ไม่ล้อเล่น
ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว
ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เลยสักนิดเดียว
ผมกลับอพาร์ตเมนท์มานอนหลับให้หายเหนื่อย แล้วจึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่น ฉีดน้ำหอมนิดหน่อยแล้วเดินทางไปยังร้านเก้าหนึ่ง จุดหมายปลายทางหนึ่งเดียวของผมในคืนวันศุกร์ที่แสนสดใส
.
วันศุกร์ที่แสนสดใสจบลงในสองชั่วโมง ผมเดินเข้าร้านเก้าหนึ่งด้วยลุคหนุ่มหล่อเนี้ยบเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค แต่ไม่รู้จะได้ออกจากร้านด้วยลุคไหน เพราะพอผมดื่มแก้วที่สองหมด ผมก็ละทิ้งความเป็นมนุษย์ หวนคืนสู่สุนัขตัวหนึ่ง
“บรู๋วววว” ผมไม่ได้ล้อเล่น
“มันหอนจริงว่ะ” พี่เจฟคนท้ายื่นเงินยี่สิบบาทให้ผม “แค่ยี่สิบก็เอานะมึง”
“ห้าบาทสิบบาทผมก็เอาทั้งนั้นนะพี่” ผมหยิบธนบัตรสีเขียวใส่กระเป๋าเสื้อ กระเถิบเข้าไปจะหอมแก้มพี่เจฟเป็นการตอบแทนแต่ก็โดนยันออกมาซะก่อน ว้าแย่จัง
“เกิดมาหล่อทั้งทีคีพลุคหน่อยเถอะหมิงถือว่าเจ๊ขอ” พี่มะลิทำใจมองไม่ได้ ส่วนพี่เจฟที่ทำท่าขนลุกขนพองอยู่ข้างๆขยับไปเบียดพี่มะลิอีกที ปากกระซิบขมุบขมิบว่ามะลิช่วยกูด้วย พี่สาวปากแดงผลักหนุ่มแว่นออกโดยไม่ได้เสียเวลาคิด
“เกิดมาหล่อแล้วไม่จำเป็นต้องคีพครับ” แล้วผมก็ยักคิ้วทีหนึ่ง ครั้งนี้น่าจะขนลุกกันรอบวง ผมหัวเราะสนุกสนานทั้งร่างกายที่เริ่มหนักอึ้งและเชื่องช้า ผมยังคุยรู้เรื่องแต่การรับรู้ค่อนข้างพร่ามัวไปเยอะ ถึงอย่างนั้นก็สนุกมากจนไม่อยากหยุดดื่ม
“มันกินไปแค่สองแก้วไม่น่าเมาขนาดนี้มั้ยพี่เต” พี่มะลิหันไปเช็คกับเจ้าของร้านคนที่เห็นผมตั้งแต่แรกเดินเข้าร้านในสภาพหนุ่มหล่อ พี่มะลิกับพี่เจฟเพิ่งตามมาทีหลังนี่เอง
“สองจริง แต่แก้วละสิบกว่าทั้งนั้น” พี่เตพูดถึงเปอร์เซ็นต์แอลกอลฮอล์ “อยากเมาขนาดนี้นี่อกหักหรือโดนหัวหน้าแดกหัวมามันก็ยังไม่เห็นบอก”
“คนอยากเมาน่ะพี่ ถ้ามันฝันอยากเป็นหมา ก็ให้มันเป็นหน่อยแล้วกันคืนนี้” พี่เจฟเห็นเป็นมุกตลกขำขัน บอกให้ผมหอนอีกรอบผมก็ทำ
“ทุเรศลูกตาจริงๆ” พี่มะลิบ่น มองไปรอบร้านที่คลาคล่ำด้วยผู้คนแต่เธอก็ไม่เห็นผู้ชายผิวแทนหน้าคุ้นที่ตามหา “ดึกป่านนี้แล้วพี่ศินคงไม่มาแน่เลย”
“ก็ยุ่งประจำนะคนนั้น” พี่เจฟเสริม ก่อนหันมาโยกหัวผม “อดมาเห็นหมาในร่างคนเลย”
“ดีแล้ว คนดีๆอย่างพี่ศินอย่าให้มาเห็นอะไรอุจาดแบบนี้เลย” พี่มะลิลงความเห็น
ผมถลึงตาใส่พี่สาวตัวดีทีหนึ่งแล้วก็มองไปรอบร้านบ้าง คืนวันศุกร์คนเยอะเป็นพิเศษกระทั่งที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ก็ถูกจับจองจนแน่นเอี้ยด ไม่มีวี่แววของพี่ใหญ่คนนั้นตรงทางเข้าร้าน ผมรับเบียร์แก้วใหม่มาจากพี่เตแล้วยกขึ้นจิบ ตั้งแต่มาถึงที่ร้านผมยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ตัวเองลาออกเลย มันมีทั้งความรู้สึกอยากระบายและขี้เกียจพูดปะปนกันอยู่ ชีวิตผมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ แต่ผมรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ดูถูกหรือซ้ำเติมผมหรอก จริงๆผมก็กะจะบอกพวกเขาตอนที่ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ถ้าพี่วศินไม่มาก็บอกเดอะแก๊งแค่นี้ก่อนก็ได้
ผมนั่งหลังค่อมจนดูเหมือนกุ้ง วางคางตัวเองไว้กับเคาน์เตอร์บาร์ หลับตาสารภาพความในใจ “จริงๆวันนี้ผมลาออกแล้วแหละ”
ผมคิดว่าจะได้ยินเสียงตอบรับจากพี่เจฟกับพี่มะลิ แต่ไม่ใช่ เสียงทุ้มนุ่มที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆกับความอุ่นบริเวณหัวไหล่จากฝ่ามือของใครอีกคน
“จริงเหรอ” เสียงทุ้มขึ้นสูงเล็กน้อย
ผมหันไปมอง แล้วก็เจอกับพี่วศินที่ยืนทำหน้าประหลาดใจอยู่ตรงนั้น ผมยิ้มให้เขาโดยอัตโนมัติ
“นึกว่าพี่จะไม่มาแล้ว” พี่มะลิทักทาย ก่อนจะกลับมาที่ประเด็นของผมอย่างรวดเร็ว “สักทีนะไอ้หมิง ทนมันอยู่ได้ตั้งนาน”
พี่เจฟสนับสนุน “ก็คิดอยู่ว่าต้องมีอะไรแล้วเพิ่งมาบอก อย่างนี้ต้องฉลองเว้ย พี่เตแก้วนี้ผมเลี้ยงมันเอง” หนุ่มแว่นชี้นิ้วมาที่แก้วในมือผม พี่เตพยักหน้า
“แก้วหน้าเจ๊เลี้ยงเองหนู” พี่มะลิไม่ยอมน้อยหน้า ซึ้งจัง
ผมหันไปขอบคุณทั้งสองคน “รู้งี้ผมบอกนานละว่าลาออก”
“ไอ้เด็กนี่โลภมาก” พี่มะลิเอื้อมมือมาตีผม ผมหัวเราะร่า แน่นอนว่าพี่วศินที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผมก็เข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย พี่ชายผิวแทนหัวเราะพลางกอดคอผม
“งั้นในบิลที่เหลือพี่เลี้ยงเอง ไม่อั้น” การแข่งขันครั้งนี้พี่วศินชนะเลิศ
ผมจับแขนล่ำที่โอบรอบคอตัวเองแล้วเอนซบคนตัวใหญ่ด้านหลังทันที กับคนใจป้ำเราต้องออเซาะเขาเยอะๆ “ผมรักพี่วศินที่สุดเลย”
ทุกคนหัวเราะแล้วชนแก้ว
การเป็นน้องน้อยในกลุ่มมันดีแบบนี้แหละครับ
ตอนที่พี่วศินมาถึง บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ไม่เหลือที่ว่างแล้ว แต่ประจวบเหมาะมีลูกค้าโต๊ะหนึ่งกำลังเช็คบิลพอดีเราทุกคนจึงย้ายไปนั่งตรงนั้น พอทุกคนมาครบผมเลยระบายความในใจยกใหญ่
“เจ้านายแม่งสั่งแต่อะไรหมาๆ ผู้จัดการก็ไม่เคยช่วยอะไร ที่ผ่านมาผมทนได้มาตลอดนะแต่เมื่อวานมันสุดจะทนจริงๆว่ะ ผมของขึ้นแล้วก็เดินไปลาออกแม่งเลย” เสียงของผมเจื้อยแจ้ว ใส่อารมณ์เต็มพิกัด
“บริษัทท็อกซิกขนาดนั้นออกมาก็ดีแล้ว พักสักแป๊บแล้วค่อยหางานใหม่เอาไอ้หมิง มันไม่ได้ยากขนาดที่มึงคิดหรอกเชื่อเจ๊สิ” พี่สาวปากแดงให้กำลังใจจากที่นั่งทางซ้าย จิ้มไส้กรอกเยอรมันจานใหญ่บนโต๊ะเข้าปาก จานนี้เป็นอภินันทนาการจากพี่เตเนื่องในโอกาสที่ผมลาออก
“ผมก็กะว่าอย่างนั้นแหละ ตอนนี้เคว้งคว้างสุดๆแต่ก็สบายใจขึ้นเยอะ”
“หัวหน้านั่นชื่ออะไรนะ มีรูปป้ะ เผื่อเจอจะได้ต่อยหน้ามันให้” พี่เจฟอดีตนักเลงพูดจากทางขวา ผู้ชายคนนี้คำพูดไม่เข้ากับหน้าติ๋มๆใส่แว่นของแกเอาซะเลย
“ไม่อยากซื้อข้าวผัดไปเยี่ยมน่ะสิ” ผมเย้า
“ต่อยคนจ่ายห้าร้อยก็จบ”
“ตอนนี้หมื่นนึงแล้ว เพิ่งออกมาจากถ้ำรึไงพี่”
“จริงเหรอวะ”
“จริง”
“งั้นหมื่นนึงก็ได้ แต่กูขอต่อยมึงก่อนนี่แหละ”
ผมโยกตัวหลบหมัดของพี่เจฟอัตโนมัติ แต่ปากยังไม่หยุด “โฮ่ง ทำร้ายสัตว์ปรับหนักกว่าคนนะพี่ ไม่คุ้มๆ”
พี่มะลิ “มึงนี่ก็เล่นเป็นหมาไม่เลิก”
ส่วนพี่วศินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแค่ยกเบียร์ขึ้นจิบแล้วหัวเราะไปกับบทสนทนา พี่ชายคนนี้อายุมากแล้วแกพูดแทรกไม่ทันพวกผมเท่าไหร่ แค่ส่งสายตาอบอุ่นใจดีมาให้ เลี้ยงเหล้าเลี้ยงกับแกล้มบ้างอยู่เรื่อยเท่านั้น สมแล้วที่ผมให้ความศรัทธาเหมือนญาติผู้ใหญ่ เห็นแกทีไรก็อยากจะยกมือไหว้งามๆทุกที
พี่มะลิกับพี่เจฟร่วมฉลองปนปลอบใจผมอีกสองสามประโยคแล้วขอตัวกลับก่อนตามประสาคนมีครอบครัว ผมร่ำลาพวกเขาเสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีที่โต๊ะก็มีพี่วศินนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเบียร์แก้วใหม่ที่ผมไม่ได้สั่ง
“ตั้งใจมอมผมแน่ๆ” ผมหัวเราะแต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจทั้งที่บ้านเริ่มหมุนแล้ว ผมย้ายที่นั่งมานั่งข้างๆเขาเพราะนั่งไกลกันมันต้องพูดเสียงดัง
“ถ้าเราไม่ไหวพี่กินเอง” พี่วศินไม่ได้บังคับ ทำท่าจะดึงแก้วกลับไปแต่ผมตั้งการ์ดให้แก้วเบียร์ใบน้อยของผมเรียบร้อย
“ให้แล้วให้เลยสิครับ” คนเมามันไม่กลัวหัวทิ่มหรอก “วันนี้มาช้า งานเยอะอีกแล้วเหรอ”
“อืม ใกล้ขึ้นโปรดัคชั่นแล้วน่ะ” พี่วศินโคลงแก้วในมือไปมา ดวงตามองน้ำสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของเบียร์สเตาท์ภายใน
เบียร์ในแก้วของผมที่พี่วศินใจดีสั่งให้ก็เป็นเบียร์ดำข้นคลั่กอย่างเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าผมชอบซาวเออร์มากกว่าพี่แกก็ยังขายของให้ผมลองสเตาท์อยู่นั่น ผมจิบน้ำสีดำลงคอ แก้วนี้รสชาติดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ
“อันนี้อร่อยอ้ะพี่” ผมหันไปบอกเขาแล้วก็กระดกเบียร์เข้าปากอีก
“พี่บอกแล้วให้เราเปิดใจ” คนใจดีหัวเราะขำ เขายื่นนิ้วเข้ามาปาดฟองที่เปื้อนเหนือริมฝีปากผมออก “ไหวมั้ยเนี่ยเรา ปกติไม่เห็นจะกินเลอะเทอะ”
