว แล้วค่อยสลับกันขนไปเป็นช่วงๆ แล้วแยกย้ายกันหนีกลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็ให้สัญญากันเอาไว้ว่าถ้าหากใครถูกจับได้ก็จะไม่มีการซัดทอดอย่างเด็ดขาดและเมื่อเอากลับกันไปแล้วจะไปรวมตัวกันที่บ้านของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วค่อยแบ่งกันในคืนนี้...แล้วเมื่อจัดการแบ่งสันปันส่วนหน้าที่รับผิดชอบของตนเองกันแล้ว โดยไม่สนว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันไปดูเด็กหญิงด้วยความเป็นห
บทที่ 22 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(1)“...”ท่ามกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตของเย่หัวตื่นขึ้นมาบนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น“สงสัยอะดิ ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้...”“ไอ้ชา!”“‘ไอ้ชา!’ มึงจะตะโกนเรียกชื่อกูแบบนี้ใช่ไหมล่ะ แต่กูบอกเลยว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำงานในตอนที่มึงใช้พลังไปจนหมดเป็นครั้งแรก ในกรณีที่มึงไม่ยอมฝึกฝนลมปราณเลย”“แล้ว...”“กูรู้ว่ามึงมีเรื่องมากมายที่จะถาม แต่ก็เหมือนกับจดหมายที่เคยเขียนหรือตอนที่กูส่งมึงมาที่นี่ กูมีเวลาจำกัดมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วกูของให้มึงช่วยฟังได้อย่างเดียวสได้ไหม ถือว่ากูขอละกัน
บทที่ 21 เนื้อเน่าแต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นจะไม่ทันเสียแล้ว...“จะดีหรือ” ในระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันไกลออกไปเล็กน้อย “แต่ถ้าถูกจับได้มันจะไม่ดีเอานา...”“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า จะอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่”“ใช่แล้ว อีกอย่างเราแค่จะแอบเอาไปสักหน่อยแล้วเอาไปลองปลูกที่แถวๆ บ้านเราตามคำแนะนำของจางเว่ยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหนายสักหน่อย”“แล้วอีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าหัวมันกองนั้นสามารถนำไปปลูกได้จริง แล้วมันโตเร็วเหมือนที่เด็กๆ บอกเล่าแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าหน้าหนาวในปีนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่รอดได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วจะลังเลไปทำไมกัน”
บทที่ 20 เศร้าหมองหน้าหนาว...หนึ่งในฤดูที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนหนี้ไม่กี่สิบปีก่อนอาจจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีลำธารไหลพาดผ่านหลายสายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ต้นน้ำว่ามาจากจุดไหนแต่หลังจากที่ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากฤดูหนาวธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มันจะกินเวลานานบ้างเร็วบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมเสบียงอาหารให้มากขึ้นก็เท่านั้น กลายเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลงตามความแห้งแล้งจนแทบไม่ได้เลยในปีหลังๆ มานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มจำนวนคนตายมากขึ้นในทุกๆ ปี...สำหรับหน้าหนาวที่ค่ำคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ในช่วงที่นานที่สุดอาจจะกินเวลากลางวันเกินไปถึงสองชั่วยาม เป็นช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุยืนยาวที่ไม่มีอาหารมากเพียงพอตายไปอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นหน้าหนาวที่ต้องประหยัดเนื่องจ
บทที่ 19 ข่าวดี“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้านถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดท