ในช่วงวินาทีที่ม่อหลี่พุ่งเข้าหาอวี้เสวี่ยหนิงด้วยความโกรธที่ถูกหญิงสาวหลอกล่อจนมังกรที่ตนอุตส่าห์ปลุกขึ้นมาถูกผนึกลงอีกครั้งหลินจื่อเฟยที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด นางกระโจนเข้าสู่ลานพิธีอีกครั้ง พลางผลักอวี้เสวี่ยหนิงให้พ้นรัศมีการโจมตีของม่อหลี่“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าหรอกนะ นางมารร้าย!” หลินจื่อเฟยพุ่งเข้าไปขวางม่อหลี่ทันที ในใจไร้ซึ่งความกลัวใดๆสายตาของหลินจื่อเฟยประสานกับไห่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ราวกับส่งสัญญาณให้เขาช่วยหลอกล่อม่อหลี่อีกแรงไห่เฟิงสบตานางเพียงเสี้ยววินาที ความเงียบกลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดวงตาที่เคยคมดุดันอ่อนลงอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขามองหลินจื่อเฟย ราวกับว่าเขาจะเผลอลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียแล้ว“ตั้งสติหน่อยสิ ท่านนักพรต!”“ข้าขอโทษ...แม่นางน้อย ข้าจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”ไห่เฟิงส่งคลื่นวารีโจมตีใส่ม่อหลี่ นางจึงเสียสมดุล ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีประสานของไห่เฟิงและหลงอวี่ไห่เฟิงเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เขาร่ายกระแสพลังน้ำด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งส่งกระแสวารีโถมเข้าใส่ม่อหลี่ นา
"หนิงเอ๋อร์" หลงอวี่กระซิบเสียงนุ่มเบาข้างหูของหญิงสาว “ข้าเข้าใจ... หากเจ้าต้องการเลือกเส้นทางของตนเอง เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้หัวใจตัวเองดีที่สุด”“อวี่เอ๋อร์...”“หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ”อวี้เสวี่ยหนิงหันมองหลงอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน "ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับท่านพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบท่าน ข้ากลับรู้สึกว่ามีอีกเส้นทางที่เรียกร้องให้ข้าเดินไป"หลงอวี่กระชับมือของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามีโอกาสเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะได้สัมผัส หากเจ้าเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิใช่ว่าเจ้าจะกลับมาหาท่านพ่อของเจ้าไม่ได้อีกเสียหน่อย"นางพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้ารู้... แต่ท่านพ่ออาจจะเสียใจที่ข้าต้องจากท่านไปไกล ข้ายังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทน และข้าไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี"ในขณะนั้นเอง อวี้เจียหรงก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืด เมื่อเขาได้ยินถึงความตั้งใจของบุตรสาว ดวงตาที่เคยเข้มแข็งก็สั่นไหวเล็กน้อย"หนิงเอ๋อร์... หากการเลือกเส้นทางนี้คือความสุขของเจ้าพ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เจ้าต
อวี้เสวี่ยหนิงเริ่มฝึกฝนการบำเพ็ญเพียรทุกวันโดยมีหลงอวี่คอยแนะนำและช่วยเหลือ บางครั้งเมื่อเสวี่ยหนิงเหนื่อยอ่อนจากการฝึก หลงอวี่ก็จะยื่นน้ำชาถ้วยเล็กให้กับนาง“พักสักหน่อยเถอะหนิงเอ๋อร์ ฝึกหนักไปเจ้าจะเหนื่อยล้า” เสวี่ยหนิงรับจอกน้ำชามาจิบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้ารู้… ขอบใจที่อยู่ข้างข้าเสมอ อวี่เอ๋อร์”นอกจากการทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาเซียนแล้ว พวกเขายังทำการบำเพ็ญเพียรคู่โดยการซวงซิวกันเพื่อผสมผสานของพลังหยินและหยาง ช่วยให้เกิดความกลมกลืนและเสริมพลังของกันและกัน“หนิงเอ๋อร์ เจ้างามมาก” ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังลาดไหล่ขาวเนียนที่กำลังนั่งสางผมอยู่หน้ากระจก เขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากร่างบางได้เลยส่วนอวี้เสวี่ยหนิงที่ได้ยินดังนั้น ลอบมองสามีของนางผ่านกระจก สายตาของทั้งสองสบกัน ก่อนที่จะรู้ตัวร่างบางของนางก็ถูกอุ้มขึ้นมาและพาไปยังเตียงนอนและวางนางลงอย่างแผ่วเบาใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็ยังไม่ชินกับใบหน้าที่งดงามของคนตรงหน้าเสียที“อวี่เอ๋อร์”“ขอบคุณที่เจ้ากลับมา ไม่ว่าจะสืออิ่งหรือเสวี่ยหนิงแต่เจ้าก็คือเจ้า ขอบคุณที่เจ้ารักและมอบ
มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันว่าพื้นดินแต่ละทิศและมหาสมุทรแต่ละแห่งนั้นจะมีมังกรสถิตอยู่ ซึ่งมังกรแต่ละตัวนั้นจะมี “หินดวงชะตาแห่งชีวิต” ซึ่งเป็นดั่งขุมพลังและหัวใจแห่งชีวิตอมตะว่ากันว่าหินนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งที่มาของพลัง แต่ยังเป็นดั่งหัวใจดวงที่สอง ซึ่งหากสูญเสียมันไปก็หมายถึงการสิ้นสุดของอำนาจและชีวิตอมตะของมังกรแต่ละตนสำหรับเหล่ามังกรแล้วการปกป้องหินดวงชะตานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง มังกรแต่ละตัวมักจะซ่อนหินนี้ไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องอย่างแน่นหนา ไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงได้ เพราะหากผู้ใดได้ครอบครองหินนี้ พวกเขาเหล่านั้นก็จะได้รับพลังอำนาจเกินมนุษย์ รวมถึงความสามารถในการควบคุมธาตุประจำตัวของมังกรนั้นๆ อีกด้วยณ กลางดินแดนทิศตะวันตกอันเงียบสงบ ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกหนาที่ลอยคลุมป่า รูปร่างของเขาสง่างามดั่งเทพเซียน ผิวขาวดุจหยกเนื้อดีที่ตัดกับเสื้อคลุมสีฟ้าเข้มที่เขาสวม ใบหน้าคมคายดั่งรูปสลัก บริสุทธิ์ไร้ตำหนิ ริมฝีปากบางเม้มสนิทที่สามารถตรึงผู้ที่พบเห็นให้ต้องจ้องมองอย่างละสายตาไม่ได้เส้นผมยาวสีดำขลับ ดุจน้ำหมึกไหลผ่านบ่ากว้าง เสริมความงดงามที่ลึกลับ หากใครได้พบสบตา
เสียงของหญิงสาวลอยเคว้งอยู่ในอากาศ นางสะบัดความคิดนั้นออกไปแล้วก้มลงมองปลาสีเงินสีทองที่กำลังขยับตัวไปมาในถังน้ำอย่างสงบนิ่ง ปลาสองตัวนี้ถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงเทพวารี เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองของหมู่บ้าน เมื่อพิธีสิ้นสุด ปลาสองสีนี้จะถูกปล่อยลงแม่น้ำ เป็นการส่งสาส์นไปยังเทพวารีให้ช่วยคุ้มครองน้ำและความอุดมสมบูรณ์ในฤดูกาลข้างหน้าแต่ในใจของอวี้เสวี่ยหนิง นางหาได้เชื่อในอำนาจของเทพวารีที่ชาวบ้านกราบไหว้ไม่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดในฐานะบุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองทำให้นางรู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งได้เห็นพิธีกรรมที่ซ้ำซากก็ยิ่งรู้สึกว่าตนถูกกักขังอยู่ในขนบประเพณี “กะอีแค่ปล่อยปลาลงน้ำ จะช่วยอะไรได้งั้นหรือ?” ความคิดเชิงเย้ยหยันแทรกเข้ามาในใจ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้ถังน้ำแล้วหยิบจับปลาสีเงินขึ้นมาพินิจพิจารณา ดวงตาสีอำพันเป็นประกายแฝงความซุกซนขณะมองดูปลาสีเงินที่ขยับไปมาบนฝ่ามือของนาง ขณะนั้นเอง เสียงที่นุ่มนวลของ “หลินจื่อเฟย” สหายสนิทที่คอยตามนางอยู่เสมอก็ดังขึ้น“อาหนิง เจ้าควรทำตามหลักพิธีบ้างอย่าดื้อให้มันมากนัก พิธีนี้สำคัญต่อชาวบ้านมากนะ” หลินจ
เมื่ออวี้เสวี่ยหนิงกลับมาถึงจวนของเจ้าเมือง ความเงียบสงบก็ถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะและคำพูดเย้ยหยันจาก “ฮูหยินอวี้” แม่เลี้ยงของนางและ “อวี้เถียนเถียน” ลูกสาวของฮูหยินอวี้หรือเป็นน้องสาวต่างมารดานั่นเอง ทั้งสองจงใจกล่าวคำกระทบกระเทียบหวังจะให้อวี้เสวี่ยหนิงรู้สึกต่ำต้อยกับเขาบ้าง แต่หญิงสาวเพียงมองกลับด้วยสายตาเฉยชา พลางยิ้มหยันในใจ "ไม่เคยเข็ดกันเลยนะคนพวกนี้" อวี้เสวี่ยหนิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย คนพวกนี้ช่างจ้อไม่รู้จักหยุด มีหรือที่นางจะยอมปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นเข้ามากระทบจิตใจได้ง่ายเช่นนี้ฮูหยินอวี้เหลือบตามองลูกสาวอย่างรู้กัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสแสร้งว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้? มอมแมมเชียว ช่างไม่สมศักดิ์ศรีบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองเลยสักนิด”อวี้เถียนเถียนรีบเสริมด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “ได้ยินมาว่าท่านทำพิธีพังพินาศไปหมด ข้าอยากรู้จริงว่าท่านพี่หญิงทำอันใด ข้าขอความกรุณาจากพี่ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม?”“แบบนี้ไงล่ะ!” อวี้เสวี่ยหนิงยกกาน้ำชาร้อนที่บ่าวกำลังนำเข้ามา และเทลงบนหัวของอวี้เถียนเถียนทันที“ร้อน! ท่านแม่! ช่วยด้วย พี่หญิงรังแกข้า!” อวี้เถ
เช้าวันหนึ่ง อวี้เสวี่ยหนิงจำใจเดินออกมาในตัวเมืองตามคำขอของบิดา ใจจริงนางไม่ได้อยากมา แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนให้นางมาช่วยชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับภัยแล้ง หวังให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างนางกับพวกเขา หญิงสาวจึงยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจเมื่อมาถึงอวี้เสวี่ยหนิงก็พยายามเขาหาชาวบ้าน หวังว่าจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างนางเดินเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับผู้คน หวังจะช่วยแบ่งเบาภาระหรือหาทางออกให้พวกเขา แต่ทันทีที่ชาวบ้านเห็นหญิงสาวก็พลันพากันถอยหนี บางคนหลบสายตา บางคนเร่งเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว “อวี้เสวี่ยหนิง นางมาทำอะไรอีก?” ชาวบ้านต่างพากันจ้องมองนางด้วยสายตาหวาดระแวงราวกับนางเป็นปีศาจที่อาจทำลายสิ่งใดที่ขวางหน้าทันใดนั้นเอง นางก็เดินไปชนแผงขายผลไม้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผลไม้หล่นกระจัดกระจาย แม่ค้าร้องออกมาอย่างตกใจ รีบก้มเก็บผลไม้ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก "โอ๊ย! แม่นางอวี้! ขอร้องหล่ะอย่าเข้าใกล้ร้านของข้าอีกเลย พังสิ้นไปหมดแล้ว!"หลังคำพูดของแม่ค้าชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างขยับถอยห่างขึ้นไปอีก อวี้เสวี่ยหนิงคือตัวปัญหาที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แม้จะเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง แต่ชาวบ้านต่างปฏิบัติกับน
อวี้เสวี่ยหนิงยืนจัดข้าวของเตรียมพร้อมกับหันไปมองหลินจื่อเฟยที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ตอนนี้สหายของนางดูอึดอัดเล็กน้อย มองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาทางเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น“อาเฟย ไปกับข้าเถอะ ข้าไม่อยากไปคนเดียว”หลินจื่อเฟยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะสบตาและแสร้งถอนหายใจเสียงเบา “อาหนิง ข้าพึ่งนึกได้ว่าข้ายังต้องเตรียมของอีกหลายอย่างนะ… เสบียงหรืออุปกรณ์ก็ยังไม่ครบเลย”อวี้เสวี่ยหนิงแอบขำเล็กน้อย เพราะเห็นความกังวลที่ร่างบางพยายามซ่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ซ่อนไม่มิด“เจ้ากลัวผีล่ะสิ หลินจื่อเฟย?” อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มอย่างรู้ทัน หลินจื่อเฟยสะดุ้งเล็กน้อย รีบหัวเราะกลบเกลื่อน พลางกอดอกและทำหน้าครุ่นคิด “ใครว่าข้ากลัว ข้าก็แค่…ไม่ชอบอากาศหนาว ในป่าอากาศหนาวจะตายไป เจ้าไม่หนาวหรือสหาย”อวี้เสวี่ยหนิงส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะล่งหน้าไปก่อน เจ้าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็ตามข้ามาก็ได้”หลินจื่อเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตามสหายไป “ได้เลย อาหนิง ไว้ข้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่จะตามไป…” แต่ในใจนั้นนางกำลังแอบขอโทษขอโพย“ข้าน่ะกลัวผีจะตาย ข้าไม่ยอมเดินป่าเด็ดขาด นั่งเล่นหมากล้มกับชาวบ้านอยู่ที่นี่ยังจะส
อวี้เสวี่ยหนิงเริ่มฝึกฝนการบำเพ็ญเพียรทุกวันโดยมีหลงอวี่คอยแนะนำและช่วยเหลือ บางครั้งเมื่อเสวี่ยหนิงเหนื่อยอ่อนจากการฝึก หลงอวี่ก็จะยื่นน้ำชาถ้วยเล็กให้กับนาง“พักสักหน่อยเถอะหนิงเอ๋อร์ ฝึกหนักไปเจ้าจะเหนื่อยล้า” เสวี่ยหนิงรับจอกน้ำชามาจิบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้ารู้… ขอบใจที่อยู่ข้างข้าเสมอ อวี่เอ๋อร์”นอกจากการทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาเซียนแล้ว พวกเขายังทำการบำเพ็ญเพียรคู่โดยการซวงซิวกันเพื่อผสมผสานของพลังหยินและหยาง ช่วยให้เกิดความกลมกลืนและเสริมพลังของกันและกัน“หนิงเอ๋อร์ เจ้างามมาก” ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังลาดไหล่ขาวเนียนที่กำลังนั่งสางผมอยู่หน้ากระจก เขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากร่างบางได้เลยส่วนอวี้เสวี่ยหนิงที่ได้ยินดังนั้น ลอบมองสามีของนางผ่านกระจก สายตาของทั้งสองสบกัน ก่อนที่จะรู้ตัวร่างบางของนางก็ถูกอุ้มขึ้นมาและพาไปยังเตียงนอนและวางนางลงอย่างแผ่วเบาใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็ยังไม่ชินกับใบหน้าที่งดงามของคนตรงหน้าเสียที“อวี่เอ๋อร์”“ขอบคุณที่เจ้ากลับมา ไม่ว่าจะสืออิ่งหรือเสวี่ยหนิงแต่เจ้าก็คือเจ้า ขอบคุณที่เจ้ารักและมอบ
"หนิงเอ๋อร์" หลงอวี่กระซิบเสียงนุ่มเบาข้างหูของหญิงสาว “ข้าเข้าใจ... หากเจ้าต้องการเลือกเส้นทางของตนเอง เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้หัวใจตัวเองดีที่สุด”“อวี่เอ๋อร์...”“หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ”อวี้เสวี่ยหนิงหันมองหลงอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน "ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับท่านพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบท่าน ข้ากลับรู้สึกว่ามีอีกเส้นทางที่เรียกร้องให้ข้าเดินไป"หลงอวี่กระชับมือของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามีโอกาสเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะได้สัมผัส หากเจ้าเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิใช่ว่าเจ้าจะกลับมาหาท่านพ่อของเจ้าไม่ได้อีกเสียหน่อย"นางพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้ารู้... แต่ท่านพ่ออาจจะเสียใจที่ข้าต้องจากท่านไปไกล ข้ายังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทน และข้าไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี"ในขณะนั้นเอง อวี้เจียหรงก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืด เมื่อเขาได้ยินถึงความตั้งใจของบุตรสาว ดวงตาที่เคยเข้มแข็งก็สั่นไหวเล็กน้อย"หนิงเอ๋อร์... หากการเลือกเส้นทางนี้คือความสุขของเจ้าพ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เจ้าต
ในช่วงวินาทีที่ม่อหลี่พุ่งเข้าหาอวี้เสวี่ยหนิงด้วยความโกรธที่ถูกหญิงสาวหลอกล่อจนมังกรที่ตนอุตส่าห์ปลุกขึ้นมาถูกผนึกลงอีกครั้งหลินจื่อเฟยที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด นางกระโจนเข้าสู่ลานพิธีอีกครั้ง พลางผลักอวี้เสวี่ยหนิงให้พ้นรัศมีการโจมตีของม่อหลี่“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าหรอกนะ นางมารร้าย!” หลินจื่อเฟยพุ่งเข้าไปขวางม่อหลี่ทันที ในใจไร้ซึ่งความกลัวใดๆสายตาของหลินจื่อเฟยประสานกับไห่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ราวกับส่งสัญญาณให้เขาช่วยหลอกล่อม่อหลี่อีกแรงไห่เฟิงสบตานางเพียงเสี้ยววินาที ความเงียบกลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดวงตาที่เคยคมดุดันอ่อนลงอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขามองหลินจื่อเฟย ราวกับว่าเขาจะเผลอลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียแล้ว“ตั้งสติหน่อยสิ ท่านนักพรต!”“ข้าขอโทษ...แม่นางน้อย ข้าจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”ไห่เฟิงส่งคลื่นวารีโจมตีใส่ม่อหลี่ นางจึงเสียสมดุล ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีประสานของไห่เฟิงและหลงอวี่ไห่เฟิงเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เขาร่ายกระแสพลังน้ำด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งส่งกระแสวารีโถมเข้าใส่ม่อหลี่ นา
หลงอวี่ไม่รั้งรอให้ม่อหลี่ทำการปลุกมังกรฉินเฟิงจนเสร็จสิ้น เขาและไห่เฟิงพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมกัน รัศมีพลังของพวกเขาประสานกันจนเปล่งแสงราวสายฟ้าฟาดไห่เฟิงเริ่มโจมตีด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและใช้พลังลมกรรโชกที่รุนแรง ทำให้ม่านพลังรอบตัวม่อหลี่สั่นสะท้าน รอยร้าวค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามแนวพลังที่ม่อหลี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวขณะที่หลงอวี่ควบคุมกระแสน้ำพุ่งเป็นเกลียวรอบลานพิธีเพื่อล้อมม่อหลี่ไว้ไม่ให้หลบหนีม่อหลี่หันมาแสยะยิ้มใส่ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ม่อหลี่ได้ซ่อนแผนการอันร้ายกาจไว้ระหว่างที่หลงอวี่และไห่เฟิงมุ่งโจมตีและพยายามป้องกันไม่ให้นางหลบหนี ม่อหลี่ก็แอบร่ายมนตร์ต้องห้ามบทหนึ่งที่นางได้ศึกษาจากคัมภีร์โบราณ นางร่ายมนตร์นี้อย่างเงียบเชียบโดยใช้เลือดของนางเอง สร้างพันธะระหว่างตัวนางและมังกรโบราณ“พวกเจ้า…คิดว่าข้านั้นมีแค่ตัวคนเดียวหรือ?”เลือดของม่อหลี่หยดลงบนพื้นและซึมลงในดิน บิดเบี้ยวเป็นลวดลายประหลาดที่เชื่อมโยงเข้ากับผนึกโบราณที่กำลังแตกออกทันใดนั้นเสียงกัมปนาทดังก้องทั่วลานพิธี ผนึกโบราณที่บิดเบี้ยวกลับแตกออก กลิ่นอายมืดดำเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากรอยร้าวที่ขยายตัว ก้อนห
