เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ไอลีนคอยเหลือบมองเรนเป็นระยะ สีหน้าของเขาดูจริงจังเหมือนคนที่กำลังพยายามปะติดปะต่ออะไรบางอย่างในหัว
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เรนคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
"มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…" เขาลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ "คงต้องหาวิธีเปิด"
ไอลีนกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง "เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น" เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตา
เขาหันไปมองตามที่เธอชี้ ก็เห็นกระโจมผ้าเล็กๆเก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก
"นั่นมัน... กระโจม?" เรนพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้
"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างพอสมควร" ไอลีนตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง แต่ฟังดูแฝงความระมัดระวัง "ตอนนายสลบอยู่ ฉันเดินไปดูมาแล้ว ข้างในมีเครื่องมืออยู่พอสมควร"
เรนยังคงมองกระโจมนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด "บางทีเราน่าจะหาอะไรที่ใช้ได้จากที่นั่น"
ไอลีนพยักหน้า และทั้งสองจึงเริ่มเดินตรงไปยังจุดที่เธอบอก
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ กระโจมผ้าเบื้องหน้าก็เผยรายละเอียดมากขึ้น มันไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป โครงสร้างดูเหมือนฝีมือของมือสมัครเล่น เสาไม้ที่ยึดผ้าโค้งงอเล็กน้อย แต่ยังมั่นคง ผ้าคลุมซีดจางจนเกือบขาว มีรอยขาดและคราบน้ำเกลือกระจายอยู่ทั่ว กระโจมนี้สูงพอที่จะยืนข้างในได้โดยไม่ต้องก้ม
เขาหยุดยืนอยู่หน้ากระโจม ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบบริเวณ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในใจ แม้เขาจะมั่นใจว่าไม่เคยเห็นสถานที่นี้มาก่อน
"แปลกจริง…" เขาพึมพำ
"มีอะไรรึเปล่า?" ไอลีนถาม ขณะที่สังเกตอาการของเขา
"ไม่มีอะไรหรอก เข้าไปดูกันเถอะ" เขาตอบเรียบๆ แต่ในใจเขายังคงว้าวุ่นกับความรู้สึกแปลกประหลาดนี้
ไอลีนเปิดม่านผ้าที่ปิดกระโจมเล็กน้อยเพื่อให้แสงลอดเข้าไป ภายในมีลังไม้เล็กๆหลายใบวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ข้างๆมีตะเกียงน้ำมันเก่า เชือก และมีดพกวางอยู่บนพื้น
"ดูเหมือนจะมีของที่ยังใช้ได้อยู่บ้าง" ไอลีนพูดเบาๆ ขณะกวาดตามองรอบๆ
เรนเดินเข้าไปใกล้ลังไม้เล็กๆ ที่วางอยู่กลางกระโจม เขาชะงักเมื่อเห็นแฉลงพาดอยู่ข้างลังนั้น เขาหยิบมันขึ้นมา หมุนดูในมืออย่างครุ่นคิด น้ำหนักและสัมผัสของมันให้ความรู้สึกคุ้นเคยในแบบที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
ไอลีนยืนอยู่ข้างๆ มองเขาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเพียงต้องการเริ่มบทสนทนา
"ของพวกนี้ดูเหมือนยังใหม่อยู่นะ... นายคิดว่าคนที่อยู่ที่นี่ก่อนเราเป็นใคร?"
