จะมีใครที่โง่งมจนถึงวินาทีสุดท้ายเหมือนเธอบ้างไหมนะ คงไม่น่าจะมีอีกแล้วในจักรวรรดินี้
เอเวียไม่สงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ของพี่สาวกับสามีเลย เธอคิดว่ามันพอเข้าใจได้ว่าทำไมเกรทถึงได้เย็นชากับเธอมากนัก เพราะว่าเขาถูกบังคับให้แต่งงานกับเธอยังไงล่ะ ถึงอย่างไรความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้เริ่มต้นมาจากความรัก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อยู่ด้วยกันยาวนานถึง20ปี และลูกสาวของเราก็กำลังเติบโตอย่างงดงาม ทำไมกันนะ..เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากถึงขนาดนั้นแต่เขากลับไม่รู้สึกผูกพันกับเธอเลยงั้นหรือ และเมื่อเอเวียเอ่ยกับพี่สาวของเธอว่าเธอต้องการที่จะหย่า ท่านพี่เอสเทียก็สนับสนุนการหย่าในครั้งนี้มากทีเดียว ทุกอย่างเป็นไปได้ดีทั้งการหย่าของเธอและการใช้ชีวิตหลังการหย่า แน่นอนว่ามันเจ็บปวดเป็นธรรมดาแต่เอเวียคิดว่าตัวเองได้รับอิสระของเธอคืน จนเธอเดินทางไปที่พระราชวังเพื่อยื่นหนังสือการหย่าให้กับทางการ ข้าหลวงรับหนังสือการหย่านั้นเอาไว้พร้อมกับทำหน้าเสียดาย “ท่านดัชเชสและอดีตท่านดยุคนั้นดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับ” เหมาะสมมากแค่ไหนแต่เขาไม่รักเธอแค่นั้นก็จบแล้ว “เขาไม่เคยรักข้าเลย..ไม่เคยสนใจว่าข้าจะมีชีวิตแบบไหนด้วยซ้ำ การอยู่กับคนแบบนั้นข้าคิดว่ามันเสียเวลา..” ข้าหลวงตกใจกับคำกล่าวของดัชเชสแอเรียนาไม่น้อยเลย เขาก้มหน้าลงเพื่อแสดงความเสียใจต่อการหย่าร้างในครั้งนี้ “เพราะว่าข้าไม่รู้เรื่องในคฤหาสน์แอเรียนาก็เลยพูดออกไปแบบไม่ไตร่ตรองขอโทษท่านดัชเชสด้วยนะครับ” เอเวียหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” ข้าหลวงมองหน้าของเอเวียอีกครั้งสลับกับมองหนังสือหย่าในมือ “มันน่าแปลกนะครับ เพราะรางวัลเดียวของท่านเซอร์เกรทที่เขาร้องขอกับองค์จักรพรรดิ คือเขาขอแต่งงานกับท่าน ในช่วงเวลานั้นข้ายังคิดว่าท่านจะเป็นสตรีที่โชคดีที่สุดในจักรวรรดิ ที่มีว่าที่สามีที่ร้องขอการแต่งงานกับท่านเป็นรางวัลแทนเงินทองและของมีค่า..” คำกล่าวของข้าหลวงทำให้ในใจของเอเวียรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เธอเก็บเรื่องนั้นไปตกตะกอนในความคิดก่อนจะย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนที่เธอจะแต่งงาน ท่านพี่เอสเทียแต่งงานก่อนเธอได้สองปีในระหว่างที่เกิดสงคราม ท่านพ่อและท่านแม่หวาดกลัวผลกระทบจากสงครามที่ยืดเยื้อมานานจับบังคับให้พี่สาวของเธอแต่งงานกับแกรนด์ดยุค ในวันแต่งงานพี่สาวของเธอร้องไห้จนตาบวม “เอเวีย จำเอาไว้นะว่าเจ้าจะต้องแต่งงานกับคนที่เจ้ารักเท่านั้น พี่เลือกไม่ได้จึงจำทนแต่งงานกับคนที่พี่ไม่ได้รัก..” ช่วงเวลานั้นเธอพึ่งจะกลับมาจากการเรียนที่อคาเด็มมี่จึงไม่รู้ว่าคนรักเก่าของพี่เอสเทียคือใครกันแน่ เอเวียไม่ปล่อยให้ความสงสัยค้างคาในใจ เธอเดินทางไปหาอดีตสาวใช้ของพี่สาวที่ขอลาออกไปอยู่ชนบท “ข้าแค่ต้องการความจริงเท่านั้น จะอย่างไรข้ากับเซอร์เกรทก็หย่ากันแล้วข้าอยากรู้ว่าเขาคืออดีตคนรักของพี่เอสเทียใช่ไหม?” ความจริงกำลังทำหน้าที่กดทับเอเวียให้จมดิ่งลงไปสู่หนทางที่มืดมิดมากที่สุดในชีวิต เมื่อเธอล่วงรู้ว่าอดีตสามีกับพี่สาวเคยเป็นคนรักที่ถึงขั้นสัญญาเอาไว้ว่าหลังจากที่เกรท กลับมาจากสนามรบเขาจะมาขอพี่เอสเทียแต่งงาน แสดงว่าเขาคงจะแค้นมากเลยสินะที่พอเขากลับมาจากสนามรบ สตรีอันเป็นที่รักดันแต่งงานไปแล้ว เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ร้องขอต่อองค์จักรพรรดิเพื่อต้องการแต่งงานกับเธอ ช่วงเวลานั้นเมื่อเอเวียรู้ความจริง เธอไม่อยากทำอะไรเลย จากที่เธอมักจะออกไปข้างนอกเพื่อเลือกซื้อชุดเดรสกับโอฟีเลีย เธอก็ไม่คิดออกไปไหน เธอโยนงานทั้งหมดของแอเรียนา ไปให้ลูกสาวทำ เพราะในช่วงเวลานั้นเอเวียรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะตายไปจริงๆ แล้วเธอยังมารู้ทีหลังอีกว่าเกรทมีความสัมพันธ์กับนักบุญหญิงผู้หนึ่งจนมีลูกที่อายุน้อยกว่าโอฟีเลียสองปีด้วยกัน ความเจ็บปวดมันเหมือนกับเข็มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของเธอไม่รู้จักหยุดหย่อน เอเวียไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรกับช่วงเวลาสิ้นหวังของตัวเองดี เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น เอเวียจึงหาทางจัดการกับทุกคนที่มันกล้าทำให้เธอเสียใจ คนแรกที่เธอจัดการเขาคือเซอร์เกรท อดีตสามีของเธอ มนตร์ดำที่เธอร่ำเรียนมานั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะแบบนั้นเอเวียจึงทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกเปลี่ยนอายุไขให้เป็นพลัง เธอสาปแช่งเกรทให้เขาพบเจอกับอาการเจ็บปวดที่บาดลึกจนถึงชั้นกระดูกในทุกวัน นั่นทำให้เขาเดินไม่ได้มานานหลายปีแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้เปิดเผยออกมาเพราะเกรทต้องการปิดข่าวเรื่องการป่วยของตัวเอง เอเวียสาปแช่งพี่สาวของเธอให้พี่เอสเทียพบเจอกับโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหาย หลังจากที่เธอแต่งงานกัน อดีตสาวใช้ของพี่เอสเทียยังกล่าวว่าพี่สาวของเธอและเซอร์เกรทยังลักลอบพบกันอยู่บ่อยๆ นี่ไม่ใช่ว่าอาม่อนคือลูกชายของเซอร์เกรทด้วยอย่างนั้นหรือ คนสารเลวทั้งสองคนควรจะได้รับการทรมานเป็นสิ่งตอบแทนที่พวกเขาทำให้เธอเจ็บปวดเช่นนี้ และนักบุญหญิง บอกตามตรงว่าในใจของเอเวียไม่ได้โกรธสตรีผู้นี้เท่ากับพี่สาวของเธอ แต่การลักลอบเป็นชู้กับอดีตสามีของเธอก็ให้อภัยไม่ได้เหมือนกัน เพราะแบบนั้นเอเวียจึงจับตัวบุตรสาวของนางมาให้เป็นหญิงรับใช้ของโอฟีเลีย แต่ลูกสาวที่แสนจิตใจดีของเธอก็ปล่อยเด็กคนนั้นไป เอเวียรู้ว่าเธอคือสตรีที่ชั่วช้าแต่โอฟีเลียเป็นเด็กดีมากเหลือเกิน ยิ่งมองเห็นลูกสาวที่กำลังเติบโต เธอก็ยิ่งนึกถึงตัวเองในวัยสาว เธอไม่เคยมีความรักมาก่อนเลย ไม่เคยรู้จักความรักรู้จักแค่คนสารเลวที่พยายามใช้เธอเพื่อแก้แค้น เพราะแบบนั้นโอฟีเลียจะต้องพบเจอเรื่องราวแบบเดียวกันกับเธอ เด็กคนนั้นจะต้องเจอบุรุษที่รักนางจริงๆ เอเวียรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เธอรู้ว่าพลังของเธอนั้นคงจะไม่คงที่เท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เธอสามารถควบคุมจิตใจของบุรุษที่เธอหมายตาเอาไว้ได้แล้ว “เคาน์อัคราฟ..ชายผู้นั้นมีชื่อว่าคาลอส อัคราฟค่ะ” เอเวียหัวเราะออกมาเบาๆ “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าแต่ใครเลยจะคิดว่าเขาจะเป็นถึงชนชั้นสูง” จินนี่มองท่านดัชเชสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ท่านดัชเชสกำลังปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอคอยความตาย “จิน..ชายผู้นั้นส่งแม่เลี้ยงของตัวเองไปอยู่ในป่าเขา แล้วเขายังจัดการตัดเส้นเอ็นของบิดาเพื่อให้อดีตท่านเคาน์พบเจอกับความทุกข์ทรมาน..ถือว่าข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” จินนี่ไม่เห็นด้วยเลยสักนิด “แล้วท่านไม่กลัวว่าหากความทรงจำของเขากลับคืนมาเขาจะทำร้ายคุณหนูอย่างนั้นหรือคะ” เอเวียยกยิ้มขึ้นมา “จิน เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของข้า นางเป็นสตรีที่งดงามเหนือหมู่มวลดอกไม้ทั้งหมด เจ้าคิดว่าลูกสาวของข้าจะไม่เตรียมแผนรับมือในเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ แต่ไหนแต่ไรสายเลือดของแอเรียนาไม่ใช่คนโง่ ข้าเชื่อว่าโอฟีเลียจะต้องทำให้เจ้าเด็กคาลอสเจ็บปวดจนคลั่งตายแน่ๆจุมพิตแสนหวานของคาเซล ปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงนอน สิ่งแรกที่โอฟีเลียรู้สึกคืออาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และเสียงของฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาบนใบไม้และหลังคาอย่างแผ่วเบาใบหน้าของคาเซลกำลังยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู เขายกแขนขึ้นมาแล้วโอบกอดเธอเอาไว้แน่นในอ้อมแขนการปลุกเช่นนี้โอฟีเลียยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก แต่มันดูไม่เลวเลย“ทานมื้อเช้าก่อนครับ แล้วค่อยนอนต่อ..”