เสียงของหญิงสาวลอยเคว้งอยู่ในอากาศ นางสะบัดความคิดนั้นออกไปแล้วก้มลงมองปลาสีเงินสีทองที่กำลังขยับตัวไปมาในถังน้ำอย่างสงบนิ่ง ปลาสองตัวนี้ถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงเทพวารี เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองของหมู่บ้าน
เมื่อพิธีสิ้นสุด ปลาสองสีนี้จะถูกปล่อยลงแม่น้ำ เป็นการส่งสาส์นไปยังเทพวารีให้ช่วยคุ้มครองน้ำและความอุดมสมบูรณ์ในฤดูกาลข้างหน้า
แต่ในใจของอวี้เสวี่ยหนิง นางหาได้เชื่อในอำนาจของเทพวารีที่ชาวบ้านกราบไหว้ไม่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดในฐานะบุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองทำให้นางรู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งได้เห็นพิธีกรรมที่ซ้ำซากก็ยิ่งรู้สึกว่าตนถูกกักขังอยู่ในขนบประเพณี
“กะอีแค่ปล่อยปลาลงน้ำ จะช่วยอะไรได้งั้นหรือ?” ความคิดเชิงเย้ยหยันแทรกเข้ามาในใจ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้ถังน้ำแล้วหยิบจับปลาสีเงินขึ้นมาพินิจพิจารณา ดวงตาสีอำพันเป็นประกายแฝงความซุกซนขณะมองดูปลาสีเงินที่ขยับไปมาบนฝ่ามือของนาง
ขณะนั้นเอง เสียงที่นุ่มนวลของ “หลินจื่อเฟย” สหายสนิทที่คอยตามนางอยู่เสมอก็ดังขึ้น
“อาหนิง เจ้าควรทำตามหลักพิธีบ้างอย่าดื้อให้มันมากนัก พิธีนี้สำคัญต่อชาวบ้านมากนะ” หลินจื่อเฟยเอ่ยเตือนเบาๆ พร้อมกับมองสหายของนางด้วยความหวัง หวังว่าร่างบางตรงหน้าจะเข้าใจบ้าง
อวี้เสวี่ยหนิงเบนสายตาหันไปมองหลินจื่อเฟยพร้อมยิ้มเยาะ
"เพียงแค่ปล่อยปลาสองตัวลงน้ำ แล้วคาดหวังให้เทพวารีช่วยเหลือหรือ? ถ้าเทพวารีมีจริงก็คงช่วยมาแต่ต้นแล้ว เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้จริงๆ หรือ อาเฟย?”
“อาหนิง” หลินจื่อเฟยเอ่ยเสียงเบาแฝงด้วยความเป็นห่วง "พิธีนี้ทำให้ชาวบ้านมีกำลังใจ อย่างน้อยเจ้าควรให้ความเคารพ...”
แต่ก่อนที่หลินจื่อเฟยจะได้พูดจบ อวี้เสวี่ยหนิงก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่สนใจหรอก พิธีนี้น่ะ...ใครๆ ก็รู้ว่าทำกันไปอย่างนั้นเอง” นางยิ้มเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไป แม้ว่าหลินจื่อเฟยจะพยายามขอร้องให้นางระวัง แต่อวี้เสวี่ยหนิงก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังฝายกันน้ำที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
อวี้เสวี่ยหนิงมองฝายขนาดเล็กที่กักเก็บน้ำไว้เพื่อใช้ในช่วงหน้าแล้ง ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความคิดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในหัว
ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับแฝงด้วยแววท้าทาย ขณะที่นางหันไปมองรอบบริเวณของลานพิธี
“หากเทพเจ้ามีจริง...” เสียงในใจของนางดังขึ้นอย่างขุ่นเคือง "วันนั้นท่านควรจะช่วยแม่ข้าสิ”
ภาพความทรงจำในวัยเด็กแทรกเข้ามาในหัว ภาพของเด็กน้อยผู้สิ้นหวังคุกเข่าต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า วิงวอนขอให้มารดาของนางรอดชีวิตจากความเจ็บป่วยอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายการอ้อนวอนก็ไร้ผล มารดาของนางจากไปในที่สุด
ตั้งแต่นั้นมาอวี้เสวี่ยหนิงก็ตั้งปณิธานในใจว่าเทพเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีพลังใดที่คุ้มครองนางหรือใครได้จริง
นางเม้มริมฝีปากแน่น มองไปยังฝายที่กักเก็บน้ำไว้พลางพึมพำ “ข้าจะทำให้พิธีบวงสรวงนี้ต้องพังพินาศ ให้เห็นกันไปเลยว่าเทพเจ้าก็ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้”
ก่อนที่หลินจื่อเฟยจะทันได้ทัดทานหรือชาวบ้านคนอื่นจะทันได้สังเกต อวี้เสวี่ยหนิงก็เอื้อมมือไปดึงแผ่นไม้ยักษ์ที่กั้นน้ำออก ฝายขนาดเล็กที่กักเก็บน้ำไว้เกิดการกระเพื่อมทันที
กระแสน้ำในฝายสะสมอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะทะลักออกมาราวกับสายน้ำขุ่นข้นที่ไม่มีสิ้นสุด และไหลลงไปยังลานพิธีที่อยู่เบื้องล่างดุจสัตว์อสูรร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง
สายน้ำไหลเชี่ยวกราก พัดพาดอกบัวที่ลอยอยู่ในขันน้ำออกจากถาดบูชาอย่างไร้ปรานี พวงมาลัยหญ้าคาถูกพัดไปตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว เสียงสุราหกกระเซ็น กระจายเต็มลานเหมือนหยาดน้ำฝนสีเข้ม ราวกับสายน้ำเยาะเย้ยความตั้งใจของชาวบ้านที่ดาหน้ากันมาขอพร
เหล่าชาวบ้านมองความวุ่นวายตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าผิดหวังและความตื่นตระหนกสะท้อนผ่านกันและกัน เสียงร้องอุทานของผู้คนดังแว่วขึ้นเป็นระลอก
"เกิดอะไรขึ้น!"
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องดังออกมาพร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือ ทุกคนรีบวิ่งเข้าหาลานพิธี ราวกับต้องการยื้อสิ่งที่พัดไหลไปกลับคืนมา ทว่าแรงน้ำเชี่ยวกรากที่พัดกระจายดอกไม้ไปทั่วลานดูเหมือนจะหยุดยั้งพวกเขาเสียก่อน
ชาวบ้านยืนนิ่งมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียงซุบซิบเริ่มกระซิบผ่านกันไปเป็นทอด ๆ ทุกสายตาหันมองไปยังบุตรสาวของเจ้าเมืองที่ยืนอยู่ริมฝาย
"อีกแล้วเหรอ... นางทำพิธีพังอีกแล้ว?" เสียงหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ
ส่วนอีกเสียงหนึ่งส่ายหน้าราวกับเหนื่อยหน่าย "นางนี่ดื้อด้านเสียจริง ทั้งที่เกิดมาหน้าตางดงามมากแท้ ๆ แต่กลับไม่มีความเคารพนอบน้อม น้องสาวของนางถึงไม่งามเท่านางแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ ข้าล่ะสงสารท่านเจ้าเมืองเจียหรงจริงเชียวที่มีบุตรสาวคนโตแบบนี้"
“สวยแต่รูปจูบไม่หอมของแท้” เสียงหนึ่งดังแว่วมากลางกลุ่มคน
อวี้เสวี่ยยังคงหนิงยืนนิ่งมองผลงานของตัวเองด้วยความสับสนในใจ เมื่อสายตาหลายคู่รอบลานพิธีจับจ้องมาที่นางด้วยแววตำหนิและผิดหวัง
แม้หญิงสาวจะยืดตัวตรงแสดงออกว่าไม่ใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น แต่ลึกลงในใจกลับรู้สึกถึงความเย็นชาที่คนรอบข้างมีต่อตนเอง ราวกับนางกลายเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน ความรู้สึกนั้นกัดกินหัวใจของนางช้า ๆ
"มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง… นับตั้งแต่วันที่ท่านแม่จากไป"
เมื่ออวี้เสวี่ยหนิงกลับมาถึงจวนของเจ้าเมือง ความเงียบสงบก็ถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะและคำพูดเย้ยหยันจาก “ฮูหยินอวี้” แม่เลี้ยงของนางและ “อวี้เถียนเถียน” ลูกสาวของฮูหยินอวี้หรือเป็นน้องสาวต่างมารดานั่นเอง ทั้งสองจงใจกล่าวคำกระทบกระเทียบหวังจะให้อวี้เสวี่ยหนิงรู้สึกต่ำต้อยกับเขาบ้าง แต่หญิงสาวเพียงมองกลับด้วยสายตาเฉยชา พลางยิ้มหยันในใจ "ไม่เคยเข็ดกันเลยนะคนพวกนี้" อวี้เสวี่ยหนิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย คนพวกนี้ช่างจ้อไม่รู้จักหยุด มีหรือที่นางจะยอมปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นเข้ามากระทบจิตใจได้ง่ายเช่นนี้ฮูหยินอวี้เหลือบตามองลูกสาวอย่างรู้กัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสแสร้งว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้? มอมแมมเชียว ช่างไม่สมศักดิ์ศรีบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองเลยสักนิด”อวี้เถียนเถียนรีบเสริมด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “ได้ยินมาว่าท่านทำพิธีพังพินาศไปหมด ข้าอยากรู้จริงว่าท่านพี่หญิงทำอันใด ข้าขอความกรุณาจากพี่ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม?”“แบบนี้ไงล่ะ!” อวี้เสวี่ยหนิงยกกาน้ำชาร้อนที่บ่าวกำลังนำเข้ามา และเทลงบนหัวของอวี้เถียนเถียนทันที“ร้อน! ท่านแม่! ช่วยด้วย พี่หญิงรังแกข้า!” อวี้เถ
เช้าวันหนึ่ง อวี้เสวี่ยหนิงจำใจเดินออกมาในตัวเมืองตามคำขอของบิดา ใจจริงนางไม่ได้อยากมา แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนให้นางมาช่วยชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับภัยแล้ง หวังให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างนางกับพวกเขา หญิงสาวจึงยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจเมื่อมาถึงอวี้เสวี่ยหนิงก็พยายามเขาหาชาวบ้าน หวังว่าจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างนางเดินเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับผู้คน หวังจะช่วยแบ่งเบาภาระหรือหาทางออกให้พวกเขา แต่ทันทีที่ชาวบ้านเห็นหญิงสาวก็พลันพากันถอยหนี บางคนหลบสายตา บางคนเร่งเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว “อวี้เสวี่ยหนิง นางมาทำอะไรอีก?” ชาวบ้านต่างพากันจ้องมองนางด้วยสายตาหวาดระแวงราวกับนางเป็นปีศาจที่อาจทำลายสิ่งใดที่ขวางหน้าทันใดนั้นเอง นางก็เดินไปชนแผงขายผลไม้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผลไม้หล่นกระจัดกระจาย แม่ค้าร้องออกมาอย่างตกใจ รีบก้มเก็บผลไม้ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก "โอ๊ย! แม่นางอวี้! ขอร้องหล่ะอย่าเข้าใกล้ร้านของข้าอีกเลย พังสิ้นไปหมดแล้ว!"หลังคำพูดของแม่ค้าชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างขยับถอยห่างขึ้นไปอีก อวี้เสวี่ยหนิงคือตัวปัญหาที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แม้จะเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง แต่ชาวบ้านต่างปฏิบัติกับน
อวี้เสวี่ยหนิงยืนจัดข้าวของเตรียมพร้อมกับหันไปมองหลินจื่อเฟยที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ตอนนี้สหายของนางดูอึดอัดเล็กน้อย มองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาทางเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น“อาเฟย ไปกับข้าเถอะ ข้าไม่อยากไปคนเดียว”หลินจื่อเฟยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะสบตาและแสร้งถอนหายใจเสียงเบา “อาหนิง ข้าพึ่งนึกได้ว่าข้ายังต้องเตรียมของอีกหลายอย่างนะ… เสบียงหรืออุปกรณ์ก็ยังไม่ครบเลย”อวี้เสวี่ยหนิงแอบขำเล็กน้อย เพราะเห็นความกังวลที่ร่างบางพยายามซ่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ซ่อนไม่มิด“เจ้ากลัวผีล่ะสิ หลินจื่อเฟย?” อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มอย่างรู้ทัน หลินจื่อเฟยสะดุ้งเล็กน้อย รีบหัวเราะกลบเกลื่อน พลางกอดอกและทำหน้าครุ่นคิด “ใครว่าข้ากลัว ข้าก็แค่…ไม่ชอบอากาศหนาว ในป่าอากาศหนาวจะตายไป เจ้าไม่หนาวหรือสหาย”อวี้เสวี่ยหนิงส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะล่งหน้าไปก่อน เจ้าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็ตามข้ามาก็ได้”หลินจื่อเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตามสหายไป “ได้เลย อาหนิง ไว้ข้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่จะตามไป…” แต่ในใจนั้นนางกำลังแอบขอโทษขอโพย“ข้าน่ะกลัวผีจะตาย ข้าไม่ยอมเดินป่าเด็ดขาด นั่งเล่นหมากล้มกับชาวบ้านอยู่ที่นี่ยังจะส
ท่ามกลางป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกเบาบาง ตรงหน้าของอวี้เสวี่ยหนิงคือศาลเจ้าสีขาวสว่าง ตกแต่งด้วยหยกเขียวอ่อนและเส้นขอบทองคำที่วิจิตรบรรจง ทุกมุมมองเปี่ยมด้วยความงามที่ดูแปลกตา ทว่าให้ความรู้สึกเงียบเหงาและลึกลับในเวลาเดียวกัน คล้ายกับสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้ใดเข้ามาเยือนนานแล้ว บรรยากาศโดยรอบเย็นสงัด ลมที่พัดผ่านเบา ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลึกลับของสถานที่แห่งนี้นางเดินเข้าไปในเขตของศาลเจ้า ทอดสายตามองรายละเอียด หยกเขียวที่ประดับตามเสาหินฉายแสงระยับท่ามกลางหมอก บางจุดยังมีเถาวัลย์เลื้อยประดับไว้ตามธรรมชาติ บ่งบอกว่าที่แห่งนี้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานอวี้เสวี่ยหนิงเดินสำรวจรอบศาลเจ้า ตะโกนเรียกหาผู้คน “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” เสียงที่สะท้อนกลับมามีเพียงความเงียบ นางถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างหงุดหงิด “บอกแล้วว่าพวกชาวบ้านเพ้อเจ้อ…”ขณะที่อวี้เสวี่ยหนิงกำลังจะหันหลังกลับ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับแสงวาววับบางอย่าง มันส่องประกายออกมาจากฐานของรูปปั้นมังกรหินหยกที่ถูกแกะสลักอย่างงดงาม นางหยุดยืนมองด้วยความสงสัย ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ แสงสีน้ำเงินสดใสส่องออกมาจากช่องใต้ฐานรูปปั้นมังกรอวี้เสวี
จู่ๆ หลงอวี่รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ราวกับพลังบางอย่างที่ว่ายวนอยู่ในร่างกายกำลังแผ่วลงอย่างผิดธรรมชาติ ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความเยียบเย็นแทรกเข้ามาในร่างกาย คล้ายเตือนถึงเหตุร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้น ความรู้สึกไม่สบายใจแผ่ไปทั่วจนเขาต้องขบกรามแน่นไห่เฟิงที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องด้านในหลังจากเสร็จกิจกับนางฟ้าน้อย แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าของหลงอวี่ เขาก็หยุดชะงัก รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไป"มีอะไรเกินขึ้นหรือ สหาย?" ไห่เฟิงถามพลางจ้องมองสหายสนิทอย่างผิดสังเกตหลงอวี่ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่แน่ใจ... แต่ข้ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ราวกับพลังของข้าถูกกรีดออกไปทีละนิด"หลงอวี่พยายามรวบรวมพลังเพื่อแปลงกายและเหาะขึ้นไป เขาขมวดคิ้ว พลางสังเกตได้ว่าพลังบางอย่างในร่างกายร่วงโรยลงทีละน้อยจนเขาไม่อาจขยับได้ตามใจนึก แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว“หินดวงชะตาของข้า…”ไห่เฟิงที่ยืนอยู่ข้างกันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขารู้ดีว่าหินดวงชะตามีความสำคัญขนาดไหน มันไม่ใช่ของที่จะหายไปง่ายดายเช่นนั้น ถ้าไม่มีดวงชะตาผูกกันจะไม่สามารถของเห็นมันหรือหยิบจับมันได้ สีหน้าของไห่เฟิงเต็มไปด้วยความกังวล
หลังจากภัยแล้งอันยาวนาน ในที่สุดฝนก็โปรยปรายลงมา อวี้เสวี่ยหนิงกลับมาถึงเมืองไป๋หลินท่ามกลางความชุ่มฉ่ำของสายฝน ชายชราผู้เคยท้าทายนางให้ไปที่ศาลเจ้าหลงซานยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้าน ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาเปล่งเสียงดังออกมาอย่างตื่นเต้นจนดังไปทั่วหมู่บ้าน“เห็นหรือไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าศาลเจ้าหลงซานศักดิ์สิทธิ์เพียงใด นางไปขอพรแล้วฝนก็ตกจริงๆ อย่างที่พวกเจ้าทุกคนเห็น!”ชาวบ้านหันไปมองชายชรา บ้างก็พยักหน้ารับคำพูดอย่างเชื่อถือ บางคนแม้จะยังไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นว่าฝนตกลงมาหลังจากการเดินทางของอวี้เสวี่ยหนิง ทุกคนก็เริ่มพูดคุยถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้า เสียงกระซิบเกี่ยวกับอำนาจลึกลับและการขอพรของอวี้เสวี่ยหนิงที่ศาลเจ้าหลงซานนั้นค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ผู้คนต่างหันมามองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป บางคนเต็มไปด้วยความชื่นชม ขณะที่บางคนยังคงมีแววสงสัย ทว่าทุกคนต่างตระหนักว่านางอาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฝนตกลงมาหลังจากช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งที่ยาวนานพวกเขาพากันนำถังและโอ่งออกมาเก็บน้ำฝนเพื่อตุนไว้ แต่ทว่าดินที่แห้งแตกจากความแห้งแล้งนั้นกลับทำให้น้ำซึมลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว แ
ในห้องโถงที่มืดสลัว อวี้เสวี่ยหนิงกำลังยืนเผชิญหน้ากับอวี้เจียหรงบิดาของนางหลังจากที่กลับมาจากการช่วยชาวบ้านทำที่เก็บน้ำ โดยมีฮูหยินอวี้ผู้เป็นแม่เลี้ยงที่นางเกลียดชังนั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าของฮูหยินอวี้ฉายแววเยาะเย้ยขณะที่กำลังเสริมคำพูดของสามีนางอย่างจงใจ“ท่านพี่ ลูกสาวของเรายิ่งดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าชื่อเสียงของครอบครัวจะป่นปี้เสียก่อนที่นางจะหาคู่ได้พอดี ท่านพี่มีอะไรก็พูดกับนางตรงๆเถอะเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงรู้สึกร้อนรุ่มในอกยิ่งขึ้น“ข้าไม่ต้องการออกเรือน! ท่านพ่อไม่เข้าใจหรือ?” อวี้เสวี่ยหนิงตะโกนออกมาด้วยเสียงกร้าว ดวงตาของนางเป็นประกายแข็งกร้าวด้วยโทสะ ก่อนที่มือจะสะบัดปัดของตกแต่งบนโต๊ะให้ตกลงแตกกระจาย “เพล้ง!” เสียงแก้วแตกดังสะท้อนก้องทั่วห้อง อวี้เจียหรงผงะเล็กน้อย ขณะที่ฮูหยินแสร้งทำท่าตกใจ แต่ริมฝีปากของนางกลับเผยรอยยิ้มบางที่แฝงความพอใจ “หนิงเอ๋อร์!” อวี้เจียหรงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม หวังจะควบคุมสถานการณ์ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ อวี้เสวี่ยหนิงก็ชี้หน้าฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่เดือดดาล“เป็นเจ้านี่เองนางโลมแพศยา ที่คอยยุแยงทุกอย่าง ทำให้ท่านพ่อตั
อวี้เสวี่ยหนิงวิ่งออกมาจากบ้านด้วยความหงุดหงิดจนถึงป่าที่เงียบสงบ นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่พลางโยนก้อนหินเพื่ออารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในอก หลังจากโยนก้อนหินเล่นไปหลายครั้ง จิตใจของนางเริ่มสงบลงบ้าง“แม่นางน้อย ใยเจ้ามานั่งโยนหินเล่นที่นี่ เจ้ามีสิ่งใดในใจหรือไม่?” เสียงทุ้มเยือกเย็นดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก มันช่างเย็นชา แต่กลับมีเสน่ห์ที่ทำให้นางต้องหันไปมองอวี้เสวี่ยหนิงหันตามเสียงไป แทบหยุดหายใจ นักพรตหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์งดงามดั่งเทพเซียนยืนอยู่ตรงหน้า เขามีใบหน้าคมคาย ผมยาวดำสีหมึกสนิทพลิ้วไหวตามลม และดวงตาสีอำพันที่จับจ้องมาที่นางราวกับจะอ่านใจ นางอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นมนุษย์จริงหรือเป็นเทพเซียนที่แปลงกายมาดวงตาสีอำพันคู่นั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงนั้นแทบลืมหายใจ สายตาที่เขาจ้องมองมาราวกับสามารถทะลุผ่านความรู้สึกที่ปกปิดอยู่ในใจของนางได้ ทุกอย่างรอบข้างดูเหมือนจะเงียบสงบลงชั่วขณะ และหัวใจของหญิงสาวก็เต้นผิดจังหวะโดยไม่ทันตั้งตัวแต่ความรู้สึกที่แฝงแววหลงใหลนั้นกลับถูกดับลงอย่างรวดเร็วด้วยความโมโหที่ยังคงก้องอยู่ในอก ความโกรธที่บิดาและแม่เลี้ยงพยายามจับนางแต่งงานยังไม่จางหาย อวี้เสวี่ยหนิงขบก
อวี้เสวี่ยหนิงเริ่มฝึกฝนการบำเพ็ญเพียรทุกวันโดยมีหลงอวี่คอยแนะนำและช่วยเหลือ บางครั้งเมื่อเสวี่ยหนิงเหนื่อยอ่อนจากการฝึก หลงอวี่ก็จะยื่นน้ำชาถ้วยเล็กให้กับนาง“พักสักหน่อยเถอะหนิงเอ๋อร์ ฝึกหนักไปเจ้าจะเหนื่อยล้า” เสวี่ยหนิงรับจอกน้ำชามาจิบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้ารู้… ขอบใจที่อยู่ข้างข้าเสมอ อวี่เอ๋อร์”นอกจากการทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาเซียนแล้ว พวกเขายังทำการบำเพ็ญเพียรคู่โดยการซวงซิวกันเพื่อผสมผสานของพลังหยินและหยาง ช่วยให้เกิดความกลมกลืนและเสริมพลังของกันและกัน“หนิงเอ๋อร์ เจ้างามมาก” ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังลาดไหล่ขาวเนียนที่กำลังนั่งสางผมอยู่หน้ากระจก เขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากร่างบางได้เลยส่วนอวี้เสวี่ยหนิงที่ได้ยินดังนั้น ลอบมองสามีของนางผ่านกระจก สายตาของทั้งสองสบกัน ก่อนที่จะรู้ตัวร่างบางของนางก็ถูกอุ้มขึ้นมาและพาไปยังเตียงนอนและวางนางลงอย่างแผ่วเบาใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็ยังไม่ชินกับใบหน้าที่งดงามของคนตรงหน้าเสียที“อวี่เอ๋อร์”“ขอบคุณที่เจ้ากลับมา ไม่ว่าจะสืออิ่งหรือเสวี่ยหนิงแต่เจ้าก็คือเจ้า ขอบคุณที่เจ้ารักและมอบ
"หนิงเอ๋อร์" หลงอวี่กระซิบเสียงนุ่มเบาข้างหูของหญิงสาว “ข้าเข้าใจ... หากเจ้าต้องการเลือกเส้นทางของตนเอง เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้หัวใจตัวเองดีที่สุด”“อวี่เอ๋อร์...”“หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ”อวี้เสวี่ยหนิงหันมองหลงอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน "ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับท่านพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบท่าน ข้ากลับรู้สึกว่ามีอีกเส้นทางที่เรียกร้องให้ข้าเดินไป"หลงอวี่กระชับมือของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามีโอกาสเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะได้สัมผัส หากเจ้าเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิใช่ว่าเจ้าจะกลับมาหาท่านพ่อของเจ้าไม่ได้อีกเสียหน่อย"นางพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้ารู้... แต่ท่านพ่ออาจจะเสียใจที่ข้าต้องจากท่านไปไกล ข้ายังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทน และข้าไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี"ในขณะนั้นเอง อวี้เจียหรงก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืด เมื่อเขาได้ยินถึงความตั้งใจของบุตรสาว ดวงตาที่เคยเข้มแข็งก็สั่นไหวเล็กน้อย"หนิงเอ๋อร์... หากการเลือกเส้นทางนี้คือความสุขของเจ้าพ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เจ้าต
ในช่วงวินาทีที่ม่อหลี่พุ่งเข้าหาอวี้เสวี่ยหนิงด้วยความโกรธที่ถูกหญิงสาวหลอกล่อจนมังกรที่ตนอุตส่าห์ปลุกขึ้นมาถูกผนึกลงอีกครั้งหลินจื่อเฟยที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด นางกระโจนเข้าสู่ลานพิธีอีกครั้ง พลางผลักอวี้เสวี่ยหนิงให้พ้นรัศมีการโจมตีของม่อหลี่“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าหรอกนะ นางมารร้าย!” หลินจื่อเฟยพุ่งเข้าไปขวางม่อหลี่ทันที ในใจไร้ซึ่งความกลัวใดๆสายตาของหลินจื่อเฟยประสานกับไห่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ราวกับส่งสัญญาณให้เขาช่วยหลอกล่อม่อหลี่อีกแรงไห่เฟิงสบตานางเพียงเสี้ยววินาที ความเงียบกลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดวงตาที่เคยคมดุดันอ่อนลงอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขามองหลินจื่อเฟย ราวกับว่าเขาจะเผลอลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียแล้ว“ตั้งสติหน่อยสิ ท่านนักพรต!”“ข้าขอโทษ...แม่นางน้อย ข้าจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”ไห่เฟิงส่งคลื่นวารีโจมตีใส่ม่อหลี่ นางจึงเสียสมดุล ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีประสานของไห่เฟิงและหลงอวี่ไห่เฟิงเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เขาร่ายกระแสพลังน้ำด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งส่งกระแสวารีโถมเข้าใส่ม่อหลี่ นา
หลงอวี่ไม่รั้งรอให้ม่อหลี่ทำการปลุกมังกรฉินเฟิงจนเสร็จสิ้น เขาและไห่เฟิงพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมกัน รัศมีพลังของพวกเขาประสานกันจนเปล่งแสงราวสายฟ้าฟาดไห่เฟิงเริ่มโจมตีด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและใช้พลังลมกรรโชกที่รุนแรง ทำให้ม่านพลังรอบตัวม่อหลี่สั่นสะท้าน รอยร้าวค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามแนวพลังที่ม่อหลี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวขณะที่หลงอวี่ควบคุมกระแสน้ำพุ่งเป็นเกลียวรอบลานพิธีเพื่อล้อมม่อหลี่ไว้ไม่ให้หลบหนีม่อหลี่หันมาแสยะยิ้มใส่ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ม่อหลี่ได้ซ่อนแผนการอันร้ายกาจไว้ระหว่างที่หลงอวี่และไห่เฟิงมุ่งโจมตีและพยายามป้องกันไม่ให้นางหลบหนี ม่อหลี่ก็แอบร่ายมนตร์ต้องห้ามบทหนึ่งที่นางได้ศึกษาจากคัมภีร์โบราณ นางร่ายมนตร์นี้อย่างเงียบเชียบโดยใช้เลือดของนางเอง สร้างพันธะระหว่างตัวนางและมังกรโบราณ“พวกเจ้า…คิดว่าข้านั้นมีแค่ตัวคนเดียวหรือ?”เลือดของม่อหลี่หยดลงบนพื้นและซึมลงในดิน บิดเบี้ยวเป็นลวดลายประหลาดที่เชื่อมโยงเข้ากับผนึกโบราณที่กำลังแตกออกทันใดนั้นเสียงกัมปนาทดังก้องทั่วลานพิธี ผนึกโบราณที่บิดเบี้ยวกลับแตกออก กลิ่นอายมืดดำเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากรอยร้าวที่ขยายตัว ก้อนห
อวี้เถียนเถียนมองดูอวี้เสวี่ยหนิงและหลงอวี่ที่เคียงข้างกัน ประคับประคองและบอกรักกันอย่างจริงใจ ภาพนั้นยิ่งทำให้นางปวดใจมากความอิจฉาและความเกลียดชังที่เคยฝังลึกพลันสลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป"นี่ข้าทำอะไรลงไป…ข้าไม่อยากเป็นคนเลวเลยสักนิด"อวี้เถียนเถียนพึมพำด้วยเสียงสั่น ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าและวิ่งไปผลักม่อหลี่ที่กำลังใช้สมาธิเปิดประตูนรกม่อหลี่เซไปเล็กน้อยเมื่อถูกผลัก จนประตูที่นางกำลังเปิดกลับหยุดชะงักก่อนที่จะปิดลงอีกครั้ง ความโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของม่อหลี่"เจ้าบังอาจขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ? ทำแบบนี้แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?" ม่อหลี่เอ่ยเสียงกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะทำร้ายอวี้เถียนเถียนอวี้เสวี่ยหนิงเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรีบเข้าไปยืนขวางหน้าอวี้เถียนเถียน" เจ้าเกลียดน้องสาวของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ แล้วจะปกป้องมันทำไม?"อวี้เสวี่ยหนิงหันมองอวี้เถียนเถียนด้วยแววตาอ่อนโยนที่นางเองไม่เคยคาดคิดจะมี"เพราะข้ารู้แล้วว่าการปล่อยวางความแค้นคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสงบ ข้าไม่ต้องการเห็นการสูญเสียอีกแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยโกรธและเกลียดพวกเขามาก แต่
“เถียนเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดลงไปเจ้ารู้ตัวหรือไม่” อวี้เจียหรงเอ่ยด้วยความเสียใจ แม้จะรู้ดีว่าเขาเองเป็นต้นเหตุของความบาดหมางนี้ เพราะเป็นเขาที่รักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ทำให้พวกนางต้องผิดใจกันมาตลอดอวี้เถียนเถียนหลับตาลง ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาเอ่อไหลออกมาราวกับปิดกั้นความรู้สึกไม่ไหวอีกต่อไป“ท่านพ่อ แล้วท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่? ท่านเอาแต่ตามใจพี่สาวจนข้านั้นเหมือนคนไร้ตัวตน ข้าโตมาใต้เงาของนาง ท่านรักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ท่านทำให้ข้ารู้สึกเหมือนไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลย”นางกลืนสะอื้นลงคอแล้วกล่าวต่อ “แม้แต่มารดาของข้าเอง นางไม่ได้สนใจความรู้สึกของข้าด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่พร่ำเรื่องสมบัติ เรื่องวิธีการที่จะครอบครองทรัพย์สินของท่าน นางไม่เคยให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีคุณค่าเพียงพอสำหรับนาง”“เถียนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ” ฮูหยินอวี้ตกใจเป้นอย่างมากกับคำพูดของบุตรสาว ที่ผ่านมานางถูกความโลภเข้าครอบงำจนเผอทำร้ายจิตใจของบุตรสาวโดยที่ไม่รู้ตัว“ข้าเพียงแค่อยากให้ใครสักคนรักข้า สักครั้งหนึ่ง...แต่แม้แต่ท่านนักพรตหลงอวี่ก็ไม่เคยแลข้าเลย ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เขามองมาที่ข้า ให้เขาสนใจในตัวข้า แม้จะเป็นเ
