เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงสนามในเต็นท์เล็ก เสียงคลื่นที่กระทบชายฝั่งดังแว่วอยู่ในความเงียบสงัด ขณะที่เขาค่อยๆหลับตา ความเหนื่อยล้าค่อยๆกลืนกินเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในความฝันนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่บนชายหาดแห่งหนึ่ง
แสงแดดที่ร้อนระอุจากท้องฟ้า สะท้อนลงบนผืนทรายขาวสว่างวาบ สายลมทะเลพัดเอื่อยๆผสมกลิ่นเค็มที่แปลกชวนให้อึดอัด ชายหนุ่มคนนึงกำลังแล่ปลาที่จับมาได้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจราวกับว่ากำลังจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ทว่าทุกอย่างรอบตัวกลับพร่ามัว เหมือนโลกนี้ถูกห่อหุ้มด้วยม่านบางๆของความฝัน
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป ร่างของเธอปรากฏอยู่ในเงามืดแม้แสงแดดจะเจิดจ้า ชุดเดรสสีขาวหรูหราที่เธอสวมอยู่ดูชำรุดทรุดโทรม รอยขาดและคราบเปื้อนบอกเล่าเรื่องราวของความลำบาก ผมสีขาวยาวประบ่าปลิวไหวไปตามสายลม แต่ใบหน้าของเธอกลับพร่ามัว มองเห็นได้เพียงเค้าโครงรางๆ
เธอยืนมองเขาอยู่ในระยะที่ห่างออกไป แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอแต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ห่างเหิน และ ท่าทีที่เต็มไปด้วยวามระมัดระวัง เหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นคั่นกลางระหว่างพวกเขาสองคนเอาไว้
“คุณจะยืนมองอีกนานไหม?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบง่าย ทว่ากลับดังก้องกังวานในความเงียบเหมือนเสียงที่สะท้อนในห้องโถงว่างเปล่า เธอไม่ได้ตอบในทันที แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องเขา
"ฉันแค่...ฉันแค่มาดูว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ก็เท่านั้น” คำพูดนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่แฝงไปด้วยความระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินไปหยิบปลาชุดหนึ่งที่ตากแดดจนแห้งดีแล้ว ก่อนจะเดินไปวางไว้บนก้อนหินระหว่างเขากับเธอ
“นี่ สำหรับคุณ” เขาพูดขึ้น ราวกับรู้ว่าเธอกำลังต้องการมัน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหยิบปลาขึ้นอย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอช่างเชื่องช้าและระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“ทำไมคุณถึงให้ฉัน?” เธอถามขึ้นทันทีที่หยิบมันไป น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่คำถามนั้นฟังดูหนักแน่น
เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็เพราะคุณดูน่าสาร”
เธอเงียบไปชั่วอึดใจ สายตาของเธอจ้องมองเขาอย่างยากจะคาดเดา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาพอๆ กับแววตาที่เลือนราง
“ถ้าฉันรอดกลับไป ฉันจะตอบแทนคุณอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันให้ไปเพราะอยากให้เท่านั้น”เขาตอบกลับเหมือนไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเธอนัก
คำพูดของเขาทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็หมุนตัวเดินจากไป ร่างของเธอค่อยๆจางหายไปในแนวป่ากลางเกาะ เส้นผมสีขาวของเธอสว่างวาบในแสงแดดก่อนจะลับตาไป
เขานั่งนิ่ง มองตามเธอที่หายเข้าไปในเกาะ ตัวตนของเธอราวกับเป็นภาพลวงตาที่มาพร้อมกับสายลม เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งกลับฟังดูแปลกไป ราวกับเป็นเสียงกระซิบเบาๆ ที่กำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะที่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นี้มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น? ภาพพวกนี้คือ?”
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรต่อ ภาพทั้งหมดก็เริ่มเลือนรางลงเหมือนหมอกที่กำลังจางหาย ราวกับโลกทั้งใบถูกกลืนกลับเข้าสู่ความฝันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ช่วงเวลาก่อนจะเช้าเล็กน้อย
ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมลมหายใจหอบถี่ ความมืดภายในเต็นท์เงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะจากภายนอก เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ภาพในความฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับแผ่นฟิล์มที่ฉายซ้ำไม่จบ ชายหาดที่สว่างวาบภายใต้แสงแดดจ้า เสียงคลื่นกระทบฝั่ง และหญิงสาวปริศนาที่มองมาอย่างเย็นชา ทุกอย่างชัดเจนจนเขารู้สึกเหมือนเคยเกิดขึ้นจริง แต่ยิ่งเขาพยายามจับรายละเอียดมากเท่าไหร่ ภาพเหล่านั้นกลับยิ่งเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“หน้าของเธอ...” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวในฝัน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอมีหน้าตาแบบไหน มันพร่ามัว รางเลือน ราวกับถูกกลืนหายไปพร้อมกับความฝันที่ค่อยๆจางหาย
เขายกมือขึ้นลูบหน้า พยายามเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความรู้สึกคาใจ และกลิ่นลมทะเลที่ยังคงติดอยู่ในจินตนาการ
“...นี่มันอะไรกัน?”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ความเหนื่อยล้าทำให้สมองของเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะวิเคราะห์สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขายังคงนั่งนิ่ง พยายามทบทวนว่าเหตุใดถึงฝันเห็นอะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาติดอยู่บนเกาะ ห่างไกลจากทุกสิ่งที่เคยรู้จัก
“อาจจะเพราะฉันเครียดจนเกินไป สมองคงสร้างอะไรขึ้นมาปลอบใจ... แต่ทำไมมันถึงรู้สึกจริงขนาดนั้น...”
เขากระซิบแผ่วเบา ราวกับพูดปลอบตัวเอง
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองเพดานเต็นท์ที่มืดมิด เสียงคลื่นจากชายฝั่งดังอยู่ไกลๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาเอนตัวพิงเตียงสนามเล็กน้อย สายตาหันไปทางเต็นท์อีกหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กัน
เธอเป็นคนแนะนำให้พวกเขากางเต็นท์ใกล้กันเพื่อความปลอดภัย แม้จะแยกกันนอน แต่เขาก็รู้สึกว่าการมีเธออยู่ใกล้ๆ อย่างน้อยก็ทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
เสียงลมหายใจเบาๆ ดังมาจากเต็นท์ข้างๆ บ่งบอกว่าเธอกำลังหลับสนิท มันทำให้เขาคิดถึงท่าทางที่ดูเป็นกันเองและใจดีของเธอ ความอัธยาศัยดีของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นในสถานที่ที่แปลกแยกเช่นนี้
เขาหลับตาลงอีกครั้ง พยายามเปรียบเทียบหญิงสาวในเต็นท์ข้างๆ กับหญิงสาวในความฝัน คนในฝันนั้นมีความเย็นชาและห่างเหิน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความระแวดระวังราวกับกำแพงที่ยากจะทะลุผ่าน ขณะที่หญิงสาวที่อยู่ตรงนี้กลับดูมีชีวิตชีวาและเป็นมิตรกว่ามาก
“มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย...” เขาพึมพำเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
ชายหนุ่มเอียงหัวพิงกับหมอนที่หนุนอยู่ ขณะที่สายตากำลังจับจ้องไปยังเงารางๆ ของเต็นท์ข้างๆ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอช่วยเติมเต็มความเงียบงันในยามค่ำคืน
“อย่างน้อยก็ยังดีที่ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว...” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบกลืนไปกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง
“ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย ฉันคงสติแตกไปแล้ว”
เขาหลับตาลง ความรู้สึกอุ่นใจจากการมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ คือสิ่งที่ช่วยเขาให้เขายังมีสติอยู่ ลมหายใจของเธอที่ดังแผ่วๆ กลับกลายเป็นจังหวะที่ช่วยกล่อมเขาให้ใจเย็นลง เขาปรับตัวให้นอนราบกับเตียงสนาม ทอดสายตาไปยังเพดานเต็นท์ที่มืดมิด