ไม่ไหวครับพี่
ผมอยากจะตอบแบบนี้เพราะความใจดีเบอร์ร้อยของแก ไอ้ความอบอุ่นใจดีจนจั๊กกะจี้ของพี่เขาทำเอาผมเกย์แพนิคมาหลายรอบแล้ว ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักที
ไม่รู้ว่าหน้าตาผมมันดูประหลาดหรือดูโง่ยังไงหรือเปล่า พี่วศินเลยจ้องหน้าผมแล้วอมยิ้มแบบนั้น ผมทำใจให้สบายแล้วตอบเขา “สบายมากพี่”
“เก่งๆ” พี่ชายผิวแทนตัวใหญ่เอนหลังกลับไป
“ขอบคุณที่ชมว่าผมขี้เมาครับ” ผมหยอกล้อ
“แก๊งเรามีใครไม่ขี้เมาบ้าง” เขาหัวเราะอีก พูดอย่างนั้นแต่ผมไม่เคยจะเห็นเขาเมาสักครั้ง ถ้ามาเร็วเขาก็ค่อยๆกินช้าๆ เวลามาช้าก็ได้กลับบ้านก่อนจะเมา “อยากพักมานานแล้วก็ต้องได้พักนะ ทำใจให้สบาย อย่ากดดันตัวเองเกินไปล่ะ”
ไม่รู้ว่าเพราะผมตั้งใจฟังและคิดตามเฉยๆ หรือเพราะเมาแล้วอ่อนไหวด้วย ผมจึงน้ำตารื้นขึ้นมานิดหน่อยกับคำพูดธรรมดาของพี่แก “ครับ”
“เหนื่อยไหมเรา”
“เหนื่อยมากเลยพี่” ผมหัวเราะขื่นๆ “วีคที่ผ่านมาผมแทบไม่เป็นอันกินอันนอนเลย ผมว่าผมใส่ความพยายามไปจนสุดตัวแล้ว แต่ก็…”
“ไม่มีใครเห็นค่าความพยายามของเรา?”
“ใช่เลยพี่” ผมจ้องแก้วเบียร์ที่น้ำลดลงไปครึ่งหนึ่ง จิตใจจมดิ่งกับเรื่องตัวเอง “ผมรู้ตัวนะว่าตัวเองไม่ได้เก่ง แต่อย่างน้อยผมก็คาดหวังให้เขาเห็นค่าความพยายามของผมบ้าง ผมว่าผมหวังน้อยแล้วแต่มันก็ยังผิดหวังอยู่ดี สุดท้ายผมก็เลยผิดหวังในตัวเอง”
แรงบีบที่บ่าทำให้ผมรู้ว่าพี่วศินพยายามให้กำลังใจ มันเป็นสัมผัสอบอุ่นเฉพาะตัวที่ทำให้ผมจำได้ทันทีว่านั่นเป็นมือเขา เพราะเขาเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าคนอื่นๆมาตลอด ยิ่งมาเจอกับผมที่ปกติเป็นคนตัวเย็นแล้ว ความอบอุ่นนั้นยิ่งร้อนมากขึ้นจนครั้งแรกที่พี่วศินจับตัว ผมถึงกับสะดุ้งเล็กๆเลยทีเดียว
“ทำไมหมิงถึงคิดว่าตัวเองไม่เก่งล่ะ” ผมรู้สึกเหมือนโดนตะล่อมถามเพื่อให้ระบายความในใจ และผมก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“ตั้งแต่ทำงานที่นี่ ผมไม่เคยได้รับคำชมเลย” ผมเหยียดยิ้มเศร้าๆ “เจ้านายบอกว่าผิดหวังในตัวผมตลอด”
“แต่ก็เอางานหมิงไปใช้ตลอดนี่”
“เขาบอกว่าเขาไม่มีตัวเลือก”
พี่ชายคนนี้เริ่มเท้าคางทำหน้าบูดขึ้นมา “ถ้างานหมิงแย่ขนาดนั้น ทำไมไม่จ้างคนใหม่แล้วเอาหมิงออกซะล่ะ”
“ไม่อยากเสียเงินจ้างผมออกมั้งครับ” ผมเดา
“หมิง อย่าดูถูกตัวเองขนาดนั้น” พี่วศินใช้สองมือประคองศีรษะซ้ายขวาของผมเอาไว้ ให้ผมประจันหน้ากับเขา ผมโดนมือร้อนๆของเขาประกบเอาไว้เหมือนกับแซนด์วิชโง่ๆชิ้นหนึ่ง
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน น้ำตาผมเริ่มไหล
“พี่บอกเลยว่าถ้างานหมิงแย่ขนาดนั้น การจัดจ้างคนใหม่และเอาหมิงออกไม่ใช่เรื่องยากเลย หัวหน้าที่ดีจะไม่ปล่อยให้หมิงต้องลำบากอยู่คนเดียวในแผนกจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้แบบนี้ด้วย อย่างน้อยก็ควรมีสักคนที่ช่วยหมิงเพื่อให้งานออกมาดี และหมิงก็รู้ว่าบริษัทหมิงไม่ได้เล็กขนาดนั้น ทุกคำถามที่หมิงถามตัวเอง และตอบตัวเองว่าเพราะหมิงไม่เก่งพอ พี่ยืนยันได้เลยว่าไม่ใช่ความผิดหมิง แต่เป็นบริษัทที่ทำให้หมิงคิดแบบนั้น”
พี่วศินพูดยาวอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อย น้ำตาผมไหลจนเริ่มยากที่จะไม่ส่งเสียงสะอื้น
ผมก็สงสัยมาตลอดว่าตัวเองแค่ถูกเอาเปรียบ แต่ความมั่นใจในตัวเองที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของผมก็คอยแต่ตอกย้ำว่าผมมันกระจอกต่างหากมาตลอด
ผมสงสัยแต่ไม่เคยมีใครมายืนยันเลยว่าผมดีพอ
พี่วศินปล่อยใบหน้าผมแล้วดึงทิชชู่มาให้ผมใช้ซับน้ำตา เขานั่งกอดอกอยู่ข้างๆ “ทนเหนื่อยมาได้ตั้งนาน เก่งแล้วแหละที่ออกมา เรื่องงานใหม่ไม่ต้องกดดันตัวเองหรอก พักผ่อนสักพัก เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้ มีอะไรไม่ไหวก็ให้พี่ช่วยได้”
“จริงเหรอครับ”
“จริงสิ”
“พี่วศินใจดีจัง”
“กับเราพี่ใจดีด้วยได้อยู่แล้ว ดูที่มันทำกับน้องพี่สิ จะให้พี่ปล่อยเราไปได้ไง” เขาพูดแล้วดื่มเบียร์ลงไปทีเดียวเกือบหมดแก้ว
พี่วศินตอนนี้ดูหงุดหงิดกว่าปกติที่เป็นคนใจดีที่ผมคุ้นเคย ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรแต่ผมจะเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนเพราะมันทำให้รู้สึกดี พี่เขาทำให้ผมได้ระบายความรู้สึกแย่ๆออกมาผมจึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณ “ขอบคุณนะครับ แต่มีผู้ชายตัวโตๆมานั่งร้องไห้แบบนี้พี่คงเสียอารมณ์แย่” ผมพูดพลางพยายามทำให้ตัวเองหยุดร้องไห้
“คิดมาก ผู้ชายตัวโตแค่ไหนก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้นแหละ” พี่เขาบีบบ่าผมอีก หางคิ้วเข้มๆลู่ลงทำหน้าลำบากใจ “เมาเป็นหมาขนาดนี้แล้วแค่ร้องไห้ไม่มีใครถือหรอกน่า”
ผมหัวเราะพลางซับน้ำตาตัวเองไปพลาง พยายามพูดจาให้รู้เรื่องทั้งที่เมามากและอารมณ์ก็แปรปรวนมาก พยายามแบบนี้เป็นอะไรที่ฝืนสติมากเกินไปหน่อยจริงๆ ผมได้ยินคำว่าหมาแล้วก็นึกถึงความฝันสูงสุดของตัวเองขึ้นมา หลุดพูดพล่อยๆตามที่เคยปาก
“ถ้าผมเป็นหมาได้จริงๆก็ดีสิ เงินก็ไม่ต้องหา แค่ทำตัวน่ารักไปวันๆก็พอแล้ว”
“พูดบ่อยขนาดนี้พี่จะคิดว่าเราอยากเป็นหมาจริงๆแล้วนะ” พี่วศินเท้าคาง ดวงตาสีดำล้ำลึกของเขาหรี่ลง เป็นห่วงสติของผมที่ดูเหมือนจะใกล้หลุดเต็มที
