“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”
“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่
“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี้กันดูสักตั้ง”
“...”
“...”
“...”
“ปลูกหรือขอรับ มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันกว่าจะสามารถเก็บกินได้ มิสู้เอามาต้มกินไม่ดีกว่าหรือขอรับ” จางซิวที่อายุมากกว่าใครและเคยไปเที่ยวเล่นที่ไร่ของบิดามารดาในตอนเด็ก เขายังจำได้ว่ากว่าจะปลูกข้าวฟ่างข้าวสาลีจนสามารถเก็บเกี่ยวได้มันยาวนานคาบเกี่ยวกันสองฤดูเลยทีเดียว
“ในตอนแรกข้าเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทำได้ไหม เพราะข้าเพิ่งจะคิดมันได้เมื่อวานตอนเย็น และได้เตรียมพวกนี้ไปในตอนนั้น...”
“...”
“...”
“...?”
“...!!”
เด็กๆ คนอื่นๆ มองคุณหนูกับพวกพี่ๆ ที่โตกว่าด้วยความฉงนสงสัย และไม่เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกัน
สำหรับคนที่มีอายุมากกว่าสิบขวบที่ได้ฟังอาจจะพอเข้าใจได้ลางๆว่าคุณหนูพยายามช่วยเหลือพวกตนอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวมากนัก
แต่สำหรับเจ้าอ้วนจางต้าพัง จางซิว และจางหลัวต่างก็เบิกตากว้างขึ้นเมื่อมองไปยังกองมันมีเริ่มแตกหน่ออ่อนกลายๆ...
‘โตเร็วมาก!!’
ทั้งสามต่างก็ตกตะลึงไปกับความเร็วในการเติบโตของมันทั้งสองสีก็คือมันหวนกับมันฝรั่ง
“ถ้าหากทุกอย่างไม่เลวร้ายจนเกินไป และสามารถเป็นไปตามที่ข้าได้คิดเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดข้าก็คิดว่าสิ่งนี้ก็คงมากพอที่จะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านสามารถมีกินอิ่มท้องได้ไปจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย”
“ขอบคุณมากขอรับ!” จางซิวที่คิดได้และเข้าใจความตั้งใจของเด็กน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายปี ก็อดไม่ได้ที่จะทิ้งตัวคุกเข่าลงเอาหัวโขกพื้นเสียงดัง
“ขอบคุณมากขอรับ!!”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ!!”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่นักแต่คนอื่นๆ ก็ทำตามพี่ใหญ่ของกลุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกทุกคนรีบลุกขึ้นเร็วเข้า” เย่หัวที่เห็นภาพแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ “ถ้าไม่รีบลุกขึ้นข้าจะไม่ทำแล้วนะ!”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
“ตอนนี้พวกพี่ๆ รีบยกมันไปที่แปลงที่พวกผู้ใหญ่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเถอะ เดี๋ยวเราจะมาแบ่งงานกันอีกที” เย่หัวเป็นคนเดินนำไปยังแปลงสองแปลงขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ซึ่งน่าจะพอดีกับมันทั้งสองที่มีอยู่
ซึ่งในระหว่างที่แจกจ่ายแบ่งงานให้ทุกคนได้ทำกัน โดยมีพี่ๆ ที่อายุเยอะเป็นคนยกหัวมันทั้งสองไปกองไว้ตามจุดต่างๆ ของแปลงโดยแยกไปเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งปลูกมันหวานฝั่งหนึ่งปลูกมันฝั่ง
แต่ด้วยวิธีการปลูกมันทั้งสองชนิดเองเย่หัวไม่เคยทำมันมาก่อน เพียงแค่เห็นผ่านๆ ตาจากการดูวีดีโอในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ก็อาศัยการครูพักลักจำเอาจากวิชาการเกษตรที่เรียนมาสมัยเด็กรวมๆ เข้าด้วยกัน
กลายมาเป็นร่องมันที่ถูกยกสูงขึ้นเป็นแถวๆ แล้วขุดร่องตรงกลางของร่องที่ถูกยกขึ้นอีกที แล้วฝังหัวมันที่มีตากับรากงอกออกมาลงไปในร่องตรงกลางนั้น โดยที่ระยะห่างแต่ละหัวนั้นประมาณสิบชุนหรือหนึ่งฉื่อ เมื่อแต่ละแปลงยาวประมาณสองจั้งก็เท่ากับว่าแต่ละแปลงจะมีมันทั้งหมดยี่สิบหัว ซึ่งทางฝั่งมันฝรั่งนั้นมีทั้งหมดห้าแปลง ส่วนมันหวานที่หัวโดยเฉลี่ยโตกว่าจึงได้แค่สามแปลง
สุดท้ายปิดงานด้วยการที่เด็กๆ ช่วยกันไปตักน้ำในบ่อเล็กๆที่ถูกขุดไว้หลายวันแล้ว ทำให้พอมีน้ำขังอยู่มากพอที่จะรดมันทั้งหมดได้อย่างพอดิบพอดีและกว่าจะเสร็จก็ดวงตะวันบ่ายคล้อยมากแล้ว เย่หัวจึงให้เด็กๆ ไปล้างมือล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน
อาหารมื้อเย็นของวันนี้มีมีทั้งหมูต้มมันหวาน หมูก้อนทอด กินกับมันต้มหั่นแล้วตากแห้ง เพื่อเพิ่มรสชาติ ในส่วนนี้ที่เย่หัวค่อนข้างขัดใจอยู่มาก เพราะของที่เอาออกมาจากตู้เย็นได้ยังมีจำกัดจำเขี่ยแบบสุดๆ ครั้นจะไปฝึกฝนเพื่อให้ได้เปิดตู้เย็นได้มากขึ้นมันก็ไม่ใช่อะไรที่นางอยากทำสักเท่าไหร่ แถมเครื่องปรุงอย่างเกลือ พริกไทยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของหายากและมีราคาสูง ถูกควบคุมด้วยราชสำนัก
ไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านห่างไกลที่แห้งแล้งแบบนี้เลย...
“...”
แต่เมื่อมองเด็กๆ ที่กำลังกินอาหารด้วยดวงตาลุกวาวมันก็ทำให้นางทำได้แค่ผ่อนหายใจยาวๆ ยิ้มออกมา และทำเพียงแค่หวังว่าสิ่งที่ทุกคนลงทุนลงแรงไปในวันนี้จะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้มีอาหารมากพอที่จะไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก
ถึงจะไม่ได้พูดมันออกไป แต่นางก็เริ่มรู้สึกผูกพันกับผู้คนและหมู่บ้านแห่งนี้เข้าแล้ว
.................................
ฉื่อ 1 ฉื่อ = 10 ชุ่น (ราวๆ 1 ฟุต) 1 ฉื่อ = 10 นิ้ว (ราวๆ 1 ฟุต) จั้ง 1 จั้ง = 10 ฉื่อ 1 จั้ง = ประมาณ 3.3 เมตร
บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่“อิ่มแล้วขอรับ”“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”“...”“...”ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ“ใช่แล้วข
บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวันเดือนกว่าๆ...เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นช
ตามชื่อตอนนะครับ ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงสิบตอนแรกแล้วและน่าจะปั่นเรื่องนี้ไปยาวๆ เลยอยากพูดคุยกันนิดนึงครับอย่างแรกเลยถ้าหากนักอ่านที่ตามมาจากเรื่องเก่าๆ ของไรท์น่าจะพอรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่มาใหม่ไรท์ขอแนะนำตัวคร่าวๆ นะครับไรท์ชื่อชาครับ นายปรีชาทองแก้ว ปีนี้อายุ35ปี(ในอีกไม่กี่เดือน)ตอนนี้ผมต้องดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงมาจะหกปีแล้ว (ครบหกปีวันที่4เมษา) และต้องดูแลด้วยตัวเองเพียงแค่คนเดียวมาแปดเดือนกว่าแล้ว เพราะพี่ๆ ต่างก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่พวกเขาเลือก ทำให้ผมต้องรับภาระในการดูแลพ่อคนเดียวทั้งหมดเนื่องจากอาการของพ่อผมเป็นเส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย บวกกับโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีรวมๆ ก็ หัวใจโต เก๊าต์ พาคิดสัน ปอด ต่อมลูกหมาก ไม่ร่วมโรคคนแก่อื่นๆ ซ้ำในตอนนี้(ตั้งแต่ช่วงนี้ของปีที่แล้ว) พ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสามทำให้ต้องเข้า
บทที่ 11 พิเศษเพียงแค่ไม่กี่วันให้หลังผู้คนในหมู่บ้านต่างกรูกันไปให้เด็กหญิงใช้งานด้วยความเต็มใจ แล้วก็มีผู้คนมากเกินไปจนสุดท้ายแล้ว “พี่ชาย” ของเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงจัดส่งคนไปเป็นกลุ่มๆ เพื่อไม่ให้มีคนมากจนเกินไป จนไปสร้างความรำคาญให้กับเด็กหญิงตัวน้อยที่มาพร้อมกับผู้คุ้มกันสี่ขา จนนางเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือมันก็อาจจะทำให้ผู้คนกลับไปลำบากเหมือนแต่ก่อน พี่ชายของเขาจึงพยายามให้นางมีความสุขที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป...แม้แต่ในตอนที่เขาส่งลูกสมุนของเขาไปเพื่อแกล้งเป็นโจรปล้นอาหาร หมายจะเข่นฆ่าเด็กหญิงที่ทำให้แผนการของเขาเสียหายเสีย แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด‘มนุษย์มาร’ ที่ควรจะสามารถจัดการได้แม้แต่สัตว์อสูรระดับสองดาว ที่สามารถฆ่าคนทั้งหมู่บ้านได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยตัวคนเดียว แต่กลับเป็นว่ามนุษย์มารทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นกลับถูกกำจัดจนสิ้นในค่ำคืนเดียวด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์นั่น!
