บทที่ 2 ความทรงจำที่ขาดหาย
หลังจากที่กลุ่มคนจากไปจนหมดไม่เหลือใครเนิ่นนานหลายสิบหลายร้อยลมหายใจ กว่าที่ทิพย์จะหายจากอาการตกใจจนสามารถกลับมามีสติอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพติดตาที่ยังคงชัดเจนหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ นางก็สำรอกน้ำย่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กว่าครู่ใหญ่ที่นางจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้
“หนี!!”
เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของนาง หลังจากที่เหมือนว่านางลืมการพูดจาไปแล้วพักใหญ่ และสิ่งที่นางทำเป็นอย่างแรกก็คือการวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศที่คนพวกนั้นเดินจากไปอย่างสุดชีวิต
“ทำไมถึงได้แรงเยอะจัง...” เสียงเล็กๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงบ่งบอกได้ถึงความสงสัยอย่างไม่สามารถปกปิดได้
ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าแม้แต่ก่อนหน้าที่นางจะหลุดมายังโลกใบนี้ นางก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากมาย ซ้ำยังมีโรคข้อเข่าที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว ทำให้นางเดินเหินไม่ค่อยจะสดวกนัก
หรือต่อให้นี่เป็นร่างใหม่ที่เด็กลงมากว่าสมัยก่อนมาก ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วว่าเด็กแค่ไหน
ที่สำคัญต่อให้นางไม่มีความทรงจำเก่าๆ อยู่เลย แต่ดูจากปฏิกิริยาของชายชราและกลุ่มคนแล้ว ที่คนพวกนั้นบอกว่านางอายุแค่แปดขวบเท่านั้น
“แล้วเด็กแปดขวบที่ไหนกันที่แข็งแรงขนาดนี้...” ต่อให้ไม่มีนาฬิกาบอกเวลา ต่อให้ไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป นางก็พอจะรับรู้ได้ว่าร่างเล็กๆ นี้ออกวิ่งมาได้นานเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรี่ยวแรงก็ยังคงไม่ได้ถดถอยแต่อย่างใด ยังคงสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุดต่อมาเรื่อยๆ โดยที่นางไม่แม้แต่มีเหงื่อออกมาสักหยดด้วยซ้ำ
สงสัยก็ส่วนสงสัยความหวาดกลัวก็ส่วนความหวาดกลัว สิ่งที่นางทำได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่นางต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่นางจะทำได้ เพราะเท่าที่พอจับใจความได้หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา นางก็พอจะรู้ได้ว่าตัวเองนั้นคือเย่หัวอะไรนั่น เป็นคุณหนูของตระกูลเย่ที่ถูกตามล่า และคงไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลเย่ได้อีกต่อไป
ราวกับชีวิตของนางเป็นพล๊อตนิยายขายดีเรื่องหนึ่ง...
ยิ่งคิดภาพของคนเป็นๆ ทั้งคนที่พยายามจะลืมให้ได้ก็วนเวียนเข้ามาในห้วงจิตสำนึก ความน่ากลัวของผู้คนที่คอยตามล่า จนสุดท้ายแล้วจิตใจที่สั่นไหวไปมาก็เริ่มครองสติได้ยากขึ้น แม้ว่าจะพยายามลืมมันเท่าไหร่พยายามค้นหาในความทรงจำของร่างกายนี้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงพยายามฆ่านางเสียให้ได้
แล้วพ่อกับแม่ของนางอยู่ไหน
หรือว่าทั้งสองคนได้ตายไปแล้วล่ะ
แล้วคนอื่นๆ ในตระกูลที่ดูจะไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ นั่นทำไมถึงไม่ยอมปกป้องนาง
ทำไมชายชรานั่นถึงได้พูดเรื่องโหดร้ายว่าให้นางตายไปอย่างสงบเสียอย่างหน้าตาเฉย
ทั้งๆ ที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะติดค้างนาง แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะช่วยอะไรนางเลย
ความคิดต่างๆ ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่กลิ่นคาวเลือดของร่างนั้นยังไม่จางหายไปจากความรู้สึก
นางพยายามค้นหาความทรงจำของร่างนี้อย่างถึงที่สุดจนความเจ็บปวดสายหนึ่งที่วาบผ่านขึ้นมาในหัว จนทำให้สติของนางหลุดลอยไปยังห้วงแค่ความฝันอันแสนไกล โดยที่ร่างกายยังคงทำตามคำสั่งสุดท้ายด้วยการบ่ายหน้าวิ่งต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนว่าจะผ่านพุ่มหนามต้นไม้ใบหญ้า จนร่างเล็กๆ ที่ยิ่งนานยิ่งเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน
ในขณะที่นางยังไม่ได้สติอยู่นั่น ร่างนั้นก็ได้วิ่งไปเนิ่นนานกว่าสิบชั่วโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นดวงตะวันที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้ายังคงเลื่อนขึ้นมาเพียงแค่หน่อยเดียว หากนางยังคงมีสติอยู่และมีนาฬิกาอยู่กับตัว นางคงจะตกใจจนอ้าปากค้างไปแล้ว...