“ผมอยากเป็นจริงๆ ไม่เคยล้อเล่น” ผมโวยวาย
“อาการหนักอย่างที่มะลิบอกจริงๆ” พี่ชายส่ายหน้า “อย่างนี้ต้องทดสอบสักหน่อย ขอมือหน่อยซิ”
ผมวางมือแปะลงบนฝ่ามืออุ่นของเขาที่ยื่นรอไว้ทันที พี่วศินยิ้มขันแล้วใช้มือซ้ายจับมือของผมเอาไว้ มือขวายกขึ้นลูบศีรษะเหมือนให้รางวัลสุนัขตัวโต เสียงทุ้มเอ่ย “เก่งมาก”
ผมยิ้มตาหยี อยากจะลงไปนอนกลิ้งแลบลิ้นแทบเท้าเขาแต่สติที่ยังพอมีเหลืออยู่ห้ามผมไว้ได้ทัน
พี่วศินที่ใจดีเล่นเป็นเจ้านายให้ผมมอบรางวัลให้กู๊ดบอยเป็นเบียร์ที่ยังเหลืออยู่ในแก้ว “ดื่มซะๆ”
ผมจิบลงคออึกๆตามที่เขาบอก
“หมิงแสนรู้เหมือนหมาจริงๆด้วย”
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่ล้อเล่น ผมฝึกมาแล้ว” ผมยืดอก รู้ตัวว่ากำลังอวดอะไรที่น่าอายแต่ผมก็เมาเกินกว่าจะหุบปาก
“ต้องเป็นคนรวยเท่านั้นเหรอ หมิงถึงจะอยากเป็นหมาให้” พี่วศินยิงคำถามที่เริ่มไร้สาระมากขึ้นเรื่อยๆ การเล่นอะไรไร้แก่นสารแบบนี้ตอนเมามันสนุกดีนะครับ สนุกจนผมไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตาของเขาดูเอาจริงเอาจังขึ้นมานิดหน่อย
“จริงๆไม่ต้องก็ได้ ขอแค่เลี้ยงผมได้สบายๆไม่เดือดร้อนก็พอ ผมกินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมากหรอก” ผมไม่รู้ว่าตัวเองยังโฟกัสกับการเป็นหมาอยู่หรือเปล่า บางทีก็เหมือนจะใส่ตัวเองเข้าไปในบทสนทนามากจนเกินไป
“อย่างพี่นี่เรียกว่ารวยได้ยัง” พี่วศินชี้ตัวเอง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำลงมาสองเม็ด คนออกกำลังกายจนตัวใหญ่อย่างพี่เขาคงขี้ร้อน
“รวยแล้ว” อย่างพี่วศินที่เลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่อยู่บ่อยๆ หน้าที่การงานก็แสนจะมั่นคง บ้านก็มี เงินเดือนก็เกินแสนไปตั้งนานแล้ว ชนชั้นกลางเดือนชนเดือนอย่างผมถ้าไม่ให้เรียกว่ารวยก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรได้ ผมเข้าใจว่าพี่เขาตั้งใจเล่นด้วยก็เลยออดอ้อนเต็มที่ โถมตัวใส่อีกคนแล้วกอดแขนซ้ายของเขาเอาไว้แน่น “สนใจเลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆสักหน่อยไหมครับ เลี้ยงง่ายนะ ไม่ดื้อไม่ซน”
“จริงเหรอ” เสียงทุ้มของเขากลั้วหัวเราะ
“จริงครับ ไม่เชื่อทดลองเลี้ยงก่อนได้” ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังล้อเล่นหรือเอาจริง ผมเป็นหมาไม่ได้ แต่ถ้ามีพี่วศินมาเลี้ยงจริงๆละก็…
เจ้านายใจดีขนาดนี้ ผมยอมเป็นหมาได้จริงๆนะ
“ผมอยากเป็นหมาจริงๆ ไม่ล้อเล่น” ผมยืนยัน
“เอาจริงขนาดนั้นเลย” พี่วศินพูดเสียงทุ้มเจือเสียงหัวเราะ มันมีทั้งความเอ็นดูและความตื่นเต้น
“เอาจริง!”
“พี่ชักจะหวั่นไหวแล้วนะ ถ้าพี่ตกลงขึ้นมาหมิงกลับคำไม่ได้นะ” พี่วศินกระซิบกับผมที่ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าเขาเต็มตัวด้วยความมึนเมา ไม่รู้ทำไมเสียงกระซิบของเขาถึงได้ฟังดูเซ็กซี่เป็นบ้า
“ไม่กลับคำครับ” ผมชูสามนิ้ว แสดงสัตย์ปฏิญาณของลูกเสือสามัญ
“ไหนเห่าซิ”
“โฮ่ง” ผมไม่เสียเวลาคิดสักวินาที
พี่วศินหัวเราะแล้วขยี้หัวผมจนไม่เหลือทรง เขาลุกขึ้นไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์บาร์ ทิ้งผมนอนตัวอ่อนอยู่บนโต๊ะโซฟาแสนสบาย ไม่นานเขาก็เดินกลับมา ผมยื้อสติสุดท้ายเอาไว้บอกลาเขาแล้วแยกย้าย แต่พี่วศินไม่ได้บอกลา เขายกตัวผมขึ้นมา แล้วประคองผมออกจากร้านไปใส่รถเอสยูวีของเขา
“กลับบ้านกัน” เขาบอกแล้วขึ้นมานั่งข้างๆที่เบาะหลัง ที่นั่งคนขับด้านหน้ามีใครก็ไม่รู้นั่งอยู่แล้ว คงเป็นบริการขับรถกลับบ้านละมั้ง
บ้านใครล่ะ?
บ้านผมหรือบ้านเขาก็ช่างเถอะ
ผมง่วงนอน
เมาเป็นหมา พูดถึงพี่วศิน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเป็นหัวหน้าในฝันของใครหลายๆคน เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ไม่ค่อยจะดุอะไร พึ่งพาได้ แล้วก็ตั้งใจรับฟังเราอยู่เสมอ พร้อมเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เราทุกครั้งที่เจอปัญหาอีกต่างหาก (แม้บางทีผมจะแค่บ่นเฉยๆก็ตาม) ก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีแสนอบอุ่นในฝันของพนักงานกินเงินเดือนอย่างเรานั่นแหละ ผมเชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากมีสามีอย่างเขา นานมาแล้วผมเคยถามเขาเรื่องแฟนแต่เขาก็บอกว่ายังไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะรอดเป็นโสดมาได้จนอายุปานนี้ ผมมักจะแซวว่าเขาแก่เป็นลุงอยู่บ่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอาวุโสที่สุดในกลุ่มเฉยๆ จริงๆเขาอายุแค่สามสิบแปดเท่านั้นเอง ทั้งที่เขาทำงานสายเทคที่ต้องวิ่งตามความรวดเร็วของเทคโนโลยีให้ทันอยู่เสมอ แต่พี่แกกลับตามกระแสอะไรในอินเตอร์เน็ตไม่ทันสักอย่าง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะแซวพี่วศินบ่อยๆ และเมื่อเทียบกับอายุที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนของเขา เขาดูแลตัวเองได้ดีมาก ร่างกายของเขากำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิดกับพี่ชายคนโตของผมที่ลงพุงไปแล้วเรียบร้อย ผมรู้จักแขนล่ำๆที่เผลอไปกอดตอนเมาอยู่บ่อยๆนั่นดี แต่ผมเพิ่งจะรู้เอาวันนี้ว่าเขาถึงขั้นมีซิกแพ็ค มี
เจ้านาย ป๊อก “โอ๊ย!” ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!” “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร” “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่ “...” “...” เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ” พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก” “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า” “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ” “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา “แล้วจะแกล้งลืมทำไม” ป๊อก
พี่ขออย่างเดียว ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น “นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร “พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย “อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ “ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย” “โห