“หวังว่า…เช้านี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นน่ะ” เขาพูดเบาๆ อีกครั้ง ราวกับส่งคำอธิษฐานลอยไปกับสายลมทะเล
แม้ความฝันอันเลือนรางและคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจะวนเวียนอยู่ในหัว แต่ความเหนื่อยล้าก็ค่อยๆ ดึงเขากลับเข้าสู่ห้วงนิทรา ความเงียบสงบของค่ำคืนและความรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังช่วยให้เขาปล่อยตัวเองหลับไปในที่สุด
โต๊ะไม้กลางห้องเต็มไปด้วยแก้วพลาสติก ซองขนม และขวดเครื่องดื่มที่ถูกเปิดทิ้งไว้ กลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนนั่งล้อมวงกันอยู่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาเติมเต็มค่ำคืนสบายๆ ของพวกเขาชายหนุ่มนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม อีกมือพาดพนักอย่างผ่อนคลาย แต่แววตาของเขาเหมือนมีเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ"เรน นายไม่คิดจะตอบกลับอะไรเธอหน่อยเหรอ?”คีย์ถามขึ้น พลางยกแก้วจิบเล็กน้อย ใบหน้าเจือด้วยความสงสัย“เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ…. เธออุตส่าห์ลดตัวเข้าหานายเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น แต่เขาเพียงหัวเราะตอบเบาๆ ยกแก้วจิบช้าๆ ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ผ่านไปสักเดือนเดี่ยวเธอก็ยอมแพ้ไปเอง”“นายคิดอย่างงั้นจริงๆหรอ?” ท็อปพิงโซฟา ถามเสียงขรึม “นี่นายจำไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นลืมกันแน่?”จุนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าเสริม “ใช่ นายลืมทุกอย่างจริงๆ หรือไง? เกี่ยวกับเกาะร้าง และ ทริปทะเลนั่นอีก...”คำพูดของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ก็อย่างที่เคยบอก จำได้แค่ว่าตกเรือ...แล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”คีย์ว
"โอเคครับ! เสร็จสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!" เสียงแหลมสูงประกาศด้วยน้ำเสียงภูมิใจเกินพอดี ราวกับเพิ่งสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะเปลี่ยนโลกได้สำเร็จ "แค่พูดคำคีย์เวิร์ดครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะฟื้นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""จริงๆ ไม่มีคำอื่นที่มันฟังดูดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำของอีกคนดังขึ้นทันควัน พร้อมถอนหายใจแรง "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า 'จังโก้' ด้วย?""อ้าว! 'จังโก้' มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เจ้าของเสียงแหลมสูงรีบโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ "ง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยนะครับ!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!" เสียงทุ้มตะโกนสวนด้วยความหงุดหงิด "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูสมาร์ตกว่านี้ อย่าง 'ลูมิน่า' หรือ 'ออโรร่า' บ้าง?""พอเถอะครับ" เสียงนุ่มนวลของชายอีกคนแทรกขึ้นอย่างสงบ "คุณทั้งสองจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหน? ถ้าพูดครบสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ แล้วผิดแผนขึ้นมาจะทำยังไง?"กลุ่มคนค่อยๆ สงบลง ขณะที่อากาศร้อนระอุรอบตัวทำให้เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมของพวกเขา หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติ เธอหันไปมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน"หญิงสาว
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร หญิงสาวเหลือบมองคู่เดินของเธอเป็นระยะ สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังราวกับกำลังพยายามปะติดปะต่อบางสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหัว“นายคิดอะไรอยู่หรือเปล่า?” เธอถามขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “เปล่า แค่…พยายามคิดว่าเราควรทำอะไรต่อ”ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เขาคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา“มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…” ชายหนุ่มลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “คงต้องหาวิธีเปิด”หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง “เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น” เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ เห็นกระโจมผ้าเล็กๆ เก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก“นั่นมัน… กระโจม?” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้“ไม
แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลดความแรงลงเมื่อพวกเขายกของในกล่องออกมาเรียงไว้บนพื้นทราย เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งเป็นจังหวะ มีกลิ่นอายของทะเลที่โชยมาเบาๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในลังไม้"เต็นท์สองอัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารซองพร้อมทาน ข้าวสาร ไฟแช็ค แล้วก็...นี่อะไร?" ชายหนุ่มพูดพลางหยิบเครื่องบดกาแฟแบบมือออกมาพลิกดูด้วยความงุนงง "ลูกคุณหนูที่ไหนมาจำลองการติดเกาะกันเนี่ย? สั่งมากระทั่งของแบบนี้...แล้วนี่อะไรอีก?"มือของเขาเอื้อมหยิบถุงเมล็ดกาแฟที่ทับอะไรบางอย่างอยู่ เผยให้เห็นเครื่องกรองน้ำพกพาขนาดเล็กหลายอัน ก่อนจะหลุดปาก "โอ้โห เมล็ดกาแฟยี่ห้อดัง...แถมตัวกรองน้ำพกพาก็มี? พร้อมใช้ชีวิตอยู่บนเกาะจริงๆ เลยน้า"เสียงบ่นแบบติดตลกของเขาทำให้หญิงสาวที่กำลังจัดของอยู่อีกมุมสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าที่ก้มอยู่เหนือกระเป๋าเริ่มมีสีแดงเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มองอยู่ เธอรีบก้มหน้าทำทีเหมือนตั้งใจจัดของต่อ"ใจเย็นเข้า ต้องเก็บสีหน้าเอาไว้ อย่าให้เขาจับได้ แค่เตรียมมาดีเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง" เธอบอกตัวเองในใจ ขณะพยายามข่มความรู้สึกเขินอายที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้น เธอหายใจลึกๆ พลางคิดว่าความสนใจของเ
แสงยามเย็นทอดตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ขณะที่เขากำลังจัดการกางเต็นท์ ลมทะเลที่พัดมาอ่อนๆชวนให้รู้สึกสงบ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ สถานที่นี้ดูเหมือนแปลกใหม่สำหรับเขา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเขามองกระโจมผ้าใกล้ๆ ที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมอาหาร กลิ่นไอทะเลที่โชยมากับสายลมผสมกับกลิ่นของเตาแก๊สเล็กที่เธอเพิ่งจุดขึ้น ท่าทางของเธอท่ี่ดูชำนาญ กลับทำให้เขารู้สึกพิลึก“ฉันยังไม่ได้สอนเธอใช้เตาแก๊สเลย….จะเป็นอะไรไหมน่ะ?”ชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่ ก็รู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เราสองคนพึ่งจะเจอกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดว่าเธอจะใช้ของแบบนั้นไม่เป็น?เขาพยายามขับไล่ความคิดแปลกๆนั้นออก ก่อนที่จะทำงานของตัวเองต่อ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอเรียกเขามาที่โต๊ะเล็กตรงกลาง บนโต๊ะมีถ้วยอาหารสองถ้วยวางอยู่ พร้อมช้อนส้อมที่เธอยื่นให้“นี่ กินก่อนสิ จะได้มีแรง”เขามองอาหารในถ้วยด้วยความลังเล ราวกับสัญชาตญาณบางอย่างกำลังส่งเสียงเตือนอยู่ลึกๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น มันเป็นแค่อาหารอุ่นร้อนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสงสัย หน้าตาของมันก็ดูปกติ“ไม่
เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงสนามในเต็นท์เล็ก เสียงคลื่นที่กระทบชายฝั่งดังแว่วอยู่ในความเงียบสงัด ขณะที่เขาค่อยๆหลับตา ความเหนื่อยล้าค่อยๆกลืนกินเขาเข้าสู่ห้วงนิทราในความฝันนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่บนชายหาดแห่งหนึ่งแสงแดดที่ร้อนระอุจากท้องฟ้า สะท้อนลงบนผืนทรายขาวสว่างวาบ สายลมทะเลพัดเอื่อยๆผสมกลิ่นเค็มที่แปลกชวนให้อึดอัด ชายหนุ่มคนนึงกำลังแล่ปลาที่จับมาได้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจราวกับว่ากำลังจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ทว่าทุกอย่างรอบตัวกลับพร่ามัว เหมือนโลกนี้ถูกห่อหุ้มด้วยม่านบางๆของความฝันเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป ร่างของเธอปรากฏอยู่ในเงามืดแม้แสงแดดจะเจิดจ้า ชุดเดรสสีขาวหรูหราที่เธอสวมอยู่ดูชำรุดทรุดโทรม รอยขาดและคราบเปื้อนบอกเล่าเรื่องราวของความลำบาก ผมสีขาวยาวประบ่าปลิวไหวไปตามสายลม แต่ใบหน้าของเธอกลับพร่ามัว มองเห็นได้เพียงเค้าโครงรางๆเธอยืนมองเขาอยู่ในระยะที่ห่างออกไป แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอแต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ห่างเหิน และ ท่าทีที่เต็มไปด้วยวามระมัดระวัง เหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นคั่นกลางระหว่างพวกเขาสองคนเอาไว้“คุณจะยืน
แสงยามเย็นทอดตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ขณะที่เขากำลังจัดการกางเต็นท์ ลมทะเลที่พัดมาอ่อนๆชวนให้รู้สึกสงบ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ สถานที่นี้ดูเหมือนแปลกใหม่สำหรับเขา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเขามองกระโจมผ้าใกล้ๆ ที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมอาหาร กลิ่นไอทะเลที่โชยมากับสายลมผสมกับกลิ่นของเตาแก๊สเล็กที่เธอเพิ่งจุดขึ้น ท่าทางของเธอท่ี่ดูชำนาญ กลับทำให้เขารู้สึกพิลึก“ฉันยังไม่ได้สอนเธอใช้เตาแก๊สเลย….จะเป็นอะไรไหมน่ะ?”ชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่ ก็รู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เราสองคนพึ่งจะเจอกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดว่าเธอจะใช้ของแบบนั้นไม่เป็น?เขาพยายามขับไล่ความคิดแปลกๆนั้นออก ก่อนที่จะทำงานของตัวเองต่อ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอเรียกเขามาที่โต๊ะเล็กตรงกลาง บนโต๊ะมีถ้วยอาหารสองถ้วยวางอยู่ พร้อมช้อนส้อมที่เธอยื่นให้“นี่ กินก่อนสิ จะได้มีแรง”เขามองอาหารในถ้วยด้วยความลังเล ราวกับสัญชาตญาณบางอย่างกำลังส่งเสียงเตือนอยู่ลึกๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น มันเป็นแค่อาหารอุ่นร้อนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสงสัย หน้าตาของมันก็ดูปกติ“ไม่
แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลดความแรงลงเมื่อพวกเขายกของในกล่องออกมาเรียงไว้บนพื้นทราย เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งเป็นจังหวะ มีกลิ่นอายของทะเลที่โชยมาเบาๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในลังไม้"เต็นท์สองอัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารซองพร้อมทาน ข้าวสาร ไฟแช็ค แล้วก็...นี่อะไร?" ชายหนุ่มพูดพลางหยิบเครื่องบดกาแฟแบบมือออกมาพลิกดูด้วยความงุนงง "ลูกคุณหนูที่ไหนมาจำลองการติดเกาะกันเนี่ย? สั่งมากระทั่งของแบบนี้...แล้วนี่อะไรอีก?"มือของเขาเอื้อมหยิบถุงเมล็ดกาแฟที่ทับอะไรบางอย่างอยู่ เผยให้เห็นเครื่องกรองน้ำพกพาขนาดเล็กหลายอัน ก่อนจะหลุดปาก "โอ้โห เมล็ดกาแฟยี่ห้อดัง...แถมตัวกรองน้ำพกพาก็มี? พร้อมใช้ชีวิตอยู่บนเกาะจริงๆ เลยน้า"เสียงบ่นแบบติดตลกของเขาทำให้หญิงสาวที่กำลังจัดของอยู่อีกมุมสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าที่ก้มอยู่เหนือกระเป๋าเริ่มมีสีแดงเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มองอยู่ เธอรีบก้มหน้าทำทีเหมือนตั้งใจจัดของต่อ"ใจเย็นเข้า ต้องเก็บสีหน้าเอาไว้ อย่าให้เขาจับได้ แค่เตรียมมาดีเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง" เธอบอกตัวเองในใจ ขณะพยายามข่มความรู้สึกเขินอายที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้น เธอหายใจลึกๆ พลางคิดว่าความสนใจของเ
เสียงคลื่นซัดเบาๆ คลอเคลียไปกับฝีเท้าของทั้งสองที่ย่ำผ่านผืนทราย พวกเขาเดินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร หญิงสาวเหลือบมองคู่เดินของเธอเป็นระยะ สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังราวกับกำลังพยายามปะติดปะต่อบางสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหัว“นายคิดอะไรอยู่หรือเปล่า?” เธอถามขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “เปล่า แค่…พยายามคิดว่าเราควรทำอะไรต่อ”ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่เธอพูดถึง ลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแนวคลื่น มันเต็มไปด้วยคราบเกลือและรอยเปียกชื้นจากน้ำทะเล เขาคุกเข่าลงสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา“มันถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนาเลย…” ชายหนุ่มลองเขย่าฝาลังเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “คงต้องหาวิธีเปิด”หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสะดุดกับบางสิ่ง “เดี๋ยวก่อนนะ… ตรงนั้น” เธอชี้นิ้วไปทางเงาร่มไม้ที่บดบังมุมสายตาเขาหันไปมองตามที่เธอชี้ เห็นกระโจมผ้าเล็กๆ เก่าโทรมเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก“นั่นมัน… กระโจม?” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงแผ่ว ความสงสัยสะท้อนในน้ำเสียง ดวงตาจับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มไม้“ไม
"โอเคครับ! เสร็จสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!" เสียงแหลมสูงประกาศด้วยน้ำเสียงภูมิใจเกินพอดี ราวกับเพิ่งสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะเปลี่ยนโลกได้สำเร็จ "แค่พูดคำคีย์เวิร์ดครบสามครั้ง คุณผู้ชายก็จะฟื้นขึ้นมาทันทีครับ คุณหนู!""จริงๆ ไม่มีคำอื่นที่มันฟังดูดีกว่านี้แล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำของอีกคนดังขึ้นทันควัน พร้อมถอนหายใจแรง "ทำไมต้องให้คุณหนูของเราพูดคำว่า 'จังโก้' ด้วย?""อ้าว! 'จังโก้' มันไม่ดีตรงไหนครับ?" เจ้าของเสียงแหลมสูงรีบโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ "ง่าย จำง่าย แถมมีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยนะครับ!""เสน่ห์บ้าอะไรของคุณ!" เสียงทุ้มตะโกนสวนด้วยความหงุดหงิด "ทำไมไม่เลือกอะไรที่มันดูสมาร์ตกว่านี้ อย่าง 'ลูมิน่า' หรือ 'ออโรร่า' บ้าง?""พอเถอะครับ" เสียงนุ่มนวลของชายอีกคนแทรกขึ้นอย่างสงบ "คุณทั้งสองจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหน? ถ้าพูดครบสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ แล้วผิดแผนขึ้นมาจะทำยังไง?"กลุ่มคนค่อยๆ สงบลง ขณะที่อากาศร้อนระอุรอบตัวทำให้เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมของพวกเขา หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติ เธอหันไปมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า"คุณหนู... พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว พวกเราจะออกไปก่อน"หญิงสาว
โต๊ะไม้กลางห้องเต็มไปด้วยแก้วพลาสติก ซองขนม และขวดเครื่องดื่มที่ถูกเปิดทิ้งไว้ กลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนนั่งล้อมวงกันอยู่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาเติมเต็มค่ำคืนสบายๆ ของพวกเขาชายหนุ่มนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม อีกมือพาดพนักอย่างผ่อนคลาย แต่แววตาของเขาเหมือนมีเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ"เรน นายไม่คิดจะตอบกลับอะไรเธอหน่อยเหรอ?”คีย์ถามขึ้น พลางยกแก้วจิบเล็กน้อย ใบหน้าเจือด้วยความสงสัย“เรื่องของคุณหนูคนนั้นน่ะ…. เธออุตส่าห์ลดตัวเข้าหานายเลยน่ะ จะปล่อยผ่านไปจริงๆเหรอ?”ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น แต่เขาเพียงหัวเราะตอบเบาๆ ยกแก้วจิบช้าๆ ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ผ่านไปสักเดือนเดี่ยวเธอก็ยอมแพ้ไปเอง”“นายคิดอย่างงั้นจริงๆหรอ?” ท็อปพิงโซฟา ถามเสียงขรึม “นี่นายจำไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นลืมกันแน่?”จุนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าเสริม “ใช่ นายลืมทุกอย่างจริงๆ หรือไง? เกี่ยวกับเกาะร้าง และ ทริปทะเลนั่นอีก...”คำพูดของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ก็อย่างที่เคยบอก จำได้แค่ว่าตกเรือ...แล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”คีย์ว