Share

บทที่ 2 ไม่ล้อเล่น

ไม่ล้อเล่น

ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว

ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เลยสักนิดเดียว

ผมกลับอพาร์ตเมนท์มานอนหลับให้หายเหนื่อย แล้วจึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่น ฉีดน้ำหอมนิดหน่อยแล้วเดินทางไปยังร้านเก้าหนึ่ง จุดหมายปลายทางหนึ่งเดียวของผมในคืนวันศุกร์ที่แสนสดใส

.

วันศุกร์ที่แสนสดใสจบลงในสองชั่วโมง ผมเดินเข้าร้านเก้าหนึ่งด้วยลุคหนุ่มหล่อเนี้ยบเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค แต่ไม่รู้จะได้ออกจากร้านด้วยลุคไหน เพราะพอผมดื่มแก้วที่สองหมด ผมก็ละทิ้งความเป็นมนุษย์ หวนคืนสู่สุนัขตัวหนึ่ง

“บรู๋วววว” ผมไม่ได้ล้อเล่น

“มันหอนจริงว่ะ” พี่เจฟคนท้ายื่นเงินยี่สิบบาทให้ผม “แค่ยี่สิบก็เอานะมึง”

“ห้าบาทสิบบาทผมก็เอาทั้งนั้นนะพี่” ผมหยิบธนบัตรสีเขียวใส่กระเป๋าเสื้อ กระเถิบเข้าไปจะหอมแก้มพี่เจฟเป็นการตอบแทนแต่ก็โดนยันออกมาซะก่อน ว้าแย่จัง

“เกิดมาหล่อทั้งทีคีพลุคหน่อยเถอะหมิงถือว่าเจ๊ขอ” พี่มะลิทำใจมองไม่ได้ ส่วนพี่เจฟที่ทำท่าขนลุกขนพองอยู่ข้างๆขยับไปเบียดพี่มะลิอีกที ปากกระซิบขมุบขมิบว่ามะลิช่วยกูด้วย พี่สาวปากแดงผลักหนุ่มแว่นออกโดยไม่ได้เสียเวลาคิด

“เกิดมาหล่อแล้วไม่จำเป็นต้องคีพครับ” แล้วผมก็ยักคิ้วทีหนึ่ง ครั้งนี้น่าจะขนลุกกันรอบวง ผมหัวเราะสนุกสนานทั้งร่างกายที่เริ่มหนักอึ้งและเชื่องช้า ผมยังคุยรู้เรื่องแต่การรับรู้ค่อนข้างพร่ามัวไปเยอะ ถึงอย่างนั้นก็สนุกมากจนไม่อยากหยุดดื่ม

“มันกินไปแค่สองแก้วไม่น่าเมาขนาดนี้มั้ยพี่เต” พี่มะลิหันไปเช็คกับเจ้าของร้านคนที่เห็นผมตั้งแต่แรกเดินเข้าร้านในสภาพหนุ่มหล่อ พี่มะลิกับพี่เจฟเพิ่งตามมาทีหลังนี่เอง

“สองจริง แต่แก้วละสิบกว่าทั้งนั้น” พี่เตพูดถึงเปอร์เซ็นต์แอลกอลฮอล์ “อยากเมาขนาดนี้นี่อกหักหรือโดนหัวหน้าแดกหัวมามันก็ยังไม่เห็นบอก”

“คนอยากเมาน่ะพี่ ถ้ามันฝันอยากเป็นหมา ก็ให้มันเป็นหน่อยแล้วกันคืนนี้” พี่เจฟเห็นเป็นมุกตลกขำขัน บอกให้ผมหอนอีกรอบผมก็ทำ

“ทุเรศลูกตาจริงๆ” พี่มะลิบ่น มองไปรอบร้านที่คลาคล่ำด้วยผู้คนแต่เธอก็ไม่เห็นผู้ชายผิวแทนหน้าคุ้นที่ตามหา “ดึกป่านนี้แล้วพี่ศินคงไม่มาแน่เลย”

“ก็ยุ่งประจำนะคนนั้น” พี่เจฟเสริม ก่อนหันมาโยกหัวผม “อดมาเห็นหมาในร่างคนเลย”

“ดีแล้ว คนดีๆอย่างพี่ศินอย่าให้มาเห็นอะไรอุจาดแบบนี้เลย” พี่มะลิลงความเห็น

ผมถลึงตาใส่พี่สาวตัวดีทีหนึ่งแล้วก็มองไปรอบร้านบ้าง คืนวันศุกร์คนเยอะเป็นพิเศษกระทั่งที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ก็ถูกจับจองจนแน่นเอี้ยด ไม่มีวี่แววของพี่ใหญ่คนนั้นตรงทางเข้าร้าน ผมรับเบียร์แก้วใหม่มาจากพี่เตแล้วยกขึ้นจิบ ตั้งแต่มาถึงที่ร้านผมยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ตัวเองลาออกเลย มันมีทั้งความรู้สึกอยากระบายและขี้เกียจพูดปะปนกันอยู่ ชีวิตผมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ แต่ผมรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ดูถูกหรือซ้ำเติมผมหรอก จริงๆผมก็กะจะบอกพวกเขาตอนที่ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ถ้าพี่วศินไม่มาก็บอกเดอะแก๊งแค่นี้ก่อนก็ได้

ผมนั่งหลังค่อมจนดูเหมือนกุ้ง วางคางตัวเองไว้กับเคาน์เตอร์บาร์ หลับตาสารภาพความในใจ “จริงๆวันนี้ผมลาออกแล้วแหละ”

ผมคิดว่าจะได้ยินเสียงตอบรับจากพี่เจฟกับพี่มะลิ แต่ไม่ใช่ เสียงทุ้มนุ่มที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆกับความอุ่นบริเวณหัวไหล่จากฝ่ามือของใครอีกคน

“จริงเหรอ” เสียงทุ้มขึ้นสูงเล็กน้อย

ผมหันไปมอง แล้วก็เจอกับพี่วศินที่ยืนทำหน้าประหลาดใจอยู่ตรงนั้น ผมยิ้มให้เขาโดยอัตโนมัติ

“นึกว่าพี่จะไม่มาแล้ว” พี่มะลิทักทาย ก่อนจะกลับมาที่ประเด็นของผมอย่างรวดเร็ว “สักทีนะไอ้หมิง ทนมันอยู่ได้ตั้งนาน”

พี่เจฟสนับสนุน “ก็คิดอยู่ว่าต้องมีอะไรแล้วเพิ่งมาบอก อย่างนี้ต้องฉลองเว้ย พี่เตแก้วนี้ผมเลี้ยงมันเอง” หนุ่มแว่นชี้นิ้วมาที่แก้วในมือผม พี่เตพยักหน้า

“แก้วหน้าเจ๊เลี้ยงเองหนู” พี่มะลิไม่ยอมน้อยหน้า ซึ้งจัง

ผมหันไปขอบคุณทั้งสองคน “รู้งี้ผมบอกนานละว่าลาออก”

“ไอ้เด็กนี่โลภมาก” พี่มะลิเอื้อมมือมาตีผม ผมหัวเราะร่า แน่นอนว่าพี่วศินที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผมก็เข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย พี่ชายผิวแทนหัวเราะพลางกอดคอผม

“งั้นในบิลที่เหลือพี่เลี้ยงเอง ไม่อั้น” การแข่งขันครั้งนี้พี่วศินชนะเลิศ

ผมจับแขนล่ำที่โอบรอบคอตัวเองแล้วเอนซบคนตัวใหญ่ด้านหลังทันที กับคนใจป้ำเราต้องออเซาะเขาเยอะๆ “ผมรักพี่วศินที่สุดเลย” 

ทุกคนหัวเราะแล้วชนแก้ว

การเป็นน้องน้อยในกลุ่มมันดีแบบนี้แหละครับ

ตอนที่พี่วศินมาถึง บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ไม่เหลือที่ว่างแล้ว แต่ประจวบเหมาะมีลูกค้าโต๊ะหนึ่งกำลังเช็คบิลพอดีเราทุกคนจึงย้ายไปนั่งตรงนั้น  พอทุกคนมาครบผมเลยระบายความในใจยกใหญ่

“เจ้านายแม่งสั่งแต่อะไรหมาๆ ผู้จัดการก็ไม่เคยช่วยอะไร ที่ผ่านมาผมทนได้มาตลอดนะแต่เมื่อวานมันสุดจะทนจริงๆว่ะ ผมของขึ้นแล้วก็เดินไปลาออกแม่งเลย” เสียงของผมเจื้อยแจ้ว ใส่อารมณ์เต็มพิกัด

“บริษัทท็อกซิกขนาดนั้นออกมาก็ดีแล้ว พักสักแป๊บแล้วค่อยหางานใหม่เอาไอ้หมิง มันไม่ได้ยากขนาดที่มึงคิดหรอกเชื่อเจ๊สิ” พี่สาวปากแดงให้กำลังใจจากที่นั่งทางซ้าย จิ้มไส้กรอกเยอรมันจานใหญ่บนโต๊ะเข้าปาก จานนี้เป็นอภินันทนาการจากพี่เตเนื่องในโอกาสที่ผมลาออก

“ผมก็กะว่าอย่างนั้นแหละ ตอนนี้เคว้งคว้างสุดๆแต่ก็สบายใจขึ้นเยอะ”

“หัวหน้านั่นชื่ออะไรนะ มีรูปป้ะ เผื่อเจอจะได้ต่อยหน้ามันให้” พี่เจฟอดีตนักเลงพูดจากทางขวา ผู้ชายคนนี้คำพูดไม่เข้ากับหน้าติ๋มๆใส่แว่นของแกเอาซะเลย

“ไม่อยากซื้อข้าวผัดไปเยี่ยมน่ะสิ” ผมเย้า

“ต่อยคนจ่ายห้าร้อยก็จบ”

“ตอนนี้หมื่นนึงแล้ว เพิ่งออกมาจากถ้ำรึไงพี่”

“จริงเหรอวะ”

“จริง”

“งั้นหมื่นนึงก็ได้ แต่กูขอต่อยมึงก่อนนี่แหละ”

ผมโยกตัวหลบหมัดของพี่เจฟอัตโนมัติ แต่ปากยังไม่หยุด “โฮ่ง ทำร้ายสัตว์ปรับหนักกว่าคนนะพี่ ไม่คุ้มๆ”

พี่มะลิ “มึงนี่ก็เล่นเป็นหมาไม่เลิก” 

ส่วนพี่วศินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแค่ยกเบียร์ขึ้นจิบแล้วหัวเราะไปกับบทสนทนา พี่ชายคนนี้อายุมากแล้วแกพูดแทรกไม่ทันพวกผมเท่าไหร่ แค่ส่งสายตาอบอุ่นใจดีมาให้ เลี้ยงเหล้าเลี้ยงกับแกล้มบ้างอยู่เรื่อยเท่านั้น สมแล้วที่ผมให้ความศรัทธาเหมือนญาติผู้ใหญ่ เห็นแกทีไรก็อยากจะยกมือไหว้งามๆทุกที

พี่มะลิกับพี่เจฟร่วมฉลองปนปลอบใจผมอีกสองสามประโยคแล้วขอตัวกลับก่อนตามประสาคนมีครอบครัว ผมร่ำลาพวกเขาเสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีที่โต๊ะก็มีพี่วศินนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเบียร์แก้วใหม่ที่ผมไม่ได้สั่ง

“ตั้งใจมอมผมแน่ๆ” ผมหัวเราะแต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจทั้งที่บ้านเริ่มหมุนแล้ว ผมย้ายที่นั่งมานั่งข้างๆเขาเพราะนั่งไกลกันมันต้องพูดเสียงดัง

“ถ้าเราไม่ไหวพี่กินเอง” พี่วศินไม่ได้บังคับ ทำท่าจะดึงแก้วกลับไปแต่ผมตั้งการ์ดให้แก้วเบียร์ใบน้อยของผมเรียบร้อย

“ให้แล้วให้เลยสิครับ” คนเมามันไม่กลัวหัวทิ่มหรอก “วันนี้มาช้า งานเยอะอีกแล้วเหรอ”

“อืม ใกล้ขึ้นโปรดัคชั่นแล้วน่ะ” พี่วศินโคลงแก้วในมือไปมา ดวงตามองน้ำสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของเบียร์สเตาท์ภายใน

เบียร์ในแก้วของผมที่พี่วศินใจดีสั่งให้ก็เป็นเบียร์ดำข้นคลั่กอย่างเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าผมชอบซาวเออร์มากกว่าพี่แกก็ยังขายของให้ผมลองสเตาท์อยู่นั่น ผมจิบน้ำสีดำลงคอ แก้วนี้รสชาติดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ

“อันนี้อร่อยอ้ะพี่” ผมหันไปบอกเขาแล้วก็กระดกเบียร์เข้าปากอีก

“พี่บอกแล้วให้เราเปิดใจ” คนใจดีหัวเราะขำ เขายื่นนิ้วเข้ามาปาดฟองที่เปื้อนเหนือริมฝีปากผมออก “ไหวมั้ยเนี่ยเรา ปกติไม่เห็นจะกินเลอะเทอะ”

ไม่ไหวครับพี่

ผมอยากจะตอบแบบนี้เพราะความใจดีเบอร์ร้อยของแก ไอ้ความอบอุ่นใจดีจนจั๊กกะจี้ของพี่เขาทำเอาผมเกย์แพนิคมาหลายรอบแล้ว ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักที

ไม่รู้ว่าหน้าตาผมมันดูประหลาดหรือดูโง่ยังไงหรือเปล่า พี่วศินเลยจ้องหน้าผมแล้วอมยิ้มแบบนั้น ผมทำใจให้สบายแล้วตอบเขา “สบายมากพี่”

“เก่งๆ” พี่ชายผิวแทนตัวใหญ่เอนหลังกลับไป

“ขอบคุณที่ชมว่าผมขี้เมาครับ” ผมหยอกล้อ

“แก๊งเรามีใครไม่ขี้เมาบ้าง” เขาหัวเราะอีก พูดอย่างนั้นแต่ผมไม่เคยจะเห็นเขาเมาสักครั้ง ถ้ามาเร็วเขาก็ค่อยๆกินช้าๆ เวลามาช้าก็ได้กลับบ้านก่อนจะเมา “อยากพักมานานแล้วก็ต้องได้พักนะ ทำใจให้สบาย อย่ากดดันตัวเองเกินไปล่ะ”

ไม่รู้ว่าเพราะผมตั้งใจฟังและคิดตามเฉยๆ หรือเพราะเมาแล้วอ่อนไหวด้วย ผมจึงน้ำตารื้นขึ้นมานิดหน่อยกับคำพูดธรรมดาของพี่แก “ครับ”

“เหนื่อยไหมเรา”

“เหนื่อยมากเลยพี่” ผมหัวเราะขื่นๆ “วีคที่ผ่านมาผมแทบไม่เป็นอันกินอันนอนเลย ผมว่าผมใส่ความพยายามไปจนสุดตัวแล้ว แต่ก็…”

“ไม่มีใครเห็นค่าความพยายามของเรา?”

“ใช่เลยพี่” ผมจ้องแก้วเบียร์ที่น้ำลดลงไปครึ่งหนึ่ง จิตใจจมดิ่งกับเรื่องตัวเอง “ผมรู้ตัวนะว่าตัวเองไม่ได้เก่ง แต่อย่างน้อยผมก็คาดหวังให้เขาเห็นค่าความพยายามของผมบ้าง ผมว่าผมหวังน้อยแล้วแต่มันก็ยังผิดหวังอยู่ดี สุดท้ายผมก็เลยผิดหวังในตัวเอง” 

แรงบีบที่บ่าทำให้ผมรู้ว่าพี่วศินพยายามให้กำลังใจ มันเป็นสัมผัสอบอุ่นเฉพาะตัวที่ทำให้ผมจำได้ทันทีว่านั่นเป็นมือเขา เพราะเขาเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าคนอื่นๆมาตลอด ยิ่งมาเจอกับผมที่ปกติเป็นคนตัวเย็นแล้ว ความอบอุ่นนั้นยิ่งร้อนมากขึ้นจนครั้งแรกที่พี่วศินจับตัว ผมถึงกับสะดุ้งเล็กๆเลยทีเดียว

“ทำไมหมิงถึงคิดว่าตัวเองไม่เก่งล่ะ” ผมรู้สึกเหมือนโดนตะล่อมถามเพื่อให้ระบายความในใจ และผมก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

“ตั้งแต่ทำงานที่นี่ ผมไม่เคยได้รับคำชมเลย” ผมเหยียดยิ้มเศร้าๆ “เจ้านายบอกว่าผิดหวังในตัวผมตลอด”

“แต่ก็เอางานหมิงไปใช้ตลอดนี่”

“เขาบอกว่าเขาไม่มีตัวเลือก”

พี่ชายคนนี้เริ่มเท้าคางทำหน้าบูดขึ้นมา “ถ้างานหมิงแย่ขนาดนั้น ทำไมไม่จ้างคนใหม่แล้วเอาหมิงออกซะล่ะ”

“ไม่อยากเสียเงินจ้างผมออกมั้งครับ” ผมเดา

“หมิง อย่าดูถูกตัวเองขนาดนั้น” พี่วศินใช้สองมือประคองศีรษะซ้ายขวาของผมเอาไว้ ให้ผมประจันหน้ากับเขา ผมโดนมือร้อนๆของเขาประกบเอาไว้เหมือนกับแซนด์วิชโง่ๆชิ้นหนึ่ง

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน น้ำตาผมเริ่มไหล

“พี่บอกเลยว่าถ้างานหมิงแย่ขนาดนั้น การจัดจ้างคนใหม่และเอาหมิงออกไม่ใช่เรื่องยากเลย หัวหน้าที่ดีจะไม่ปล่อยให้หมิงต้องลำบากอยู่คนเดียวในแผนกจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้แบบนี้ด้วย อย่างน้อยก็ควรมีสักคนที่ช่วยหมิงเพื่อให้งานออกมาดี และหมิงก็รู้ว่าบริษัทหมิงไม่ได้เล็กขนาดนั้น ทุกคำถามที่หมิงถามตัวเอง และตอบตัวเองว่าเพราะหมิงไม่เก่งพอ พี่ยืนยันได้เลยว่าไม่ใช่ความผิดหมิง แต่เป็นบริษัทที่ทำให้หมิงคิดแบบนั้น”

พี่วศินพูดยาวอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อย น้ำตาผมไหลจนเริ่มยากที่จะไม่ส่งเสียงสะอื้น

ผมก็สงสัยมาตลอดว่าตัวเองแค่ถูกเอาเปรียบ แต่ความมั่นใจในตัวเองที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของผมก็คอยแต่ตอกย้ำว่าผมมันกระจอกต่างหากมาตลอด

ผมสงสัยแต่ไม่เคยมีใครมายืนยันเลยว่าผมดีพอ

พี่วศินปล่อยใบหน้าผมแล้วดึงทิชชู่มาให้ผมใช้ซับน้ำตา เขานั่งกอดอกอยู่ข้างๆ “ทนเหนื่อยมาได้ตั้งนาน เก่งแล้วแหละที่ออกมา เรื่องงานใหม่ไม่ต้องกดดันตัวเองหรอก พักผ่อนสักพัก เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้ มีอะไรไม่ไหวก็ให้พี่ช่วยได้”

“จริงเหรอครับ”

“จริงสิ”

“พี่วศินใจดีจัง”

“กับเราพี่ใจดีด้วยได้อยู่แล้ว ดูที่มันทำกับน้องพี่สิ จะให้พี่ปล่อยเราไปได้ไง” เขาพูดแล้วดื่มเบียร์ลงไปทีเดียวเกือบหมดแก้ว

พี่วศินตอนนี้ดูหงุดหงิดกว่าปกติที่เป็นคนใจดีที่ผมคุ้นเคย ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรแต่ผมจะเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนเพราะมันทำให้รู้สึกดี พี่เขาทำให้ผมได้ระบายความรู้สึกแย่ๆออกมาผมจึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณ “ขอบคุณนะครับ แต่มีผู้ชายตัวโตๆมานั่งร้องไห้แบบนี้พี่คงเสียอารมณ์แย่” ผมพูดพลางพยายามทำให้ตัวเองหยุดร้องไห้

“คิดมาก ผู้ชายตัวโตแค่ไหนก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้นแหละ” พี่เขาบีบบ่าผมอีก หางคิ้วเข้มๆลู่ลงทำหน้าลำบากใจ “เมาเป็นหมาขนาดนี้แล้วแค่ร้องไห้ไม่มีใครถือหรอกน่า”

ผมหัวเราะพลางซับน้ำตาตัวเองไปพลาง พยายามพูดจาให้รู้เรื่องทั้งที่เมามากและอารมณ์ก็แปรปรวนมาก พยายามแบบนี้เป็นอะไรที่ฝืนสติมากเกินไปหน่อยจริงๆ ผมได้ยินคำว่าหมาแล้วก็นึกถึงความฝันสูงสุดของตัวเองขึ้นมา หลุดพูดพล่อยๆตามที่เคยปาก

“ถ้าผมเป็นหมาได้จริงๆก็ดีสิ เงินก็ไม่ต้องหา แค่ทำตัวน่ารักไปวันๆก็พอแล้ว”

“พูดบ่อยขนาดนี้พี่จะคิดว่าเราอยากเป็นหมาจริงๆแล้วนะ” พี่วศินเท้าคาง ดวงตาสีดำล้ำลึกของเขาหรี่ลง เป็นห่วงสติของผมที่ดูเหมือนจะใกล้หลุดเต็มที

“ผมอยากเป็นจริงๆ ไม่เคยล้อเล่น” ผมโวยวาย

“อาการหนักอย่างที่มะลิบอกจริงๆ” พี่ชายส่ายหน้า “อย่างนี้ต้องทดสอบสักหน่อย ขอมือหน่อยซิ”

ผมวางมือแปะลงบนฝ่ามืออุ่นของเขาที่ยื่นรอไว้ทันที พี่วศินยิ้มขันแล้วใช้มือซ้ายจับมือของผมเอาไว้ มือขวายกขึ้นลูบศีรษะเหมือนให้รางวัลสุนัขตัวโต เสียงทุ้มเอ่ย “เก่งมาก”

ผมยิ้มตาหยี อยากจะลงไปนอนกลิ้งแลบลิ้นแทบเท้าเขาแต่สติที่ยังพอมีเหลืออยู่ห้ามผมไว้ได้ทัน

พี่วศินที่ใจดีเล่นเป็นเจ้านายให้ผมมอบรางวัลให้กู๊ดบอยเป็นเบียร์ที่ยังเหลืออยู่ในแก้ว “ดื่มซะๆ”

ผมจิบลงคออึกๆตามที่เขาบอก

“หมิงแสนรู้เหมือนหมาจริงๆด้วย”

“ก็บอกแล้วว่าผมไม่ล้อเล่น ผมฝึกมาแล้ว” ผมยืดอก รู้ตัวว่ากำลังอวดอะไรที่น่าอายแต่ผมก็เมาเกินกว่าจะหุบปาก

“ต้องเป็นคนรวยเท่านั้นเหรอ หมิงถึงจะอยากเป็นหมาให้” พี่วศินยิงคำถามที่เริ่มไร้สาระมากขึ้นเรื่อยๆ การเล่นอะไรไร้แก่นสารแบบนี้ตอนเมามันสนุกดีนะครับ สนุกจนผมไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตาของเขาดูเอาจริงเอาจังขึ้นมานิดหน่อย

“จริงๆไม่ต้องก็ได้ ขอแค่เลี้ยงผมได้สบายๆไม่เดือดร้อนก็พอ ผมกินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมากหรอก” ผมไม่รู้ว่าตัวเองยังโฟกัสกับการเป็นหมาอยู่หรือเปล่า บางทีก็เหมือนจะใส่ตัวเองเข้าไปในบทสนทนามากจนเกินไป

“อย่างพี่นี่เรียกว่ารวยได้ยัง” พี่วศินชี้ตัวเอง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำลงมาสองเม็ด คนออกกำลังกายจนตัวใหญ่อย่างพี่เขาคงขี้ร้อน

“รวยแล้ว” อย่างพี่วศินที่เลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่อยู่บ่อยๆ หน้าที่การงานก็แสนจะมั่นคง บ้านก็มี เงินเดือนก็เกินแสนไปตั้งนานแล้ว ชนชั้นกลางเดือนชนเดือนอย่างผมถ้าไม่ให้เรียกว่ารวยก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรได้ ผมเข้าใจว่าพี่เขาตั้งใจเล่นด้วยก็เลยออดอ้อนเต็มที่ โถมตัวใส่อีกคนแล้วกอดแขนซ้ายของเขาเอาไว้แน่น “สนใจเลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆสักหน่อยไหมครับ เลี้ยงง่ายนะ ไม่ดื้อไม่ซน”

“จริงเหรอ” เสียงทุ้มของเขากลั้วหัวเราะ

“จริงครับ ไม่เชื่อทดลองเลี้ยงก่อนได้” ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังล้อเล่นหรือเอาจริง ผมเป็นหมาไม่ได้ แต่ถ้ามีพี่วศินมาเลี้ยงจริงๆละก็…

เจ้านายใจดีขนาดนี้ ผมยอมเป็นหมาได้จริงๆนะ

“ผมอยากเป็นหมาจริงๆ ไม่ล้อเล่น” ผมยืนยัน

“เอาจริงขนาดนั้นเลย” พี่วศินพูดเสียงทุ้มเจือเสียงหัวเราะ มันมีทั้งความเอ็นดูและความตื่นเต้น

“เอาจริง!” 

“พี่ชักจะหวั่นไหวแล้วนะ ถ้าพี่ตกลงขึ้นมาหมิงกลับคำไม่ได้นะ” พี่วศินกระซิบกับผมที่ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าเขาเต็มตัวด้วยความมึนเมา ไม่รู้ทำไมเสียงกระซิบของเขาถึงได้ฟังดูเซ็กซี่เป็นบ้า

“ไม่กลับคำครับ” ผมชูสามนิ้ว แสดงสัตย์ปฏิญาณของลูกเสือสามัญ

“ไหนเห่าซิ”

“โฮ่ง” ผมไม่เสียเวลาคิดสักวินาที

พี่วศินหัวเราะแล้วขยี้หัวผมจนไม่เหลือทรง เขาลุกขึ้นไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์บาร์ ทิ้งผมนอนตัวอ่อนอยู่บนโต๊ะโซฟาแสนสบาย ไม่นานเขาก็เดินกลับมา ผมยื้อสติสุดท้ายเอาไว้บอกลาเขาแล้วแยกย้าย แต่พี่วศินไม่ได้บอกลา เขายกตัวผมขึ้นมา แล้วประคองผมออกจากร้านไปใส่รถเอสยูวีของเขา 

“กลับบ้านกัน” เขาบอกแล้วขึ้นมานั่งข้างๆที่เบาะหลัง ที่นั่งคนขับด้านหน้ามีใครก็ไม่รู้นั่งอยู่แล้ว คงเป็นบริการขับรถกลับบ้านละมั้ง

บ้านใครล่ะ?

บ้านผมหรือบ้านเขาก็ช่างเถอะ

ผมง่วงนอน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status