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ
เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “
มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื
ตามรังควานผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าการตื่น เรียกว่าฟื้นจะเหมาะสมกว่าร่างกายผมร้าวระบมเหมือนเพิ่งไปปั่นจักรยานบนเขามาสามสิบกิโลเมตรโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม ผมไม่อยากจะขยับตัวแม้สักมิลลิเมตรแต่ก็ต้องฝืนขยับเพราะปวดฉี่ ผมมองไม่ออกว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะม่านคุณภาพดีของโรงแรม แสงสว่างพยายามแหวกม่านหนามาให้ถึงเตียงอย่างสุดความสามารถแต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนอยู่บนพื้นเป็นเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เท่านั้น ผมค่อยๆกระดิกร่างกายที่อ่อนล้าทีละส่วนแล้วขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง ตอนที่ยันแขนตัวเองเพื่อลุกขึ้นจึงเพิ่งสังเกตว่าความหนักหน่วงที่ถ่วงร่างกายผมเอาไว้ไม่ใช่เพียงความอ่อนล้า แต่เป็นแขนแข็งแรงอีกข้างที่พาดไว้บนเอวผมจากด้านหลังผิวสีแทนของพี่วศินตัดกับหน้าท้องขาวๆของผม บนหน้าท้องขาวมีรอยจูบและรอยอื่นๆฝากเอาไว้อย่างน่ากระดาก พี่วศินที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังยังคงนอนหลับลึกอย่างเป็นสุข เห็นเขาแล้วผมก็อดหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ผมลอดตัวออกมาจากวงแขนของพี่วศินอย่างยากลำบาก ตอนที่ก้าวถึงพื้นได้ร่างกายผมก็โอนเอน เซถลาแทบคว่ำเพราะขาไม่มีแรง ด้วยเหตุนั้นผมจึงเท้าแขนกับผนังห้อง พยุงพาตัวเองไปถึงห้องน้ำในที่สุดทุกก้าว
แม่เลี้ยงเดี่ยว โชคดีที่เรื่องวิวาทระหว่างพี่เจฟกับน็อตไม่ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างนัก เพราะพวกเรามากันเร็วในร้านจึงยังไม่ทันมีคน อีกทั้งน็อตก็(ดูเหมือนจะ)ไม่เอาเรื่องแล้วล่าถอยไปเงียบๆ พี่เตเจ้าของร้านจึงไม่ต้องรับมือกับปัญหาน่าปวดหัวที่ตามมามากนัก พี่มะลิไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้าร้านมา เธอเพียงนั่งอยู่เงียบๆ ปรับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น คล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนอดทนให้น้ำตาไม่ไหลเราทุกคนสนิทกันพอประมาณ แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวที่อีกฝ่ายไม่เคยเล่า ผู้ชายสามหน่อที่เหลืออย่างพวกผมก็ออกจะประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกกันนิดหน่อย ยิ่งมีผู้หญิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงหน้าพวกผมยิ่งตัวแข็งเป็นหิน อย่างไรเสียน้ำตาหญิงสาวก็เป็นของที่ผู้ชายแพ้ทางจริงๆ“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไหมมึง” พี่เจฟที่สนิทกับพี่มะลิที่สุดถอนหายใจแล้วออกปากเป็นคนแรก “จริงพี่ กับพวกผมไม่ต้องฮึบหรอก” ผมพยายามพูดเผื่อจะทำให้พี่มะลิรู้สึกวางใจมากขึ้น“ผู้ชายคนนั้นใครน่ะมะลิ” ส่วนพี่วศินไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ยิงคำถามตรงๆไม่อ้อมค้อม ถึงจะดูไม่ใส่ใจแต่ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ยังบีบหัวไหล่พี่มะลิเอาไว้เบาๆพี่มะลิสูดล
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้
Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l
จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั