รุ่งเช้าเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว โอฟีเลียใช้ผ้าชุบน้ำเพื่อเช็ดหน้าของคาเซล ไข้ของเขาลดลงจากเมื่อคืนนี้เยอะมากทีเดียว จนดูเหมือนกับว่าเขาหายดีแล้ว
“อ่า..เช้าแล้วอย่างนั้นหรือครับ?” เขาเอ่ยถามออกมาก่อนที่จะค่อยๆ ปรือตาขึ้นเพื่อที่จะได้มองหน้าของโอฟีเลียได้อย่างถนัด “เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง?” คำถามของโอฟีเลียนั้นแฝงไปด้วยความเป็นห่วง เธอใช้หลังมือแตะลงที่หน้าผากของเขาซ้ำๆ เพื่อเป็นการวัดไข้ “ครับ ดูเหมือนว่าข้าจะรู้สึกดีมากกว่าเมื่อวานนี้เยอะเลย” เขาลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้วสวมกอดเธอเอาไว้แน่น ฉันไม่แน่ใจว่าอ้อมกอดนี้ของคาเซลมันมีความหมายแบบไหน แต่ฉันไม่ได้ผลักไสเขาออกไปเลย ฉันหลับตาลงช้าๆ เพื่อซึมซับไออุ่นจากอ้อมแขนของเขา ใบหน้างามซบลงบนไหล่ของคาเซลเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลงของโอฟีเลีย มุมปากของคาลอสก็ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะว่าเธอฉลาด ในทุกการแสดงมันถึงจะต้องแนบเนียนและสมจริง เขาลงทุนถึงขนาดยอมโดนลูกน้องตัวเองกระทืบเพื่อให้ตัวเองมีสภาพปางตายเช่นนี้ จะเรียกว่านี่คือโชคดีของเขาได้ไหมนะ เพราะว่าข้างกายของโอฟีเลียไม่เคยมีบุรุษหน้าไหนมายุ่งเกี่ยวกับเธอมาก่อน และเพราะว่าไม่คุ้นเคยกับความรักและสัมผัสของบุรุษ นั่นทำให้คาลอสคิดว่าที่เขาเข้าหาเธอด้วยความต้องการอันแรงกล้านั้นมันผิดไปหน่อย โอฟีเลียตั้งกำแพงใส่เขาไม่หยุดหย่อน เธอปฏิเสธเขาตลอดเวลาราวกับไม่ต้องการให้เขายืนอยู่เคียงข้างเธอ และเพราะแบบนั้นมันจำเป็นที่จะต้องสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เราทั้งคู่ได้อยู่ตามลำพังด้วยกัน และเขาก็เล่นใหญ่ถึงขนาดวางระเบิดเอาไว้บนถนน และยินยอมเจ็บตัวปางตาย หากไม่ทำถึงขั้นนี้โอฟีเลียจะต้องไม่ยอมเชื่อเขาอย่างแน่นอน “เราต้องหนีแล้วครับ..” โอฟีเลียหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความโล่งใจ “อันที่จริงโจรพวกนั้นดูเหมือนว่าจะยังมีความเมตตามากพอสมควร หลังจากที่พวกเขาทำร้ายเจ้าแล้ว ยังโชคดีที่พวกเขาให้เวลาส่วนตัวกับเรา..” คาลอสเหยียดยิ้มกว้าง “เพราะพวกเขาคิดว่าลำพังแค่คุณหนูคนเดียวไม่สามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้หรอกครับ เขาดูถูกเราเกินไปต่างหาก” เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับมือของเธอเอาไว้ “รอเวลาที่โจรพวกนั้นเอาอาหารมาให้เรา ข้าจะดักอยู่ที่ด้านหลังประตู ส่วนท่านหลบอยู่ในห้องน้ำนะครับ เท่าที่ข้าสอดส่องดู เหมือนว่าจะมีโจรที่เดินผ่านไปมาแค่คนเดียวเท่านั้น..หากแค่คนเดียวข้าน่าจะสู้ได้อย่างสบายๆ” โอฟีเลียมองหน้าเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ทำไมเราไม่หลบหนีออกไปที่รูไม้ในห้องน้ำ..” “คุณหนูครับ การหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ยาก แต่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ไม่ง่าย ข้าไม่รู้จักป่าแห่งนี้เลยเพราะอย่างนั้นทางหนีทางเดียวของเราคือเราจะต้องเดินไปตามถนน ซึ่งอยู่ด้านหน้าบ้านหลังนี้ วางใจเถอะครับ แค่โจรคนเดียวข้าเอาชนะได้อยู่แล้ว ท่านรีบไปซ่อนตัวในห้องน้ำเถอะครับ” ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยความสับสนมากมาย มันทั้งเป็นห่วงและหวาดหวั่นใจไปพร้อมๆ กัน ฉันไม่ได้อยากจะให้คาเซลเจ็บตัว..แต่ก็ปฏิเสธเรื่องแผนการนี้ของเขาไม่ได้เลย เมื่อโอฟีเลียเข้ามาในห้องน้ำ เธอก็ได้ยินเสียงประตูด้านนอกเปิดเข้ามา “อาหารมาส่งแล้วออกมารับ..