บทที่ 12 ข่าวดีโฮ้ง โฮ้ง“ทุกคนรีบมาดูนี่เร็ว!!”หลังจากที่ผ่านไปไม่นานนัก หลังจากที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของแปลงผัก เย่หัวก็เฝ้ารอให้เด็กๆ มาถึงด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อมองเห็นเด็กๆ กำลังเดินเป็นกลุ่มมาแต่ไกลตามเสียงเห่าเสียงใหญ่ๆ ของเจ้าสังที่มองไปยังทิศทางที่เด็กๆ กำลังเดินมา“มีอะไรหรือขอรับคุณหนู”“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เด็กๆ ที่ได้ยินเสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นของเจ้าของสถานที่ ก็รีบวิ่งแจ้นมาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรองถามเด็กหญิงวัยแปดขวบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ทุกคนรีบมาดูนี่สิ” ไม่รีรออะไรเย่หัวรีบพาเด็กๆ ไปที่แปลงผักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชี้ให้ทุกคนได้ดูหน่ออ่อนสีเขียวที่เริ่มแตกกอสวยงามขึ้นมา “มันที่พวกเราลงมือลงแรงช่วยกันปลูกไปเมื่อวานนี้เริ่มแตกห
บทที่ 13 เข้าครัวด้วยกัน“กลับมาแล้วขอรับ”“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”หลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมกับมีผู้ใหญ่ตามมาด้วยสองสามคน ที่พาของมาด้วยพะรุงพะรัง เนื่องจากเย่หัวได้ขอเครื่องครัวบางอย่างไปด้วย เพราะในครัวของนางในตอนนี้มีแค่หม้อใบโตหนึ่งใบกับหม้อใบเล็กอีกใบเท่านั้น“ขอบคุณท่านน้าทั้งสองมากนะเจ้าคะ ที่เป็นธุระช่วยขนของมาให้” เย่หัวพยักหน้าให้กับจางซิวจางหลัวและจางต้าพังเบาๆ ก่อนที่จะหันมากล่าวขอบคุณหญิงชายวัยยี่สิบปลายๆ ทั้งสองคน ที่เคยเห็นหน้าค่าตากันประจำ เนื่องจากทั้งสองมาคอยช่วยงานที่นี่บ่อยๆและที่จำได้แม่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพรสวรรค์ในการทำอาหารของพี่ผู้หญิงกับฝีมือในงานไม้ของพี่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยจานหรือแก้วน้ำในบ้านของนางเองก็ได้อาศัยฝีมือของพี่ผู้ชายท่านนี้เป็นส่วนใหญ่“ไ
บทที่ 14 จิตใจที่กำลังเติบโตย้อนกลับไปเดือนเศษๆ ก่อนหน้าที่เย่หัวจะลืมตาตื่นขึ้นมา ณ เนินเขาที่อยู่เหนือขึ้นมาตามสายลำธารของหมู่บ้าน เด็กหญิงรู้เพียงแค่ว่าผู้คนต้องพยายามปากกัดตีนถีบเพื่อที่จะมีชีวิตรอด เนื่องด้วยความแห้งแล้งที่กลืนกินหุบเขา ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนซึ่งภูมิประเทศโดยรวมแห่งนี้เป็นหนึ่งในหุบเขาขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมาเท่าไรนัก นานๆ สักครั้งถึงจะมีผู้คนผ่านเข้ามาสักที เนื่องจากหุบเขาที่รายล้อมแอ่งกระทะที่กินพื้นที่กว่านับร้อยลี้แห่งนี้นั้น ด้านหนึ่งเป็นเทือกเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปด้านหลังบ้านของเย่หัว เป็นเทืองเขาที่สูงลิ่วจนคนธรรมดาๆ ไม่สามารถปี่นป่ายขึ้นไปได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม แล้วยังเป็นทิศทางที่นางจากมา ก็ยังเป็นเทือกเขาสูงอีกแห่งที่เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ขวางกันพวกเขากับโลกภายนอกเอาไว้มีเพียงแค่ช่องเขาเล็กๆ ที่พวกเขาสามารถลัดเลาะลำน้ำตามออกไปจนกว่าจะพ้นเขตแดนของหุบเขาแห่งนี้ก็กินระยะทางไกลนับร้อยลี้!ยังไม่รวมกับตำนานสัตว์ปีศาจทั้งสองตนที่ครองยอดเขาแต่ละด้าน ว่ากันว่าพวกมันทั้งสองเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่เกือบจะบรร
