“พี่ซันครับ”
“ว่าไง” เสียงของเด็กหนุ่มทำให้อคิราห์ออกจากภวังค์
“ช่วยผมเลือกได้ไหม” เขาชูรองเท้ากีฬามือข้างหนึ่งถือรองเท้าดำพื้นขาว ส่วนอีกข้างสีเทา
“ถ้าให้พี่เลือกพี่จะเอาสีอะไรครับ”
“สีเทา”
“ทำไมครับ สีดำก็สวยนะ” ไทธัชนั้นชอบทั้งสองสีแต่พอเขาบอกว่าสีเทาสวยเจ้าตัวเลยคิดว่าสีดำก็สวยเหมือนกัน
“งั้นก็เอาสีที่นายชอบ”
เด็กหนุ่มมองรองเท้าในมือทั้งสองข้างสลับไปมา เพราะรู้ว่าราคามันแพงและคงไม่มีโอกาสเลือกซื้อให้ตัวเองแน่ ๆ เขาเลยตัดสินใจค่อนข้างยาก
“น้องครับเอาสองคู่เลยครับ” อคิราห์พูดตัดบทแล้วส่งเครดิตการ์ดให้กับพนักงานซึ่งรับไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม เพราะลูกค้าตัดสินใจเลือกรองเท้าทั้งสองคู่ ราคารวมกันแล้วก็เกือบจะหนึ่งหมื่นบาท
“เดี๋ยว ๆ ผมเอาสีดำครับ” เพราะไม่อยากให้อคิราห์ต้องเสียเงินมากเกินไป เด็กหนุ่มจึงรีบบอกพนักงานอย่างรวดเร็ว
“ได้ค่ะ” พนักงานหันมายิ้มกับรู้สึกขำกับท่าทางของเด็กหนุ่ม
“น้องครับ เอาสีดำเบอร์ 43 ให้พี่คู่หนึ่งครับ” อคิราห์บอกพนักงาน
“พี่ก็จะซื้อเหรอครับ”
“อือ พี่เล็งสีดำไว้แล้ว”
“อ้อ”
ได้รองเท้าคนละหนึ่งคู่ กางเกงและเสื้อกีฬาอีกคนละสองชุด จากนั้นก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีสาขาไปทั่วทั้งประเทศ
“ปกติแล้ววันหยุดวัยรุ่นเขาทำอะไรกัน” อคิราห์ชวนคุย
“เพื่อนผมส่วนใหญ่ก็จะเล่นเกมอยู่บ้าน บางคนก็ออกเดินเล่นดูอะไรไปเรื่อย บางคนก็ไปเรียนพิเศษ ส่วนคนที่มีแฟนก็มาเดินเที่ยวหรือไม่ก็ดูหนังกับแฟน แล้วตอนพี่เป็นวัยรุ่นล่ะพี่ทำอะไรบ้าง
“อันนี้ถามพี่หรือหลอกด่าว่าแก่”
“พี่หมอซันครับ ผมแค่ถาม ผมไม่เคยพูดว่าพี่แก่ มีพี่นั่นแหละร้อนตัวไปเอง”
“งั้นก็แล้วไป ตอนพี่เป็นวัยรุ่นไม่ค่อยมีเวลาออกมาเที่ยวหรอก ตอน ม.ปลายก็ต้องเรียนพิเศษช่วงวันหยุด พอเข้าปีหนึ่งก็ดีหน่อยได้มีเวลาเฮฮากับเพื่อน ๆ แต่หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปกับการ เรียน”
“แล้วหลังเรียนจบล่ะครับ”
“ก็ทำงานใช้ทุน พี่ไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดมาสองปีจากนั้นก็มาเรียนเฉพาะทาง”
“ทำไมถึงอยากเรียนหมอครับ”
“ให้ตอบแบบพระเอกในละครไหม”
“เอาความจริงสิครับ”
“ตอนนั้นไม่รู้จะเรียนอะไร แต่เพื่อน ๆ ในกลุ่มมันชวนมาเรียนไอ้เราก็เชื่อคนง่ายสุดท้ายก็เลยมาเป็นหมอนี่ไง” อันที่จริงเขาอยากเป็นหมอเหมือนบิดาแต่ไม่อยากยอมรับเพราะบิดากับมารดาของเขาหย่าขาดกันไปแล้ว
“เขาว่าสอบเข้ายากมาก”
“ไม่มีอะไรยากหรอก มันมีแค่เรารู้กับเราไม่รู้ ถ้าเราทำแบบฝึกหัดเยอะ ทำข้อสอบเก่า ๆ เยอะหรือข้อสอบที่ยาก ๆ เวลาเรามาเจอข้อสอบจริงมันก็เหมือนว่าคุ้นเคยกันมันมาก่อน แต่ที่ยากคือจะเรียนยังไงให้จบมากกว่า มีเพื่อนพี่หลายคนที่เรียนไม่จบแล้วต้องไปเรียนคณะอื่นกับรุ่นน้อง”