อั่ก!!” หลังจากนั้นก็มีเสียงตุบ ตับ ดังขึ้นมาราวกับว่าคนกำลังต่อสู้กัน สาบานได้เลยว่าเธอภาวนาในใจอย่างแรงกล้าว่าให้เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคาเซลที่กำลังถูกทำร้าย มือของโอฟีเลียที่กำลังกุมมือกันนั้นสั่นไหว ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรประตูของห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับคาเซลในสภาพที่มุมปากของเขาแตกเล็กน้อย “ไปกันเถอะครับ กลับบ้านกัน” ในตอนนั้นมันเหมือนกับว่าความหวาดกลัวในใจจางหายไปหมด เมื่อได้ยินเขาชักชวนให้กลับบ้านพร้อมกับยื่นมือมาให้เธอ โอฟีเลียจับมือของคาเซลเอาไว้แน่น เธอส่งยิ้มที่ผลิบานราวกับกลีบดอกไม้ให้เขา “อื้อ กลับบ้านกันนะ” เขาพาเธอวิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมกับวิ่งออกไปยังถนน โอฟีเลียจำไม่ได้แล้วว่าเธอวิ่งมานานแค่ไหนแต่ในยามนี้เบื้องหน้าของเรากลับกลายเป็นหน้าผาที่สูงชันแทนที่จะเป็นบ้านคน เธอทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงเมื่อความจริงตีแสกหน้าว่านี่ไม่ใช่หนทางที่จะกลับบ้าน “ข้ามันไม่ได้เรื่องเองครับ ข้าแค่ถูกสอนในยามเป็นเด็กว่าทางกลับบ้านจะต้องเดินไปตามถนนของรถม้า..” สถานการณ์ในยามนี้มันก็แย่มากพอแล้ว โอฟีเลียไม่คิดจะโทษคาเซลหรอกนะ “ไม่เป็นไร ข้าเก่งกาจเรื่องการดูทิศทางนะคาเซล ตามข้ามาเถอะ เราเดินมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือไปเรื่อยๆ น่าจะมีบ้านคนบ้าง” เขายกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่กำลังเปื้อนอยู่ตรงมุมปาก ก่อนจะเหลือบมองรองเท้าส้นสูงที่โอฟีเลียกำลังสวมใส่อยู่ การปล่อยให้เราทั้งคู่ออกไปจากสถานที่ที่น่าสนุกเช่นนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนี่ เขาอยากจะอยู่กับโอฟีเลียผู้แสดงความมั่นใจออกมาได้ทุกสถานการณ์ แน่นอนว่าชุดเดรสและรองเท้าที่เธอสวมมันไม่สะดวกในการเดินป่าเท่าไหร่นัก นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้เราเดินทางออกจากป่าแห่งนี้ไม่ทันก่อนที่ฟ้าจะมืด “ข้าคิดว่าเราควรจะหาที่พัก ฟ้ากำลังจะมืดแล้วนะครับ” โอฟีเลียพยักหน้า เธอเห็นด้วยกับคำกล่าวของคาเซลนะ เราทั้งคู่ยังไม่มีใครทานน้ำหรือว่าอาหารแม้แต่นิดเดียว เขาเดินนำหน้าเธอก่อนจะหยุดเดินแล้วย่อตัวลง “ขี่หลังข้าสิครับ..” เธอตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของเขา “มะ..ไม่เป็นไร ข้าเดินเองได้” “แต่เท้าของท่านกำลังเจ็บ หากรอให้ท่านเดินเอง เราน่าจะไม่สามารถหาที่พักได้ทันก่อนที่ดวงตะวันจะตกดิน” โอฟีเลียก้มมองรองเท้าของตัวเอง ที่เท้าของเธอเต็มไปด้วยแผลมากมายจากการถูกรองเท้ากัด เธอขบเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดโอฟีเลียก็ยินยอมขี่หลังของคาเซล เขาพาเธอเดินเข้าไปในป่าที่มองแทบไม่เห็นทางด้านหน้าแล้วเพราะดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า เราเดินมาได้สักพักก็พบเจอกระท่อมล่าสัตว์ของนายพราน เขาวางเธอลงแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อสำรวจ “เข้ามาได้เลยครับคุณหนู ที่นี่มีเสื้อผ้า รองเท้าและเนื้อตากแห้งด้วย..” โอฟีเลียแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอดีใจมากทีเดียวที่เราก้าวข้ามผ่านความเลวร้ายนั้นมาได้ คาเซลจับมือของเธอเอาไว้ เขาพาเธอเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นก่อนจะปิดประตูลงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจโอฟีเลียนั่งอยู่บนเตียงนอน เตาผิงถูกจุดขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วด้วยฝีมือของคาเซล เขาเดินไปมาในบ้านแคบๆ หลังนี้ราวกับว่าตัวเขากำลังวุ่นไปหมด ในขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อมองดูคาเซลกำลังทำอาหารง่ายๆ เท่าที่วัตถุดิบจะมีซุปมันฝรั่งและเนื้อตากแห้ง อาหารสุดแสนจะธรรมดาที่ทำให้โอฟีเลียแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเธอได้กินมันเข้าไป อาหารมื้อแรกของวัน และเป็นอาหารที่อร่อยมากที่สุดเท่าที่เธอเคยกินมา“เจ้าดู..คล่องแคล่วกับการทำอาหารมากเลยนะ”คาเซลยกยิ้มขึ้นมาจางๆ ที่มุมปาก เขาวางน้ำดื่มให้เธอก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเพื่อเช็ดคราบซุปที่ติดอยู่บนริมฝีปากคู่งามนั้นเบาๆ“ข้าจำได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่มันมีความทรงจำที่ผุดขึ้นมาราวกับเรื่องเล่า เหมือนกับว่าครั้งหนึ่งข้าเคยอยู่ผู้เดียวในสถานที่เช่นนี้ เคยใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวเพื่อหลบหนีจากผู้คน..”คำตอบของเขาทำเอาเธอรู้สึกจุกตื้อในอก ในวัยเด็กของคาลอสมันไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก เขาต้องหลบหนีนักฆ่าที่เคาน์เตสอัคราฟส่งมาเพื่อจัดการเขา..เด็กชายตัวน้อย ใช้สองเท้าของเขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อหลีกหนีคมดาบของนักฆ่ามากมายที
ความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจพวกนี้มันไม่สมควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉันไม่ควรปล่อยให้หัวใจล่องลอยไปตามความอ่อนโยนของเขาตั้งแต่แรกเลย เพราะไม่อย่างนั้นการที่เขายื่นข้อเสนอมาเพื่อให้ฉันเลือก ฉันคงจะสามารถเลือกผลักไสเขาออกไป แทนที่จะทิ้งมีดในมือแล้วเลือกที่จะโอบกอดเขาเอาไว้แทน มีดในมือของโอฟีเลียร่วงหล่นไปอยู่บนพื้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอยกมือขึ้นแล้วโอบกอดคาเซลเอาไว้แน่น “คาเซล..” ชื่อปลอมๆ ของเขาถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวของเธอ และนั่นทำให้คาลอสล่วงรู้ได้ในทันทีว่าในใจของโอฟีเลีย เขามีน้ำหนักมากพอสมควร นั่นทำให้การลงทุนลงแรงเจ็บปวดตัวของเขามันได้ผลอย่างดีทีเดียว โอฟีเลียเป็นสตรีที่เก่งกาจเรื่องการหาเงินแต่ว่านางไม่ได้เก่งกาจเรื่องการต้านทานความรู้สึกของสั่นไหวของตัวเอง เขายกมือขึ้นมากุมใบหน้างามนั้นเอาไว้ในฝ่ามือด้วยความทะนุถนอม แสงเดียวที่เรามีคือแสงไฟจากเตาผิงที่กำลังลุกไหม้ เขายกยิ้มขึ้นมาก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าหาเธอ “สาบานได้เลยว่าข้าจะไม่มีวันเสียใจอย่างแน่นอนครับ” ตรงกันข้ามกับความเสียใจ คาลอสคิดว่าเขาคงจะไม่สามารถลืมเลือนค่ำคืนแสนหวานคืนนี้ไปจากความทรงจำ
เนื้อตัวของเธอชาวาบด้วยความสุขสมจากการได้ปลดปล่อย ดวงตาคู่งามปรือปรอย เธอมั่นใจว่าตัวเองในยามนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่นัก คาลอสแสยะยิ้มออกมาเมื่อด้านในของเธอตอดรัดเรียวนิ้วของเขาแรงๆ มันเป็นสัญญาณแสนสวยงามที่บ่งบอกว่าโอฟีเลียเสร็จสมออกมาแล้ว และนางกำลังเพลิดเพลินอยู่กับความรู้สึกหอมหวานหลังจากที่อะดินารีนกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย “มีความสุขมากเลยใช่ไหม แต่เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขมากกว่าการใช้นิ้ว..รับรองได้เลยว่าเจ้าจะรู้สึกดีมากกว่านี้หลายเท่าทีเดียว” เขาดันใต้ข้อพับเข่าของเธอสูงถึงเนินอก มือใหญ่รวบดันใต้ขา เท้าของเธอชี้เพดาน ท่าทางอล่างฉ่างน่าอายเหลือใจ โอฟีเลียหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา การมองหน้าเขาไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะยิ่งเธอมองหน้าเขา หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้น คาลอสจ้องมองอยู่ที่ร่องรักสีหวาน เขาถอดกางเกงตัวเองออกมาก่อนจะจับแก่นกายแข็งตึงราวกับท่อนไม้ ที่บอกเล่าความต้องการของเขาได้เป็นอย่างดีว่าเขาต้องการเธอมากแค่ไหน เขาจับส่วนหัวปลายบวมแดงไปตีกระทบปากทางสวาท ลากไล้ไปจนทั่วปากทาง จนส่วนปลายบวมแดงถูกเคลือบด้วยของเหลวใสที
ฝนตกลงมาไม่หยุดเลยตั้งแต่เมื่อคืน น้ำฝนเทจากชายคาเสียงดังลั่นจนหูอื้อ แต่สำหรับคาลอสแล้ว เม็ดฝนเหล่านั้นมันเหมือนกับเสียงโห่ร้องที่สรรเสริญถึงความสำเร็จของเขา โอฟีเลียกำลังหลับในอ้อมแขนของเขา เธอซบใบหน้าลงมาที่อกแกร่งราวกับว่านี่คือที่พึ่งพิงสุดท้ายของเธอเขาจุมพิตลงไปบนเรือนผมสีสวย ก่อนจะไล่พรมจูบลงไปบนใบหน้างาม เมื่อคืนไม่มีส่วนไหนบนร่างกายของเธอเลยที่เขาไม่ได้ใช้ริมฝีปากของเขาสัมผัส โอฟีเลียงดงามและหวานฉ่ำไปเสียทุกส่วน ใบหน้าว่างามล้ำแล้วแต่ร่างกายของเธอกับงดงามมากยิ่งกว่า ไม่บ่อยนักที่เขาจะเป็นเช่นนี้..ช่วงเวลาที่เขาเติบโตที่อัคราฟ มันคือช่วงเวลาทองของเด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานไร้ที่สิ้นสุด แน่นอนว่าเขาไม่ได้เปิดตัวในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองหลวง เพราะไม่ต้องการที่ใช้ชีวิตยุ่งยาก เขาหลบซ่อนอยู่ในเงามืดจนชินเพราะแบบนั้นเขาจึงเดินบนถนนหนทางโดยใช้ชื่อของผู้แทนกลุ่มการค้าเทอรัน ที่เขาสร้างมากับมือ และเมื่อสตรีน้อยใหญ่ในเมื่อล่วงรู้ว่าเขาทำงานที่กลุ่มการค้าเทอรัน พวกนางก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในช่วงเวลาที่คาลอสพึ่งเข้าสังคมให้ เขาได้ใช้ช่วงเวลามากมายไปกับการเด็ดด
จะมีใครที่โง่งมจนถึงวินาทีสุดท้ายเหมือนเธอบ้างไหมนะ คงไม่น่าจะมีอีกแล้วในจักรวรรดินี้เอเวียไม่สงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ของพี่สาวกับสามีเลย เธอคิดว่ามันพอเข้าใจได้ว่าทำไมเกรทถึงได้เย็นชากับเธอมากนัก เพราะว่าเขาถูกบังคับให้แต่งงานกับเธอยังไงล่ะ ถึงอย่างไรความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้เริ่มต้นมาจากความรัก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อยู่ด้วยกันยาวนานถึง20ปี และลูกสาวของเราก็กำลังเติบโตอย่างงดงาม ทำไมกันนะ..เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากถึงขนาดนั้นแต่เขากลับไม่รู้สึกผูกพันกับเธอเลยงั้นหรือและเมื่อเอเวียเอ่ยกับพี่สาวของเธอว่าเธอต้องการที่จะหย่า ท่านพี่เอสเทียก็สนับสนุนการหย่าในครั้งนี้มากทีเดียวทุกอย่างเป็นไปได้ดีทั้งการหย่าของเธอและการใช้ชีวิตหลังการหย่า แน่นอนว่ามันเจ็บปวดเป็นธรรมดาแต่เอเวียคิดว่าตัวเองได้รับอิสระของเธอคืน จนเธอเดินทางไปที่พระราชวังเพื่อยื่นหนังสือการหย่าให้กับทางการ ข้าหลวงรับหนังสือการหย่านั้นเอาไว้พร้อมกับทำหน้าเสียดาย“ท่านดัชเชสและอดีตท่านดยุคนั้นดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับ”เหมาะสมมากแค่ไหนแต่เขาไม่รักเธอแค่นั้นก็จบแล้ว“เขาไม่เคยรักข้าเลย..ไม่เคยสนใจว่าข้าจะมีชีวิตแบบไหนด้วยซ้ำ การอยู่กั
จุมพิตแสนหวานของคาเซล ปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงนอน สิ่งแรกที่โอฟีเลียรู้สึกคืออาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และเสียงของฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาบนใบไม้และหลังคาอย่างแผ่วเบาใบหน้าของคาเซลกำลังยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู เขายกแขนขึ้นมาแล้วโอบกอดเธอเอาไว้แน่นในอ้อมแขนการปลุกเช่นนี้โอฟีเลียยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก แต่มันดูไม่เลวเลย“ทานมื้อเช้าก่อนครับ แล้วค่อยนอนต่อ..”เธอหลับตาลงแล้วซบใบหน้าลงบนไหล่กว้างของเขา“คาเซล ไม่ใช่ว่าเราควรจะเดินทางกลับ..”“ฝนกำลังตกลงมาที่ด้านนอก แถมลมยังแรงอีกด้วย ท่านคงไม่อยากจะเดินฝ่าพายุที่รุนแรงเช่นนั้นไปหรอกใช่ไหมครับ อาหารในบ้านนี้ยังพอมีมันฝรั่งหลงเหลืออยู่ หากว่าท่านไม่เบื่อซุปมันฝรั่งซะก่อนเราน่าจะอยู่ที่นี่กันได้อีกสักระยะ..จนกว่าพายุพวกนั้นจะหายไป”ดวงตาสีอำพันของโอฟีเลียมองไปยังอาหารบนโต๊ะ มีซุปมันฝรั่งที่เหมือนกับเมื่อวานและเนื้อตากแห้งที่ผ่านการย่างไฟอ่อนๆ อาหารเช่นนั้นมันคืออาหารสำหรับนายพรานจริงๆ เพียงแต่ใครจะเก็บเนื้อย่างเอาไว้มากมายเช่นนี้กันพิษเศรษฐกิจที่มาจากสงครามที่พึ่งสงบลงทำให้ความเป็นอยู่ของชาวเมืองไม่ได้ง่ายเท่าไห
