ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างไกลกับเมืองใหญ่พอสมควร เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชายป่าที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ไม่ถึงร้อยครัวเรือน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนนั้นจะอาศัยขึ้นไปหาของป่าที่ทิวเขาไกลออกไปหลายสิบลี้ เพราะว่าดินแดนแถบนี้ไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งและมีดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก ทำให้ไม่ค่อยเหมาะแก่การเพาะปลูกหัวเผือกหัวมันเท่าไรนัก ความเป็นอยู่ของผู้คนจึงลำบากมากพอตัวเลยทีเดียว
ถึงทิวเขาไกลออกไปหรือถ้าออกจากที่ดินผืนนี้ไปจะสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แต่ด้วยสำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ดินผืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาอย่างยาวนาน
หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้
ยังไม่รวมถึงเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ต้องไปทิ้งชีวิตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วด้วย สิริรวมแล้วสถานการณ์ของหมู่บ้านที่สุขสงบเช่นนี้ก็เริ่มจะไม่คอยดีมากนัก
จนกระทั่ง...
เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนหรือนานกว่านั้น เริ่มมีผู้คนที่เดินขึ้นไปตามลำธารที่แห้งขอด ก็เริ่มพบเจอกับเด็กผู้หญิงมอมแมมตัวเล็กๆ ที่มาพร้อมกับหมาตัวเขื่องพันธุ์ไหนสักพันธุ์ที่พวกเขาไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังวุ่นอยู่กับการทำบางสิ่งบางอย่าง
ในคราแรกทั้งคู่นั้นต่างก็เป็นที่หวาดกลัวของคนในหมู่บ้าน แต่ยิ่งนานวันก็ความกลัวที่มีต่อเด็กน้อยก็ค่อยๆ จางหายไป จะเหลือก็แค่ความยำเกรงที่มีให้แก่เจ้าหมาขนฟูจนปิดบังแม้แต่ดวงตา จนไม่สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ของมันได้เลย จะมีก็แต่ตอนที่มันแยกเขี้ยวเท่านั้นที่พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่เป็นมิตรแล้ว
ส่วนสิ่งที่ทำให้เด็กหญิงค่อยๆ สนิทชิดเชื้อกับผู้คนในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ก็เป็นเพราะในทุกๆ ครั้งที่นางพบเจอผู้คน นางก็จะมาพยายามมาพูดคุยไว้วานให้ทำบางสิ่งบางอย่างให้แก่นาง โดยแลกกับอาหาร
อาหาร...
ใช่แล้ว!
มันคือสิ่งที่ผู้คนในหมู่บ้านนี้ขาดแคลนมากที่สุด ทำให้แม้จะหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงเพียงใด แต่เพียงแค่ไม่นานแทบจะทุกครัวเรือนในหมู่บ้านจะวนเวียนมายังที่ที่เด็กหญิงกับหมาตัวเขื่องอาศัยอยู่
เคยมีอันธพาลในหมู่บ้านพยายามที่จะเข้าไปปล้นเอาอาหารจากเด็กหญิง เพราะคิดว่านางต้องมีสมบัติบางอย่างที่สามารถเก็บอาหารได้มากมาย
แต่สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการที่พวกมันทุกคนต้องเอาชีวิตมาทิ้งภายใต้คมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์ที่สูงเกือบสองเมตร
แน่นอนว่าเมื่อมีคนตายย่อมมีคนกล่าวโทษต่อเด็กหญิงเป็นธรรมดา แต่นางก็พูดไปตามตรงว่าถ้าหากคนพวกนั้นไม่พยายามปล้นทำร้ายนาง เรื่องราวมันก็คงไม่จบลงแบบนี้