บทที่ 15 สิ่งที่ไม่คาดคิดนอกจากการเลี้ยงฉลองที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ในวันนี้ และได้มีการให้เด็กๆ กลับไปตามผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับอาหารจากที่นี่มาหลายวันแล้ว ได้มีโอกาสกลับมากินอาหารฝีมือของเย่หัวอีกครั้ง ส่วนสองสามีภรรยาก็อยู่คอยช่วยเหลือนางตลอดวัน จนสุดท้ายวันนี้ก็จบลงด้วยการที่เด็กหญิงและคนอื่นๆ ไม่มีเวลาแวะมาดูแปลงผักเลยเนื่องจากเด็กๆ ที่แบ่งกลุ่มกันมาในแต่ละวันได้รับสิทธิพิเศษให้ทุกคนสามารถมากินด้วยกันทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่ก็มีแค่ไม่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นจำนวนคนเกือบร้อยชีวิตที่เด็กหญิงและผู้ช่วยไม่กี่คนต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันและแม้ว่าคนอื่นๆ จะขันอาสาช่วยแต่นางก็ยืนกรานว่าจะทำด้วยตัวเองที่สำคัญที่สุดนางยังทำอาหารเป็นชุดๆ มอบให้ไปยังคนแก่คนเฒ่าที่ไม่สามารถมาได้อีกหลายครัวเรือน ทำให้กว่ากว่าจะจบภารกิจในวันนี้เย่หัวแทบจะเหนื่อยตายเลยก็ว่าได้แต่มันก็เป็นวันที่นางทั้งรู้สึก
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง
บทที่ 79 เลี้ยงส่ง(3)“ตอนแรกข้าขอยอมรับสารภาพเลยว่า ตัวข้าเองก็ไม่ได้จินตนาการเลยว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือมากขนาดนี้”เยว่หัวมองไปยังทั้งผู้หญิงและเด็ก แทบทั้งหมดในหมู่บ้านที่มารวมตัวกัน ซึ่งในมือทุกคนต่างก็มีหม้อกระทะถ้วยชามรามไห รวมไปถึงตะเกียบและแก้ว น้ำที่ทำจากไม้บ้างหินบ้างดินเผาบ้างเหล็กบ้าง ซึ่งเรียกได้ว่าทุกคนเต็มที่กับสิ่งที่นางบอก จนนางที่เพียงแค่อยากจะทดลองการปรุงอาหาร เพื่อที่จะนำไปเป็นเมนูในร้านที่กำลังจะเปิด ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง“...”“...”“...”ทุกคนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มมองไปทางเด็กหญิงเท่านั้น และกำลังรอฟังคำสั่งด้วยความตั้งใจ แม้กระทั่งเด็กๆ ทุกคนที่ปกติเมื่อเจอกับนางเซียนน้อยของพวกเขา ก็มักจะแสดงออกอย่างดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นกันต่างๆนานา ยิ่งในตอนที่ไม่ได้พบได้เจอกันหลายวันแบบนี้แล้ว ปกติพวกเขาจะยิ่งกุลีกุจอมาหานาง แต่ในตอนนี้เด็กๆทุกคนเพียงแค่รออยู่กับผู้ปกครองของตนเองด้วยความตั้งใจ ไม่มีใครแตกแถวเลยแม้แต่คนเดียว“ในเมื่อทุกคนจริงจังกันขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขอจริงจังด้วยอีกคนก็แล้วกัน...” เด็กหญิงยิ้มและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน