อวี้เสวี่ยหนิงยืนจัดข้าวของเตรียมพร้อมกับหันไปมองหลินจื่อเฟยที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ตอนนี้สหายของนางดูอึดอัดเล็กน้อย มองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาทางเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น
“อาเฟย ไปกับข้าเถอะ ข้าไม่อยากไปคนเดียว”
หลินจื่อเฟยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะสบตาและแสร้งถอนหายใจเสียงเบา “อาหนิง ข้าพึ่งนึกได้ว่าข้ายังต้องเตรียมของอีกหลายอย่างนะ… เสบียงหรืออุปกรณ์ก็ยังไม่ครบเลย”
อวี้เสวี่ยหนิงแอบขำเล็กน้อย เพราะเห็นความกังวลที่ร่างบางพยายามซ่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ซ่อนไม่มิด
“เจ้ากลัวผีล่ะสิ หลินจื่อเฟย?” อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มอย่างรู้ทัน หลินจื่อเฟยสะดุ้งเล็กน้อย รีบหัวเราะกลบเกลื่อน พลางกอดอกและทำหน้าครุ่นคิด
“ใครว่าข้ากลัว ข้าก็แค่…ไม่ชอบอากาศหนาว ในป่าอากาศหนาวจะตายไป เจ้าไม่หนาวหรือสหาย”
อวี้เสวี่ยหนิงส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะล่งหน้าไปก่อน เจ้าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็ตามข้ามาก็ได้”
หลินจื่อเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตามสหายไป “ได้เลย อาหนิง ไว้ข้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่จะตามไป…” แต่ในใจนั้นนางกำลังแอบขอโทษขอโพย
“ข้าน่ะกลัวผีจะตาย ข้าไม่ยอมเดินป่าเด็ดขาด นั่งเล่นหมากล้มกับชาวบ้านอยู่ที่นี่ยังจะสนุกกว่าอีก แถมหญิงแกร่งอย่างเจ้าก็ไปคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว”
อวี้เสวี่ยหนิงย่ำเท้าลงบนทางดินในป่าทึบ ตาคมจ้องมองตรงไปข้างหน้า ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเปล่งประกายอย่างท้าทาย
ยิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้า บรรยากาศก็ยิ่งอึมครึม ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบนางทุกด้าน บรรยากาศเงียบสงัดจนกระทั่งเสียงบางอย่างดังขึ้นจากทางด้านหน้า
เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูนั้นดึงความสนใจของอวี้เสวี่ยหนิง นางรีบเร่งฝีเท้าจนไปถึงป่าที่อยู่ด้านหน้า ทมีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนล้อมอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์กำลังถูกดึงทึ้งอย่างไม่ใยดี
“อย่าดิ้นหนีเลยโฉมสะคราญ! เจ้าคนเดียวคิดว่าจะสู้พวกข้าไหวหรือ?”
หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อสะบัดตัวออก แต่โจรอีกคนคว้าแขนของนางไว้ได้ทัน นางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ น้ำเสียงสั่นกลัวอย่างชัดเจน
อวี้เสวี่ยหนิงเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งเข้าไป “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
โจรหันมาเจออวี้เสวี่ยหนิงก็หัวเราะเยาะ ไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด “เจ้าอยากเล่นกับพวกข้าด้วยหรือ มาสิพวกเรากำลังมีอารมณ์กำหนัดอยู่พอดี!”
อวี้เสวี่ยหนิงไม่พูดตอบ แต่ตวัดมือไปจับด้ามกระบี่และฟันออกไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในโจรเผลอเข้ามาใกล้เกินไปจนถูกฟันเข้าที่ไหล่ล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“เจ้า! กล้าทำร้ายพวกข้ารึ?!”
เขาไม่ทันได้ทำอะไรต่อ อวี้เสวี่ยหนิงก็พุ่งเข้ามาแทงที่แขนของเขา ทำให้โจรพวกนั้นตัดสินใจหนีไป เหลือไว้เพียงหญิงสาวที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นหญ้า
อวี้เสวี่ยหนิงหันไปหาหญิงสาวที่ล้มลง พลางถามด้วยความห่วงใย “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
หญิงสาวตรงหน้ามองตอบด้วยสายตาประหลาดใ ก่อนพยักหน้า “ขอบคุณแม่นางมาก ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว”
อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มเล็กน้อย ขณะช่วยประคองหญิงสาวให้ยืน หญิงสาวยิ้มตอบก่อนแนะนำตัว
“ข้ามีนามว่าม่อหลี่ แล้วท่านล่ะ?”
“ข้ามีนามว่าอวี้เสวี่ยหนิง ป่านี้อันตรายยิ่งนักข้าว่าเจ้ารีบออกไปเถอะ ตัวข้าพอมีวิชากระบี่จึงไม่ลำบากนัก แต่เจ้าน่ะ…”
“ขอบคุณมาก ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า แม่นางเสวี่ยหนิง เช่นนั้นข้าจะเล่าตำนานหินศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านฟังเป็นการตอบแทนดีไหม?”
“หินศักดิ์สิทธิ์? หินอะไรหรือแม่นางม่อหลี่?” อวี้เสวี่ยหนิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ม่อหลี่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หินนี้ว่ากันว่าอยู่ในเขาหลงซานของท่านมังกรแห่งทิศประจิม เชื่อกันว่ามีพลังดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล หากใครทำพิธีขอพรกับหินนี้ เมืองของพวกเขาก็จะไม่ประสบภัยแล้งอีกต่อไป”
คำพูดนั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงสนใจ นางรู้สึกท้าทายจนตัวสั่นแต่ก็พยายามเก็บอาการซ่อนความรู้สึกไว้ ไม่ให้แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นจนเกินไป
“เช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก แม่นางม่อหลี่ หนทางข้างหน้าช่างอันตราย แต่ถ้าเดินตรงไปอีกนิดจะเจอกับถนนสายหลัก แถวนั้นมีชาวบ้านเดิมไปเดินมามากมาย เจ้าจะปลอกภัยถ้าไปทางนั้น” อวี้เสวี่ยหนิงกล่าว ก่อนทั้งสองจะโบกมือลากัน
อวี้เสวี่ยหนิงเดินหายเข้าไปในเส้นทางที่ลึกขึ้นในป่า ขณะที่ม่อหลี่หันกลับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงสดวาว และรอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้า “รออีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…”
ท่ามกลางป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกเบาบาง ตรงหน้าของอวี้เสวี่ยหนิงคือศาลเจ้าสีขาวสว่าง ตกแต่งด้วยหยกเขียวอ่อนและเส้นขอบทองคำที่วิจิตรบรรจง ทุกมุมมองเปี่ยมด้วยความงามที่ดูแปลกตา ทว่าให้ความรู้สึกเงียบเหงาและลึกลับในเวลาเดียวกัน คล้ายกับสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้ใดเข้ามาเยือนนานแล้ว บรรยากาศโดยรอบเย็นสงัด ลมที่พัดผ่านเบา ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลึกลับของสถานที่แห่งนี้นางเดินเข้าไปในเขตของศาลเจ้า ทอดสายตามองรายละเอียด หยกเขียวที่ประดับตามเสาหินฉายแสงระยับท่ามกลางหมอก บางจุดยังมีเถาวัลย์เลื้อยประดับไว้ตามธรรมชาติ บ่งบอกว่าที่แห่งนี้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานอวี้เสวี่ยหนิงเดินสำรวจรอบศาลเจ้า ตะโกนเรียกหาผู้คน “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” เสียงที่สะท้อนกลับมามีเพียงความเงียบ นางถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างหงุดหงิด “บอกแล้วว่าพวกชาวบ้านเพ้อเจ้อ…”ขณะที่อวี้เสวี่ยหนิงกำลังจะหันหลังกลับ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับแสงวาววับบางอย่าง มันส่องประกายออกมาจากฐานของรูปปั้นมังกรหินหยกที่ถูกแกะสลักอย่างงดงาม นางหยุดยืนมองด้วยความสงสัย ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ แสงสีน้ำเงินสดใสส่องออกมาจากช่องใต้ฐานรูปปั้นมังกรอวี้เสวี
จู่ๆ หลงอวี่รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ราวกับพลังบางอย่างที่ว่ายวนอยู่ในร่างกายกำลังแผ่วลงอย่างผิดธรรมชาติ ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความเยียบเย็นแทรกเข้ามาในร่างกาย คล้ายเตือนถึงเหตุร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้น ความรู้สึกไม่สบายใจแผ่ไปทั่วจนเขาต้องขบกรามแน่นไห่เฟิงที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องด้านในหลังจากเสร็จกิจกับนางฟ้าน้อย แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าของหลงอวี่ เขาก็หยุดชะงัก รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไป"มีอะไรเกินขึ้นหรือ สหาย?" ไห่เฟิงถามพลางจ้องมองสหายสนิทอย่างผิดสังเกตหลงอวี่ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่แน่ใจ... แต่ข้ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ราวกับพลังของข้าถูกกรีดออกไปทีละนิด"หลงอวี่พยายามรวบรวมพลังเพื่อแปลงกายและเหาะขึ้นไป เขาขมวดคิ้ว พลางสังเกตได้ว่าพลังบางอย่างในร่างกายร่วงโรยลงทีละน้อยจนเขาไม่อาจขยับได้ตามใจนึก แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว“หินดวงชะตาของข้า…”ไห่เฟิงที่ยืนอยู่ข้างกันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขารู้ดีว่าหินดวงชะตามีความสำคัญขนาดไหน มันไม่ใช่ของที่จะหายไปง่ายดายเช่นนั้น ถ้าไม่มีดวงชะตาผูกกันจะไม่สามารถของเห็นมันหรือหยิบจับมันได้ สีหน้าของไห่เฟิงเต็มไปด้วยความกังวล
หลังจากภัยแล้งอันยาวนาน ในที่สุดฝนก็โปรยปรายลงมา อวี้เสวี่ยหนิงกลับมาถึงเมืองไป๋หลินท่ามกลางความชุ่มฉ่ำของสายฝน ชายชราผู้เคยท้าทายนางให้ไปที่ศาลเจ้าหลงซานยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้าน ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาเปล่งเสียงดังออกมาอย่างตื่นเต้นจนดังไปทั่วหมู่บ้าน“เห็นหรือไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าศาลเจ้าหลงซานศักดิ์สิทธิ์เพียงใด นางไปขอพรแล้วฝนก็ตกจริงๆ อย่างที่พวกเจ้าทุกคนเห็น!”ชาวบ้านหันไปมองชายชรา บ้างก็พยักหน้ารับคำพูดอย่างเชื่อถือ บางคนแม้จะยังไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นว่าฝนตกลงมาหลังจากการเดินทางของอวี้เสวี่ยหนิง ทุกคนก็เริ่มพูดคุยถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้า เสียงกระซิบเกี่ยวกับอำนาจลึกลับและการขอพรของอวี้เสวี่ยหนิงที่ศาลเจ้าหลงซานนั้นค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ผู้คนต่างหันมามองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป บางคนเต็มไปด้วยความชื่นชม ขณะที่บางคนยังคงมีแววสงสัย ทว่าทุกคนต่างตระหนักว่านางอาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฝนตกลงมาหลังจากช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งที่ยาวนานพวกเขาพากันนำถังและโอ่งออกมาเก็บน้ำฝนเพื่อตุนไว้ แต่ทว่าดินที่แห้งแตกจากความแห้งแล้งนั้นกลับทำให้น้ำซึมลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว แ
ในห้องโถงที่มืดสลัว อวี้เสวี่ยหนิงกำลังยืนเผชิญหน้ากับอวี้เจียหรงบิดาของนางหลังจากที่กลับมาจากการช่วยชาวบ้านทำที่เก็บน้ำ โดยมีฮูหยินอวี้ผู้เป็นแม่เลี้ยงที่นางเกลียดชังนั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าของฮูหยินอวี้ฉายแววเยาะเย้ยขณะที่กำลังเสริมคำพูดของสามีนางอย่างจงใจ“ท่านพี่ ลูกสาวของเรายิ่งดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าชื่อเสียงของครอบครัวจะป่นปี้เสียก่อนที่นางจะหาคู่ได้พอดี ท่านพี่มีอะไรก็พูดกับนางตรงๆเถอะเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงรู้สึกร้อนรุ่มในอกยิ่งขึ้น“ข้าไม่ต้องการออกเรือน! ท่านพ่อไม่เข้าใจหรือ?” อวี้เสวี่ยหนิงตะโกนออกมาด้วยเสียงกร้าว ดวงตาของนางเป็นประกายแข็งกร้าวด้วยโทสะ ก่อนที่มือจะสะบัดปัดของตกแต่งบนโต๊ะให้ตกลงแตกกระจาย “เพล้ง!” เสียงแก้วแตกดังสะท้อนก้องทั่วห้อง อวี้เจียหรงผงะเล็กน้อย ขณะที่ฮูหยินแสร้งทำท่าตกใจ แต่ริมฝีปากของนางกลับเผยรอยยิ้มบางที่แฝงความพอใจ “หนิงเอ๋อร์!” อวี้เจียหรงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม หวังจะควบคุมสถานการณ์ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ อวี้เสวี่ยหนิงก็ชี้หน้าฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่เดือดดาล“เป็นเจ้านี่เองนางโลมแพศยา ที่คอยยุแยงทุกอย่าง ทำให้ท่านพ่อตั
อวี้เสวี่ยหนิงวิ่งออกมาจากบ้านด้วยความหงุดหงิดจนถึงป่าที่เงียบสงบ นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่พลางโยนก้อนหินเพื่ออารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในอก หลังจากโยนก้อนหินเล่นไปหลายครั้ง จิตใจของนางเริ่มสงบลงบ้าง“แม่นางน้อย ใยเจ้ามานั่งโยนหินเล่นที่นี่ เจ้ามีสิ่งใดในใจหรือไม่?” เสียงทุ้มเยือกเย็นดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก มันช่างเย็นชา แต่กลับมีเสน่ห์ที่ทำให้นางต้องหันไปมองอวี้เสวี่ยหนิงหันตามเสียงไป แทบหยุดหายใจ นักพรตหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์งดงามดั่งเทพเซียนยืนอยู่ตรงหน้า เขามีใบหน้าคมคาย ผมยาวดำสีหมึกสนิทพลิ้วไหวตามลม และดวงตาสีอำพันที่จับจ้องมาที่นางราวกับจะอ่านใจ นางอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นมนุษย์จริงหรือเป็นเทพเซียนที่แปลงกายมาดวงตาสีอำพันคู่นั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงนั้นแทบลืมหายใจ สายตาที่เขาจ้องมองมาราวกับสามารถทะลุผ่านความรู้สึกที่ปกปิดอยู่ในใจของนางได้ ทุกอย่างรอบข้างดูเหมือนจะเงียบสงบลงชั่วขณะ และหัวใจของหญิงสาวก็เต้นผิดจังหวะโดยไม่ทันตั้งตัวแต่ความรู้สึกที่แฝงแววหลงใหลนั้นกลับถูกดับลงอย่างรวดเร็วด้วยความโมโหที่ยังคงก้องอยู่ในอก ความโกรธที่บิดาและแม่เลี้ยงพยายามจับนางแต่งงานยังไม่จางหาย อวี้เสวี่ยหนิงขบก
หลงอวี่ไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงมองนางด้วยสายตาที่แฝงความห่วงใยโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นกับคนตรงหน้า“เจ้าจะรู้สึกอย่างไรถ้าหากว่าวันหนึ่งเจ้ากลับมีพลังอำนาจบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ และพลังนั้นอาจจะก่อให้เกิดภัยแก่ตนเองและผู้อื่นได้ เจ้าจะยอมละทิ้งมันไปหรือไม่เมื่อวันนั้นมาถึง?”“พลังอันใดกันที่ข้าจะมี? หากข้ามีพลังยิ่งใหญ่ถึงขั้นก่อภัยได้จริง ชาวบ้านคงคลานมากราบแทบเท้าแล้วมั้ง! แต่ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยอะไรทิ้งไป เพราะถือมันเป็นพลังของข้า…แล้วท่านล่ะ มาถามข้าทำไม หรือว่าท่านคิดว่าตัวเองเป็นนักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขั้นมาสั่งสอนคนอย่างข้าหรือ”หลงอวี่รู้ดีว่าการทำให้นางเข้าใจและยอมคืนดวงชะตานั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ส่วนอวี้เสวี่ยหนิงนั้นกลับสะบัดหน้าหนีพลางแสดงท่าทีไม่แยแสต่อคำพูดของหลงอวี่และเดินจากไปหลงอวี่และไห่เฟิงในคราบนักพรตไร้สังกัดพากันเข้าพักอาศัยในกระท่อมร้างท้ายเมือง กระท่อมที่ดูเก่าแก่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และไม้ผุจนดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของป่าโดยรอบ เสียงใบไม้เสียดสีกันเบาๆ จากสายลมที่พัดผ่านทำให้เกิดบรรยากาศ
ในจวนของเจ้าเมืองไป๋หลิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ชาวบ้านหลายคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าจวนเพื่อพูดคุยถึงเหตุการณ์ฝนตกครั้งล่าสุดที่ชุ่มฉ่ำไปทั่วเมืองในกลุ่มชาวบ้านนั้นกลับมีนักพรตหนุ่มสองคนที่ดูสง่างามแต่แปลกตาเข้าร่วมด้วย หลงอวี่และไห่เฟิงยืนพูดคุยกับเจ้าเมืองอวี้เจียหรง ใบหน้าของหลงอวี่ดูเยือกเย็นและน่าเกรงขาม ขณะที่ไห่เฟิงกลับแสดงท่าทีเป็นมิตรและมีชีวิตชีวามากกว่าทำให้ชาวบ้านและคนของเจ้าเมืองเลือกที่จะมาปรึกษาเขาแทน“ด้วยความแปลกประหลาดของฝนที่ตกลงมาอย่างไม่คาดคิด ข้าเห็นว่าการจัดพิธีบวงสรวงเพื่อแสดงความขอบคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง”ไห่เฟิงกล่าวโดยมีหลงอวี่ที่ยืนอยู่ข้างกัน“และข้าเองก็ยังมีความเห็นว่า นักพรตที่มากด้วยประสบการณ์เช่นสหายของข้าคนนี้ เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ทำพิธีมากที่สุด พวกท่านว่าอย่างไรกันบ้าง”อวี้เจียหรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้าๆ “นั่นเป็นความคิดที่ดีมากท่านนักพรต ข้าต้องขอรบกวนพวกท่านแล้ว”ไห่เฟิงแอบยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นทุกอย่างเริ่มเข้าทาง แต่ไม่ทันไร เสียงฝีเท้าของอวี้เสวี่ยหนิงดังขึ้นมา“ท่านพ่อ ทำไมถึงต้องมีการทำพิธีบวงสรว
“ข้าทำไม่ได้! ทำไมมันถึงยากเช่นนี้ ท่านนักพรต!” หญิงสาวตะโกนออกมาและสะบัดมือด้วยความหงุดหงิด ลมที่หมุนรุนแรงขึ้นชั่วครู่ก่อนจะสงบลงเมื่อหลงอวี่ก้าวเข้ามาใกล้“นามของข้านั้นคือหลงอวี่ ไม่ใช่ท่านนักพรต”“ท่านนักพรตหลงอวี่ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว และตอนนี้ก็หงุดหงิดมากๆ แล้วด้วย”“ความอดทนและการควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งคือกุญแจสำคัญ หากเจ้าปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำหรือใจร้อน พลังนั้นจะต่อต้านเจ้าเอง” หลงอวี่กล่าวด้วยเสียงเรียบขณะยืนห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว ดวงตาสีอำพันของเขาจ้องนางด้วยแววที่ไม่สามารถอ่านออก“ข้ารู้! แต่ข้าไม่มีความอดทนเหมือนท่าน ข้าเบื่อ!” อวี้เสวี่ยหนิงพูดพร้อมกับกอดอก นางหันหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเตะก้อนหินเล็กๆ ข้างเท้าให้กระเด็นไปไกลหลงอวี่สูดลมหายใจเบาๆ ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำชั่วครู่ จากนั้นเขาก้าวเข้ามาใกล้นางอย่างช้าๆ“ถ้าเจ้าไม่อดทน เจ้าจะไม่เข้าใจพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเจ้าเอง”เสียงของหลงอวี่นุ่มนวลและสงบนิ่งราวกับสายลมที่พัดเบา อวี้เสวี่ยหนิงที่ยังคงหงุดหงิดหันมามองเขา แต่เมื่อสบตากับแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นคงของเขา ความโกรธของนางก็เริ่มจางลงทีละน้อย
อวี้เสวี่ยหนิงเริ่มฝึกฝนการบำเพ็ญเพียรทุกวันโดยมีหลงอวี่คอยแนะนำและช่วยเหลือ บางครั้งเมื่อเสวี่ยหนิงเหนื่อยอ่อนจากการฝึก หลงอวี่ก็จะยื่นน้ำชาถ้วยเล็กให้กับนาง“พักสักหน่อยเถอะหนิงเอ๋อร์ ฝึกหนักไปเจ้าจะเหนื่อยล้า” เสวี่ยหนิงรับจอกน้ำชามาจิบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้ารู้… ขอบใจที่อยู่ข้างข้าเสมอ อวี่เอ๋อร์”นอกจากการทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาเซียนแล้ว พวกเขายังทำการบำเพ็ญเพียรคู่โดยการซวงซิวกันเพื่อผสมผสานของพลังหยินและหยาง ช่วยให้เกิดความกลมกลืนและเสริมพลังของกันและกัน“หนิงเอ๋อร์ เจ้างามมาก” ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังลาดไหล่ขาวเนียนที่กำลังนั่งสางผมอยู่หน้ากระจก เขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากร่างบางได้เลยส่วนอวี้เสวี่ยหนิงที่ได้ยินดังนั้น ลอบมองสามีของนางผ่านกระจก สายตาของทั้งสองสบกัน ก่อนที่จะรู้ตัวร่างบางของนางก็ถูกอุ้มขึ้นมาและพาไปยังเตียงนอนและวางนางลงอย่างแผ่วเบาใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็ยังไม่ชินกับใบหน้าที่งดงามของคนตรงหน้าเสียที“อวี่เอ๋อร์”“ขอบคุณที่เจ้ากลับมา ไม่ว่าจะสืออิ่งหรือเสวี่ยหนิงแต่เจ้าก็คือเจ้า ขอบคุณที่เจ้ารักและมอบ
"หนิงเอ๋อร์" หลงอวี่กระซิบเสียงนุ่มเบาข้างหูของหญิงสาว “ข้าเข้าใจ... หากเจ้าต้องการเลือกเส้นทางของตนเอง เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้หัวใจตัวเองดีที่สุด”“อวี่เอ๋อร์...”“หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ”อวี้เสวี่ยหนิงหันมองหลงอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน "ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับท่านพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบท่าน ข้ากลับรู้สึกว่ามีอีกเส้นทางที่เรียกร้องให้ข้าเดินไป"หลงอวี่กระชับมือของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามีโอกาสเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะได้สัมผัส หากเจ้าเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิใช่ว่าเจ้าจะกลับมาหาท่านพ่อของเจ้าไม่ได้อีกเสียหน่อย"นางพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้ารู้... แต่ท่านพ่ออาจจะเสียใจที่ข้าต้องจากท่านไปไกล ข้ายังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทน และข้าไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี"ในขณะนั้นเอง อวี้เจียหรงก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืด เมื่อเขาได้ยินถึงความตั้งใจของบุตรสาว ดวงตาที่เคยเข้มแข็งก็สั่นไหวเล็กน้อย"หนิงเอ๋อร์... หากการเลือกเส้นทางนี้คือความสุขของเจ้าพ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เจ้าต
ในช่วงวินาทีที่ม่อหลี่พุ่งเข้าหาอวี้เสวี่ยหนิงด้วยความโกรธที่ถูกหญิงสาวหลอกล่อจนมังกรที่ตนอุตส่าห์ปลุกขึ้นมาถูกผนึกลงอีกครั้งหลินจื่อเฟยที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด นางกระโจนเข้าสู่ลานพิธีอีกครั้ง พลางผลักอวี้เสวี่ยหนิงให้พ้นรัศมีการโจมตีของม่อหลี่“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าหรอกนะ นางมารร้าย!” หลินจื่อเฟยพุ่งเข้าไปขวางม่อหลี่ทันที ในใจไร้ซึ่งความกลัวใดๆสายตาของหลินจื่อเฟยประสานกับไห่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ราวกับส่งสัญญาณให้เขาช่วยหลอกล่อม่อหลี่อีกแรงไห่เฟิงสบตานางเพียงเสี้ยววินาที ความเงียบกลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดวงตาที่เคยคมดุดันอ่อนลงอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขามองหลินจื่อเฟย ราวกับว่าเขาจะเผลอลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียแล้ว“ตั้งสติหน่อยสิ ท่านนักพรต!”“ข้าขอโทษ...แม่นางน้อย ข้าจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”ไห่เฟิงส่งคลื่นวารีโจมตีใส่ม่อหลี่ นางจึงเสียสมดุล ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีประสานของไห่เฟิงและหลงอวี่ไห่เฟิงเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เขาร่ายกระแสพลังน้ำด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งส่งกระแสวารีโถมเข้าใส่ม่อหลี่ นา
หลงอวี่ไม่รั้งรอให้ม่อหลี่ทำการปลุกมังกรฉินเฟิงจนเสร็จสิ้น เขาและไห่เฟิงพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมกัน รัศมีพลังของพวกเขาประสานกันจนเปล่งแสงราวสายฟ้าฟาดไห่เฟิงเริ่มโจมตีด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและใช้พลังลมกรรโชกที่รุนแรง ทำให้ม่านพลังรอบตัวม่อหลี่สั่นสะท้าน รอยร้าวค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามแนวพลังที่ม่อหลี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวขณะที่หลงอวี่ควบคุมกระแสน้ำพุ่งเป็นเกลียวรอบลานพิธีเพื่อล้อมม่อหลี่ไว้ไม่ให้หลบหนีม่อหลี่หันมาแสยะยิ้มใส่ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ม่อหลี่ได้ซ่อนแผนการอันร้ายกาจไว้ระหว่างที่หลงอวี่และไห่เฟิงมุ่งโจมตีและพยายามป้องกันไม่ให้นางหลบหนี ม่อหลี่ก็แอบร่ายมนตร์ต้องห้ามบทหนึ่งที่นางได้ศึกษาจากคัมภีร์โบราณ นางร่ายมนตร์นี้อย่างเงียบเชียบโดยใช้เลือดของนางเอง สร้างพันธะระหว่างตัวนางและมังกรโบราณ“พวกเจ้า…คิดว่าข้านั้นมีแค่ตัวคนเดียวหรือ?”เลือดของม่อหลี่หยดลงบนพื้นและซึมลงในดิน บิดเบี้ยวเป็นลวดลายประหลาดที่เชื่อมโยงเข้ากับผนึกโบราณที่กำลังแตกออกทันใดนั้นเสียงกัมปนาทดังก้องทั่วลานพิธี ผนึกโบราณที่บิดเบี้ยวกลับแตกออก กลิ่นอายมืดดำเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากรอยร้าวที่ขยายตัว ก้อนห
อวี้เถียนเถียนมองดูอวี้เสวี่ยหนิงและหลงอวี่ที่เคียงข้างกัน ประคับประคองและบอกรักกันอย่างจริงใจ ภาพนั้นยิ่งทำให้นางปวดใจมากความอิจฉาและความเกลียดชังที่เคยฝังลึกพลันสลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป"นี่ข้าทำอะไรลงไป…ข้าไม่อยากเป็นคนเลวเลยสักนิด"อวี้เถียนเถียนพึมพำด้วยเสียงสั่น ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าและวิ่งไปผลักม่อหลี่ที่กำลังใช้สมาธิเปิดประตูนรกม่อหลี่เซไปเล็กน้อยเมื่อถูกผลัก จนประตูที่นางกำลังเปิดกลับหยุดชะงักก่อนที่จะปิดลงอีกครั้ง ความโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของม่อหลี่"เจ้าบังอาจขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ? ทำแบบนี้แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?" ม่อหลี่เอ่ยเสียงกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะทำร้ายอวี้เถียนเถียนอวี้เสวี่ยหนิงเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรีบเข้าไปยืนขวางหน้าอวี้เถียนเถียน" เจ้าเกลียดน้องสาวของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ แล้วจะปกป้องมันทำไม?"อวี้เสวี่ยหนิงหันมองอวี้เถียนเถียนด้วยแววตาอ่อนโยนที่นางเองไม่เคยคาดคิดจะมี"เพราะข้ารู้แล้วว่าการปล่อยวางความแค้นคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสงบ ข้าไม่ต้องการเห็นการสูญเสียอีกแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยโกรธและเกลียดพวกเขามาก แต่
“เถียนเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดลงไปเจ้ารู้ตัวหรือไม่” อวี้เจียหรงเอ่ยด้วยความเสียใจ แม้จะรู้ดีว่าเขาเองเป็นต้นเหตุของความบาดหมางนี้ เพราะเป็นเขาที่รักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ทำให้พวกนางต้องผิดใจกันมาตลอดอวี้เถียนเถียนหลับตาลง ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาเอ่อไหลออกมาราวกับปิดกั้นความรู้สึกไม่ไหวอีกต่อไป“ท่านพ่อ แล้วท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่? ท่านเอาแต่ตามใจพี่สาวจนข้านั้นเหมือนคนไร้ตัวตน ข้าโตมาใต้เงาของนาง ท่านรักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ท่านทำให้ข้ารู้สึกเหมือนไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลย”นางกลืนสะอื้นลงคอแล้วกล่าวต่อ “แม้แต่มารดาของข้าเอง นางไม่ได้สนใจความรู้สึกของข้าด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่พร่ำเรื่องสมบัติ เรื่องวิธีการที่จะครอบครองทรัพย์สินของท่าน นางไม่เคยให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีคุณค่าเพียงพอสำหรับนาง”“เถียนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ” ฮูหยินอวี้ตกใจเป้นอย่างมากกับคำพูดของบุตรสาว ที่ผ่านมานางถูกความโลภเข้าครอบงำจนเผอทำร้ายจิตใจของบุตรสาวโดยที่ไม่รู้ตัว“ข้าเพียงแค่อยากให้ใครสักคนรักข้า สักครั้งหนึ่ง...แต่แม้แต่ท่านนักพรตหลงอวี่ก็ไม่เคยแลข้าเลย ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เขามองมาที่ข้า ให้เขาสนใจในตัวข้า แม้จะเป็นเ
ในที่สุดก็ถึงเวลาทำพิธี หลงอวี่ยืนอยู่ท่ามกลางลานพิธี เขาเริ่มสวดบทสวดซึ่งถ้อยคำและน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราวกับว่าเขากำลังปลุกพลังบางอย่างให้ตื่นขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจชั่วร้ายที่อาจคืบคลานเข้ามาข้างกายของเขา ไห่เฟิงเองก็จับจ้องไปรอบๆ ราวกับพยายามมองหาสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เงามืด“ข้ารู้สึกได้...เหมือนมีสายตากำลังจับจ้องพวกเราอยู่”หลงอวี่หยุดชั่วครู่ ก่อนจะหันไปสบตากับไห่เฟิง ทั้งสองเพียงพยักหน้าให้กันเบาๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดแม้พิธีกรรมนี้จะถูกกล่าวขานว่าเป็นการเรียกฝนให้เมืองไป๋หลินรับพรแห่งความอุดมสมบูรณ์ตามฤดูกาล แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งสอง การประกอบพิธีนั้นมีจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านี้ทั้งสองรู้ดีว่าเมื่อเสียงสวดโบราณของพวกเขาจบลง มันไม่เพียงเพื่อทำให้ท้องฟ้าสงบตามที่กล่าวไว้เท่านั้น แต่มันยังช่วยเสริมแรงผนึกอันซับซ้อนที่กักขังบางสิ่งที่อยู่ใต้พื้นที่พวกเขากำลังเหยียบอยู่ สิ่งชั่วร้ายที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาจู่ๆ สายลมที่กลับพัดแรงขึ้น เมฆมืดเข้าครอบคลุมท้องฟ้าทันที ทุกคนในลานพิธีพากันมองไปรอบด้านด้วยความหวาดหวั่นม่อหลี่ปรากฏตัวออกจากเงามืด ร่างของนางโอบล้อมด้วยไอมืดที่หนาแน่
หลังจากดำเนินแผนการได้สำเร็จลุล่วงไอวี่เถียนเถียนก็รีบกลับเข้าห้องนอนของนางทันที โดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็นนางวิ่งออกมาจากห้องนอนของพี่สาวร่างบางยอบกายลงนอนกับเตียงนุ่ม พลางคิดถึงใครบางคนที่นางแอบคะนึงหามาได้สักพักวันหนึ่งในยามที่ฝนโปรยปราย อวี้เถียนเถียนได้ขออนุญาตจากมารดาออกมาเที่ยวเล่นตามประสาเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นานขณะนั้นเอง นางเห็นอวี้เสวี่ยหนิงกำลังช่วยชาวบ้านสร้างที่เก็บน้ำฝน ทำไมพี่สาวของนางจึงสนิทกับชาวบ้านถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่นางจำได้ว่าชาวบ้านเคยรังเกียจชังพี่สาวของตนมากแค่ไหนตั้งแต่จำความได้ สตรีตรงหน้านั้นชอบทำตัวร้ายกาจต่ออวี้เถียนเถียนและมารดาของนาง ทั้งๆ ที่อวี้เสวี่ยหนิงก็ได้รับความรักจากท่านพ่อและผู้คนในจวนอย่างล้นหลาม แต่สตรีผู้นี้ก็ยังชอบทำตัวน่ารังเกียจอยู่เสมอขณะที่อวี้เถียนเถียนกำลังจะเดินจากไป ฝนที่ทำให้ถนนลื่นกลับทำให้นางเสียหลักล้มลง ทว่าก่อนที่ใบหน้าจะกระแทกพื้น ก็มีมือหนายื่นมาประคองไว้ทัน“ระวังทางเดินด้วย คุณหนูน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยเตือนดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยนเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ ชายหน
ม่อหลี่เดินเข้ามากลางโถงใหญ่ มือเรียวเล็กของนางกำลังถือหินผนึกเทียมสีดำสนิทก้อนหนึ่ง ขณะที่ม่อหลี่จ้องมองมัน แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยแผนการใหม่ที่สลับซับซ้อน นางยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางหรี่ตามองหินผนึกที่สั่นสะเทือนราวกับต้องการที่จะปลดปล่อยพลังของมันออกมาม่อหลี่เริ่มคิดถึงแผนการลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งผนึกของสืออิ่งที่อยู่ในหินดวงชะตาของหลงอวี่ นางรุ้มาบ้างว่าอวี้เสวี่ยหนิงร่างใหม่ของสืออิ่งนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับครอบครัวสักเท่าไหร่ “อวี้เถียนเถียน…นางเป็นคนที่เหมาะที่สุด” ม่อหลี่พูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ม่อหลี่สะบัดผ้าคลุมสีดำตัดแดงของตนก่อนก้าวออกจากห้องโถง มุ่งหน้าไปยังจวนของเจ้าเมืองอวี้เจียหรงเพื่อดำเนินแผนการล่อลวงเหยื่อให้มาติดกับเมื่อมาถึงจวนของตระกูลอวี้ ม่อหลี่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ร่างบางที่กำลังยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในสวนอย่างเงียบเชียบ ดูท่าทางคงจะหงุดหงิดเรื่องของพี่สาวต่างมารดาเป็นแน่“แม่นางอวี้เถียนเถียน”อวี้เถียนเถียนหันมาด้วยความประหลาดใจและสงสัย “เจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ถ้ายังไม่หยุดเดินเข้ามาจ้าจะตะโกนเรียกคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!”“อย่าโวยวายไป ข้ารู้