จบลงตรงที่ผู้คนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนางไม่สามารถรับสิ่งใดๆ จากนางได้เลย แตกต่างจากเด็กๆ ในหมู่บ้านที่มักจะแวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่นี่เป็นประจำ แล้วได้กินทั้งขนมทั้งน้ำหวานทั้งของแปลกๆ มากมายที่พวกเขาไม่เคยได้พบได้เห็นมันมาก่อนทั้งชีวิต
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานของเด็กหญิงผู้ใจดีกับหมายักษ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ จนถึงขั้นมีบางคนสรรเสริญนางว่าเปรียบได้ดั่งเทพเซียน หรือแม้แต่ของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้กับพวกเขาที่อดทนไม่ทอดทิ้งบ้านเกิด
และแน่นอนว่าเย่หัวไม่เคยรับรู้และต่อให้รู้นางก็ไม่คิดที่จะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเช้าวันนี้นางตื่นแต่เช้าล้างหน้าบ้วนปากแล้วออกจากเรือนมามองทุกสิ่งทุกอย่างของนาง ที่ถูกสร้างขึ้นในตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
“เดือนเดียว...” เสียงหวานใสรำพึงเบาๆ ออกมาในขณะที่มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัว “ยังไงก็เถอะเหลือจะเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ ความแตกต่างของเวลามันยากจริงๆ ให้ตาย ไม่ชินสักที”
เพียงแค่ระยะเวลาแค่เดือนเดียวจากไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว เย่หัวก็สามารถใช้อาหารที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดนี้เอง สร้างบ้านขึ้นมาได้หลังหนึ่ง ด้วยเรี่ยวแรงของผู้คนมากหน้าหลายตา ที่แลกมาด้วยอาหารมากมายหลายร้อยจานชามที่เอาออกมาจากตู้เย็นของเจ้าเพื่อนเก่าเจ้าปัญหา
จนสามารถสร้างบ้านหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กที่สร้างด้วยหินดินไม้ผสมเข้าด้วยกันแล้วมุงด้วยหญ้า พร้อมๆกับพื้นที่รอบๆ บ้านที่นางให้คนช่วยยกร่องที่ดินเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“ตอนนี้มีบ้านแล้ว มีอาหารไม่จำกัด แล้วหลังจากนี้นอกจากทำสวนทำไร่แล้วจะทำอะไรต่อไปดี...” พูดแล้วก็หันไปหาเจ้าเพื่อนเก่าในร่างใหม่ “ว่าไงสังเอาไงต่อดี”
“...” หมาตัวเขื่องเพียงแค่หันมามองเด็กหญิงร่างเล็กแค่ชั่วครู่ก่อนที่จะหมอบลงนอนตามเดิม
หะหะ
“สงสัยใกล้บ้าเต็มทีแล้วถึงได้คุยกับหมา” เด็กหญิงหัวเราะกับตัวเองเบาๆ นึกย้อนกลับไปในตอนแรกที่ตื่นมาเห็นหมาทิเบตันตัวใหญ่ยักษ์เมื่อเทียบกับร่างของเด็กแบบขวบอย่างนาง ในตอนแรกก็ตกใจไม่คิดว่ามันจะตัวโตขนาดนั้นในตอนที่อ่านจดหมาย แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ทำร้ายนางแถมยังเชื่อเสียยิ่งกว่าเชื่อเท่านั้นนางก็พอจะโล่งใจได้เปราะหนึ่ง
และเจ้า “สัง” ที่ตั้งตามชื่อเดิมของของเพื่อนเก่าสมัยนางยังสาวนี่เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางสามารถปรับตัวเข้ากับโลกนี้ได้เร็วขึ้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือมันคอยช่วยปกป้องนางเสมอ หรือแม้แต่เล่นกับเด็กๆ ที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางอย่างไม่เกี่ยงงอน
“เอาเถอะ อย่างน้อยจากที่ไม่มีอะไรเลยก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว เดี๋ยวค่อยกว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
......................
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรกันอย่างนั้นหรือ” เสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลจากเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่วิ่งนำลิ่วมาแต่ไกล ตามมาด้วยเด็กๆ อายุตั้งแต่หกถึงสิบห้าปีอีกสิบสองสิบสามคนที่ต่างก็พากันวิ่งมารวมตัวกันตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานย้อนความกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว ด้วยชุดที่เย่หัวสวมใส่อยู่อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างพิเศษหรือเพราะอะไรก็ตามแต่ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเพียงแค่ชุดเดียว แต่ก็เหมือนกับว่าเสื้อผ้าชุดนี้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้อย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะมอมแมมไปบ้างในหลายๆ ครั้งหลายๆ หน แต่นางก็ยังคงมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดกับเสื้อผ้าหรูหราเกินกว่าเด็กๆในหมู่บ้านเพราะแบบนั้นเองที่ทำให้ใครสักคนเรียกนางว่า “คุณหนู” แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เรียกนางว่าคุณหนูตามๆ กันมา ทั้งด้วยความแข็งแกร่งและใจดีของผู้คุ้มกันสี่ขา กับความเอื้อเฟื้ออาหารการกินสุดหรูหราให้กับเด็กๆ และผู้คนในหมู่บ้าน ถึงจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกรักและเอ็นดู “คุณหนู” เพียงหนึ่งเดีย
“คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรหรือเจ้าคะ?” จางหลัวเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในหมู่บ้านเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นก่อนใคร ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งหรือมีอายุมากกว่าคนอื่น แต่นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากพี่เบิ้มอย่าง ‘เจ้าสัง’ และเป็นคนริเริ่มเรียกเย่หัวว่า ‘คุณหนู’ “เห็นคุณหนูพูดแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”“นั่นสิขอรับ” จางซิวผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวเห็นด้วย ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างก็ลดจังหวะความเร็วในการเคี้ยวลง แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ“ก่อนอื่นข้าอยากฟังเรื่องของพวกเจ้าก่อน ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยสิ่งที่จะทำต่อไป เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าอยากจะทำมันจะสำเร็จไหม”“อะไรหรือเจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เย่หัวพยายามทบทวนความคิดของตัวเองหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว “พวกเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ทั้งรายละเอียดเรื่องอาหารการกินและภัยแล้งอะไรนั่นที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน”“พี่ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังดีกว่า พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีก
“...?”“...”“...”“ช่วย...ยังไงหรือขอรับ”“ช่วยอย่างไรหรือเจ้าคะ” เด็กๆ ที่ได้ยินต่างก็สงสัยกับคำกล่าวของเย่หัว “ทุกวันนี้คุณหนูก็ได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้มากแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่แล้วขอรับ ถึงจะไม่มีใครมากล่าวต่อคุณหนูโดยตรง แต่สำหรับพวกเราในหมู่บ้านตระกูลจางต่างก็รู้สึกขอบคุณคุณหนูจากใจ เพราะสำหรับพวกเราแล้วอาหารที่คุณหนูมอบให้มันมากเกินกว่าค่าแรงสำหรับคนจนๆอย่างพวกเราสามารถหาได้ไปไกลโขแล้วขอรับ”“...” เย่หัวมองเด็กๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย“พี่ใหญ่กับหัวหน้าไม่ได้กล่าวผิดไปแม้แต่นิดเดียวขอรับ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์ที่คุณหนูมักจะมอบให้กับผู้คนที่แวะเวียนมาช่วยงาน หรือหัวมันแปลกๆ ที่พวกเราไม่เคยพบเ
“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”“ขอรับ”“เจ้าค่ะ”ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี
บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่“อิ่มแล้วขอรับ”“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”“...”“...”ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ“ใช่แล้วข
บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวันเดือนกว่าๆ...เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นช
ตามชื่อตอนนะครับ ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงสิบตอนแรกแล้วและน่าจะปั่นเรื่องนี้ไปยาวๆ เลยอยากพูดคุยกันนิดนึงครับอย่างแรกเลยถ้าหากนักอ่านที่ตามมาจากเรื่องเก่าๆ ของไรท์น่าจะพอรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่มาใหม่ไรท์ขอแนะนำตัวคร่าวๆ นะครับไรท์ชื่อชาครับ นายปรีชาทองแก้ว ปีนี้อายุ35ปี(ในอีกไม่กี่เดือน)ตอนนี้ผมต้องดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงมาจะหกปีแล้ว (ครบหกปีวันที่4เมษา) และต้องดูแลด้วยตัวเองเพียงแค่คนเดียวมาแปดเดือนกว่าแล้ว เพราะพี่ๆ ต่างก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่พวกเขาเลือก ทำให้ผมต้องรับภาระในการดูแลพ่อคนเดียวทั้งหมดเนื่องจากอาการของพ่อผมเป็นเส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย บวกกับโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีรวมๆ ก็ หัวใจโต เก๊าต์ พาคิดสัน ปอด ต่อมลูกหมาก ไม่ร่วมโรคคนแก่อื่นๆ ซ้ำในตอนนี้(ตั้งแต่ช่วงนี้ของปีที่แล้ว) พ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสามทำให้ต้องเข้า
บทที่ 11 พิเศษเพียงแค่ไม่กี่วันให้หลังผู้คนในหมู่บ้านต่างกรูกันไปให้เด็กหญิงใช้งานด้วยความเต็มใจ แล้วก็มีผู้คนมากเกินไปจนสุดท้ายแล้ว “พี่ชาย” ของเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงจัดส่งคนไปเป็นกลุ่มๆ เพื่อไม่ให้มีคนมากจนเกินไป จนไปสร้างความรำคาญให้กับเด็กหญิงตัวน้อยที่มาพร้อมกับผู้คุ้มกันสี่ขา จนนางเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือมันก็อาจจะทำให้ผู้คนกลับไปลำบากเหมือนแต่ก่อน พี่ชายของเขาจึงพยายามให้นางมีความสุขที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป...แม้แต่ในตอนที่เขาส่งลูกสมุนของเขาไปเพื่อแกล้งเป็นโจรปล้นอาหาร หมายจะเข่นฆ่าเด็กหญิงที่ทำให้แผนการของเขาเสียหายเสีย แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด‘มนุษย์มาร’ ที่ควรจะสามารถจัดการได้แม้แต่สัตว์อสูรระดับสองดาว ที่สามารถฆ่าคนทั้งหมู่บ้านได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยตัวคนเดียว แต่กลับเป็นว่ามนุษย์มารทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นกลับถูกกำจัดจนสิ้นในค่ำคืนเดียวด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์นั่น!
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน
บทที่ 76 หลอมรวม“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายพวกท่าน” ในทันทีที่เด็กสาวเข้ามาถึงห้องที่มีผู้ป่วย 2 คนนอนอยู่ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มก็ได้ดึงตัวลุกขึ้นเตรียมต่อสู้ในทันที เยว่หัวเลยกล่าวออกไปแบบนั้น พลางหันไปหาจางหลงที่มาด้วยกัน “ไหนท่านบอกว่าพวกเขาหมดสติไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วไม่ใช่ว่าเข้ามาตามหาข้าหรอกหรือ”“ขออภัยด้วยขอรับ อาจจะเป็นเพราะว่าฤทธิ์ยาที่ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง” จางหลงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก “เป็นท่านเองมิใช่หรือที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูกันแบบนี้เล่า”“ข้าขออภัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าตัวข้ายังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะถูกตามล่ามา ทำให้แสดงท่าทีเสียมารยาทไปแบบนั้น ข้าขออภัยจริงๆ” แม้อย่าพูดออกมาแบบนั้น แม้จะละท่าทีความหวาดระแวงลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน“เลิกตั้งป้อมเป็นศัตรูกันเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็แค่พูดมา เพราะถ้าหากว่าพวกข้าต้องการจะทำอะไรพวกท่านจริง ก็คงจะไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยว่หัวที่คร้านจ
