"โอเคครับ! เสร็จสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!"
เสียงแหลมสูงประกาศด้วยน้ำเสียงภูมิใจเกินพอดี ราวกับเพิ่งสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะเปลี่ยนโลกได้สำเร็จ "แค่พูดคำคีย์เวิร์ดครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะฟื้นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""จริงๆ ไม่มีคำอื่นที่มันฟังดูดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำของอีกคนดังขึ้นทันควัน พร้อมถอนหายใจแรง "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า 'จังโก้' ด้วย?"
"อ้าว! 'จังโก้' มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เจ้าของเสียงแหลมสูงรีบโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ "ง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยนะครับ!"
"เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!" เสียงทุ้มตะโกนสวนด้วยความหงุดหงิด "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูสมาร์ตกว่านี้ อย่าง 'ลูมิน่า' หรือ 'ออโรร่า' บ้าง?"
"พอเถอะครับ" เสียงนุ่มนวลของชายอีกคนแทรกขึ้นอย่างสงบ "คุณทั้งสองจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหน? ถ้าพูดครบสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ แล้วผิดแผนขึ้นมาจะทำยังไง?"
กลุ่มคนค่อยๆ สงบลง ขณะที่อากาศร้อนระอุรอบตัวทำให้เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมของพวกเขา หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติ เธอหันไปมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า
"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน"
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงจนแทบทะลุอก "ค่ะ... ฉันพร้อมแล้ว"
ชายหญิงทั้งสามถอยห่างออกไป ชายที่มีเสียงแหลมสูงยังพึมพำไม่หยุด "แต่ผมว่าคำว่า 'จังโก้' นี่เจ๋งที่สุดแล้ว—" เสียงถูกขาดหายไปเหมือนมีใครรีบลากเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ เธอยืนอยู่เพียงลำพัง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านจนปลายผมของเธอปลิวไหว แต่กลับไม่ช่วยคลายความกดดันเลยแม้แต่น้อย
เธอสูดลมหายใจลึก เสียงหัวใจเต้นรัวจนเธอรู้สึกถึงจังหวะที่สะท้อนในอก "โอเค... ฉันทำได้"
แต่คำที่เธอต้องพูดกลับติดอยู่ในคอ เธอหลับตา รวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยคำแรกออกมา
"จ-จังโก้..."
เธอรอคอย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอขมวดคิ้ว สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของเธอดังขึ้น
"จังโก้!"
ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ จากร่างตรงหน้า เธอเริ่มลังเล ความกังวลเริ่มเพิ่มขึ้นในใจ
"...หรือว่าเขาหมายถึงต้องพูดติดต่อกัน?" เธอพึมพำกับตัวเอง ความคิดนี้ทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมา แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
"โอเค... ลองอีกครั้ง!" เธอพูดกับตัวเอง สูดลมหายใจจนสุด ก่อนจะรวบรวมความกล้าและเอ่ยคำเดิมออกมาติดต่อกันสามครั้งรวด
"จังโก้! จังโก้! จังโก้!"
เสียงนั้นก้องสะท้อนไปทั่วพื้นที่ ราวกับดึงดูดทุกสายตาที่อาจกำลังจับจ้องเธออยู่ แม้จะไม่มีผู้ใดอยู่รอบตัว
แล้วจู่ๆ ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้น
“ใคร... ใครพูดอะไรตลกๆ แบบนั้น…”
เธอสะดุ้งสุดตัว ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างตรงหน้าขยับเล็กน้อย ก่อนที่ชายตรงหน้าจะลืมตาตื่น
ความรู้สึกปวดหนึบที่ขมับซ้ายแล่นผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับเสียงสะท้อนของความทรงจำที่ยุ่งเหยิง เขายกมือขึ้นกุมหัวอย่างงุนงง ความรู้สึกเหมือนคนที่เพิ่งส่างเมา—แต่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปดื่มที่ไหนหรือทำอะไรมา
ดวงตาของเขาเปิดขึ้นช้าๆแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้เหนือศีรษะ กลิ่นเกลือทะเลสัมผัสจมูก และสายลมอ่อนๆ ที่พัดพาเม็ดทรายกระทบผิวกาย เขาพยายามลุกขึ้น ร่างกายรู้สึกหนักเหมือนเคยหลับไปหลายวัน
"ที่นี่…ที่ไหน?" เขาพึมพำ ขยับมองไปรอบตัว เห็นพื้นทรายขาวละเอียดทอดยาวไปจนถึงน้ำทะเลสีฟ้าคราม สายตาของเขาผ่านไปเห็นเส้นขอบฟ้าในระยะไกล ตัดกับท้องฟ้าสดใส
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?" เสียงหวานใสแทรกเข้ามา ราวกับมาจากความลึกลับในอากาศ
เขาหันไปตามเสียง สายตาปะทะกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้เงาร่มไม้ ผมสีขาวยาวสลวยสะท้อนแสงแดด ใบหน้าของเธอเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด ใบหน้าสง่างามและเย็นชา ดวงตาสีฟ้าสดใสที่จ้องเขาอย่างคงท่าที แต่ในนั้นก็แฝงความลังเลที่เขาอ่านไม่ออก
"นี่มัน... ผู้หญิงคนนั้นหนิ?" เขาพึมพำเบาๆ ขณะที่เขาจ้องมองใบหน้าของเธอ ความทรงจำอันเลือนรางเริ่มผุดขึ้นในหัว "คนที่เข้ามาโวยวายที่คณะเมื่อเดือนก่อน...เป็นเธอใช่ไหม?"
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดใสสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง
"พูดอะไรของนาย?" เธอถามกลับ น้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงบางสิ่งที่ไม่สามารถซ่อนไว้ได้
"พูดแบบนี้กับคนที่ช่วยนายไว้มันเสียมารยาทน่ะ ฉันเห็นนายนอนสลบอยู่ เลยอุตส่าลากมาที่นี่แท้ๆ"
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยายามจะโต้แย้งกลับ แต่ความทรงจำกลับเลือนลางเหมือนหมอกที่ปกคลุม เขาขยี้ขมับแล้วพูดออกมา "ขอโทษ... ดูเหมือนว่าฉันจะจำคนผิด"
เขาพยายามลุกขึ้น แต่มันยาก เซไปด้านข้างเหมือนคนที่เพิ่งฟื้นจากการหลับยาว
หญิงสาวลุกขึ้นทันที สายตาเธอจับจ้องเขาอย่างห่วงใย แต่เขากลับยกมือห้ามไว้
"ไม่เป็นไร ฉันลุกเองได้" เขาพูดพร้อมยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง สายตาเขามองไปรอบๆด้วยความสับสน
"ที่นี่...ที่ไหนกัน?" เขาถามอย่างสงสัย
หญิงสาวถอนหายใจแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่าย "ที่นี่คือเกาะร้าง"
ชายหนุ่มชะงัก หันไปมองเธอทันทีด้วยความตกใจ "เกาะร้าง?"
ชายหนุ่มพยายามคิดทบทวน แต่ความทรงจำของเขาเหมือนจะเลือนลาง ยากที่จะนึกออก
"เรือล่มเหรอ?"
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
"ไม่ใช่…เรือไม่ได้ล่ม พวกเรามาทัศนศึกษาบนเรือยอร์ชที่มหาลัยจัดขึ้น"
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว "ทัศนศึกษาเหรอ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?"
"พายุเข้ากระทันหัน..." เธอพูดอย่างระมัดระวัง "แล้วพวกเราก็พลัดตกเรือพร้อมกัน"
ชายหนุ่มยังคงสับสน มึนงง นึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออก
"ไม่ต้องฝืน..." หญิงสาวพูดเบาๆ
"บางทีสมองนายอาจกระทบกระเทือนตอนตกจากเรือ อย่าฝืนพยายามจำตอนนี้เลย พักก่อนเถอะ" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ท่าทางเธอดูเหมือนจะเข้าใจความสับสนในตัวเขา
เขาสูดลมหายใจลึก พลางมองไปรอบๆ สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่เป็นไร... ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากที่นี่ก่อน"
หญิงสาวมองหน้าเขานิ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
"ก็จริง... ถ้าอย่างนั้น" เธอชี้นิ้วไปทางชายหาดเบื้องล่าง
"ฉันเจอลังอะไรบางอย่างเกยอยู่ที่ชายหาด แต่มันหนักมากจนฉันเปิดไม่ไหว"
เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ "งั้นไปดูกันเถอะ เผื่อจะอะไรที่มีประโยชน์"
ทั้งสองเริ่มเดินไปด้วยกัน เธอเดินตามหลังเขาห่างกันเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอทอดมองไปยังแผ่นหลังของชายที่เดินนำหน้า ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งเริ่มเผยรอยยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่เขาไม่ทันสังเกตเห็น
"ฉันอาจจะจำผิดก็ได้... แต่เธอชื่อไอลีนใช่ไหม?"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเหมือนพึ่งนึกออกพลางหันกลับมามองเธอด้วยสายตาครุ่นคิด
เธอหยุดเดินเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า "ใช่แล้ว... แล้วนายล่ะ?"
"เรน" เขาตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ "ยินดีที่ได้รู้จัก"
เธอคลี่ยิ้มตอบบางๆ "ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน"
ก่อนที่พวกเขาจะเดินต่อ หญิงสาวแอบพูดเบาๆ ราวกับพึมพำกับตัวเอง "คราวนี้จำไว้ให้ดีๆ ล่ะ..."
ชายหนุ่มหันกลับมามองเธอเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
"เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่า?"
หญิงสาวชะงัก สีหน้าตั้งรับน้อยๆก่อนจะส่ายหัวเบาๆ "ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย นายคงหูฝาดไปเอง"
เขาเลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงแค่พยักหน้าและเดินนำไปต่อ เส้นทางบนพื้นทรายทอดยาวไปยังจุดหมายที่ยังมองไม่เห็น ร่างทั้งสองค่อยๆ ลับสายตาไป พร้อมกับสายลมและแสงแดดที่โอบล้อม ขณะที่อนาคตยังคงเป็นปริศนาที่รอให้พวกเขาค้นพบร่วมกัน
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร หญิงสาวเหลือบมองคู่เดินของเธอเป็นระยะ สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังราวกับกำลังพยายามปะติดปะต่อบางสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหัว“นายคิดอะไรอยู่หรือเปล่า?” เธอถามขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “เปล่า แค่…พยายามคิดว่าเราควรทำอะไรต่อ”ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เขาคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา“มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…” ชายหนุ่มลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “คงต้องหาวิธีเปิด”หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง “เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น” เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ เห็นกระโจมผ้าเล็กๆ เก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก“นั่นมัน… กระโจม?” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้“ไม
แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลดความแรงลงเมื่อพวกเขายกของในกล่องออกมาเรียงไว้บนพื้นทราย เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งเป็นจังหวะ มีกลิ่นอายของทะเลที่โชยมาเบาๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในลังไม้"เต็นท์สองอัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารซองพร้อมทาน ข้าวสาร ไฟแช็ค แล้วก็...นี่อะไร?" ชายหนุ่มพูดพลางหยิบเครื่องบดกาแฟแบบมือออกมาพลิกดูด้วยความงุนงง "ลูกคุณหนูที่ไหนมาจำลองการติดเกาะกันเนี่ย? สั่งมากระทั่งของแบบนี้...แล้วนี่อะไรอีก?"มือของเขาเอื้อมหยิบถุงเมล็ดกาแฟที่ทับอะไรบางอย่างอยู่ เผยให้เห็นเครื่องกรองน้ำพกพาขนาดเล็กหลายอัน ก่อนจะหลุดปาก "โอ้โห เมล็ดกาแฟยี่ห้อดัง...แถมตัวกรองน้ำพกพาก็มี? พร้อมใช้ชีวิตอยู่บนเกาะจริงๆ เลยน้า"เสียงบ่นแบบติดตลกของเขาทำให้หญิงสาวที่กำลังจัดของอยู่อีกมุมสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าที่ก้มอยู่เหนือกระเป๋าเริ่มมีสีแดงเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มองอยู่ เธอรีบก้มหน้าทำทีเหมือนตั้งใจจัดของต่อ"ใจเย็นเข้า ต้องเก็บสีหน้าเอาไว้ อย่าให้เขาจับได้ แค่เตรียมมาดีเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง" เธอบอกตัวเองในใจ ขณะพยายามข่มความรู้สึกเขินอายที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้น เธอหายใจลึกๆ พลางคิดว่าความสนใจของเ
แสงยามเย็นทอดตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ขณะที่เขากำลังจัดการกางเต็นท์ ลมทะเลที่พัดมาอ่อนๆชวนให้รู้สึกสงบ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ สถานที่นี้ดูเหมือนแปลกใหม่สำหรับเขา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเขามองกระโจมผ้าใกล้ๆ ที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมอาหาร กลิ่นไอทะเลที่โชยมากับสายลมผสมกับกลิ่นของเตาแก๊สเล็กที่เธอเพิ่งจุดขึ้น ท่าทางของเธอท่ี่ดูชำนาญ กลับทำให้เขารู้สึกพิลึก“ฉันยังไม่ได้สอนเธอใช้เตาแก๊สเลย….จะเป็นอะไรไหมน่ะ?”ชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่ ก็รู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เราสองคนพึ่งจะเจอกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดว่าเธอจะใช้ของแบบนั้นไม่เป็น?เขาพยายามขับไล่ความคิดแปลกๆนั้นออก ก่อนที่จะทำงานของตัวเองต่อ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอเรียกเขามาที่โต๊ะเล็กตรงกลาง บนโต๊ะมีถ้วยอาหารสองถ้วยวางอยู่ พร้อมช้อนส้อมที่เธอยื่นให้“นี่ กินก่อนสิ จะได้มีแรง”เขามองอาหารในถ้วยด้วยความลังเล ราวกับสัญชาตญาณบางอย่างกำลังส่งเสียงเตือนอยู่ลึกๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น มันเป็นแค่อาหารอุ่นร้อนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสงสัย หน้าตาของมันก็ดูปกติ“ไม่