เขามุดหน้าลงไปอย่างใจร้อนเพื่อซุกใบหน้าเข้าไปในขาที่กางออก ลิ้นของเขาตวัดอย่างชำนาญและหิวกระหายจนเธอแอ่นสะโพกขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวพอละออกมาจากตรงนั้นมุมปากของเขาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำ คาลอสกำแก่นกายที่พร้อมนานแล้วดันเข้าไปอย่างไม่รอช้า การสอดกระแทกรวดเร็วป่าเถื่อนเหมือนกับที่ละเลงลิ้นอยู่เมื่อครู่ส่วนกลางเบียดชิดชนกันซ้ำๆ เธอยกขาขึ้นมาเกี่ยวเอวเขาสองข้าง พร้อมกับหวีดร้องอย่างไม่อาจอดกลั้นใบหน้าของคาลอสคลอเคลียกับใบหน้างามของเธอ ความซ่านกระสันดึงให้ทั้งคู่แอ่นเข้าหากันอย่างเร่าร้อน“อ่า..คาเซล อื้อ!”“ข้าบอกแล้วไงว่าครั้งนี้มันจะไม่เจ็บ ดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยใช่ไหมครับ”เขาพรมจูบทั่วใบหน้าด้วยความหลงใหลอันไร้ที่สิ้นสุด โอฟีเลียในสายตาของคาลอสเธอสวยมากเหลือเกิน เรือนผมสีแดงที่ดูยุ่งเหยิงนั่น ริมฝีปากที่เผยอออกมาเล็กน้อยมันบวมแดงเพราะถูกเขาดูดแรงๆ เมื่อครู่ ราวกับว่ามิใช่มนุษย์โอฟีเลียราวกับเป็นภาพวาดที่ถูกสรรค์สร้างมาจากจิตรกรฝีมือดี เธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหมือนเป็นดอกกุหลาบที่โดดเด่นมากที่สุดท่ามกลางดอกลิลลี่สีขาวนวลร่างกายของเขาเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นเดียวกับสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่าต
ถึงแม้ว่าโอฟีเลียจะกล่าวออกมาว่าเธออยากจะเดินทางไปขอบคุณกลุ่มการค้าเทอรัน แต่เมื่อเธอเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ สิ่งที่วุ่นวายไม่แพ้กันคือท่านพี่อาม่อนที่บ่นเธอหลายครั้งมากทีเดียว “พี่บอกไปแล้วใช่ไหม ว่าเป็นสตรีไม่ต้องวุ่นวายเรื่องการหาเงินมากนัก เจ้าคือน้องสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ของพี่ เพราะอย่างนั้นหน้าที่ของเจ้าคือการนั่งยิ้มสวยๆ อยู่ที่บ้าน หน้าที่การหาเงินมันเป็นหน้าที่ของสามีเจ้าต่างหากล่ะ!” เธอไม่ได้เถียงออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เพราะโอฟีเลียเข้าใจว่าที่อาม่อนกำลังบ่นเธออยู่นั้นมันมาจากความเป็นห่วงที่มากมายของเขา “วันนี้ออกไปข้างนอกกับพี่เถอะ พี่จะพาเจ้าไปที่งานเลี้ยงน้ำชาของคนรู้จัก เจ้าควรจะเปิดตัวในแวดวงสังคมบ้างได้แล้ว รอคอยวันบรรลุนิติภาวะอย่างเดียวไม่ได้อย่างเด็ดขาด” โอฟีเลียยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก “วันนี้ข้ามีงานที่จะต้องทำนะคะท่านพี่ เอาไว้ครั้งหน้าข้าจะไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านนะคะ” เธอกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมาสวมกอดอาม่อนเอาไว้ แววตาของคาลอสหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเขามองเห็นโอฟีเลียและว่าที่แกรนด์ ดยุควาเลเลียสนิทสนมกับมากเกินสมควร “เอาอีกแล้ว เจ้ายากจนมากนักรึไงถึงต้องคอ
บอกตามตรงว่าโอฟีเลียมักจะรู้สึกสั่นไหวในทุกครั้งที่เธอกล่าวถึงเรื่องความทรงจำของเขาที่มันจะกลับคืนมา หรือว่าเธอกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ?ทำไมถึงคิดว่าเขาจะใจร้ายมากขนาดนั้นกัน..บอกตามตรงว่าเธอไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าในยามนี้เขารู้สึกเช่นไรกับเธอ คาลอสสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยอยากได้ใครมากขนาดนี้มาก่อน สตรีใดก็เทียบไม่ได้กับโอฟีเลีย เทียบไม่ได้เลย..“ข้าต้องทำเช่นไรท่านถึงจะเชื่อว่าวาจาของข้านั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ข้าชอบท่านมากจริงๆ และไม่มีวันทอดทิ้งท่านไปต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม”เขาซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอด้วยท่าทางออดอ้อน ราวกับคาลอสกำลังบอกกล่าวโอฟีเลียด้วยทุกอย่างที่เขามีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากก็ตาม แต่ทว่าความรู้สึกของโอฟีเลียมันแตกต่างกันเล็กน้อย เธอชอบเขา..ชอบมากในฐานะของคาเซล คราแรกที่เธอชอบเขาเพราะนิสัยที่ขยันเอาใจใส่เธอของเขา แต่ในช่วงเวลาต่อมาการที่เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอมันทำให้เธอ..มีความสุข ทุกเรื่องเล็กน้อยของเธอมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ ช่วงเวลาที่ไร้ทางออกเมื่อหันหลังกลับไปมองเธอก็พบเจอคาเซลที่จะเดินเข้ามาจูงมือ
“ที่ดินตรงนั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย แล้วทำไมนายหน้าการขายที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ถึงได้คิดจะมาเสนอขายที่ดินกับเรากันนะ..”คาลอสเอ่ยถามเบนจามินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาแวะมาที่นี่เพราะยังเหลือเวลาอีกนานมากทีเดียวกว่าจะถึงเวลากลับไปที่แอเรียนา“เรื่องนั้นข้าได้สืบดูชื่อเจ้าของที่ดินคนเก่าแล้วครับ นางให้การว่าที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมานานแล้ว จึงได้ให้นายหน้าการค้าที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ช่วยขาย แล้วทางบารอนก็อยากจะฟังราคาจากเราว่าเราจะให้ราคาได้เท่าไหร่..เขาน่าจะได้ส่วนแบ่งค่านายหน้ามากพอสมควร”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจของคาลอสถึงได้คิดถึงชื่อของโอฟีเลียขึ้นมาทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาคงจะคิดมากไปเองรึเปล่านะ“เช่นนั้นเจ้านัดบารอนวันไหนล่ะ ข้าอยากจะฟังรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายด้วย”“อีกสามวันข้างหน้าครับ..ว่าแต่นายท่านจะอยู่ที่แอเรียนาอีกนานมากแค่ไหนกันครับ ข้าทำงานแทนท่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ..ข้าอยากมีวันพักผ่อนบ้าง อีกทั้งกับเรื่องบางเรื่องข้าตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องรอคอยให้ท่านมาที่นี่ แล้วกว่าท่านจะมาบางทีลูกค้าของเราก็รอคอยไม่ไหวจนเขาไปที่อื่นกันหมด..นาย
เจมม่าร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เสียงสะอึกสะอื้นของนางนั้นมันเหมือนกับว่านางกำลังจะขาดใจตรงนั้นจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านนาง นางไม่สามารถนอนหลับได้อย่างมีความสุขเลยสักคืน มันทรมานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทุกครั้งที่หลับตาเหมือนกับว่านางถูกซาตานมาดึงรั้งวิญญาณของนางไป ความรู้สึกผิดและความละอายกอบกุมหัวใจของนางแน่น จนเจมม่ามองหน้าของจูเลียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำนางผิดต่อท่านดัชเชส ผิดต่อลูกสาวผู้ล้ำค่าของนาง..นางทำให้จูเลียนเป็นบุตรนอกสมรสที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าผู้ใด..เพราะความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความรักส่งผลให้ชีวิตของเจมม่าเป็นเช่นนี้“ข้าขอฝากท่านเซอร์ ขอโทษท่านดัชเชส ด้วยนะคะ..”เจมม่ากล่าวออกมาเสียงเบาบางราวกับลมหายใจของนางจะหมดลง นางล้มตัวนอนลงบนพื้นพร้อมกับมองหน้าของเซอร์เกรท“ท่านและข้าเราต่าง..เป็นคนสารเลว คำขอโทษของท่านข้าไม่ขอรับเอาไว้ เพราะมันไร้ความหมายเหลือเกิน..”เกรทหลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดกำลังกอบกุมร่างกายของเขาเอาไว้เพราะฤทธิ์ของสารเสพติดที่ชะลอความเจ็บปวดนั้นกำลังจะหมดลง“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยเจมม่า..เจ้าจะโกรธข้าก็ย่อมได้ ข้าจะขอชดใช้ให้เจ้าให้ชาติหน้าก็แล้วกันเพราะแบบนั้น..เจ
โอฟีเลียยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเองเบาๆ เธอกำลังนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ส่วนจูเลียนไม่ได้กลับมาด้วยเพราะองค์จักรพรรดิยืนกรานเสียงแข็งว่าพระองค์ต้องการให้จูเลียนอยู่กับพระองค์ที่พระราชวังเลยเธอไม่ได้พูดคุยกับท่านพ่อแม้แต่ครึ่งคำ เมื่อพูดคุยกับองค์จักรพรรดิเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาเซลก็พาเธอเดินมาขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ท่านพ่อยืนมองเธอราวกับว่าเขามีเรื่องอะไรจะพูด แต่วันนี้เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน เหนื่อยมากเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกบั่นทอนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะแบบนั้นเธอถึงได้เดินหนีขึ้นรถม้ามา..คาลอสยื่นมือมาปัดเส้นผมออกจากดวงตาของโอฟีเลียเพื่อให้เขามองเห็นหน้าของเธอได้ชัด เขาอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะจับศีรษะของเธอให้เอนซบลงบนไหล่ของเขา เขาจุมพิตลงบนเรือนผมของเธอด้วยความทะนุถนอมและอ่อนโยนราวกับเขาหวาดกลัวว่าเธอจะแหลกสลายไปสายตาที่เคร่งขรึมของเขาถูกแทนที่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย“วันนี้ข้าทำซุปให้ท่านทานดีไหมครับ วันนี้เปลี่ยนเป็นซุปข้าวโพดบ้างดีว่าท่านน่าจะเบื่อซุบมันฝรั่งแล้ว..”เขายื่นนิ้วชี้ไปนวดหัวคิ้วที่กำลังขมว
“หัวหน้าของท่านชื่ออะไรหรือครับท่านเซอร์”ทหารที่ยืนอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาศีรษะแก้เขิน“ข้าไม่ใช่เซอร์อะไรหรอก เป็นแค่ทหาร ธรรมดาๆ เท่านั้น หัวหน้าของเราที่เดินไปกับคุณหนูของเจ้าเมื่อครู่ต่างหากที่เป็นท่านเซอร์ตัวจริง เซอร์บรูคลินน่ะ”คาลอสหัวเราะออกมาเบาๆ“อย่างนั้นเองสินะครับ ข้านึกว่าพี่ชายเป็นเซอร์ซะอีก ท่านดูภูมิฐานมากๆ ชุดเครื่องแบบก็เท่มากอีกด้วย”เมื่อได้รับคำชมทหารผู้นั้นก็ยืนหลังตรงในทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก“ฮะ..ฮ่า ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”เมื่อได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว คาลอสก็เดินออกมาเพื่อเดินไปหาจูเลียนเซอร์บรูคลินอย่างนั้นสินะ คอยดูเถอะเขาจะสั่งให้เบนทำลายทุกธุรกิจที่หมอนั่นทำอยู่เลย กล้าดีอย่างไรมาแตะต้องมือของโอฟีเลีย แถมยังมองนางด้วยสายตาน่ารังเกียจเช่นนั้นอีก“ท่านพี่จะกลับมาแล้วใช่ไหมคะ นางจะโกรธข้าไหม?”คาลอสถอนหายใจ“คราวหลังจะทำอะไรก็คิดให้มากหน่อยสิ หากมีของที่อยากขายก็ไปขายที่กลุ่มการค้าเทอรัน ปัญหาจะได้ไม่มี คุณหนูก็จะไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาในสภาพตกใจเช่นนี้ด้วย”จูเลียนขบเม้มริมฝีปากเบาๆ พี่สาวของเธอยังไม่ด่าขนาดนี้เลยนะ แต่หมอนี่ขยันด่าเ
เมื่อได้ยินคำถามนั้นทหารที่รับผิดชอบต่อคดีนี้ก็ยินยอมส่งมอบตราสัญญาลักษณ์ให้กับเลดี้แอเรียนาเรือนผมสีแดงนั่นทำให้สตรีผู้นี้โดดเด่นมากกว่าใครที่เขาเคยพบเห็นความงดงามที่ไม่มีใครรู้จักภายใต้ชื่อของแอเรียนา ทหารคนอื่นในที่แห่งนี้ก็อยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นเดียวกันกับเขาโอฟีเลียยื่นมือไปรับตรานั้นมาตรวจดู เธอไม่อยากจะคิดแบบนี้เท่าไหร่เพราะว่านี่มันไม่ได้เป็นไปตามเนื้อเรื่องในนิยายเลย คนรักของจูเลียนจะต้องเป็นองค์รัชทายาทซึ่งเป็นหลานขององค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ในความคิดของเธอมันไม่แปลกหรอกที่จูเลียนและองค์รัชทายาทจะพบเจอกัน เรื่องราวแสนโรแมนติก มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้วในนิยายเรื่องนี้“ในเมื่อเจ้าบอกว่าชายผู้นั้นให้เจ้านำตรานี่มอบให้ทหารที่หน้าประตู พวกทหารก็จะพาเข้าไปพบเขาเพื่อรับรางวัลใช่หรือไม่”จูเลียนพยักหน้า“ข้ารู้ว่าข้าผิดที่เอามันไปขาย แต่เพราะว่าข้าไปไม่อยากไปที่พระราชวัง พี่คะ..ข้าผิดไปแล้วจริงๆ พี่อย่าโกรธข้าเลยนะคะ”คาลอสส่งผ้าเช็ดหน้าของเขาให้กับนักบุญหญิงจูเลียน“ตั้งสติก่อนเถอะครับ แล้วก็หากอยากรู้ว่าตรานี่เป็นของใครเราก็แค่เอาตรานี่เดินทางไปที่พระราชวัง ข้าหวังอย่างยิ่งว่าทห