เรนชะงัก มือที่จับแฉลงหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เขามองมันอย่างครุ่นคิดก่อนตอบเรียบๆ "ไม่รู้สิ... บางทีพวกเขาอาจถูกช่วยเหลือแล้ว เลยไม่ได้กลับมาเอาของไป"
"งั้นเหรอ..." ไอลีนตอบ แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องที่แฉลงในมือของเขา เธอเอียงคอเล็กน้อย พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนัก
"แต่นายถือมันดูถนัดดีนะ เหมือนเคยใช้มาก่อนเลย"
เรนชะงักอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเดิม เขาเหลือบตามองเธอเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติ "ไม่หรอก... มันแค่จับง่ายเฉยๆ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยใช้อะไรแบบนี้"
ไอลีนไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยที่ปิดไม่มิด
เรนหลบสายตาของเธอ ยักไหล่เล็กน้อยแล้วหันกลับไปสำรวจแฉลงในมืออีกครั้ง
"น่าจะช่วยเปิดลังที่ชายหาดได้" เขาพูดตัดบท พร้อมทดลองหมุนมันในมือเพื่อหาท่าที่จับถนัดที่สุด
ไอลีนเฝ้ามองเขาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังค้นหาบางสิ่ง เธอพยักหน้าเบาๆ "อืม ไปลองดูกันเถอะ"
เรนพยักหน้า หันหลังกลับไปเดินนำทางออกจากกระโจม ไอลีนมองตามเขาเงียบๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ตั้งสติ แล้วก้าวเดินตามไป มุมปากของเธอคลี่ยิ้มบางเบา
แม้เขาจะพยายามกลบเกลื่อน แต่ท่าทางที่แสดงออกกลับบ่งบอกชัดเจน ทั้งสายตาและท่าทีที่คุ้นเคยในทุกการเคลื่อนไหว บอกเธอได้มากกว่าคำพูดใดๆ
เธอมองแผ่นหลังของเรนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความยินดีและความหวังเล็กๆที่เพิ่งก่อตัวขึ้น
สายลมอ่อนพัดผ่านเส้นผมสีขาวของไอลีนที่ปลิวไหว บรรยากาศรอบตัวพวกเขายังคงเต็มไปด้วยเสียงคลื่นกระซิบที่เหมือนจะร่วมเป็นสักขีพยานให้กับช่วงเวลานี้…
ในห้องลับใต้ดินที่มีบรรยากาศสลัวและเย็นเยียบ ไร้หน้าต่างและแสงธรรมชาติ รอบด้านมีเพียงโต๊ะไม้เรียบหรูและเก้าอี้ที่ดูทันสมัย บรรยากาศเงียบงัน แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาของการสนทนา ทั้งสามคนกำลังจดจ้องไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ที่ฉายภาพจากกล้องตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่บนเกาะร้าง—กล้องของผู้ติดตามที่จับตาดูทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในที่ลับ
“แปลกจัง...” แม่บ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความสงสัย ดวงตาของเธอจับจ้องภาพชายหนุ่มที่อยู่บนจอ “คุณเรนดูสงบเกินไป ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งคิดว่าตัวเองติดอยู่บนเกาะร้างแท้ๆ เขาดูไม่ตื่นตระหนกเลย… มันเป็นไปได้ยังไงกันนะ?”
“หึ! ก็เพราะจิตใต้สำนึกไงล่ะ!” เสียงแหลมสูงของนักสะกดจิตดังขึ้นราวกับพึงพอใจกับคำตอบที่ตัวเองจะเอ่ย “บางที ในใจลึกๆ เขาอาจจะจำได้ว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ความคุ้นเคยนั้นมันทำให้เขาไม่กลัว ไม่วิตกกังวล… ฉันว่าแบบนั้นแหละ!” เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ “แต่ที่ทำให้ฉันประหลาดใจกว่าคือเธอเองนะ คุณหนูของเรา…”
นักสะกดจิตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ตอนแรกเธอดูเป็นห่วงคุณชายเสียจนฉันนึกว่าจะต้องยกเลิกการสะกดจิตซะแล้ว แต่พอถึงเวลาจริง เธอกลับเก็บอารมณ์ได้ราวกับมืออาชีพ! ฉันไม่คิดเลยนะว่าจะทำได้ดีขนาดนี้”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกและมั่นคง ชิงตอบก่อนที่แม่บ้านจะทันอ้าปาก “ความสงบนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก คุณหนูของเราเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว”
นักสะกดจิตที่กำลังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อยู่ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองพ่อบ้านด้วยความสนใจ “หมายความว่ายังไง?” เธอเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน
พ่อบ้านยิ้มบางๆ อย่างใจเย็น ก่อนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่หนักแน่น “ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คุณหนูทุ่มเทฝึกฝนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การแสดง หรือแม้กระทั่งทักษะการเอาชีวิตรอด เธอตั้งใจอย่างหนักเพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบตามเงื่อนไขของนายท่าน เพียงเพราะต้องการให้นายท่านยอมรับคำขอของเธอ จากเด็กสาวที่เคยเก็บตัว ไม่เคยสนใจใคร กลับยอมรับเงื่อนไขที่ยากลำบากและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ...” เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเสริมอย่างภูมิใจ “กระผมรู้สึกยินดียิ่งนัก”
แม่บ้านที่ฟังอยู่ทำตาโต ก่อนจะยกมือขึ้นทุบแขนพ่อบ้านเบาๆ อย่างหมั่นไส้ “ตายจริง! ทำไมไม่ให้ฉันพูดก่อนล่ะ!” เธอโวยวายขึ้นมาทันที แต่ท่าทางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดูและอ่อนโยน
นักสะกดจิตหัวเราะเบาๆ พลางมองทั้งสองคนสลับกัน “โอ้~ ใจเย็นๆ สิ ดูเหมือนพวกคุณจะภูมิใจกับคุณหนูของตัวเองเหลือเกินนะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน ก่อนจะเอนตัวกลับพิงพนักเก้าอี้ ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอภาพไม่วางตา “ทีมสนับสนุนของคุณหนูนี่น่ารักกันจริงๆเลยนะ แต่ยังก็ตาม ฉันยังคิดว่าเราควรปล่อยคุณชายอยู่คนเดียวบนเกาะสักสามวันตามแผนเดิม มันคงสมจริงกว่าเยอะ”
“คุณหนูไม่อยากปล่อยให้เขาโดดเดี่ยวต่างหากล่ะ!” แม่บ้านพูดแทรกขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอจ้องนักสะกดจิตเขม็งราวกับต้องการปกป้องการตัดสินใจของเจ้านายสาว “เธอเป็นห่วงเขา… และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ดีมากๆ ด้วย!”