“พี่ซันเก่งมากนะครับที่เรียนจบ”
“พี่เคยบอกแล้วนี่ว่าพี่ไม่เก่ง แต่อาศัยว่าขยัน นายก็เหมือนกันอย่ากลัวคนที่เขาเรียนเก่ง แต่ให้กลัวคนที่เขาขยัน”
“ผมจะพยายามขยันให้มากขึ้น ผมอยากให้แม่กับยายภูมิใจ”
“อือ นายคิดถูกแล้ว แต่ว่านายลืมพี่ไปอีกคนหรือเปล่า”
“ผมจะลืมพี่ซันได้ยังไง ถ้าไม่มีพี่บางทีวันนี้ก็อาจไม่มีผม”
“ถ้าในอนาคตนายได้ดีแล้วก็อย่าลืมพี่”
“ใครจะลืมได้ลง ทั้งหล่อทั้งใจดี สายเปย์แบบนี้ ผมเปลี่ยนใจไม่เรียนแต่ทำหน้าที่เป็นเบ้พี่ซันดีไหม”
“เอาสิ”
“ผมพูดเล่นใครจะทำอย่างนั้น ว่าแต่พี่ซันเถอะอีกหน่อยแต่งงานมีลูกแล้วก็อย่าลืมผม”
“อือ ยังไม่ก็ไม่ลืมหรอกน่า หน้าตาน่ารักน่าเลี้ยงแบบนี้”
“พี่ผมคนนะไม่ใช่แมว”
“อ้าวแมวหรอกเหรอพี่นึกว่าไอ้ตัวที่มันเห่าบ๊อก ๆ เสียอีก”
“ผมไม่คุยกับพี่ละ กินดีกว่า” ไทธัชใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาสีส้มจิ้มกับโชยุก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
ออกจากศูนย์การค้ามาได้เพียงนิดเสียงโทรศัพท์ของอคิราห์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มคิดว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลโทรตามเลยกดรับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดูว่าใครโทรมา
แล้วสีหน้าเขาก็เครียดขึ้นหลังจากรับสาย
“ไท พี่ต้องกลับไปทำธุระที่บ้าน” เขาหันมาบอกคนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ
“จอดข้างหน้าก็ได้เดี๋ยวผมหาทางกลับเอง”
“พี่ไม่ได้บอกว่าจะให้นายกลับสักหน่อย แค่จะบอกว่าเราจะที่ไปบ้านกันก่อน”
“ผมว่าพี่ไปทำธุระ ให้ผมไปด้วยมันจะรบกวนหรือเปล่า บางทีที่บ้านพี่อาจมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุย”
“พี่อยากให้นายไปด้วย”
อคิราห์บอกก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางและความเร็วของรถเพื่อตรงไปยังบ้านของมารดา คุณหมอหนุ่มให้ไทธัชมาด้วยเพราะเขาไม่ค่อยชอบพ่อเลี้ยงของตัวเองเท่าไหร่
รถคันหรูแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ รอบ ๆ บริเวณบ้านกว้างขวางและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลากชนิด บรรยากาศสดชื่นกว่าบ้านในกรุงเทพโดยทั่ว ๆ ไป
“ไท ไปเจอแม่พี่ก่อน”
“ครับพี่”
อคิราห์เดินนำเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้าน เขาเห็นมารดากับแขกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มยกมือไหว้ จากนั้นก็แนะนำมารดาให้รู้จักกับไทธัช เขาบอกแค่เพียงว่าไทธัชเป็นน้องชายคนหนึ่งที่เขาสนิทด้วย
ส่วนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนนั้นบอกว่าตัวเองมีเรื่องบางอย่างที่จะคุยกับเขาและมารดาเกี่ยวกับอคินทร์
“ซัน แม่มีเรื่องจะปรึกษา” คุณอรณี มองมาทางไทธัช เธอคิดว่าไม่ควรให้คนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย
“พูดมาเลยครับแม่ ผมรอฟังอยู่ มันคงไม่ใช่ความลับอะไรใช่ไหม”
“เรื่องของน้อง” เธอหันมามองไทธัชอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาไม่ควรจะนั่งอยู่ในห้องนี้
“พี่ซัน ผมไปรอข้างนอกนะครับ”
“ไม่เป็นไร นั่งตรงนี้แหละ เรื่องของคิวนายก็รู้หมดแล้วนี่”
เมื่อได้ยินลูกชายคนโตพูดแบบนั้นอรณีก็เลยต้องยอมให้ไทธัชฟังเรื่องที่เธอและผู้ชายแปลกหน้าคนนี้จะคุยกัน
ชายแปลกหน้าแนะนำตัวเองอีกครั้งว่าเขาชื่อธีรธรเป็นนักเขียนซึ่งก่อนหน้านั้นได้จ้างให้อคินทร์วาดปกนิยายและอิมเอจตัวละครให้ เขาทำงานร่วมกับอคินทร์มาได้เกือบปีแล้ว
ผลงานล่าสุดที่จ้างอคินทร์นั้นเด็กหนุ่มยังทำงานไม่เสร็จก็เสียชีวิตลองก่อน ธีรธรจึงต้องหาคนทำงานต่อ
ตอนแรกคนที่ติดต่อไปก็ตกลงรับงาน แต่มีข้อแม้ว่าผลงานนั้นจะต้องเป็นชื่อของตัวเอง ธีรธรคิดว่ามันไม่เหมาะสมเพราะคนที่เริ่มงามถึง 60 เปอร์เซ็นต์คือของอคินทร์ เขาติดต่อนักวาดไปหลายคนแต่ก็ไม่มีใครยอมทำโดยใช้ชื่อของอคินทร์เลย
สุดท้ายเขาก็เลยต้องมาขออนุญาตครอบครัวของเด็กหนุ่มผู้ล่วงลับ แต่คุณอรณีเองก็ไม่ยอม เธออยากให้ผลงานเป็นชื่อลูกชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะจากไปแล้วก็ตาม
“ฉันอยากให้ผลงานเป็นชื่อคิว อย่างน้อยนี่ก็เป็นงานสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย”
“จริง ๆ แล้วนักวาดแต่ละคนก็มีลายเส้นไม่เหมือนกัน คนที่ลายเส้นเหมือนน้องคิวต่างก็ปฏิเสธกันหมด ผมก็จนใจจริง ๆ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณไปหาคนอื่นวาดให้ใหม่เลยไหม งานที่น้องชายผมรับไว้ผมจะจ่ายค่าเสียหายให้เอง”
“ผมก็คงต้องทำอย่างนั้นถ้าหาคนวาดต่อไม่ได้จริง ๆ แต่ก็แอบเสียดายเพราะงานของคิวถูกใจผมมาก เขาวาดให้ผมมาหลายเรื่องแล้ว”
ไทธัชเคยเห็นอคินทร์วาดอยู่ในไอแพดตอนคาบว่างอยู่หลายครั้ง เขายังเคยปรึกษาเรื่องรับงานวาดปกนิยายกับเพื่อนร่วมห้อง แต่เพราะตัวเองไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้รับงานอย่างจริงจัง ครั้งสุดท้ายที่วาดปกไปก็ตั้งแต่ต้นปี
“ให้ผมลองวาดต่อให้ไหม ลายเส้นอาจไม่เหมือนแต่ถ้ามีงานเก่า ๆ ให้ศึกษาผมจะพยายามปรับให้เหมือนที่สุด”
คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น