ซิลเวสเตอร์ตกใจเล็กน้อยที่นักบุญหญิงผู้นี้สามารถรู้ปัญหาที่เขากำลังพบเจอเพียงแค่นางมองเห็นจากภายนอกเท่านั้น“อืม นี่เป็นปัญหาใหญ่หลวงของข้ามากทีเดียว ขนาดที่ว่าหมอที่เก่งกาจมากที่สุดยังรักษาไม่หายเลย มีคนแนะนำให้ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าก็เลยลองมาดู”จูเลียนพิงไม้กวาดเอาไว้ที่ม้านั่ง เธอเช็ดมือของตัวเองเข้ากับผ้ากันเปื้อนที่ผูกอยู่ที่เอวก่อนจะจับมือของชายผู้นั้นเอาไว้ เขาน่าจะอายุ30กว่าๆ และที่มือของเขานิ้วหัวแม่มือก็ด้านจากการจับดาบเป็นเวลานานและทันทีที่นักบุญหญิงผู้นี้แตะมือของเธอลงบนร่างกายของเขา มันก็เหมือนกับมีสายลมอุ่นๆ จากฤดูร้อนพัดผ่านเขาไปในทันที เขารู้สึกได้เลยว่าความเหนื่อยล้ามากมายที่ตัวเองแบกมาทั้งหมดมันจางหายไปเป็นปลิดทิ้งนี่สามารถเรียกได้ว่าเขาพบเจอกับปาฏิหาริย์ได้ไหมนะ“พระเจ้าช่วย อาการเหนื่อยล้าของข้ามันจางหายไปหมด แค่เจ้าแตะมือคู่นั้นลงมา”จูเลียนส่งยิ้มให้เขา เธอรู้ดีว่าพลังของตัวเองมันมากมายแค่ไหนแต่เพื่อที่เธอจะได้ออกไปจากที่นี่เธอจึงปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด“ข้าจะขอบคุณท่านมากหากว่าท่านปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”เธอกล่าวพร้อมกับแบมือออกไป“ค่ารักษาค่ะ อย่างที
เหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนช้าลงเมื่อ คาเซลกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นมาให้เธอได้รับฟัง มันคล้ายว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือการบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักอยู่ในนั้นเธออ้าปากออกเล็กน้อยเพื่อทานซุปมันฝรั่งที่เขาป้อน ก่อนจะดื่มน้ำชาร้อนๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา“หากในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ความทรงจำทั้งหมดของเจ้ากลับคืนมา แล้วเจ้ายังต้องการเป็นคาเซลของข้าอยู่ เราค่อยมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกที..ข้าก็คือข้า..คาเซล ข้าคือโอฟีเลีย แอเรียนา ว่าที่ดัชเชสคนต่อไปของแอเรียนา หากเจ้าต้องการจะเป็นคาเซลของข้าต่อไปเจ้าจะต้องมาอยู่กับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าไม่มีวันละทิ้งแอเรียนาไปเพื่อเจ้าหรอกนะ..”ชีวิตจริงกับบทกวีนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่แอเรียนานั้นเป็นมากกว่าบ้าน แต่ที่นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ โอฟีเลียไม่มีวันยินยอมแต่งงานเพื่อไปใช้ชื่อตระกูลของคนอื่น เธอไม่อยากให้ตระกูลแอเรียนาจบลงที่เธอ..บางทีเธอก็คิดนะว่าหากท่านแม่ไม่ได้หย่ากับท่านพ่อ เธอจะมีชีวิตที่มันง่ายดายมากกว่านี้รึเปล่า อาจจะไม่ได้ต้องสนใจสายตาของผู้อื่นมากมายขนาดนั้นก็ได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็กล่าวโทษท่านแม่ไม่ลงเหมือนกัน สิ่งที่ท่า
ใบหน้างามของจูเลียนงอง้ำ เมื่อเธอนั่งรถม้ามากับผู้ช่วยของท่านพี่มากกว่าที่จะเป็นท่านพี่ของเธอชายผู้นี้กล่าวว่าเมื่อคืนท่านพี่ของเธอทำงานหนักจนตื่นเช้าไม่ไหว เขาจึงต้องมาส่งเธอที่วิหารแทนท่านพี่“ท่านอยากจะออกมาจากวิหารไหมครับ”คำถามนั้นส่งผลให้จูเลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หากให้ข้าตอบตามตรงข้าอยากจะออกมาจากที่นั่นค่ะ ข้าไม่ชอบที่ถูกนักบุญหญิงด้วยกันรังแก แล้วข้าก็ไม่ชอบที่ข้าไม่มีอิสระ เพียงแต่ข้ายังออกมาไม่ได้เพราะว่าท่านแม่ของข้าอยู่ที่นั่น..”คาลอสเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง กับบางคนก็มีชีวิตเพื่อทำลายชีวิตของผู้อื่นไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะตายอย่างนั้นเองสินะ“เช่นนั้นก็รอคอยวันที่ท่านจะออกมาจากที่นั่นได้ ข้าจะมารับท่านเอง”ดวงตาของจูเลียนเปล่งประกายขึ้นมา“ท่านจะมาช่วยข้าอย่างนั้นหรือคะ ท่านพี่ให้ท่านมาช่วยข้าใช่ไหม อ๊ะ..ข้าหมายถึงเลดี้แอเรียนา”เด็กคนนี้ตรงไปตรงมามากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีก นางมองเห็นโอฟีเลียเป็นพี่สาว เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ของนางสินะแต่โอฟีเลียคือภรรยาของเขาต่างหาก เขาไม่ยอมให้โอฟีเลียไปเป็นพี่สาวของใครหรอก ชีวิตของนางแค่เป็นภรรยาของเขาก็เหนื่อยมากพอแล้ว