ในที่สุดก็ถึงเวลาทำพิธี หลงอวี่ยืนอยู่ท่ามกลางลานพิธี เขาเริ่มสวดบทสวดซึ่งถ้อยคำและน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราวกับว่าเขากำลังปลุกพลังบางอย่างให้ตื่นขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจชั่วร้ายที่อาจคืบคลานเข้ามาข้างกายของเขา ไห่เฟิงเองก็จับจ้องไปรอบๆ ราวกับพยายามมองหาสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เงามืด“ข้ารู้สึกได้...เหมือนมีสายตากำลังจับจ้องพวกเราอยู่”หลงอวี่หยุดชั่วครู่ ก่อนจะหันไปสบตากับไห่เฟิง ทั้งสองเพียงพยักหน้าให้กันเบาๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดแม้พิธีกรรมนี้จะถูกกล่าวขานว่าเป็นการเรียกฝนให้เมืองไป๋หลินรับพรแห่งความอุดมสมบูรณ์ตามฤดูกาล แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งสอง การประกอบพิธีนั้นมีจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านี้ทั้งสองรู้ดีว่าเมื่อเสียงสวดโบราณของพวกเขาจบลง มันไม่เพียงเพื่อทำให้ท้องฟ้าสงบตามที่กล่าวไว้เท่านั้น แต่มันยังช่วยเสริมแรงผนึกอันซับซ้อนที่กักขังบางสิ่งที่อยู่ใต้พื้นที่พวกเขากำลังเหยียบอยู่ สิ่งชั่วร้ายที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาจู่ๆ สายลมที่กลับพัดแรงขึ้น เมฆมืดเข้าครอบคลุมท้องฟ้าทันที ทุกคนในลานพิธีพากันมองไปรอบด้านด้วยความหวาดหวั่นม่อหลี่ปรากฏตัวออกจากเงามืด ร่างของนางโอบล้อมด้วยไอมืดที่หนาแน่
หลังจากดำเนินแผนการได้สำเร็จลุล่วงไอวี่เถียนเถียนก็รีบกลับเข้าห้องนอนของนางทันที โดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็นนางวิ่งออกมาจากห้องนอนของพี่สาวร่างบางยอบกายลงนอนกับเตียงนุ่ม พลางคิดถึงใครบางคนที่นางแอบคะนึงหามาได้สักพักวันหนึ่งในยามที่ฝนโปรยปราย อวี้เถียนเถียนได้ขออนุญาตจากมารดาออกมาเที่ยวเล่นตามประสาเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นานขณะนั้นเอง นางเห็นอวี้เสวี่ยหนิงกำลังช่วยชาวบ้านสร้างที่เก็บน้ำฝน ทำไมพี่สาวของนางจึงสนิทกับชาวบ้านถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่นางจำได้ว่าชาวบ้านเคยรังเกียจชังพี่สาวของตนมากแค่ไหนตั้งแต่จำความได้ สตรีตรงหน้านั้นชอบทำตัวร้ายกาจต่ออวี้เถียนเถียนและมารดาของนาง ทั้งๆ ที่อวี้เสวี่ยหนิงก็ได้รับความรักจากท่านพ่อและผู้คนในจวนอย่างล้นหลาม แต่สตรีผู้นี้ก็ยังชอบทำตัวน่ารังเกียจอยู่เสมอขณะที่อวี้เถียนเถียนกำลังจะเดินจากไป ฝนที่ทำให้ถนนลื่นกลับทำให้นางเสียหลักล้มลง ทว่าก่อนที่ใบหน้าจะกระแทกพื้น ก็มีมือหนายื่นมาประคองไว้ทัน“ระวังทางเดินด้วย คุณหนูน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยเตือนดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยนเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ ชายหน
ม่อหลี่เดินเข้ามากลางโถงใหญ่ มือเรียวเล็กของนางกำลังถือหินผนึกเทียมสีดำสนิทก้อนหนึ่ง ขณะที่ม่อหลี่จ้องมองมัน แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยแผนการใหม่ที่สลับซับซ้อน นางยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางหรี่ตามองหินผนึกที่สั่นสะเทือนราวกับต้องการที่จะปลดปล่อยพลังของมันออกมาม่อหลี่เริ่มคิดถึงแผนการลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งผนึกของสืออิ่งที่อยู่ในหินดวงชะตาของหลงอวี่ นางรุ้มาบ้างว่าอวี้เสวี่ยหนิงร่างใหม่ของสืออิ่งนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับครอบครัวสักเท่าไหร่ “อวี้เถียนเถียน…นางเป็นคนที่เหมาะที่สุด” ม่อหลี่พูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ม่อหลี่สะบัดผ้าคลุมสีดำตัดแดงของตนก่อนก้าวออกจากห้องโถง มุ่งหน้าไปยังจวนของเจ้าเมืองอวี้เจียหรงเพื่อดำเนินแผนการล่อลวงเหยื่อให้มาติดกับเมื่อมาถึงจวนของตระกูลอวี้ ม่อหลี่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ร่างบางที่กำลังยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในสวนอย่างเงียบเชียบ ดูท่าทางคงจะหงุดหงิดเรื่องของพี่สาวต่างมารดาเป็นแน่“แม่นางอวี้เถียนเถียน”อวี้เถียนเถียนหันมาด้วยความประหลาดใจและสงสัย “เจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ถ้ายังไม่หยุดเดินเข้ามาจ้าจะตะโกนเรียกคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!”“อย่าโวยวายไป ข้ารู้