“ไทวาดเป็นเหรอ” อคิราห์หันมาถามอย่างแปลกใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยเห็นไทธัชวาดรูปมาก่อนเลยสักครั้ง“ก็พอได้ครับ แต่ก่อนก็เคยรับงานวาดอยู่ แต่มันต้องใช้เวลาเยอะมาก ผมก็เลยไม่ได้รับมานานแล้ว”“พี่ขอดูผลงานของน้องหน่อยได้ไหม” ธีรธรตื่นเต้น เขาเริ่มมีความหวัง เพราะคิดว่าถ้าผลงานของเด็กคนนี้คล้ายกับอคินทร์ก็คงจะพูดกันไม่ยากเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนเด็กคนนี้จะสนิทกับลูกชายอีกคนของคุณอรณีไทธัชส่งโทรศัพท์ให้กับนักเขียน ในนั้นมีภาพที่เขาวาดเก็บไว้รวมถึงภาพที่เคยทำให้กับนักเขียนคนอื่นอยู่หลายภาพแล้วคนที่นั่งหน้าเครียดก็ยิ้มขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นลายเส้นของไทธัช“ใช้ได้เลย ลายเส้นคล้ายกันมาก”“เคยเห็นผลงานคิวมาก่อนไหม” เขาถามเพราะดูผลงานแล้วเหมือนกับทั้งสองคนมีอาจารย์คนเดียวกัน“ครับ ผมเคยปรึกษาคิวอยู่หลายครั้ง เราปรึกษาอาจารย์คนเดียวกัน”“หนูรู้จักกันด้วยเหรอลูก” คุณอรณีซึ่งตอนแรกดูเหมือนไม่พอใจที่ไทธัชนั่งอยู่ในห้องด้วยก็ตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มที่ลูกชายคนโตพามาด้วยนั้นรู้จักกับลูกชายคนเล็ก“ครับ เราเรียนห้องเดียวกัน”“ถ้าพี่จะให้น้องวาดต่อ แต่ขอเครดิตให้คิว น้องจะโอเคไหม” ธีรธรถามออกไปแล้วก็รอค
ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ไทเปิดประตูให้แม่หน่อย”ไทธัชรีบวางไอแพดในมือแล้วลุกเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว“ทำอะไรอยู่ลูก”“วาดรูปอยู่ครับแม่” เมื่อเห็นมารดามีสีหน้าแปลกใจไทธัชก็เลยต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง“ลูกชายแม่โตขึ้นมากเลย แม่ดีใจที่ลูกทำงานต่อให้เพื่อนแล้วไม่คิดจะเอาผลงานมาเป็นชื่อของตัวเอง”“ผมสงสารเขาครับแม่ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรคิวถึงต้องตัดสินใจจากไปแบบนั้น ครอบครัวของเขาก็ดูอบอุ่นดี”“เขาก็คงมีปัญหาที่บอกใครไม่ได้ ถ้าหมอซันไม่เจอกับไทวันนั้น ไทของแม่ก็อาจจะตัดสินใจแบบนั้นลงไปก็ได้”“นั่นสิครับ พี่ซันเป็นฉุดผมขึ้นมา พอมีโอกาสผมก็เลยอยากทำอะไรให้พี่ซันบ้าง”“คิดดีแล้วล่ะ แล้วไปทำความสะอาดห้องให้พี่เขาดีหรือเปล่า ไม่ใช่ทำแบบลวก ๆ นะลูก”“ผมทำเต็มที่เลยครับมารับรองได้ว่าสะอาดกว่าจ้างแม่บ้านอีก”“ดีแล้ว เขามีน้ำใจกับเรา ช่วยเหลือเรา เราก็ควรตอบแทนบ้าง แต่ใช่ว่าทำงานแค่นี้แล้วเราจะไม่ชดใช้เงินเขานะ มันคนละเรื่องกัน”“ผมรู้ครับแม่ แต่ถ้าให้เงินตอนนี้พี่ซันก็ไม่รับอยู่ดี เขาบอกจะรอตอนผมเรียนจบก่อน”“เงินแค่นี้มันคงเล็กน้อยสำหรับเขา แต่สำหรับเราแล้วมันก็ถือว่าเยอะอยู่มาก เพราะฉะนั้นอะไรท