โต๊ะไม้กลางห้องเต็มไปด้วยแก้วพลาสติก ซองขนม และขวดเครื่องดื่มที่ถูกเปิดทิ้งไว้ กลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนนั่งล้อมวงกันอยู่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาเติมเต็มค่ำคืนสบายๆ ของพวกเขาชายหนุ่มนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม อีกมือพาดพนักอย่างผ่อนคลาย แต่แววตาของเขาเหมือนมีเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ"เรน นายไม่คิดจะตอบกลับอะไรเธอหน่อยเหรอ?”คีย์ถามขึ้น พลางยกแก้วจิบเล็กน้อย ใบหน้าเจือด้วยความสงสัย“เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ…. เธออุตส่าห์ลดตัวเข้าหานายเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น แต่เขาเพียงหัวเราะตอบเบาๆ ยกแก้วจิบช้าๆ ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ผ่านไปสักเดือนเดี่ยวเธอก็ยอมแพ้ไปเอง”“นายคิดอย่างงั้นจริงๆหรอ?” ท็อปพิงโซฟา ถามเสียงขรึม “นี่นายจำไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นลืมกันแน่?”จุนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าเสริม “ใช่ นายลืมทุกอย่างจริงๆ หรือไง? เกี่ยวกับเกาะร้าง และ ทริปทะเลนั่นอีก...”คำพูดของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ก็อย่างที่เคยบอก จำได้แค่ว่าตกเรือ...แล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”คีย์ว
แสงยามเย็นทอดตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ขณะที่เขากำลังจัดการกางเต็นท์ ลมทะเลที่พัดมาอ่อนๆชวนให้รู้สึกสงบ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ สถานที่นี้ดูเหมือนแปลกใหม่สำหรับเขา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเขามองกระโจมผ้าใกล้ๆ ที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมอาหาร กลิ่นไอทะเลที่โชยมากับสายลมผสมกับกลิ่นของเตาแก๊สเล็กที่เธอเพิ่งจุดขึ้น ท่าทางของเธอท่ี่ดูชำนาญ กลับทำให้เขารู้สึกพิลึก“ฉันยังไม่ได้สอนเธอใช้เตาแก๊สเลย….จะเป็นอะไรไหมน่ะ?”ชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่ ก็รู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เราสองคนพึ่งจะเจอกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดว่าเธอจะใช้ของแบบนั้นไม่เป็น?เขาพยายามขับไล่ความคิดแปลกๆนั้นออก ก่อนที่จะทำงานของตัวเองต่อ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอเรียกเขามาที่โต๊ะเล็กตรงกลาง บนโต๊ะมีถ้วยอาหารสองถ้วยวางอยู่ พร้อมช้อนส้อมที่เธอยื่นให้“นี่ กินก่อนสิ จะได้มีแรง”เขามองอาหารในถ้วยด้วยความลังเล ราวกับสัญชาตญาณบางอย่างกำลังส่งเสียงเตือนอยู่ลึกๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น มันเป็นแค่อาหารอุ่นร้อนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสงสัย หน้าตาของมันก็ดูปกติ“ไม่
แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลดความแรงลงเมื่อพวกเขายกของในกล่องออกมาเรียงไว้บนพื้นทราย เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งเป็นจังหวะ มีกลิ่นอายของทะเลที่โชยมาเบาๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในลังไม้"เต็นท์สองอัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารซองพร้อมทาน ข้าวสาร ไฟแช็ค แล้วก็...นี่อะไร?" ชายหนุ่มพูดพลางหยิบเครื่องบดกาแฟแบบมือออกมาพลิกดูด้วยความงุนงง "ลูกคุณหนูที่ไหนมาจำลองการติดเกาะกันเนี่ย? สั่งมากระทั่งของแบบนี้...แล้วนี่อะไรอีก?"มือของเขาเอื้อมหยิบถุงเมล็ดกาแฟที่ทับอะไรบางอย่างอยู่ เผยให้เห็นเครื่องกรองน้ำพกพาขนาดเล็กหลายอัน ก่อนจะหลุดปาก "โอ้โห เมล็ดกาแฟยี่ห้อดัง...แถมตัวกรองน้ำพกพาก็มี? พร้อมใช้ชีวิตอยู่บนเกาะจริงๆ เลยน้า"เสียงบ่นแบบติดตลกของเขาทำให้หญิงสาวที่กำลังจัดของอยู่อีกมุมสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าที่ก้มอยู่เหนือกระเป๋าเริ่มมีสีแดงเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มองอยู่ เธอรีบก้มหน้าทำทีเหมือนตั้งใจจัดของต่อ"ใจเย็นเข้า ต้องเก็บสีหน้าเอาไว้ อย่าให้เขาจับได้ แค่เตรียมมาดีเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง" เธอบอกตัวเองในใจ ขณะพยายามข่มความรู้สึกเขินอายที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้น เธอหายใจลึกๆ พลางคิดว่าความสนใจของเ
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร หญิงสาวเหลือบมองคู่เดินของเธอเป็นระยะ สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังราวกับกำลังพยายามปะติดปะต่อบางสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหัว“นายคิดอะไรอยู่หรือเปล่า?” เธอถามขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “เปล่า แค่…พยายามคิดว่าเราควรทำอะไรต่อ”ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เขาคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา“มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…” ชายหนุ่มลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “คงต้องหาวิธีเปิด”หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง “เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น” เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ เห็นกระโจมผ้าเล็กๆ เก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก“นั่นมัน… กระโจม?” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้“ไม
"โอเคครับ! เสร็จสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!" เสียงแหลมสูงประกาศด้วยน้ำเสียงภูมิใจเกินพอดี ราวกับเพิ่งสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะเปลี่ยนโลกได้สำเร็จ "แค่พูดคำคีย์เวิร์ดครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะฟื้นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""จริงๆ ไม่มีคำอื่นที่มันฟังดูดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำของอีกคนดังขึ้นทันควัน พร้อมถอนหายใจแรง "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า 'จังโก้' ด้วย?""อ้าว! 'จังโก้' มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เจ้าของเสียงแหลมสูงรีบโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ "ง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยนะครับ!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!" เสียงทุ้มตะโกนสวนด้วยความหงุดหงิด "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูสมาร์ตกว่านี้ อย่าง 'ลูมิน่า' หรือ 'ออโรร่า' บ้าง?""พอเถอะครับ" เสียงนุ่มนวลของชายอีกคนแทรกขึ้นอย่างสงบ "คุณทั้งสองจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหน? ถ้าพูดครบสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ แล้วผิดแผนขึ้นมาจะทำยังไง?"กลุ่มคนค่อยๆ สงบลง ขณะที่อากาศร้อนระอุรอบตัวทำให้เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมของพวกเขา หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติ เธอหันไปมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน"หญิงสาว
โต๊ะไม้กลางห้องเต็มไปด้วยแก้วพลาสติก ซองขนม และขวดเครื่องดื่มที่ถูกเปิดทิ้งไว้ กลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนนั่งล้อมวงกันอยู่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาเติมเต็มค่ำคืนสบายๆ ของพวกเขาชายหนุ่มนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม อีกมือพาดพนักอย่างผ่อนคลาย แต่แววตาของเขาเหมือนมีเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ"เรน นายไม่คิดจะตอบกลับอะไรเธอหน่อยเหรอ?”คีย์ถามขึ้น พลางยกแก้วจิบเล็กน้อย ใบหน้าเจือด้วยความสงสัย“เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ…. เธออุตส่าห์ลดตัวเข้าหานายเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น แต่เขาเพียงหัวเราะตอบเบาๆ ยกแก้วจิบช้าๆ ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ผ่านไปสักเดือนเดี่ยวเธอก็ยอมแพ้ไปเอง”“นายคิดอย่างงั้นจริงๆหรอ?” ท็อปพิงโซฟา ถามเสียงขรึม “นี่นายจำไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นลืมกันแน่?”จุนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าเสริม “ใช่ นายลืมทุกอย่างจริงๆ หรือไง? เกี่ยวกับเกาะร้าง และ ทริปทะเลนั่นอีก...”คำพูดของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ก็อย่างที่เคยบอก จำได้แค่ว่าตกเรือ...แล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”คีย์ว