เสียงเพลงจากลำโพงตัวเล็กดังคลอเบาๆ ทั่วห้องพักนักศึกษา โต๊ะไม้กลางห้องมีขวดเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่หลายขวด แก้วน้ำพลาสติกใสตั้งระเกะระกะเคียงคู่กับซองขนมที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์ในค่ำคืนนี้
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงครึ่ง ส่วนอีกมือวางพาดบนพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ บนใบหน้าของเขาแฝงความคิดบางอย่างที่ยากจะอ่านออก เพื่อนๆรอบตัวเขา—คีย์ จุน และท็อป—ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
"เรน นายไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” คีย์เปิดบทสนทนา พร้อมยกแก้วขึ้นจิบ สีหน้าเขาปนความอยากรู้และความขบขันเล็กๆ “เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ ผู้หญิงระดับนั้นอุตส่าห์ลดตัวมาคุยกับนายกลางลานคณะเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”
เขาฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ ยกแก้วในมือขึ้นจิบช้าๆ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ เราไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นอะไรกันสักหน่อย...แล้วจะให้ทำอะไรได้?”
“แบบนั้นน่ะหรอที่เรียกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน?” ท็อปแทรกขึ้น พลางเอนตัวพิงโซฟา ใบหน้าฉายแววสงสัย “นายลืมไปจริงๆหรือแกล้งลืมกันแน่เนี่ย?”
จุนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าเสริม “ใช่ นายลืมไปหมดแล้วจริงๆหรอ? เรื่องเมื่อสามเดือนก่อนน่ะ…”
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเหลือบมองพวกเขาทีละคน “ก็ลืมไปหมดแล้วจริงๆจะให้ทำยังไงล่ะ? ถ้าจำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ มันก็แค่นั้น”
คีย์วางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงกระทบเบาๆดังขึ้นในความเงียบ “นี่นายลืมจริงๆ ใช่ไหม? นายตกทะเลไปพร้อมคุณหนูคนนั้น ตอนที่มหาลัยพาไปเที่ยวทริป จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ทุกคนหยุดรอคำตอบจากเขา แต่เขาเพียงก้มหน้ามองแก้วในมือเงียบๆ ราวกับกำลังพยายามนึกถึงสิ่งที่พวกเขาพูด คำพูดพวกนั้นทำให้เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็จำได้แค่ว่ามันเกิดพายุ เรือโคลง แล้วฉันก็ตกเรือ…จำได้แค่นั้นแหละ”
“ไม่สิ มันไม่จบแค่นั้น” ท็อปพูดต่อ สีหน้าจริงจังขึ้น “นายกับเธอพัดไปติดเกาะร้างด้วยกันตั้งเดือนหนึ่ง! จนทีมกู้ภัยมาช่วย แต่ตอนจะขึ้นเรือกลับ นายโดนหินหล่นใส่หัวจนหมดสติ!”
“แล้วพอฟื้นขึ้นมา นายบอกว่ารู้ตัวอีกที ทริปเที่ยวทะเลก็จบแล้ว ยังไม่ทันเที่ยวอะไรเลย”จุนกล่าวเสริม
“แม้ว่าคุณหนูคนนั้นจะไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่ตอนเธอทักนายวันนั้น ดูเหมือนเธอจะเจ็บปวดมากเลยนะ”
เรนส่ายหน้าอีกครั้ง “ฟังแล้วก็เหมือนเรื่องของคนอื่นอยู่ดี...”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องของคนอื่นนะเว้ย!” คีย์แทรกเสียงดังเล็กน้อย “ตอนเธอพูดว่า ‘นายลืมมันได้ยังไง? ทั้งหมดที่เราผ่านมาด้วยกัน!’ ฉันยังจำสีหน้าเธอได้เลย เหมือนเธอโดนคนที่เธอรักทรยศ”
เขาได้ยินชัดเจน แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร พลางจิบเหล้าที่อยู่ในแก้วเล็กน้อย ก่อนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาค่อยๆหรี่ลง ราวกับกำลังมองย้อนกลับไปที่ภาพในอดีต วันที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก ยังคงประทับอยู่ในใจชัดเจน
ลานคณะในวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและผู้คนที่เดินขวักไขว่ แต่สำหรับเขาทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งเมื่อตอนที่เห็นเธอ
ผมยาวสีขาวสลวยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อนๆ ดวงตาสีฟ้าใสเหมือนน้ำแข็งที่กำลังละลายช้าๆ เธอจับจ้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นห่างออกไปเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูนิ่งเฉย เย็นชา ราวกับทุกคนโดยรอบเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่คิดจะกล่าวคำใดๆ
แล้วสายตาของเราสองคนก็สบกัน ทุกอย่างในตัวเธอเปลี่ยนไปในพริบตา เธอก้าวเดินตรงเข้ามาหาเขา ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนโยนลง ราวกับกำลังเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ได้พบคนที่เฝ้าคิดถึงมานาน รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าที่เคยเย็นชา
"ในที่สุดก็เจอนายสักที" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่แฝงความโล่งใจ
เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกกลางอก ความงุนงงแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน หญิงสาวแปลกหน้าผู้สวยงามและดูน่ารักเช่นนี้ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาราวกับคนที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน ทั้งที่ในหัวเขาไม่มีภาพของเธอปรากฏขึ้นเลยสักครั้ง
เขาจ้องหน้าเธออย่างลังเล ก่อนหลุดปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “คุณ...ทักคนผิดหรือเปล่า? พวกเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดนั้นเหมือนเข็มแหลมคมที่ทิ่มแทงลงกลางใจของเธอ รอยยิ้มที่เคยอ่อนโยนจางหายไป ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสั่นไหว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาอีกครั้ง
"อะไรนะ?" เสียงของเธอสั่นน้อยๆ แต่ยังพยายามควบคุมตัวเอง
"ก็...ผมคิดว่าเราเพิ่งเจอกันครั้งแรกนี่ คุณทักคนผิดหรือเปล่า?" เรนย้ำด้วยน้ำเสียงงุนงง
เธอนิ่งไป ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เหมือนพยายามค้นหาคำตอบบางอย่างจากสิ่งที่เขาพูด ทันใดนั้น น้ำตาก็เริ่มเอ่อคลอในดวงตาของเธอ
“นายพูดอะไรของนาย…?” เสียงของเธอสั่นไหว แต่ยังพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ “นายเป็นอะไร? ทำไมนายถึงพูดแบบนี้…”
เขาขมวดคิ้วด้วยความสับสน “ผมไม่เข้าใจ คุณหมายถึงอะไร?”
ดวงตาของเธอเริ่มสั่นระริก ความผิดหวังฉายชัดบนใบหน้า ริมฝีปากของเธอขยับเล็กน้อย ราวกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับเม้มปากแน่น ราวกับพยายามกลั้นอารมณ์ที่เดือดพล่าน
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ แต่สิ่งที่เขาพูดกลับทำให้เธอยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น จนสุดท้ายก็ไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป
“นี่นายกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม? หรือแกล้งทำเป็นลืมกันแน่!” เธอระเบิดเสียงออกมา ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธปนเสียใจ
“เรื่องระหว่างเรา…นายจะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?” น้ำเสียงของเธอสั่นไหว “นายสัญญาไว้แล้วแท้ๆ แต่นายกลับทำแบบนี้…ทำไม?”
เขายืนนิ่งงันกับคำพูดของเธอ คำถามที่ถาโถมเข้ามาทำให้หัวใจเขาหนักอึ้ง พยายามนึกถึงสิ่งที่เธอพูด แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งว่างเปล่า ราวกับความทรงจำในส่วนนั้นถูกลบออกไปโดยสมบูรณ์ เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบใจเธอ แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเลยแม้แต่น้อย
เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นเหตุการณ์แล้วทนไม่ไหว รีบก้าวเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ทันที “ขอโทษด้วยครับ พอดีเพื่อนผม มันสูญเสียความทรงจำ มันจำเหตุการณ์หลังจากตกเรือไม่ได้เลย”
คำพูดนั้นทำให้เธอชะงัก เธอหันไปมองเพื่อนๆของเขา ก่อนที่สายตาจะหันกลับมาจ้องมองที่ดวงตาเขาอีกที สีหน้าของเธอราวกับว่าเหมือนคนที่โลกทั้งใบแตกสลาย
“โกหก” เธอพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น “มันเป็นไปไม่ได้…”
เขาเห็นท่าทางของเธอแล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนหนักถ่วงอยู่ในอก ดวงตาของเธอเริ่มเต็มไปด้วยน้ำตา มือของเธอกำแน่นจนสั่น ก่อนที่เสียงตะโกนจะดังขึ้นมา
“นายลืมมันไปได้ยังไง!” เสียงของเธอทั้งสั่นเครือและเจ็บปวด “ฉันไม่เชื่อ!”
เธอสะบัดหน้าหนีและวิ่งออกไปทันที ร่างของเธอเลือนหายไปในกลุ่มฝูงชน ผมสีขาวของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับกำลังจางหายไปจากโลกของเขา ทิ้งไว้เพียงภาพที่ติดตรึงในใจของเรน
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจหนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ความสับสน คำถามมากมายที่ผุดขึ้นในใจกลับไม่มีคำตอบใดๆ เขาพยายามเรียบเรียงความคิด แต่สิ่งเดียวที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวคือแววตาเจ็บปวดของเธอ
“เธอกับเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่น่ะ…” เขาพึมพำเบาๆ แต่เสียงของเขากลับจมหายไปในเสียงจอแจของผู้คนรอบตัว
เขายืนอยู่เช่นนั้นสักพัก ราวกับถูกตรึงไว้ในห้วงเวลาของตัวเอง ก่อนเสียงของเพื่อนๆ จะดึงเขากลับสู่ความเป็นจริง
“เรน!” เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองเพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆบริเวณโดยรอบ
“โทษที เหม่อนิดหน่อย…” เขาพูดพลางยกมือขึ้นลูบต้นคออย่างเก้อเขิน ก่อนจะสะบัดหัวเล็กน้อย พยายามปัดภาพเหล่านั้นออกจากความคิด แล้วหันกลับมามองเพื่อนๆด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้ดูปกติ
“แล้วเมื่อกี้พวกนายจะถามอะไรฉันนะ?”
“แล้วเรื่องบัตรท่องเที่ยวล่ะ?” ท็อปถามขึ้น พลางยิ้มมุมปากอย่างขี้เล่น “พึ่งจะตกทะเลไปแท้ๆ ยังจะกล้าไปอีกเหรอ?”
เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะยกแก้วขึ้นมาหมุนเล่นในมือ “ก็เพราะจำอะไรไม่ได้ไงถึงกล้าไป ฉันยังไม่ได้มีความทรงจำดีๆช่วงหน้าร้อนเลยน่ะ”
ท็อปหัวเราะเสียงดัง “นี่นายจะไปท้าทายโชคชะตารึไงกัน?”
“อาจจะนะ” เขาพูดพลางยักไหล่ สีหน้าเหมือนไม่จริงจังนัก แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆกับบทสนทนานี้
บรรยากาศในห้องดูสงบลงเล็กน้อย เสียงเพลงยังคงคลออยู่ในพื้นหลัง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง รสชาติในแก้วของเขาไม่เหมือนเดิม—มันขมกว่าปกติ
“นี่พวกนายใส่อะไรในเครื่องดื่มหรือเปล่า?” เขาถามพลางย่นคิ้ว จ้องแก้วในมือ
จุนหัวเราะกลบเกลื่อน“ก็เปล่านี่ นายคงดื่มเยอะไปมั้ง”
“ไม่น่าใช่” เขาตอบกลับทันควัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาจิบอีกครั้งอย่างลังเล และในทันทีที่กลืนลงไป เขารู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“นายเป็นอะไร?” ท็อปถาม สีหน้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย
เรนวางแก้วลงช้าๆก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว “แปลกแฮะ ปกติฉันคอแข็งกว่านี้...”
คีย์หันไปสบตากับจุนและท็อป ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะที่ห่างออกไป ทำทีเหมือนกำลังหยิบแก้วใบใหม่ แต่ในจังหวะนั้น เขาเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ ร่างกายของเขาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“พักเถอะเรน เดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็คงคิดอะไรออกเอง” คีย์พูดพร้อมกับเดินกลับมาหาเขา พร้อมกับแก้วน้ำในมือ น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล จนทำให้เขารูู้สึกแปลกยิ่งขึ้น
เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ ร่างกายของเขาเริ่มหนักอึ้งจนขยับแทบไม่ได้ สติพร่าเลือนเหมือนทุกสิ่งรอบตัวค่อยๆเลือนรางลง เหลือเพียงเสียงหัวเราะเบาๆของเพื่อนที่ดังคลออยู่ในความมืด
ในช่วงที่เขากำลังจะหลุดเข้าสู่ความไร้สติ เสียงแผ่วเบาแทรกเข้ามาใกล้หูของเขา มันเบาจนแทบจับความหมายไม่ได้ แต่คำบางคำเล็ดลอดผ่านเข้ามา
“...โทษที...น่ะ...”
เสียงนั้นเหมือนจะหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกระซิบอีกครั้ง
“...พอดี...เธอ...จ่ายมาเยอะ...หน่ะ”
คำพูดนั้นลอยมาราวกับสายลมเบาๆ ในห้วงเวลานั้น เขาไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองได้ยินจริงๆ หรือมันเป็นเพียงจินตนาการสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับลง
ร่างของเขาค่อยๆเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาปิดลงช้าๆราวกับถูกดึงเข้าสู่ห้วงความฝันลึกและไร้จุดสิ้นสุด ก่อนที่กลุ่มชายในสูทสีดำหลายคนจะเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ พวกเขาอุ้มตัวเขาขึ้นอย่างไร้เสียง แล้วพาออกจากห้องไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ
"เอาล่ะครับ... เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว!" เสียงแหลมสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจเต็มเปี่ยมเกินจำเป็น "ถ้าพูด คีย์เวิร์ด ครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะตื่นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำดังสวนมาแฝงอารมณ์เหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า จังโก้ ด้วย?""หา? จังโก้ มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เสียงแหลมสูงรีบโต้กลับทันควัน ราวกับคำนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง "ฟังดูง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์อีกต่างหาก!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!?" เสียงทุ้มตอบกลับทันที น้ำเสียงใกล้ระเบิดเต็มที "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูดีกว่านี้หน่อย อย่าง มิราเคิล หรือ พรีเชียส!?"ก่อนที่การโต้เถียงจะบานปลาย เสียงนุ่มนวลของอีกคนดังขึ้นอย่างสุขุม "พอเถอะครับ... คุณทั้งสองเกือบจะพูดครบสามครั้งแล้วนะครับ ถ้าทำให้แผนพังจะว่าไง?" น้ำเสียงเจือความตำหนิเล็กน้อย"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน" น้ำเสียงเขายังคงนุ่มนวล แต่ชัดเจนพอจะเบรคทุกคนในห้องหญิงสาวสูดลมหายใจลึก ความกดดันตีตื้นขึ้นมาในอก แต่เธอก็พยักหน้าเบาๆ "ฉัน... พร้อมแล้วค่ะ""ถ้ามีอะไร ส่งสัญญาณมาเ
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ไอลีนคอยเหลือบมองเรนเป็นระยะ สีหน้าของเขาดูจริงจังเหมือนคนที่กำลังพยายามปะติดปะต่ออะไรบางอย่างในหัวในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เรนคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…" เขาลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ "คงต้องหาวิธีเปิด"ไอลีนกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง "เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น" เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ ก็เห็นกระโจมผ้าเล็กๆเก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก"นั่นมัน... กระโจม?" เรนพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างพอสมควร" ไอลีนตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง แต่ฟังดูแฝงความระมัดระวัง "ตอนนายสลบอยู่ ฉันเดินไปดูมาแล้ว ข้างในมีเครื่อ
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ไอลีนคอยเหลือบมองเรนเป็นระยะ สีหน้าของเขาดูจริงจังเหมือนคนที่กำลังพยายามปะติดปะต่ออะไรบางอย่างในหัวในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เรนคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…" เขาลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ "คงต้องหาวิธีเปิด"ไอลีนกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง "เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น" เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ ก็เห็นกระโจมผ้าเล็กๆเก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก"นั่นมัน... กระโจม?" เรนพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างพอสมควร" ไอลีนตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง แต่ฟังดูแฝงความระมัดระวัง "ตอนนายสลบอยู่ ฉันเดินไปดูมาแล้ว ข้างในมีเครื่อ
"เอาล่ะครับ... เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว!" เสียงแหลมสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจเต็มเปี่ยมเกินจำเป็น "ถ้าพูด คีย์เวิร์ด ครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะตื่นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำดังสวนมาแฝงอารมณ์เหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า จังโก้ ด้วย?""หา? จังโก้ มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เสียงแหลมสูงรีบโต้กลับทันควัน ราวกับคำนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง "ฟังดูง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์อีกต่างหาก!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!?" เสียงทุ้มตอบกลับทันที น้ำเสียงใกล้ระเบิดเต็มที "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูดีกว่านี้หน่อย อย่าง มิราเคิล หรือ พรีเชียส!?"ก่อนที่การโต้เถียงจะบานปลาย เสียงนุ่มนวลของอีกคนดังขึ้นอย่างสุขุม "พอเถอะครับ... คุณทั้งสองเกือบจะพูดครบสามครั้งแล้วนะครับ ถ้าทำให้แผนพังจะว่าไง?" น้ำเสียงเจือความตำหนิเล็กน้อย"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน" น้ำเสียงเขายังคงนุ่มนวล แต่ชัดเจนพอจะเบรคทุกคนในห้องหญิงสาวสูดลมหายใจลึก ความกดดันตีตื้นขึ้นมาในอก แต่เธอก็พยักหน้าเบาๆ "ฉัน... พร้อมแล้วค่ะ""ถ้ามีอะไร ส่งสัญญาณมาเ
เสียงเพลงจากลำโพงตัวเล็กดังคลอเบาๆ ทั่วห้องพักนักศึกษา โต๊ะไม้กลางห้องมีขวดเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่หลายขวด แก้วน้ำพลาสติกใสตั้งระเกะระกะเคียงคู่กับซองขนมที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์ในค่ำคืนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงครึ่ง ส่วนอีกมือวางพาดบนพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ บนใบหน้าของเขาแฝงความคิดบางอย่างที่ยากจะอ่านออก เพื่อนๆรอบตัวเขา—คีย์ จุน และท็อป—ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน"เรน นายไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” คีย์เปิดบทสนทนา พร้อมยกแก้วขึ้นจิบ สีหน้าเขาปนความอยากรู้และความขบขันเล็กๆ “เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ ผู้หญิงระดับนั้นอุตส่าห์ลดตัวมาคุยกับนายกลางลานคณะเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”เขาฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ ยกแก้วในมือขึ้นจิบช้าๆ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ เราไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นอะไรกันสักหน่อย...แล้วจะให้ทำอะไรได้?”“แบบนั้นน่ะหรอที่เรียกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน?” ท็อปแทรกขึ้น พลางเอนตัวพิงโซฟา ใบหน้าฉายแววสงสัย “นายลืมไปจริงๆหรือแกล้งลืมกันแน่เน