เพราะว่าโลกใบนี้มันใหญ่โตเสียยิ่งว่าโลกที่นางจากมาทับพันเท่า!
เวลาในแต่ละวันนั้นเนิ่นนานกว่าโลกเดิมของนางนับสิบเท่า!!
ตามระยะเวลาที่โลกขนาดใหญ่ใบนี้หมุนรอบตัวกว่าจะครบรอบ
ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเนื่องจากแต่ละวันในโลกใบนี้นั้นยาวนานเท่ากับสิบวันในโลกเดิมของนาง แต่ละเดือนยังกินเวลาเป็นร้อยวัน แล้วกว่าแต่ละปีจะผ่านพ้นไปนั้นก็กินเวลากว่าสิบสองเดือนหรือหนึ่งพันสองร้อยวันต่อปี
ทำให้นอกจากบางเมืองบางอาณาจักรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงพอเท่านั้น ที่จะให้ความสำคัญกับวันเดือนปี
เพราะสำหรับคนทั่วไปเพียงแค่เอาชีวิตรอดไปในแต่ละวันยังยากแล้ว
ซึ่งในขณะที่ร่างเล็กหมดสติไปอยู่ในห้วงความฝันอยู่นั้น ก็ได้มีสายตาคู่หนึ่งคอยเฝ้าดูแล้วตามมองนางอยู่โดยตลอด มันพยายามสังเกตุสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่วิ่งผ่านเข้ามาในอาณาเขตของมัน แล้วจู่ๆ มันก็ตาลุกวาวราวกับว่ามันค้นพบอะไรบางอย่าง...
ฟุบบบ
จนกระทั่งผ่านไปกว่าสิบชั่วยาม(200ชั่วโมง) ดูเหมือนว่ายาทิพย์ที่ถูกป้อนเอาไว้ก่อนหน้านี้จะถูกใช้จนหมดไป ร่างเล็กๆ ก็ดุจกับว่าวสายป่านขาด พุ่งลอยละลิ่วไปข้างหน้าราวกับเครื่องยนต์ที่ถูกดับลงหลับกลางอากาศทั้งๆ อย่างนั้น
………………
หลายวันผ่านพ้นไป...“เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างเล็กของเย่หัวถอนหายใจออกมาแบบนี้ เนื่องจากในตอนที่ก่อนหน้านี้ที่นางได้หมดสติไปนั้น นางก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าที่ฝากเอาไว้ในห้วงแห่งความฝัน ที่จ่าหน้าซองเอาไว้ว่าถ้าหากนางสามารถรอดพ้นมาได้ก็แสดงว่านางนั้นจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ ได้ ซึ่งในจดหมายฉบับนี้จะมีสิ่งที่นางจะต้องรู้เอาไว้ซึ่งสิ่งที่มันได้เขียนเอาไว้ก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาๆ อย่างนางเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่พอจะสามารถจับใจความได้คร่าวๆ ก็คือ...อย่างแรกก็คือโลกนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง เนื่องจากช่วงเวลามันผ่านไปนานหลายภัทรกัปแล้ว และในโลกนี้นั้นเป็นช่วงเวลาขาลงของโลกที่มนุษย์จะมีอายุไขยาวนานราวสองร้อยสิบปี โดยที่แต่ละวันของโลกนี้จะยาวนานกว่าโลกเดิมของเราถึงสิบเท่า ส่วนแต่ละปีนั้นยาวนานกว่าหนึ่งพันสองร้อยวันในตอนที่กวาดสายตาอ่านเจอคำพวกนี้คราวแรกนางก็ออกจะมึนๆ งงอยู่บ้าง แต่พอได้รู้รายละเอียดเรื่องของเวลาในโลกใบนี้นางก็ถึงกับอ้าปากค้างถ้าอย่างนั้นที่นางอายุแปดขวบมันก็เท่ากับเท่าไหร่?...เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ ซึ่งพอนางลองคำนวณ
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างไกลกับเมืองใหญ่พอสมควร เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชายป่าที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ไม่ถึงร้อยครัวเรือน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนนั้นจะอาศัยขึ้นไปหาของป่าที่ทิวเขาไกลออกไปหลายสิบลี้ เพราะว่าดินแดนแถบนี้ไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งและมีดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก ทำให้ไม่ค่อยเหมาะแก่การเพาะปลูกหัวเผือกหัวมันเท่าไรนัก ความเป็นอยู่ของผู้คนจึงลำบากมากพอตัวเลยทีเดียวถึงทิวเขาไกลออกไปหรือถ้าออกจากที่ดินผืนนี้ไปจะสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แต่ด้วยสำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ดินผืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาอย่างยาวนาน หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้ยังไม่รวมถึงเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ต้องไปทิ้งชีวิตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วด้วย สิริรวมแล้วสถานการณ์ของหมู่บ้านที่สุขสงบเช่นนี้ก็เริ่มจะไม่คอยดีมากนักจนกระทั่ง...เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนหรือนานกว่านั้น เริ่มมีผู้คนที่เดินขึ้นไปตามลำธารที่แห้งขอด ก็เริ
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรกันอย่างนั้นหรือ” เสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลจากเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่วิ่งนำลิ่วมาแต่ไกล ตามมาด้วยเด็กๆ อายุตั้งแต่หกถึงสิบห้าปีอีกสิบสองสิบสามคนที่ต่างก็พากันวิ่งมารวมตัวกันตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานย้อนความกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว ด้วยชุดที่เย่หัวสวมใส่อยู่อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างพิเศษหรือเพราะอะไรก็ตามแต่ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเพียงแค่ชุดเดียว แต่ก็เหมือนกับว่าเสื้อผ้าชุดนี้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้อย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะมอมแมมไปบ้างในหลายๆ ครั้งหลายๆ หน แต่นางก็ยังคงมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดกับเสื้อผ้าหรูหราเกินกว่าเด็กๆในหมู่บ้านเพราะแบบนั้นเองที่ทำให้ใครสักคนเรียกนางว่า “คุณหนู” แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เรียกนางว่าคุณหนูตามๆ กันมา ทั้งด้วยความแข็งแกร่งและใจดีของผู้คุ้มกันสี่ขา กับความเอื้อเฟื้ออาหารการกินสุดหรูหราให้กับเด็กๆ และผู้คนในหมู่บ้าน ถึงจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกรักและเอ็นดู “คุณหนู” เพียงหนึ่งเดีย
“คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรหรือเจ้าคะ?” จางหลัวเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในหมู่บ้านเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นก่อนใคร ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งหรือมีอายุมากกว่าคนอื่น แต่นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากพี่เบิ้มอย่าง ‘เจ้าสัง’ และเป็นคนริเริ่มเรียกเย่หัวว่า ‘คุณหนู’ “เห็นคุณหนูพูดแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”“นั่นสิขอรับ” จางซิวผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวเห็นด้วย ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างก็ลดจังหวะความเร็วในการเคี้ยวลง แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ“ก่อนอื่นข้าอยากฟังเรื่องของพวกเจ้าก่อน ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยสิ่งที่จะทำต่อไป เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าอยากจะทำมันจะสำเร็จไหม”“อะไรหรือเจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เย่หัวพยายามทบทวนความคิดของตัวเองหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว “พวกเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ทั้งรายละเอียดเรื่องอาหารการกินและภัยแล้งอะไรนั่นที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน”“พี่ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังดีกว่า พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีก
“...?”“...”“...”“ช่วย...ยังไงหรือขอรับ”“ช่วยอย่างไรหรือเจ้าคะ” เด็กๆ ที่ได้ยินต่างก็สงสัยกับคำกล่าวของเย่หัว “ทุกวันนี้คุณหนูก็ได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้มากแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่แล้วขอรับ ถึงจะไม่มีใครมากล่าวต่อคุณหนูโดยตรง แต่สำหรับพวกเราในหมู่บ้านตระกูลจางต่างก็รู้สึกขอบคุณคุณหนูจากใจ เพราะสำหรับพวกเราแล้วอาหารที่คุณหนูมอบให้มันมากเกินกว่าค่าแรงสำหรับคนจนๆอย่างพวกเราสามารถหาได้ไปไกลโขแล้วขอรับ”“...” เย่หัวมองเด็กๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย“พี่ใหญ่กับหัวหน้าไม่ได้กล่าวผิดไปแม้แต่นิดเดียวขอรับ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์ที่คุณหนูมักจะมอบให้กับผู้คนที่แวะเวียนมาช่วยงาน หรือหัวมันแปลกๆ ที่พวกเราไม่เคยพบเ
“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”“ขอรับ”“เจ้าค่ะ”ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี
บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่“อิ่มแล้วขอรับ”“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”“...”“...”ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ“ใช่แล้วข
บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวันเดือนกว่าๆ...เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นช
บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”“คุณหนู...”“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“คุณหนูฟื้นแล้ว”“...”“...”“...”เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจเย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ
บทที่ 23 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(2)“ตอนนี้แหละ!!”ทั้งกลุ่มที่ตอนนี้รวมตัวกันได้ราวยี่สิบคน แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วที่เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่กลุ่มดูต้นทางที่จะวางเอาไว้เป็นจุดๆ เพื่อป้องกันการถูกพบเห็น ซึ่งมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่อาษาทำหน้าที่นี้ ถึงจะไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากเท่ากับกลุ่มที่ไปขโมยหัวมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกตนจะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงตามไปด้วยกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มที่ต้องเอาถุงกระสอบสานลวกๆ ไปช่วยกันขนมันเท่าที่ทำได้ ซึ่งคนที่เหลือทั้งหมดแบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองคนโดยที่พวกเขาจะเอามันไปให้มากที่สุดเท่าที่กระสอบจะสามารถจุไหว แล้วค่อยสลับกันขนไปเป็นช่วงๆ แล้วแยกย้ายกันหนีกลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็ให้สัญญากันเอาไว้ว่าถ้าหากใครถูกจับได้ก็จะไม่มีการซัดทอดอย่างเด็ดขาดและเมื่อเอากลับกันไปแล้วจะไปรวมตัวกันที่บ้านของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วค่อยแบ่งกันในคืนนี้...แล้วเมื่อจัดการแบ่งสันปันส่วนหน้าที่รับผิดชอบของตนเองกันแล้ว โดยไม่สนว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันไปดูเด็กหญิงด้วยความเป็นห
บทที่ 22 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(1)“...”ท่ามกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า ดวงจิตของเย่หัวตื่นขึ้นมาบนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น“สงสัยอะดิ ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้...”“ไอ้ชา!”“‘ไอ้ชา!’ มึงจะตะโกนเรียกชื่อกูแบบนี้ใช่ไหมล่ะ แต่กูบอกเลยว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำงานในตอนที่มึงใช้พลังไปจนหมดเป็นครั้งแรก ในกรณีที่มึงไม่ยอมฝึกฝนลมปราณเลย”“แล้ว...”“กูรู้ว่ามึงมีเรื่องมากมายที่จะถาม แต่ก็เหมือนกับจดหมายที่เคยเขียนหรือตอนที่กูส่งมึงมาที่นี่ กูมีเวลาจำกัดมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วกูของให้มึงช่วยฟังได้อย่างเดียวสได้ไหม ถือว่ากูขอละกัน
บทที่ 21 เนื้อเน่าแต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นจะไม่ทันเสียแล้ว...“จะดีหรือ” ในระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันไกลออกไปเล็กน้อย “แต่ถ้าถูกจับได้มันจะไม่ดีเอานา...”“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า จะอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่”“ใช่แล้ว อีกอย่างเราแค่จะแอบเอาไปสักหน่อยแล้วเอาไปลองปลูกที่แถวๆ บ้านเราตามคำแนะนำของจางเว่ยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหนายสักหน่อย”“แล้วอีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าหัวมันกองนั้นสามารถนำไปปลูกได้จริง แล้วมันโตเร็วเหมือนที่เด็กๆ บอกเล่าแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าหน้าหนาวในปีนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่รอดได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วจะลังเลไปทำไมกัน”
บทที่ 20 เศร้าหมองหน้าหนาว...หนึ่งในฤดูที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนหนี้ไม่กี่สิบปีก่อนอาจจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีลำธารไหลพาดผ่านหลายสายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ต้นน้ำว่ามาจากจุดไหนแต่หลังจากที่ภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากฤดูหนาวธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มันจะกินเวลานานบ้างเร็วบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมเสบียงอาหารให้มากขึ้นก็เท่านั้น กลายเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลงตามความแห้งแล้งจนแทบไม่ได้เลยในปีหลังๆ มานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มจำนวนคนตายมากขึ้นในทุกๆ ปี...สำหรับหน้าหนาวที่ค่ำคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ในช่วงที่นานที่สุดอาจจะกินเวลากลางวันเกินไปถึงสองชั่วยาม เป็นช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุยืนยาวที่ไม่มีอาหารมากเพียงพอตายไปอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นหน้าหนาวที่ต้องประหยัดเนื่องจ
บทที่ 19 ข่าวดี“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้านถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดท
บทที่ 18 ความปรารถนาที่เป็นจริงในตลอดค่ำคืนอันยาวนานที่เด็กหญิงล่องลอยไปในห้องแห่งความฝันที่ไม่มีใครล่วงรู้ ผู้คนในหมู่บ้านทุกคนต่างก็มีความสุขแทบจะทุกผู้ตัวคน จะยกเว้นก็แต่บุคคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น และเริ่มที่จะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองในบางครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของบุตรชายมันก็ทำให้สติของเขากลับมาความร้อนรนที่แทบจะไม่เคยถูกดับลงไปเลยสักหนตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ มีเพียงแค่ช่วงเวลาที่นึกถึงบุตรชายผู้สืบสายเลือดของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาพอจะกลับมาพยายามในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ความตั้งใจ...สำหรับคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญมาเกิดในบ้านที่มีพี่ชายที่เก่งกาจในทุกๆ ด้าน เมื่อวันหนึ่งเขาได้แต่งงานมีครอบครัวและมีเจ้าอวบอ้วนตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เขาเลิกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองไปชั่วขณะ...
บทที่ 17 วันที่แสนวุ่นวาย“เป็นอย่างไรบ้าง พอจะกินกันได้ไหม” เย่หัวถามเด็กๆ ทั้งหมดที่กำลังกินมันหวานต้มกับเนื้อเป็นมื้อเช้า“อร่อยมากเลยขอรับ/เจ้าค่ะ”เด็กๆ ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปากยังคงมันแผลบเนื่องจากความมันของน้ำซุป“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเด็กเล็กตั้งแต่เจ็ดขวบลงไปพากันไปวิ่งเล่นกันก่อนก็ได้ ส่วนคนที่อายุมากกว่านั้นเดี๋ยวอยู่ช่วยกันเก็บล้างจานก่อน เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะไปแยกกอมันฝรั่งกัน”ด้วยที่มีเด็กๆ หกสิบกว่าคนที่มาพร้อมกันทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ทำให้แผนการต่างๆ ของนางต้องเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร อีกทั้งมันฝั่งเองที่นางจำวิธีปลูกดูแลได้แค่ลางๆ ดันโตเร็วไปกว่าที่นางคิดมากโขเลยต้องเร่งแยกกอก่อนกำหนดแต่ก็นั่นแหละอาจจะเพราะผู้คนที่โลกนี้ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยสือหรือสังคมที
บทที่ 16 เป้าหมาย“โห!!”เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของเด็กๆ หลายสิบคนที่กำลังมาล้อมวงดูแปลงมันที่ตอนนี้เจริญเติบโตเขียวขจีเต็มหูเต็มตาไปหมด กอมันฝรั่งก็เริ่มแตกกอออกมาส่วนต้นมันเองก็สูงเกือบจะสองฉื่อแล้ว ส่วนกอมันหวานเองตอนนี้เถาของมันเริ่มยาวเฟื้อยเลื้อยไปมาเกินสามฉื่อเข้าไปแล้ว“เหลือจะเชื่อ เพิ่งจะปลูกไปเมื่อวันก่อนเอง ผ่านไปแค่สองคืนก็เติบโตขนาดนี้แล้ว...”“ใช่ๆ ”“ที่สำคัญพวกเจ้าดูที่ผืนดินตรงแปลงที่เถามันเลื้อยผ่านดูสิ มันทั้งชื้นราวกับว่าฝนเพิ่งจะตกใหม่ๆ เลย แต่กลับไม่ได้เปียกชุ่มขาดนั้น นี่มันอะไรกัน”“พวกเจ้าอย่าเอาแต่พูดจากัน ไปช่วยกันทำงานส่วนที่คุณหนูเคยบอกเอาไว้เสีย เมื่อวานคุณหนูเหนื่อยเพื่อพวกเรามามาก รีบไปทำให้เสร็จก่อนที่คุณหนูจะตื่นเสีย” จางหลัวที่เริ่มไม่ค่อยคุ้นชินกับเด็กจำน