เธอหลับตาลงแล้วซบใบหน้าลงบนไหล่กว้างของเขา“คาเซล ไม่ใช่ว่าเราควรจะเดินทางกลับ..”“ฝนกำลังตกลงมาที่ด้านนอก แถมลมยังแรงอีกด้วย ท่านคงไม่อยากจะเดินฝ่าพายุที่รุนแรงเช่นนั้นไปหรอกใช่ไหมครับ อาหารในบ้านนี้ยังพอมีมันฝรั่งหลงเหลืออยู่ หากว่าท่านไม่เบื่อซุปมันฝรั่งซะก่อนเราน่าจะอยู่ที่นี่กันได้อีกสักระยะ..จนกว่าพายุพวกนั้นจะหายไป”ดวงตาสีอำพันของโอฟีเลียมองไปยังอาหารบนโต๊ะ มีซุปมันฝรั่งที่เหมือนกับเมื่อวานและเนื้อตากแห้งที่ผ่านการย่างไฟอ่อนๆ อาหารเช่นนั้นมันคืออาหารสำหรับนายพรานจริงๆ เพียงแต่ใครจะเก็บเนื้อย่างเอาไว้มากมายเช่นนี้กันพิษเศรษฐกิจที่มาจากสงครามที่พึ่งสงบลงทำให้ความเป็นอยู่ของชาวเมืองไม่ได้ง่ายเท่าไห
เขามุดหน้าลงไปอย่างใจร้อนเพื่อซุกใบหน้าเข้าไปในขาที่กางออก ลิ้นของเขาตวัดอย่างชำนาญและหิวกระหายจนเธอแอ่นสะโพกขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวพอละออกมาจากตรงนั้นมุมปากของเขาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำ คาลอสกำแก่นกายที่พร้อมนานแล้วดันเข้าไปอย่างไม่รอช้า การสอดกระแทกรวดเร็วป่าเถื่อนเหมือนกับที่ละเลงลิ้นอยู่เมื่อครู่ส่วนกลางเบียดชิดชนกันซ้ำๆ เธอยกขาขึ้นมาเกี่ยวเอวเขาสองข้าง พร้อมกับหวีดร้องอย่างไม่อาจอดกลั้นใบหน้าของคาลอสคลอเคลียกับใบหน้างามของเธอ ความซ่านกระสันดึงให้ทั้งคู่แอ่นเข้าหากันอย่างเร่าร้อน“อ่า..คาเซล อื้อ!”“ข้าบอกแล้วไงว่าครั้งนี้มันจะไม่เจ็บ ดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยใช่ไหมครับ”เขาพรมจูบทั่วใบหน้าด้วยความหลงใหลอันไร้ที่สิ้นสุด โอฟีเลียในสายตาของคาลอสเธอสวยมากเหลือเกิน เรือนผมสีแดงที่ดูยุ่งเหยิงนั่น ริมฝีปากที่เผยอออกมาเล็กน้อยมันบวมแดงเพราะถูกเขาดูดแรงๆ เมื่อครู่ ราวกับว่ามิใช่มนุษย์โอฟีเลียราวกับเป็นภาพวาดที่ถูกสรรค์สร้างมาจากจิตรกรฝีมือดี เธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหมือนเป็นดอกกุหลาบที่โดดเด่นมากที่สุดท่ามกลางดอกลิลลี่สีขาวนวลร่างกายของเขาเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นเดียวกับสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่าต
ถึงแม้ว่าโอฟีเลียจะกล่าวออกมาว่าเธออยากจะเดินทางไปขอบคุณกลุ่มการค้าเทอรัน แต่เมื่อเธอเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ สิ่งที่วุ่นวายไม่แพ้กันคือท่านพี่อาม่อนที่บ่นเธอหลายครั้งมากทีเดียว “พี่บอกไปแล้วใช่ไหม ว่าเป็นสตรีไม่ต้องวุ่นวายเรื่องการหาเงินมากนัก เจ้าคือน้องสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ของพี่ เพราะอย่างนั้นหน้าที่ของเจ้าคือการนั่งยิ้มสวยๆ อยู่ที่บ้าน หน้าที่การหาเงินมันเป็นหน้าที่ของสามีเจ้าต่างหากล่ะ!” เธอไม่ได้เถียงออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เพราะโอฟีเลียเข้าใจว่าที่อาม่อนกำลังบ่นเธออยู่นั้นมันมาจากความเป็นห่วงที่มากมายของเขา “วันนี้ออกไปข้างนอกกับพี่เถอะ พี่จะพาเจ้าไปที่งานเลี้ยงน้ำชาของคนรู้จัก เจ้าควรจะเปิดตัวในแวดวงสังคมบ้างได้แล้ว รอคอยวันบรรลุนิติภาวะอย่างเดียวไม่ได้อย่างเด็ดขาด” โอฟีเลียยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก “วันนี้ข้ามีงานที่จะต้องทำนะคะท่านพี่ เอาไว้ครั้งหน้าข้าจะไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านนะคะ” เธอกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมาสวมกอดอาม่อนเอาไว้ แววตาของคาลอสหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเขามองเห็นโอฟีเลียและว่าที่แกรนด์ ดยุควาเลเลียสนิทสนมกับมากเกินสมควร “เอาอีกแล้ว เจ้ายากจนมากนักรึไงถึงต้องคอ
ลีออนจัดปกเสื้อของเขาให้เข้าที่อีกครั้ง เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกประหม่ามากขนาดนี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาได้รับจดหมายจากเลดี้แอเรียนาว่านางต้องการพบเจอเขา เพื่อขอโทษเรื่องที่เธอทำเสียมารยาทในการปฏิเสธเขาเรื่องที่อาม่อนสั่งให้เขาไปเป็นคู่ควงของเธอเขาไม่ได้โกรธเคืองที่ได้รับจดหมายปฏิเสธจากพ่อบ้านของแอเรียนาเลย ตรงกันข้ามเขากลับโทษตัวเองที่กระทำการบุ่มบ่ามบุกไปหาเธอถึงคฤหาสน์ในทันทีที่ตัวเองถูกไหว้วานให้เป็นคู่ควงของเธอ การกระทำที่เต็มไปด้วยความใจร้อนของเขาอาจจะทำให้เธอไม่สบายใจก็เลยสั่งให้พ่อบ้านเขียนจดหมายมาเพื่อปฏิเสธเขาแต่ในวันนี้เธอกำลังจะเดินทางมาหาเขา ให้ตายเถอะหัวใจของเขามันกำลังเต้นแรงเพียงแค่คิดว่าตัวเองจะได้พบเธอเขาก็ประหม่าเสียจนไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร..“ไม่ทราบว่าท่านใช่ท่านบารอนคอนเนอร์ไหมคะ”เพนนีเดินเข้ามาทักทายลีออนที่กำลังนั่งอยู่“ใช่ครับ ข้าคือบารอนคอนเนอร์ที่นัดหมายกับเลดี้แอเรียนาเอาไว้”เพนนีก้มหน้าลงเล็กน้อย“เช่นนั้นเชิญข้าไปที่ห้องส่วนตัวทางนี้ได้เลยค่ะ พอดีว่าคุณหนูของข้าไม่ชอบสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ข้าก็เลยจองห้องส่วนต
“นี่นายท่านคงไม่ได้คิดจะแต่งงานจริงๆ ใช่ไหมครับ”เบนจามินถามออกมาพร้อมกับส่งเอกสารที่เขาคิดว่าด่วนที่สุดให้นายท่านของเขาได้ลงนาม มันน่าตกใจเล็กน้อยกับการเล่นใหญ่ที่หากว่าเขาเป็นเลดี้แอเรียนา เขาอาจจะตกใจเมื่อล่วงรู้ว่าคนที่เชื่อใจมาโดยตลอดกำลังโกหกหลอกลวง และหลอกล่อให้แต่งงานด้วยแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวขนาดเขายังสับสน แล้วสตรีผู้นั้นจะทำใจยอมรับกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน“ทำไมกันเบน ข้าอายุ22อยู่ในวัยที่พร้อมจะแต่งงานแล้ว ท่านพ่อที่กำลังป่วยของข้าควรจะได้อุ้มหลานตัวน้อยก่อนจะจากไปอย่างสงบสิ การแต่งงานของข้ามันมีอะไรที่แปลกประหลาดกัน”“....”ก็แปลกทุกตรงเลยไม่ใช่รึไง จากที่จะไปล้วงความลับดันเลยเถิดไปถึงการขอแต่งงานแบบมัดมือชก แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของนายท่านมันคืออะไรกัน เจ้านายของเขายิ้มแบบนั้นเป็นด้วยงั้นรึ ปกติหากนายท่านยิ้มออกมานั่นหมายความว่ากำลังจะมีแผนร้าย แต่ในยามนี้ระหว่างที่นายท่านกำลังนั่งทำงาน กลับยิ้มหน้าระรื่นออกมาราวกับว่ากำลังมีความรักยังไงอย่างนั้นดะ..เดี๋ยวก่อนนะ กำลังมีความรักอย่างนั้นเรอะ หรือว่านายท่านของเขาจะกำลังหลงรักเลดี้แอเรียนา อันที่จริงมันไม่ได้น่าแปลกใจอะไ
รอยยิ้มของจูเลียนมันทำให้โอฟีเลียรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว การที่เธอทำให้จูเลียนหลุดพ้นจากการเป็นทาสที่ท่านแม่จับตัวมานั้น..คือเรื่องที่ถูกต้องมาจริงๆ ด้วยสินะ“เจ้าสบายดีหรือไม่จูเลียน ข้าได้ยินมาว่าที่พระราชวังจะมีงานเลี้ยงพิธีบรรลุนิติภาวะ เจ้าได้รับเชิญด้วยรึเปล่า?”ในฐานะนักบุญหญิงแล้วปกติจะต้องถูกเชิญให้ไปที่พระราชวังเพื่อทำพิธีมากมายให้แก่เลดี้ชนชั้นสูง อีกอย่างจูเลียนพึ่งจะอายุ17เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ อันที่จริงนางน่าจะได้เข้าไปในงานเลี้ยงเพื่อเปิดตัวเช่นเดียวกัน“ได้รับเชิญค่ะ ในฐานะผู้ทำพิธี ข้าแอบเห็นว่ามีชื่อของเลดี้ด้วย ข้าดีใจนะคะที่เราจะได้พบเจอกันอีกครั้งหนึ่ง..ท่านแม่ของข้าเหลือเวลาน้อยมากเต็มทีแล้ว ข้าเองก็เตรียมใจที่จะรับความสูญเสียมาตั้งนานแล้วเหมือนกัน ข้าอยากจะขออนุญาตเขียนจดหมายไปหาท่านได้ไหมคะ คือว่า..หากว่าข้าไม่มีญาติที่ไหนข้าก็จะต้องอยู่ที่วิหารไปเรื่อยๆ ..”พวกนักบุญระดับสูงชอบจะมาคุกคามเธอ ทั้งที่เธอพยายามเก็บตัวเงียบๆ แต่ก็ยังไม่วายถูกนักบุญฝึกหัดด้วยกันไม่พอใจ ความงดงามนี้มีมากก็ลำบาก จูเลียนมักจะถูกแกล้งให้ทำงานหนักมากกว่าคนอื่นอย
“ทางพระราชวังส่งจดหมายเชิญมาให้ท่านเซอร์อีกแล้วครับ ครั้งนี้เป็นการเข้าร่วมงานเลี้ยงพิธีบรรลุนิติภาวะของเหล่าเลดี้ในจักรวรรดิ..”ดวงตาของเกรทนั้นเศร้าหมองชนิดที่ว่าเขาไม่อยากจะตื่นมาพบเจอกับความเจ็บปวดจากร่างกายอีกแล้ว สาบานได้เลยว่าในยามนี้เขาอยากจะตายไปซะจริงๆ เพื่อหลีกหนีความทรมานจากโรคร้ายที่เขาได้รับมา“เขียนจดหมายตอบกลับเพื่อปฏิเสธไป ข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้จะเข้าร่วมงานเลี้ยงของพระราชวังได้อย่างไรกัน”ทหารคนสนิทของเซอร์เกรททำหน้าเศร้าเล็กน้อย“แต่ครั้งนี้มีรายชื่อของเลดี้แอเรียนาเข้าร่วมพิธีการบรรลุนิติภาวะด้วยนะครับ..”เมื่อได้ยินชื่อของลูกสาวที่เกรทคิดว่าตัวเองลืมเลือนไปแล้วเขาก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยอาการเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ“...ตอบตกลงไปก็ได้ เรียกหมอมาที่นี่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าต้องการอะไร”ทหารคนสนิทของเซอร์เกรทพยักหน้า อาการเจ็บปวดที่ไร้ที่มาของเจ้านายเขานั้นเขามองเห็นมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ห้าปีแล้วที่ท่านเซอร์เผชิญหน้ากับความสิ้นหวังอันไร้หนทางรักษา หมอทุกคนต่างส่ายหน้าและกล่าวคำว่าขอโทษออกมากับอาการป่วยของท่านเซอร์สิ่งที่ยังยื้อชีวิตของท่านเซอร์เอาไว้ได้ในยามนี้คือสาร
อากาศในค่ำคืนนี้เย็นมากกว่าปกติ คาลอสเดินเข้ามาในห้องนอนของโอฟีเลียเหมือนกับทุกคืน เขาเอาแต่ใจกับเธอจนในที่สุดก็ได้นอนห้องเดียวกัน แต่ทว่าในคืนนี้เธอยังไม่เดินมาที่เตียงเลย โอฟีเลียกำลังอ่านเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับน้ำชาร้อนๆ ที่วางเอาไว้หนึ่งแก้ว “ดึกมากแล้วนะครับ” เขากล่าวออกมาพร้อมกับเลิกผ้าห่มออกเล็กน้อยแล้วใช้มือตบลงบนเตียงเบาๆ เพื่อเรียกให้โอฟีเลียขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกันกับเขา “มานอนได้แล้วครับ จะเดินมาดีๆ หรือว่าจะให้ข้าเดินไปอุ้มท่าน..” เธอมองไปที่เตียงด้วยแววตาเรียบเฉย ยิ่งวันนี้อากาศเย็นมากเท่าไหร่กลิ่นหอมของดอกกุหลาบก็ยิ่งฟุ้งกระจายไปเท่านั้น ดอกกุหลาบสีแดงสดชูช่ออยู่ในแจกัน คาเซลไม่ยินยอมตั้งมันบนโต๊ะอาหาร เขายืนกรานเสียงแข็งว่าจะตั้งแจกันดอกกุหลาบนี้เอาไว้ในห้องนอนของเธอ เขาเหมือนกับกล่องแพนโดร่าที่เธอถือครองเอาไว้ ในใจของเธออยากจะเปิดมันออกมา แต่ทว่าอีกใจก็รู้สึกหวาดกลัวมากเหลือเกินว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นมันจะเลวร้ายในแบบที่เธอคิดเอาไว้ เพราะแบบนั้นในช่วงเวลาที่เธอสามารถดื่มด่ำกับความสุขล้นที่เขายังคงเป็นคาเซล ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเธอ โอฟีเลียก็ไม่
บอกตามตรงว่าโอฟีเลียมักจะรู้สึกสั่นไหวในทุกครั้งที่เธอกล่าวถึงเรื่องความทรงจำของเขาที่มันจะกลับคืนมา หรือว่าเธอกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ?ทำไมถึงคิดว่าเขาจะใจร้ายมากขนาดนั้นกัน..บอกตามตรงว่าเธอไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าในยามนี้เขารู้สึกเช่นไรกับเธอ คาลอสสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยอยากได้ใครมากขนาดนี้มาก่อน สตรีใดก็เทียบไม่ได้กับโอฟีเลีย เทียบไม่ได้เลย..“ข้าต้องทำเช่นไรท่านถึงจะเชื่อว่าวาจาของข้านั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ข้าชอบท่านมากจริงๆ และไม่มีวันทอดทิ้งท่านไปต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม”เขาซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอด้วยท่าทางออดอ้อน ราวกับคาลอสกำลังบอกกล่าวโอฟีเลียด้วยทุกอย่างที่เขามีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากก็ตาม แต่ทว่าความรู้สึกของโอฟีเลียมันแตกต่างกันเล็กน้อย เธอชอบเขา..ชอบมากในฐานะของคาเซล คราแรกที่เธอชอบเขาเพราะนิสัยที่ขยันเอาใจใส่เธอของเขา แต่ในช่วงเวลาต่อมาการที่เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอมันทำให้เธอ..มีความสุข ทุกเรื่องเล็กน้อยของเธอมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ ช่วงเวลาที่ไร้ทางออกเมื่อหันหลังกลับไปมองเธอก็พบเจอคาเซลที่จะเดินเข้ามาจูงมือ
“ที่ดินตรงนั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย แล้วทำไมนายหน้าการขายที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ถึงได้คิดจะมาเสนอขายที่ดินกับเรากันนะ..”คาลอสเอ่ยถามเบนจามินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาแวะมาที่นี่เพราะยังเหลือเวลาอีกนานมากทีเดียวกว่าจะถึงเวลากลับไปที่แอเรียนา“เรื่องนั้นข้าได้สืบดูชื่อเจ้าของที่ดินคนเก่าแล้วครับ นางให้การว่าที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมานานแล้ว จึงได้ให้นายหน้าการค้าที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ช่วยขาย แล้วทางบารอนก็อยากจะฟังราคาจากเราว่าเราจะให้ราคาได้เท่าไหร่..เขาน่าจะได้ส่วนแบ่งค่านายหน้ามากพอสมควร”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจของคาลอสถึงได้คิดถึงชื่อของโอฟีเลียขึ้นมาทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาคงจะคิดมากไปเองรึเปล่านะ“เช่นนั้นเจ้านัดบารอนวันไหนล่ะ ข้าอยากจะฟังรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายด้วย”“อีกสามวันข้างหน้าครับ..ว่าแต่นายท่านจะอยู่ที่แอเรียนาอีกนานมากแค่ไหนกันครับ ข้าทำงานแทนท่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ..ข้าอยากมีวันพักผ่อนบ้าง อีกทั้งกับเรื่องบางเรื่องข้าตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องรอคอยให้ท่านมาที่นี่ แล้วกว่าท่านจะมาบางทีลูกค้าของเราก็รอคอยไม่ไหวจนเขาไปที่อื่นกันหมด..นาย
เจมม่าร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เสียงสะอึกสะอื้นของนางนั้นมันเหมือนกับว่านางกำลังจะขาดใจตรงนั้นจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านนาง นางไม่สามารถนอนหลับได้อย่างมีความสุขเลยสักคืน มันทรมานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทุกครั้งที่หลับตาเหมือนกับว่านางถูกซาตานมาดึงรั้งวิญญาณของนางไป ความรู้สึกผิดและความละอายกอบกุมหัวใจของนางแน่น จนเจมม่ามองหน้าของจูเลียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำนางผิดต่อท่านดัชเชส ผิดต่อลูกสาวผู้ล้ำค่าของนาง..นางทำให้จูเลียนเป็นบุตรนอกสมรสที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าผู้ใด..เพราะความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความรักส่งผลให้ชีวิตของเจมม่าเป็นเช่นนี้“ข้าขอฝากท่านเซอร์ ขอโทษท่านดัชเชส ด้วยนะคะ..”เจมม่ากล่าวออกมาเสียงเบาบางราวกับลมหายใจของนางจะหมดลง นางล้มตัวนอนลงบนพื้นพร้อมกับมองหน้าของเซอร์เกรท“ท่านและข้าเราต่าง..เป็นคนสารเลว คำขอโทษของท่านข้าไม่ขอรับเอาไว้ เพราะมันไร้ความหมายเหลือเกิน..”เกรทหลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดกำลังกอบกุมร่างกายของเขาเอาไว้เพราะฤทธิ์ของสารเสพติดที่ชะลอความเจ็บปวดนั้นกำลังจะหมดลง“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยเจมม่า..เจ้าจะโกรธข้าก็ย่อมได้ ข้าจะขอชดใช้ให้เจ้าให้ชาติหน้าก็แล้วกันเพราะแบบนั้น..เจ
โอฟีเลียยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเองเบาๆ เธอกำลังนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ส่วนจูเลียนไม่ได้กลับมาด้วยเพราะองค์จักรพรรดิยืนกรานเสียงแข็งว่าพระองค์ต้องการให้จูเลียนอยู่กับพระองค์ที่พระราชวังเลยเธอไม่ได้พูดคุยกับท่านพ่อแม้แต่ครึ่งคำ เมื่อพูดคุยกับองค์จักรพรรดิเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาเซลก็พาเธอเดินมาขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ท่านพ่อยืนมองเธอราวกับว่าเขามีเรื่องอะไรจะพูด แต่วันนี้เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน เหนื่อยมากเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกบั่นทอนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะแบบนั้นเธอถึงได้เดินหนีขึ้นรถม้ามา..คาลอสยื่นมือมาปัดเส้นผมออกจากดวงตาของโอฟีเลียเพื่อให้เขามองเห็นหน้าของเธอได้ชัด เขาอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะจับศีรษะของเธอให้เอนซบลงบนไหล่ของเขา เขาจุมพิตลงบนเรือนผมของเธอด้วยความทะนุถนอมและอ่อนโยนราวกับเขาหวาดกลัวว่าเธอจะแหลกสลายไปสายตาที่เคร่งขรึมของเขาถูกแทนที่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย“วันนี้ข้าทำซุปให้ท่านทานดีไหมครับ วันนี้เปลี่ยนเป็นซุปข้าวโพดบ้างดีว่าท่านน่าจะเบื่อซุบมันฝรั่งแล้ว..”เขายื่นนิ้วชี้ไปนวดหัวคิ้วที่กำลังขมว
“หัวหน้าของท่านชื่ออะไรหรือครับท่านเซอร์”ทหารที่ยืนอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาศีรษะแก้เขิน“ข้าไม่ใช่เซอร์อะไรหรอก เป็นแค่ทหาร ธรรมดาๆ เท่านั้น หัวหน้าของเราที่เดินไปกับคุณหนูของเจ้าเมื่อครู่ต่างหากที่เป็นท่านเซอร์ตัวจริง เซอร์บรูคลินน่ะ”คาลอสหัวเราะออกมาเบาๆ“อย่างนั้นเองสินะครับ ข้านึกว่าพี่ชายเป็นเซอร์ซะอีก ท่านดูภูมิฐานมากๆ ชุดเครื่องแบบก็เท่มากอีกด้วย”เมื่อได้รับคำชมทหารผู้นั้นก็ยืนหลังตรงในทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก“ฮะ..ฮ่า ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”เมื่อได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว คาลอสก็เดินออกมาเพื่อเดินไปหาจูเลียนเซอร์บรูคลินอย่างนั้นสินะ คอยดูเถอะเขาจะสั่งให้เบนทำลายทุกธุรกิจที่หมอนั่นทำอยู่เลย กล้าดีอย่างไรมาแตะต้องมือของโอฟีเลีย แถมยังมองนางด้วยสายตาน่ารังเกียจเช่นนั้นอีก“ท่านพี่จะกลับมาแล้วใช่ไหมคะ นางจะโกรธข้าไหม?”คาลอสถอนหายใจ“คราวหลังจะทำอะไรก็คิดให้มากหน่อยสิ หากมีของที่อยากขายก็ไปขายที่กลุ่มการค้าเทอรัน ปัญหาจะได้ไม่มี คุณหนูก็จะไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาในสภาพตกใจเช่นนี้ด้วย”จูเลียนขบเม้มริมฝีปากเบาๆ พี่สาวของเธอยังไม่ด่าขนาดนี้เลยนะ แต่หมอนี่ขยันด่าเ
เมื่อได้ยินคำถามนั้นทหารที่รับผิดชอบต่อคดีนี้ก็ยินยอมส่งมอบตราสัญญาลักษณ์ให้กับเลดี้แอเรียนาเรือนผมสีแดงนั่นทำให้สตรีผู้นี้โดดเด่นมากกว่าใครที่เขาเคยพบเห็นความงดงามที่ไม่มีใครรู้จักภายใต้ชื่อของแอเรียนา ทหารคนอื่นในที่แห่งนี้ก็อยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นเดียวกันกับเขาโอฟีเลียยื่นมือไปรับตรานั้นมาตรวจดู เธอไม่อยากจะคิดแบบนี้เท่าไหร่เพราะว่านี่มันไม่ได้เป็นไปตามเนื้อเรื่องในนิยายเลย คนรักของจูเลียนจะต้องเป็นองค์รัชทายาทซึ่งเป็นหลานขององค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ในความคิดของเธอมันไม่แปลกหรอกที่จูเลียนและองค์รัชทายาทจะพบเจอกัน เรื่องราวแสนโรแมนติก มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้วในนิยายเรื่องนี้“ในเมื่อเจ้าบอกว่าชายผู้นั้นให้เจ้านำตรานี่มอบให้ทหารที่หน้าประตู พวกทหารก็จะพาเข้าไปพบเขาเพื่อรับรางวัลใช่หรือไม่”จูเลียนพยักหน้า“ข้ารู้ว่าข้าผิดที่เอามันไปขาย แต่เพราะว่าข้าไปไม่อยากไปที่พระราชวัง พี่คะ..ข้าผิดไปแล้วจริงๆ พี่อย่าโกรธข้าเลยนะคะ”คาลอสส่งผ้าเช็ดหน้าของเขาให้กับนักบุญหญิงจูเลียน“ตั้งสติก่อนเถอะครับ แล้วก็หากอยากรู้ว่าตรานี่เป็นของใครเราก็แค่เอาตรานี่เดินทางไปที่พระราชวัง ข้าหวังอย่างยิ่งว่าทห
ซิลเวสเตอร์ตกใจเล็กน้อยที่นักบุญหญิงผู้นี้สามารถรู้ปัญหาที่เขากำลังพบเจอเพียงแค่นางมองเห็นจากภายนอกเท่านั้น“อืม นี่เป็นปัญหาใหญ่หลวงของข้ามากทีเดียว ขนาดที่ว่าหมอที่เก่งกาจมากที่สุดยังรักษาไม่หายเลย มีคนแนะนำให้ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าก็เลยลองมาดู”จูเลียนพิงไม้กวาดเอาไว้ที่ม้านั่ง เธอเช็ดมือของตัวเองเข้ากับผ้ากันเปื้อนที่ผูกอยู่ที่เอวก่อนจะจับมือของชายผู้นั้นเอาไว้ เขาน่าจะอายุ30กว่าๆ และที่มือของเขานิ้วหัวแม่มือก็ด้านจากการจับดาบเป็นเวลานานและทันทีที่นักบุญหญิงผู้นี้แตะมือของเธอลงบนร่างกายของเขา มันก็เหมือนกับมีสายลมอุ่นๆ จากฤดูร้อนพัดผ่านเขาไปในทันที เขารู้สึกได้เลยว่าความเหนื่อยล้ามากมายที่ตัวเองแบกมาทั้งหมดมันจางหายไปเป็นปลิดทิ้งนี่สามารถเรียกได้ว่าเขาพบเจอกับปาฏิหาริย์ได้ไหมนะ“พระเจ้าช่วย อาการเหนื่อยล้าของข้ามันจางหายไปหมด แค่เจ้าแตะมือคู่นั้นลงมา”จูเลียนส่งยิ้มให้เขา เธอรู้ดีว่าพลังของตัวเองมันมากมายแค่ไหนแต่เพื่อที่เธอจะได้ออกไปจากที่นี่เธอจึงปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด“ข้าจะขอบคุณท่านมากหากว่าท่านปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”เธอกล่าวพร้อมกับแบมือออกไป“ค่ารักษาค่ะ อย่างที
เหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนช้าลงเมื่อ คาเซลกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นมาให้เธอได้รับฟัง มันคล้ายว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือการบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักอยู่ในนั้นเธออ้าปากออกเล็กน้อยเพื่อทานซุปมันฝรั่งที่เขาป้อน ก่อนจะดื่มน้ำชาร้อนๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา“หากในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ความทรงจำทั้งหมดของเจ้ากลับคืนมา แล้วเจ้ายังต้องการเป็นคาเซลของข้าอยู่ เราค่อยมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกที..ข้าก็คือข้า..คาเซล ข้าคือโอฟีเลีย แอเรียนา ว่าที่ดัชเชสคนต่อไปของแอเรียนา หากเจ้าต้องการจะเป็นคาเซลของข้าต่อไปเจ้าจะต้องมาอยู่กับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าไม่มีวันละทิ้งแอเรียนาไปเพื่อเจ้าหรอกนะ..”ชีวิตจริงกับบทกวีนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่แอเรียนานั้นเป็นมากกว่าบ้าน แต่ที่นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ โอฟีเลียไม่มีวันยินยอมแต่งงานเพื่อไปใช้ชื่อตระกูลของคนอื่น เธอไม่อยากให้ตระกูลแอเรียนาจบลงที่เธอ..บางทีเธอก็คิดนะว่าหากท่านแม่ไม่ได้หย่ากับท่านพ่อ เธอจะมีชีวิตที่มันง่ายดายมากกว่านี้รึเปล่า อาจจะไม่ได้ต้องสนใจสายตาของผู้อื่นมากมายขนาดนั้นก็ได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็กล่าวโทษท่านแม่ไม่ลงเหมือนกัน สิ่งที่ท่า
ใบหน้างามของจูเลียนงอง้ำ เมื่อเธอนั่งรถม้ามากับผู้ช่วยของท่านพี่มากกว่าที่จะเป็นท่านพี่ของเธอชายผู้นี้กล่าวว่าเมื่อคืนท่านพี่ของเธอทำงานหนักจนตื่นเช้าไม่ไหว เขาจึงต้องมาส่งเธอที่วิหารแทนท่านพี่“ท่านอยากจะออกมาจากวิหารไหมครับ”คำถามนั้นส่งผลให้จูเลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หากให้ข้าตอบตามตรงข้าอยากจะออกมาจากที่นั่นค่ะ ข้าไม่ชอบที่ถูกนักบุญหญิงด้วยกันรังแก แล้วข้าก็ไม่ชอบที่ข้าไม่มีอิสระ เพียงแต่ข้ายังออกมาไม่ได้เพราะว่าท่านแม่ของข้าอยู่ที่นั่น..”คาลอสเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง กับบางคนก็มีชีวิตเพื่อทำลายชีวิตของผู้อื่นไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะตายอย่างนั้นเองสินะ“เช่นนั้นก็รอคอยวันที่ท่านจะออกมาจากที่นั่นได้ ข้าจะมารับท่านเอง”ดวงตาของจูเลียนเปล่งประกายขึ้นมา“ท่านจะมาช่วยข้าอย่างนั้นหรือคะ ท่านพี่ให้ท่านมาช่วยข้าใช่ไหม อ๊ะ..ข้าหมายถึงเลดี้แอเรียนา”เด็กคนนี้ตรงไปตรงมามากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีก นางมองเห็นโอฟีเลียเป็นพี่สาว เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ของนางสินะแต่โอฟีเลียคือภรรยาของเขาต่างหาก เขาไม่ยอมให้โอฟีเลียไปเป็นพี่สาวของใครหรอก ชีวิตของนางแค่เป็นภรรยาของเขาก็เหนื่อยมากพอแล้ว