พ่อบ้านไม่กล่าวสิ่งใด เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างสุขุม ขณะที่แม่บ้านยังคงแสดงออกอย่างกระตือรือร้นแทนคุณหนูของเธอ ราวกับความตั้งใจของเธอสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
นักสะกดจิตหัวเราะเบาๆ แววตาเปล่งประกายเจืออารมณ์ขัน ก่อนกอดอกมองภาพตรงหน้าด้วยความครุ่นคิด เขาพึมพำราวกับพูดกับตัวเองแต่เจือความตั้งใจให้คนอื่นได้ยิน
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมต้องทำอะไรแบบนี้... น่าสนุกดีนะ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปจนจบ”แม่บ้านเหลือบมองพ่อบ้าน ร่องรอยกังวลฉายชัดในดวงตา เธอกระซิบถามเสียงเบา
“คุณคิดว่าความทรงจำของคุณชายจะกลับมาไหมคะ?”แต่คำถามนั้นไม่ได้หลุดรอดจากหูของนักสะกดจิต เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย คล้ายซ่อนบางสิ่งไว้ในคำตอบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงนัยลึก
“มันขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง... สถานการณ์ตอนนี้ต่างจากเดิมมาก มีหลายจุดที่สามารถกระตุ้นความทรงจำได้ แต่คุณหนูของคุณเลือกที่จะไม่ทำ... บางทีอาจเป็นเพราะเธอกลัว ว่าถ้าเขาจำได้ทั้งหมด ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีตอนนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”แม่บ้านชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วราวกับเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ แต่ยังคงนิ่งเงียบ ขณะที่พ่อบ้านยืนเงียบอยู่ข้างๆ พลันหลับตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณหนูจะผ่านมันไปได้ ยังไงพวกเราก็อยู่ตรงนี้เพื่อช่วยเหลือเสมอ”แสงจากหน้าจอภาพสะท้อนใบหน้าทุกคนในห้อง บนจอปรากฏภาพชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงคู่กัน ฝ่าความเงียบสงัดและบรรยากาศเวิ้งว้างของเกาะร้าง พวกเขากำลังช่วยกันขนของกลับกระโจมเล็กๆ ท่ามกลางแสงแดดสีทองที่สาดลงมาจากฟากฟ้า ราวกับเป็นสัญญาณแห่งความหวังและการเริ่มต้นใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้า
ความเงียบโรยตัวในห้องอีกครั้ง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงใจและความหวังที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นใหม่เช่นกัน...
เสียงเพลงจากลำโพงตัวเล็กดังคลอเบาๆ ทั่วห้องพักนักศึกษา โต๊ะไม้กลางห้องมีขวดเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่หลายขวด แก้วน้ำพลาสติกใสตั้งระเกะระกะเคียงคู่กับซองขนมที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์ในค่ำคืนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงครึ่ง ส่วนอีกมือวางพาดบนพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ บนใบหน้าของเขาแฝงความคิดบางอย่างที่ยากจะอ่านออก เพื่อนๆรอบตัวเขา—คีย์ จุน และท็อป—ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน"เรน นายไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” คีย์เปิดบทสนทนา พร้อมยกแก้วขึ้นจิบ สีหน้าเขาปนความอยากรู้และความขบขันเล็กๆ “เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ ผู้หญิงระดับนั้นอุตส่าห์ลดตัวมาคุยกับนายกลางลานคณะเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”เขาฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ ยกแก้วในมือขึ้นจิบช้าๆ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ เราไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นอะไรกันสักหน่อย...แล้วจะให้ทำอะไรได้?”“แบบนั้นน่ะหรอที่เรียกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน?” ท็อปแทรกขึ้น พลางเอนตัวพิงโซฟา ใบหน้าฉายแววสงสัย “นายลืมไปจริงๆหรือแกล้งลืมกันแน่เน
"เอาล่ะครับ... เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว!" เสียงแหลมสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจเต็มเปี่ยมเกินจำเป็น "ถ้าพูด คีย์เวิร์ด ครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะตื่นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำดังสวนมาแฝงอารมณ์เหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า จังโก้ ด้วย?""หา? จังโก้ มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เสียงแหลมสูงรีบโต้กลับทันควัน ราวกับคำนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง "ฟังดูง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์อีกต่างหาก!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!?" เสียงทุ้มตอบกลับทันที น้ำเสียงใกล้ระเบิดเต็มที "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูดีกว่านี้หน่อย อย่าง มิราเคิล หรือ พรีเชียส!?"ก่อนที่การโต้เถียงจะบานปลาย เสียงนุ่มนวลของอีกคนดังขึ้นอย่างสุขุม "พอเถอะครับ... คุณทั้งสองเกือบจะพูดครบสามครั้งแล้วนะครับ ถ้าทำให้แผนพังจะว่าไง?" น้ำเสียงเจือความตำหนิเล็กน้อย"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน" น้ำเสียงเขายังคงนุ่มนวล แต่ชัดเจนพอจะเบรคทุกคนในห้องหญิงสาวสูดลมหายใจลึก ความกดดันตีตื้นขึ้นมาในอก แต่เธอก็พยักหน้าเบาๆ "ฉัน... พร้อมแล้วค่ะ""ถ้ามีอะไร ส่งสัญญาณมาเ