“ทำไมวันนี้ยายทำกับข้าวเยอะจังคะ” มนัสสรถามอย่างแปลกใจเพราะตอนนี้โต๊ะทานอาหารที่คิดว่าใหญ่กลับขนาดเล็กลงไปในพริบตาเมื่อบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากชนิด“วันนี้หมอซันเขาจะมาทานข้าวด้วย”“ใครคือหมอซันค่ะยาย”“หมอซันเขาเป็นรุ่นพี่ของไทจ้ะฝ้าย” มัทนารีบบอก เธอกลัวยายมาลัยจะเผลอเล่าเรื่องราวของไทธัชให้กับหญิงสาวฟัง มัทนาไม่อยากให้เรื่องของลูกชายรู้ไปถึงหูคนอื่น แม้ว่าจะเป็นญาติก็ตามรถยนต์คันหรูจอดที่หน้าบ้านหลังเล็ก ไทธัชเป็นคนเปิดประตูลงมาก่อนจากนั้นคนที่ตามมาก็คืออคิราห์“สวัสดีครับยาย สวัสดีครับแม่”“สวัสดีจ้ะ หิวกันหรือยังยายทำกับข้าวไว้เยอะเลย”“หิวนิดหน่อยครับ”“งานหมอซันยุ่งหรือเปล่า แม่กลัวว่าเจ้าไทจะไปกวนเวลางาน”“ยุ่งเป็นปกติครับแม่ ไทไม่ได้กวนอะไรผมหรอกครับ ดีเสียอีกไปช่วยทำความสะอาดห้อง ผมสบายเลยไม่ต้องจ้างแม่บ้าน”“ใช้งานได้ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”“ครับแม่”อคิราห์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีคนที่เขาไม่รู้จักนั่งรวมอยู่ด้วย เขาหันมามองไทธัชพร้อมกับเลิกคิ้วสูงเชิงถาม“นี่พี่ฝ้าย เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมครับพี่ซัน”“สวัสดีค่ะ พี่ซัน” หญิงสาวทักทายอย่างเป็นกันเอง“สวัส
ไทธัชยกของขึ้นหลังรถกระบะเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอรถออกไปพ้นรั้วบ้านเขาก็ปิดประตูแล้วกลับเข้ามานอนต่อ เมื่อคืนกว่าจะลงสีรูปปกนิยายของคุณธีรธรเสร็จก็ถึงเวลาที่มารดาและยายตื่นมาทำกับข้าวพอดีเด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงรถของมารดาแล่นเข้ามาจอดในเวลาเกือบสิบโมง เขารีบล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะออกไปช่วยมารดาและยายยกของลงจากรถ“ผมช่วยครับแม่” ไทธัชรีบเข้ามารับหม้อใส่กับข้าวจากมารดาก่อนจะนำไปเก็บในห้องครัวเพื่อเตรียมล้าง“เมื่อคืนนอนดึกเหรอ ดูหน้าไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ”“ครับแม่ เมื่อคืนลงสีรูปเพลินไปหน่อย”“ใกล้จะเสร็จหรือยัง นี่ก็จะเปิดเทอมแล้วนะ จะได้เอาเวลาไปอ่านหนังสือ”“เสร็จแล้วครับแม่ เดี๋ยวก็ว่าจะให้พี่ซันช่วยดูอีกทีก่อนจะส่งให้คนจ้างครับ”“ถ้าเขาให้เงินมาก็รับไว้ เพราะอย่างน้อยไทก็ทำงานให้เขาอย่างเต็มที่ แล้วก็เอาเงินไปทำบุญให้เพื่อนด้วย เข้าใจไหม”“ครับแม่”“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็ไปนอนต่อได้นะ แม่กับยายจะเก็บล้างเอง แล้วนี่พี่ฝ้ายไปไหน”“ผมยังไม่เห็นเลยครับ สงสัยจะยังไม่ตื่น”มัทนาส่ายหัว ตั้งแต่หลานสาวมาอยู่ด้วยเธอไม่เคยเห็นมนัสสรช่วยหยิบจับอะไรในบ้านเลยสักนิด คนเป็นน้าไม่ได้หวัง
ไทธัชเรียนเสร็จแล้วก็ออกมาหาอคิราห์ เขาให้ชายหนุ่มช่วยดูรูปที่วาดและลงสีต่อจากอคินทร์ซึ่งตอนนี้มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว“พอใช้ได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มถามอย่างไม่มั่นใจเพราะนานแล้วที่ไม่ได้ทำงานแบบนี้“พี่ว่ามันโอเคเลย ไม่นึกเลยว่านายจะมีฝีมือขนาดนี้ วันหลังวาดรูปให้พี่ด้วยได้ไหม”“ได้สิครับ พี่อยากให้วาดตอนไหนก็บอก”“เอาไว้ตอนที่นายว่างก็แล้วกัน ตอนนี้ยังต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบอีกไม่ใช่เหรอ”“งั้นสอบเสร็จจะวาดให้นะครับ”“อือ แล้วจะส่งให้คุณธีรธรเลยหรือเปล่า”“ครับ ผมว่าเขาคงกำลังรออยู่ ถ้ามีส่วนไหนต้องแก้ไขผมจะได้รีบทำ เพราะเปิดเทอมใหม่ ๆ คงยังไม่ต้องเรียนหนักมาก”“งั้นก็รับจัดการเลย”ไทธัชส่งภาพให้กับคุณนักเขียนตามเมล์ที่เขาให้ไว้ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือต่ออีกพักใหญ่ อ่านไปได้ไม่ถึงสิบหน้า ธีรธรก็โทรกลับมาเด็กหนุ่มเลี่ยงไปคุยในห้องนอนเล็กเพราะไม่อยากรบกวนอคิราห์ที่กำลังนอนเล่นอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขกคุณธีรธรชื่นชมผลงานที่ไทธัชส่งให้เป็นอย่างมาก และก็ขอร้องให้ไทธัชช่วยวาดปกให้เขาอีก สำหรับนิยายเรื่องต่อไปที่เขากำลังจะแต่ง แต่เด็กหนุ่มก็ปฏิเสธเพราะเขาต้องอ่านหนังสือสอบกลัวว่าจะทำงานให้กับธี
เปิดเทอมวันแรกไทธัชไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า เพราะไม่ได้เจอเพื่อน ๆ มานานเกือบหนึ่งเดือน การอัปเดตข่าวสารของแต่ละคนจึงดังไปทั่วห้องหลังจากเข้าแถวเสร็จแล้วทุกคนก็คุยกันเสียงดังโหวกเหวกอีกครั้ง ยิ่งเมื่ออาจารย์ที่สอนคาบแรกแจ้งมาในไลน์ว่าให้ทุกคนอ่านหนังสือกันเองเพราะอาจารย์ต้องไปประชุมกับหัวหน้าสายชั้น เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้นอีกเท่าตัว“แทน มึงมาสายนะ” ไทธัชทักทายเพื่อนสนิทเมื่ออีกคนมาไม่ทันเข้าแถว“กูยังไม่ชิน นอนดึกตื่นสายมาเกือบเดือน เมื่อเช้ากูแทบลุกไม่ขึ้น แล้วมึงเป็นไงบ้างวะ”“กูก็ตื่นเช้าปกติอยู่แล้ว”“กูหมายถึงงานพิเศษ”“อ๋อ กูไปทำงานที่ร้านกาแฟ”“เงินมันจะพอคืนพี่เขาเหรอวะ”“ไม่พอหรอก แต่พี่เขายังไม่เอาเงินตอนนี้ เขารอให้กูเรียนจบก่อนค่อยจ่าย”“พี่ไอ้คิวใจดีฉิบหายเลย กูอยากมีพี่ใจดีแบบนั้นบ้างจัง”“อือ เขาใจดีกับกูมาก จนกูเกรงใจ”“ไหนว่ามึงไม่มีเงินแล้วทำไมถึงซื้อโทรศัพท์ใหม่” แทนคุณตาไวเห็นโทรศัพท์ที่เพื่อนรักเอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วสอดไว้ใต้โต๊ะเขาเลยต้องเล่าเรื่องเมื่อวานให้กับแทนคุณฟัง“กูกว่ามันก็โอเคนะ ถ้าเขาไม่ได้เข้าห้องผ่าตัดคงเสียเงินเป็นแสน หรือบางที่ถ้าเขาเจ็บมาก ๆ