อวี้เถียนเถียนมองดูอวี้เสวี่ยหนิงและหลงอวี่ที่เคียงข้างกัน ประคับประคองและบอกรักกันอย่างจริงใจ ภาพนั้นยิ่งทำให้นางปวดใจมากความอิจฉาและความเกลียดชังที่เคยฝังลึกพลันสลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป"นี่ข้าทำอะไรลงไป…ข้าไม่อยากเป็นคนเลวเลยสักนิด"อวี้เถียนเถียนพึมพำด้วยเสียงสั่น ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าและวิ่งไปผลักม่อหลี่ที่กำลังใช้สมาธิเปิดประตูนรกม่อหลี่เซไปเล็กน้อยเมื่อถูกผลัก จนประตูที่นางกำลังเปิดกลับหยุดชะงักก่อนที่จะปิดลงอีกครั้ง ความโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของม่อหลี่"เจ้าบังอาจขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ? ทำแบบนี้แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?" ม่อหลี่เอ่ยเสียงกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะทำร้ายอวี้เถียนเถียนอวี้เสวี่ยหนิงเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรีบเข้าไปยืนขวางหน้าอวี้เถียนเถียน" เจ้าเกลียดน้องสาวของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ แล้วจะปกป้องมันทำไม?"อวี้เสวี่ยหนิงหันมองอวี้เถียนเถียนด้วยแววตาอ่อนโยนที่นางเองไม่เคยคาดคิดจะมี"เพราะข้ารู้แล้วว่าการปล่อยวางความแค้นคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสงบ ข้าไม่ต้องการเห็นการสูญเสียอีกแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยโกรธและเกลียดพวกเขามาก แต่
“เถียนเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดลงไปเจ้ารู้ตัวหรือไม่” อวี้เจียหรงเอ่ยด้วยความเสียใจ แม้จะรู้ดีว่าเขาเองเป็นต้นเหตุของความบาดหมางนี้ เพราะเป็นเขาที่รักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ทำให้พวกนางต้องผิดใจกันมาตลอดอวี้เถียนเถียนหลับตาลง ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาเอ่อไหลออกมาราวกับปิดกั้นความรู้สึกไม่ไหวอีกต่อไป“ท่านพ่อ แล้วท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่? ท่านเอาแต่ตามใจพี่สาวจนข้านั้นเหมือนคนไร้ตัวตน ข้าโตมาใต้เงาของนาง ท่านรักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ท่านทำให้ข้ารู้สึกเหมือนไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลย”นางกลืนสะอื้นลงคอแล้วกล่าวต่อ “แม้แต่มารดาของข้าเอง นางไม่ได้สนใจความรู้สึกของข้าด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่พร่ำเรื่องสมบัติ เรื่องวิธีการที่จะครอบครองทรัพย์สินของท่าน นางไม่เคยให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีคุณค่าเพียงพอสำหรับนาง”“เถียนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ” ฮูหยินอวี้ตกใจเป้นอย่างมากกับคำพูดของบุตรสาว ที่ผ่านมานางถูกความโลภเข้าครอบงำจนเผอทำร้ายจิตใจของบุตรสาวโดยที่ไม่รู้ตัว“ข้าเพียงแค่อยากให้ใครสักคนรักข้า สักครั้งหนึ่ง...แต่แม้แต่ท่านนักพรตหลงอวี่ก็ไม่เคยแลข้าเลย ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เขามองมาที่ข้า ให้เขาสนใจในตัวข้า แม้จะเป็นเ
ในที่สุดก็ถึงเวลาทำพิธี หลงอวี่ยืนอยู่ท่ามกลางลานพิธี เขาเริ่มสวดบทสวดซึ่งถ้อยคำและน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราวกับว่าเขากำลังปลุกพลังบางอย่างให้ตื่นขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจชั่วร้ายที่อาจคืบคลานเข้ามาข้างกายของเขา ไห่เฟิงเองก็จับจ้องไปรอบๆ ราวกับพยายามมองหาสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เงามืด“ข้ารู้สึกได้...เหมือนมีสายตากำลังจับจ้องพวกเราอยู่”หลงอวี่หยุดชั่วครู่ ก่อนจะหันไปสบตากับไห่เฟิง ทั้งสองเพียงพยักหน้าให้กันเบาๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดแม้พิธีกรรมนี้จะถูกกล่าวขานว่าเป็นการเรียกฝนให้เมืองไป๋หลินรับพรแห่งความอุดมสมบูรณ์ตามฤดูกาล แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งสอง การประกอบพิธีนั้นมีจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านี้ทั้งสองรู้ดีว่าเมื่อเสียงสวดโบราณของพวกเขาจบลง มันไม่เพียงเพื่อทำให้ท้องฟ้าสงบตามที่กล่าวไว้เท่านั้น แต่มันยังช่วยเสริมแรงผนึกอันซับซ้อนที่กักขังบางสิ่งที่อยู่ใต้พื้นที่พวกเขากำลังเหยียบอยู่ สิ่งชั่วร้ายที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาจู่ๆ สายลมที่กลับพัดแรงขึ้น เมฆมืดเข้าครอบคลุมท้องฟ้าทันที ทุกคนในลานพิธีพากันมองไปรอบด้านด้วยความหวาดหวั่นม่อหลี่ปรากฏตัวออกจากเงามืด ร่างของนางโอบล้อมด้วยไอมืดที่หนาแน่
หลังจากดำเนินแผนการได้สำเร็จลุล่วงไอวี่เถียนเถียนก็รีบกลับเข้าห้องนอนของนางทันที โดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็นนางวิ่งออกมาจากห้องนอนของพี่สาวร่างบางยอบกายลงนอนกับเตียงนุ่ม พลางคิดถึงใครบางคนที่นางแอบคะนึงหามาได้สักพักวันหนึ่งในยามที่ฝนโปรยปราย อวี้เถียนเถียนได้ขออนุญาตจากมารดาออกมาเที่ยวเล่นตามประสาเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นานขณะนั้นเอง นางเห็นอวี้เสวี่ยหนิงกำลังช่วยชาวบ้านสร้างที่เก็บน้ำฝน ทำไมพี่สาวของนางจึงสนิทกับชาวบ้านถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่นางจำได้ว่าชาวบ้านเคยรังเกียจชังพี่สาวของตนมากแค่ไหนตั้งแต่จำความได้ สตรีตรงหน้านั้นชอบทำตัวร้ายกาจต่ออวี้เถียนเถียนและมารดาของนาง ทั้งๆ ที่อวี้เสวี่ยหนิงก็ได้รับความรักจากท่านพ่อและผู้คนในจวนอย่างล้นหลาม แต่สตรีผู้นี้ก็ยังชอบทำตัวน่ารังเกียจอยู่เสมอขณะที่อวี้เถียนเถียนกำลังจะเดินจากไป ฝนที่ทำให้ถนนลื่นกลับทำให้นางเสียหลักล้มลง ทว่าก่อนที่ใบหน้าจะกระแทกพื้น ก็มีมือหนายื่นมาประคองไว้ทัน“ระวังทางเดินด้วย คุณหนูน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยเตือนดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยนเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ ชายหน
ม่อหลี่เดินเข้ามากลางโถงใหญ่ มือเรียวเล็กของนางกำลังถือหินผนึกเทียมสีดำสนิทก้อนหนึ่ง ขณะที่ม่อหลี่จ้องมองมัน แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยแผนการใหม่ที่สลับซับซ้อน นางยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางหรี่ตามองหินผนึกที่สั่นสะเทือนราวกับต้องการที่จะปลดปล่อยพลังของมันออกมาม่อหลี่เริ่มคิดถึงแผนการลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งผนึกของสืออิ่งที่อยู่ในหินดวงชะตาของหลงอวี่ นางรุ้มาบ้างว่าอวี้เสวี่ยหนิงร่างใหม่ของสืออิ่งนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับครอบครัวสักเท่าไหร่ “อวี้เถียนเถียน…นางเป็นคนที่เหมาะที่สุด” ม่อหลี่พูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ม่อหลี่สะบัดผ้าคลุมสีดำตัดแดงของตนก่อนก้าวออกจากห้องโถง มุ่งหน้าไปยังจวนของเจ้าเมืองอวี้เจียหรงเพื่อดำเนินแผนการล่อลวงเหยื่อให้มาติดกับเมื่อมาถึงจวนของตระกูลอวี้ ม่อหลี่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ร่างบางที่กำลังยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในสวนอย่างเงียบเชียบ ดูท่าทางคงจะหงุดหงิดเรื่องของพี่สาวต่างมารดาเป็นแน่“แม่นางอวี้เถียนเถียน”อวี้เถียนเถียนหันมาด้วยความประหลาดใจและสงสัย “เจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ถ้ายังไม่หยุดเดินเข้ามาจ้าจะตะโกนเรียกคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!”“อย่าโวยวายไป ข้ารู้