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ไอลีนคอยเหลือบมองเรนเป็นระยะ สีหน้าของเขาดูจริงจังเหมือนคนที่กำลังพยายามปะติดปะต่ออะไรบางอย่างในหัวในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เรนคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…" เขาลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ "คงต้องหาวิธีเปิด"ไอลีนกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง "เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น" เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ ก็เห็นกระโจมผ้าเล็กๆเก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก"นั่นมัน... กระโจม?" เรนพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างพอสมควร" ไอลีนตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง แต่ฟังดูแฝงความระมัดระวัง "ตอนนายสลบอยู่ ฉันเดินไปดูมาแล้ว ข้างในมีเครื่อ
"เอาล่ะครับ... เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว!" เสียงแหลมสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจเต็มเปี่ยมเกินจำเป็น "ถ้าพูด คีย์เวิร์ด ครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะตื่นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำดังสวนมาแฝงอารมณ์เหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า จังโก้ ด้วย?""หา? จังโก้ มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เสียงแหลมสูงรีบโต้กลับทันควัน ราวกับคำนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง "ฟังดูง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์อีกต่างหาก!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!?" เสียงทุ้มตอบกลับทันที น้ำเสียงใกล้ระเบิดเต็มที "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูดีกว่านี้หน่อย อย่าง มิราเคิล หรือ พรีเชียส!?"ก่อนที่การโต้เถียงจะบานปลาย เสียงนุ่มนวลของอีกคนดังขึ้นอย่างสุขุม "พอเถอะครับ... คุณทั้งสองเกือบจะพูดครบสามครั้งแล้วนะครับ ถ้าทำให้แผนพังจะว่าไง?" น้ำเสียงเจือความตำหนิเล็กน้อย"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน" น้ำเสียงเขายังคงนุ่มนวล แต่ชัดเจนพอจะเบรคทุกคนในห้องหญิงสาวสูดลมหายใจลึก ความกดดันตีตื้นขึ้นมาในอก แต่เธอก็พยักหน้าเบาๆ "ฉัน... พร้อมแล้วค่ะ""ถ้ามีอะไร ส่งสัญญาณมาเ
เสียงเพลงจากลำโพงตัวเล็กดังคลอเบาๆ ทั่วห้องพักนักศึกษา โต๊ะไม้กลางห้องมีขวดเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่หลายขวด แก้วน้ำพลาสติกใสตั้งระเกะระกะเคียงคู่กับซองขนมที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์ในค่ำคืนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงครึ่ง ส่วนอีกมือวางพาดบนพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ บนใบหน้าของเขาแฝงความคิดบางอย่างที่ยากจะอ่านออก เพื่อนๆรอบตัวเขา—คีย์ จุน และท็อป—ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน"เรน นายไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” คีย์เปิดบทสนทนา พร้อมยกแก้วขึ้นจิบ สีหน้าเขาปนความอยากรู้และความขบขันเล็กๆ “เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ ผู้หญิงระดับนั้นอุตส่าห์ลดตัวมาคุยกับนายกลางลานคณะเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”เขาฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ ยกแก้วในมือขึ้นจิบช้าๆ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ เราไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นอะไรกันสักหน่อย...แล้วจะให้ทำอะไรได้?”“แบบนั้นน่ะหรอที่เรียกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน?” ท็อปแทรกขึ้น พลางเอนตัวพิงโซฟา ใบหน้าฉายแววสงสัย “นายลืมไปจริงๆหรือแกล้งลืมกันแน่เน