บทที่ 75 ผู้มาใหม่“ต้าพัง...ต้าพัง!”เยว่หัวร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองภาพรอบๆด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่นางกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้ว“ข้าฝันไปอย่างนั้นสินะ แต่ว่ามันคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาธรรมดาแน่ เพราะไม่มีทางที่เจ้านั่นจะทำอะไรแบบนี้โดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมต้าพังถึงไปอยู่ในความฝันนั้นได้ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...”เด็กหญิงพยายามใช้ความคิดของตัวเองหมุนวนอย่างเร็วจี๋ เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความฝัน แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งที่มันยังจำได้แม่นก็มีเพียงแค่เรื่องของการฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นถัดไปเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งนางใช้ชีวิตในโลกนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำของนางในโลกใบเดิมก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่นางเคยคิดว่านางสามารถจดจำ เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนเก่าหรือตัวนางเองได้มากแค่ไหน แต่มันก็ราวกับว่านางแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนเหมือนกับจำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวแล
บทที่ 74 ซวนซานจุน“เป็นอย่างไรบ้าง การที่ได้เจอนางอีกครั้งแบบนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร”“ก็ยังรู้สึกยินดีแบบเดิมขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าในตอนนี้ข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมข้าถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ข้าได้ตายไปแล้วหรือขอรับ”“เพราะว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้าได้ทำการให้ในสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการให้อภัยต่อบิดาผู้เอาชีวิตของเจ้า ทั้งยังตัวเจ้าในตอนนั้นได้ระลึกถึงบุญคุณของนางที่มีต่อเจ้า ต่อผู้คนที่อยู่รอบกายของเจ้า ทำให้เจ้าสามารถพ้นสภาวะจิตความเป็นมนุษย์ แล้วเสวยรูปของการเป็นเทพได้ในตอนนี้”“เทพอย่างนั้นหรือ...”“เพียงแต่ว่าเจ้ายังสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ มิได้บรรลุธรรม หรือมิได้สร้างกรรมอันยิ่งใหญ่ จนสามารถรังสรรค์ปราสาทและบริวารของเจ้าได้ เมื่อรวมกับดวงจิตสุดท้ายของเจ้าที่ผูกติดกับสถานที่แห่งนี้ เจ้าก็เลยยังเป็นเทพเบื้องต่ำที่ยังมิได้ไปไหนถึงฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังสูง กว่าภพมนุษย์ที่เจ้าจากมามาก”“แล้วหลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป”“ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ก้าวพ้นห้วงสังสารวัฎ กล่าวคือยังเกิดในภพของมนุษย์ เทพ เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก เจ้าก็จะย
บทที่ 73 ความฝัน(3)“...กูถามมึงจริงๆเถอะ การที่มึงมาร้องไห้ร่ำไรรำพัน กับการจากไปของเขา มึงคิดว่าถ้าต้าพังยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือยังสามารถรับรู้สิ่งที่มึงทำมึงเป็นอยู่ได้ มึงคิดว่าเด็กคนนั้นจะรู้สึกยังไงกูไม่ได้บอกว่าให้มึงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง กูไม่ได้บอกว่าที่มึงไม่สบายใจที่มึงเสียใจมันผิด แต่มึงแก่แล้วนะถึงเทียบอายุกับโลกนี้ มึงอาจจะยังแค่เด็กน้อยก็เถอะแต่มึงกับกูเคยอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเชื่อมถึงกันหมดทั้งโลก มึงได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งมึงเป็นครีเอเตอร์ดัง มึงก็ต้องพบกับแฟนคลับมากหน้าหลายตา มึงอยู่กับสังคมมามากกว่ากูเยอะอย่างน้อยที่สุดกูอยากให้มึงใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่มึงต้องเรียนรู้ต่อไปในวันข้างหน้า มึงจะต้องจำให้ได้ว่า ความประมาทของมึง ความคิดน้อยของมึง มันอาจจะนำพาความเสียใจมาให้มึงอีกครั้งก็ได้
บทที่ 72 ความฝัน(2)“ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ...” เยว่หัวบ่นกับตัวเอง เบาๆ มันไม่ได้เป็นความเหนื่อยที่ร่างกาย เนื่องจากตลอดวันทั้งวัน นางแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะว่าคนในหมู่บ้านถ้าหากว่าหายใจแทนนางได้ก็คงจะทำไปแล้วสิ่งที่นางทำมากที่สุดในแต่ละวัน สำหรับช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ก็เพียงแค่การเปิดตู้เย็นแล้วเอาสิ่งของออกมาเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นก็ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่อย่างเดียวส่วนช่วงเวลากลางคืน หลังจากที่นางสามารถฝึกฝนพลัง จนสามารถเปิดจุดลมปราณตามเคล็ดวิชา ขั้นแรกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นางก็แทบไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนในยามค่ำคืนอีกเลย นางจึงพยายามใช้ทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ไปในตอนที่ว่างเว้นจากการอยู่กับคนอื่น เพื่อฝึกฝนทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่เขียนเอาไว้ในความทรงจำของนางแต่ที่น่าแปลก...ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นางเหมือนจะจำได้ว่า ในหนังสือที่นางอ่านไปในตอนนั้นมันเขียนบอกเอาไว้ถึงการฝึกฝนขั้นต่อไปด้วย แต่ในตอนนี้นางจำไม่ได้เสียแล้วว่า จะต้องฝึกอย่างไรต่อ จึงทำได้เพียงแค่เพิ่มการสังเกต การรับรู้ และรวบรวมพลังไปยังจุดที่ชีพจรที่กลางหน้าผาก ให้มากที่สุด เข้มข้นที่สุด แ
หลังจากผ่านมาได้พักใหญ่ ลองกลับไปไล่ดูคอมเม้นของหลายๆ ท่านนะครับ เรื่องนิสัยของเยว่หัวที่มันขัดใจหลายๆ คนเสียจริงๆ ประมานว่า…อายุเดิมก็ปาไปหลายสิบปีแล้วไม่น่าจะคิดแบบนั้นอายุครึ่งร้อยแต่ความคิดเด็กน้อยโลกสวยเกินไปฯลฯสรุปรวมคร่าวๆ หลายๆ คนหมั่นใส่หรือไม่ชอบในความคิดความอ่านของนางเอกพอสมควรเลย หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำที่คิดแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจให้เห็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละครับ ซึ่งจริงๆ อยากจะค่อยๆ อธิบายในเนื้อหาไปเรื่อยๆ แต่หากว่ามันช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้กับนักอ่านได้คงจะดีครับ เพราะจริงๆ อยากให้ทุกคนติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะผมตั้งใจวางทุกๆ คนในเรื่องให้เป็นคนจริงๆ ทุกๆ คนที่เติบโตในแบบของตัวเอง และทุกๆ ชีวิตในโลกใบนี้เป็นชีวิตจริงๆ ที่มีความคิดและโชคชะตาในแบบของตนอย่างแรก…และถ้าหากนักอ่านได้ตามอ่านถึงตอนปัจจุบัน คงจะพอเข้าใจแล้วถึงว่าทำไมไรท์ต้องใจดำฆ่าต้าพังที่ดูเหมือนจะมีบทสำคัญมาก ซึ่งความตั้งใจจริงๆ ของไรท์ต้าพังก็เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในโลกนี้ เพราะเขาเป็นคนที่สร้างบาดแผลให้เยว่หัวได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างที่สอง เรื่องนิสัยของเยว่หัว อย่างแรกที
บทที่ 71 ความฝัน(1)“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับคุณหนู หากคุณหนูพร้อมพรุ่งนี้เราสามารถเปิดทำการโรงเตี๊ยมจันทราอัสดง ได้อย่างเป็นทางการเลยขอรับ”“ขอบคุณท่านหัวหน้าและทุกๆคนมากเลยนะเจ้าคะ ถ้าหากไม่มีทุกคนข้าก็ไม่รู้ว่า ความฝันเล็กๆน้อยๆ ของข้าจะสำเร็จเมื่อไร”“ไม่เป็นไรเลยขอรับ อันที่จริงเป็นพวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณหนูมาก ถ้าหากว่าคุณหนูไม่ได้มาที่นี่แล้วละก็ พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้าง”“ใช่แล้วล่ะขอรับ ลำพังสิ่งที่คุณหนูมอบให้กับพวกเราแล้ว ต่อให้พวกเราใช้ทั้งชีวิตนี้มอบให้กับคุณหนูก็คงจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่การทำอะไรเล็กๆน้อยๆ พวกนี้เลย”“ใช่ใช่ อีกอย่างคุณหนูก็ยังได้มอบทั้งอาหารทั้งเครื่องดื่ม ที่สุดแสนวิเศษให้กับพวกเราไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยความสามารถ เล็กๆน้อยๆของพวก