บ่ายวันอาทิตย์ไทธัชมาทำความสะอาดห้องให้กับอคิราห์อย่างเคย แต่วันนี้นอกจากชายหนุ่มเจ้าของห้องจะไม่ลงไปออกกำลังกายแล้ว วันนี้เขายังเอาแต่นั่งจ้องไทธัช จนเด็กหนุ่มอดถามอย่างสงสัยไม่ได้“พี่หมอซันมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ผมเห็นจ้องมานานแล้ว”“ไม่มีอะไรแค่อยากมองก็เท่านั้น”“จะบอกว่าไว้ผมทรงนี้แล้วผมหล่อใช่ไหมล่ะ”“งั้นมั้ง” คุณหมอหนุ่มตอบพร้อมหัวเราะมันก็จริงอย่างที่เจ้าตัวพูดเพราะตอนนี้ผมทรงนักเรียนของไทธัชนั้นยาวขึ้นมากแล้ว แต่เจ้าตัวไม่คิดจะตัดเพราะอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะเรียนจบแล้วจากเด็กนักเรียนหัวเกรียนกลายเป็นหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าหล่อเหลาจนเขาเผลอนั่งมองอยู่นานพอเห็นว่าอีกคนทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็เรียกให้มานั่งใกล้ ๆ“ไท ถึงแม้จะมีที่เรียนแล้ว แต่ก็ต้องตั้งใจเรียน ไม่ใช่คิดว่าตัวเองสอบได้แล้วเลยไม่สนใจที่จะเรียน ถ้าเกิดพลาดติด 0 ติด ร ขึ้นมามันคงไม่ดีเท่าไหร่”“ผมไม่ทิ้งการเรียนหรอกครับ อยากให้เกรดออกมาสวย ๆ ว่าแต่ทำไม่วันนี้พี่ดูเครียดจังเป็นอะไรหรือเปล่า”“อาทิตย์หน้าพี่ก็จะต้องไปเรียนแล้ว”“ไปเรียนอะไร ไปเรียนที่ไหนครับ” เขาถามด้วยความตกใจ“พี่จะไปเรียนเฉพาะทางที่อเมริกา
หลังจากไทธัชออกจากห้องไปแล้วอคิราห์ก็นอนไม่หลับ เขาจึงตรวจดูรายการของที่ไทธัชซื้อมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างได้ครบตามที่สั่งก็เริ่มจัดบางส่วนลงกระเป๋าระหว่างรอเวลาที่จะไปทำงานขณะกำลังจะออกจากประตูก็ต้องยิ้มเมื่อเห็นว่าไทธัชลืมเสื้อแขนยาวตัวเก่งที่ไทธัชใส่อยู่เป็นประจำไว้บนโซฟาตัวเล็กที่อยู่ปลายเตียงอคิราห์ยัดมันลงไปยังกระเป๋าเดินทางด้านล่างสุด ในเมื่อพาเจ้าของไปด้วยไม่ได้ เขาจะเก็บไว้เป็นตัวแทนยามที่คิดถึงคนที่นอนกอดเมื่อคืนก่อนเดินทางอคิราห์ก็ยุ่งทั้งเตรียมเอกสารและเคลียร์งานที่คั่งค้าง เขาแวะไปทานข้าวที่บ้านของไทธัชเพื่อบอกลามารดาเละยายของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ไปบอกมารดาของตัวเองที่บ้าน นับว่าโชคดีที่พ่อเลี้ยงของเขาไม่อยู่ ชายหนุ่มจึงได้คุยกับมารดานานกว่าทุกครั้งเขาไม่ได้ไปบอกบิดาด้วยตัวเอง เพียงแต่โทรไปแจ้งให้ท่านทราบเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าอีกคนงานยุ่งมากแค่ไหนระหว่างกลับจากที่ธุระในเช้าก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน ไทธัชก็โทรมาหาอคิราห์ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“พี่ซัน เห็นเสื้อคลุมของผมไหม น่าจะลืมไว้ที่นั่น” ไทธัชโทรถาม หลังจากที่หาเสื้อตัวโปรดอยู่นาน“สีน้ำเงินใช่ไหม”“ใช่ ๆ มันอยู่