มันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้
ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป
“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำ
จริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้น
ผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเอง
เมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนเล็กๆจากภายใน พี่วศินก็กดหัวผมเอาไว้ ท่อนเนื้อนั้นยัดลึกลงมามากกว่าที่ผมควบคุมด้วยตัวเอง ดวงตาของผมเบิกโพลง รู้สึกเหมือนจะสำลักเอาเสียให้ได้ แต่นั่นไม่อาจหยุดความมุ่งมั่นของผม ผมดูดกินมันอย่างแรง เร่งความเสียวซ่านให้ชำเราพี่วศินมากขึ้นมากขึ้น เมื่ออวัยวะในโพรงปากนุ่มสั่นกระตุก พี่วศินจึงดึงมันออกจากปากผม เขาชักรูดมันสองสามครั้งน้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมา ราดรดลงบนใบหน้าผมที่นั่งรอ
ผมหัวเราะพลางปาดของเหลวข้นเหนียวออกจากเปลือกตา “ฮะๆ นี่พี่ชอบแตกใส่หน้าเหรอเนี่ย”
พี่วศินก้มลงมาเช็ดปลายคิ้วของผม ดวงตาสีดำมีความรักใคร่ที่น่าพรั่นพรึงอยู่ในนั้น “ก็ใช่อยู่หรอก แต่กับหมิงพี่น่าจะได้แตกใส่อีกหลายที่เลยล่ะ”
เหลือจะเชื่อ แค่คำพูดเขาผมก็เสียวแล้ว
“ไอ้ที่บาร์คืออาหารเรียกน้ำย่อย ส่วนที่นี่คือเมนดิชใช่ป่ะ” ผมแซวพี่วศินที่ดูจะวางแผนมาอย่างดี เส้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและสุนัขของพวกเราเลือนรางลงทุกที
“อืม พี่รอกินเมนดิชแล้วเนี่ย” พี่วศินตอบหน้าตาย เขาไม่อายกับคำพูดตัวเองสักนิด
กับห้องที่ใช้นอนเพราะ ‘เมาจนขับรถไม่ไหว’ ก็ยังอุตส่าห์จองเป็นห้องสวีทเสียอีก ผมมองเขาถอดเสื้อผ้าลงไปนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำเรียบร้อย มัดกล้ามและก้นแน่นที่ใฝ่ฝันนั้นผมได้เห็นเต็มตาแล้ว ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนผิวแทนเนี่ยโคตรขี้โกงเลยเวลาแก้ผ้า ทั้งลอนกล้ามและความนวลเนียนของผิว แค่มองเขาผมก็ตื่นแล้ว
พี่วศินที่นั่งอยู่ในอ่างกวักมือเรียกผมหย็อยๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเสี่ยคนหนึ่ง
ผมเกี่ยวกางเกงในสีขาวโยนทิ้งไปอีกทางแล้วก้าวเท้าลงไปในอ่างอาบน้ำเดียวกัน เจ้าลูกรักแข็งตัวชี้หน้าคนที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่ก็เรื่องปกติเปล่าวะ คนกำลังจะมีเซ็กส์กันก็ต้องปึ๋งปั๋งสิ
“วัยรุ่นนี่มันปึ๋งปั๋งดีจริงๆ” เขาพูดเหมือนคนแก่
“วัยรุ่นอะไรเลยมานานแล้วป้ะ” ผมตีน้ำใส่เขา “ลุงเหอะแข็งแรงเกินเด็กไปเปล่า”
“อย่าเรียกลุงสิ มันเจ็บหัวใจนะ” เขาแสร้งจับอกตัวเองเหมือนเจ็บปวดเหลือทน “เรียกพี่น่ะดีแล้ว”
“ได้ครับเจ้านาย” ผมกวน
ผมนั่งชันเข่าประจันหน้ากับเขา น้ำในอ่างถูกตีฟองจนมองไม่เห็นภาพใต้ผิวน้ำ ผมจมตัวเองลงไปจนเหลือแค่คอ ลูบไล้เนื้อตัวเพื่อทำความสะอาดได้ไม่กี่ครั้งพี่วศินก็ดึงผมเข้าไปใกล้ เขาจับผมหมุนตัวโดยมีร่างใหญ่ซ้อนอยู่ด้านหลัง ถึงจะมองไม่เห็นแต่สัมผัสแข็งๆที่บั้นท้ายทำให้ผมนึกภาพออก ลุงคนนี้เพิ่งเสร็จไปแต่ดันแข็งแรงอย่างที่ผมพูดไม่มีผิด
แขนแข็งแรงของพี่วศินโอบล้อมมาด้านหน้า ผิวกายผมเป็นสีขาวจัดตัดกับผิวสีแทนของเขา ร่างสูงของผมไม่ถึงกับผอมแต่ก็ไม่มีกล้ามเนื้อมากนัก ช่างผิดกับหุ่นของคนที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีอย่างเขาเช่นกัน ฝ่ามือใหญ่คู่นั้นลูบไล้เนื้อตัวผมจนมาถึงแผ่นอก เขาจับมันบีบหนุบหนับ
“หมาตัวนี้มีนมด้วยอ้ะ” หน้าตาเขาดูปกติ แต่จากคำพูดของพี่วศิน ผมว่าเขาแอบเมาจริงๆไม่ได้โกหกแล้วล่ะ
ผมเอนหลังพิงตัวเขา “นมพี่ใหญ่กว่าอีก”
“ของพี่เป็นกล้าม” เขาพูดอวดโอ่ เสียงหัวเราะจากในลำคอของเขาฟังดูน่าหมั่นไส้ มือที่นวดหน้าอกผมอยู่เริ่มซุกซนถึงบริเวณปลายยอด พอปลายนิ้วเขาสะกิดโดน ความรู้สึกแปลกๆพลันแผ่กระจายไปทั่วตัว
มือเขาไม่เคยอยู่นิ่ง เขาเป็นเจ้านายที่ปรนเปรอสุนัขของตนอย่างดีเสมอ ตัวตนเบื้องล่างของผมเต้นเร่าอยู่ในมือเขา ความอบอุ่นของฝ่ามือกับน้ำเย็นๆทำให้ผมเสียววาบ ยิ่งเมื่อนิ้วมือนั้นไต่ลงต่ำไปถึงส่วนเร้นลับ ผมก็เผลอส่งเสียงออกมาเบาๆ
“ตรงนี้มันคิดถึงอะไรอยู่หรือเปล่า” ปลายนิ้วของพี่วศินสะกิดเขี่ยบริเวณนั้นอย่างน่าอึดอัด ผมบิดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา อยากถูกเติมเต็มมากกว่าการหยอกล้อแค่ผิวเผิน ผมรู้ว่าผมคิดถึงอะไร แต่จะไม่บอกเขาหรอก
ผมพลิกตัว หันกลับไปคร่อมเขาเอาไว้แล้วจูบ ส่งลิ้นที่เล็กกว่าเขาเล็กน้อยเข้าไปสำรวจภายในโพรงปากอุ่น พี่วศินหลับตาพริ้ม ลิ้นของเขาหยอกล้อกับลิ้นผมอย่างเป็นสุข ริมฝีปากของเราบวมเจ่อ แต่มิวายมันยังคงโหยหากันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงจูบดังอยู่ข้างหู เมื่อมันแยกจากก็ทิ้งสายใยเชื่อมกันเอาไว้ ผมเลียริมฝีปากอุ่นของเขาอย่างเคยตัว
“พี่วศิน ไปที่เตียงกันเถอะ” ผมคล้องคอเขาเอาไว้
“เอาสิ” พี่วศินตอบในลำคอ แต่กลับครอบริมฝีปากลงบนยอดอกของผม ไม่พาผมไปที่เตียงดังที่รับปาก ลิ้นหนาและร้อนหยอกล้อหัวนมจนมันแข็งขึ้น เมื่อลิ้นลากผ่านความรู้สึกเสียวปลาบก็วิ่งพล่านไปทั้งกาย
ปลายนิ้วมือของพี่วศินลูบไล้บั้นท้ายของผม มันไล่จากสันหลังลงไปถึงก้นกบ แหวกฝ่าก้นกลมกลึงทั้งสองเข้าไปตรงกลาง ตรงเข้าไปนวดจุดที่เขาเคยเย้าแหย่อยู่ใต้น้ำ น้ำสบู่ทำให้มันไม่ฝืดมากนักแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ผมเด้งตัวขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อปลายนิ้วของเขาพยายามแหย่เข้าไป
“เจ้านาย…” ผมออดอ้อน เบียดอกตัวเองเข้ากับใบหน้าเขา รอยตอหนวดสั้นๆที่คางของเขาทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ ใบหน้าคมคายของพี่วศินเงยขึ้นสบตากับผม เขาดูสงบและผ่อนคลาย เหมือนคนที่หยอกล้อกับสัตว์เล็กเพื่อความบันเทิง
พี่วศินละมือ “หมิงอยากได้อะไร”
“พาผมไปที่เตียงเถอะครับ” ผมลุกขึ้นจากน้ำแล้วหันหน้าไปด้านข้าง ดึงมือเขาให้ลุกขึ้นตามด้วย ห้องนอนกับห้องน้ำของโรงแรมแบ่งส่วนแยกกันแต่กลับมีกลไกให้สามารถเลื่อนบังตาออกได้ หากมีคนนั่งอยู่บนเตียงคิงไซซ์ข้างนอกนั่น เขาก็สามารถมองเห็นกิจกรรมที่ผมกับพี่วศินทำในห้องน้ำได้หมดจดเลยทีเดียว
“ตามใจหมิง” เขาพูดแล้วจูงผมก้าวออกมายืนบนพรม พี่วศินคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวมาห่อตัวผมเอาไว้แล้วย่อช้อนเอว แบกผมพาดไหล่ทั้งอย่างนั้น
“พี่วศิน!” ผมร้องเสียงหลง ความสูงของเขาทำเอาใจผมแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อาการหวาดเสียวว่าหัวจะชนเพดานยังไม่ทันหาย ร่างกายผมก็ลอยหวือลงบนเตียงสปริงชั้นดีเสียก่อน พี่วศินทาบทับลงมาโดยไม่เว้นช่วงให้ผมหายตกใจ
จูบรสเผ็ดร้อนบรรเลงขึ้นบนเตียงนุ่ม เขาแทรกตัวเองเข้ามาตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของผม ในภาวะที่ผมกำลังมึนเมาในจุมพิต สัมผัสเย็นและลื่นก็ตกลงบนจุดศูนย์กลาง ผมตัวสั่น มือใหญ่ของพี่วศินลูบไล้แก่นกายของผมกับเจลหล่อลื่น ทั้งมือของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวลื่น ปลายนิ้วเหล่านั้นกดนวดช่องทางด้านหลังของผมอย่างอดทน ผมคว้าเอาท่อนเนื้อแข็งของเขาเอาไว้ ช่วยเตรียมความพร้อมให้มันแม้มันจะพร้อมอยู่นานแล้วก็ตาม
“เด็กดี อ้าปาก” พี่วศินชันตัวขึ้น จ่อไอศกรีมช็อกโกแลตอันใหญ่ลงบนปากของผม ผมอ้าปากรับไว้ด้วยความเต็มใจ ละเลงน้ำลายของตนลงบนไอศกรีมแท่งนั้น เจ้านายของผมขมวดคิ้วด้วยแรงอารมณ์แล้วดึงออกถอยกลับไป เขายันใต้ข้อพับเข่าทั้งสองของผมขึ้น ปลายเท้าทั้งคู่ชี้ไปบนเพดาน ผมเป็นเด็กดีนอนรอ ดูว่าเขาจะทำอะไรกับร่างกายที่ซื่อสัตย์ของผมบ้าง
พี่วศินดึงมือผมไปซ้อนไว้ใต้เข่าตัวเอง “หมิงจับไว้นะ”
ผมยิ้มอย่างเผลอไผล “ครับ”
“อย่าเสร็จซะก่อนล่ะ” พี่วศินเหยียดยิ้มมุมปาก แล้วแทรกนิ้วที่ชุ่มฉ่ำด้วยเจลหล่อลื่นเข้าไปในช่องทางเร้นลับ
“จะ…พยายาม…ครับ” ผมเอ่ยเสียงกระเส่าเมื่อสิ่งแปลกปลอมแหวกเข้ามาในกาย เกร็งไปทั้งตัวอย่างไม่อาจห้ามได้
ผมนอนหงายกอดขาตัวเองเอาไว้ ในขณะที่คนแก่กว่าเล่นกับช่องทางของผมอย่างสนุกมือ เขาแทรกนิ้วเข้าออก สำรวจพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย พอเห็นผมทำหน้าเหยเกเขาก็แทรกนิ้วที่สองเข้ามาโดยไม่ปริปาก จากสายตาผมเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่มองมาทางผมกับมือใหญ่ที่ขยับเข้าออก ช่องทางด้านหลังค่อยๆนุ่มขึ้นเมื่อนิ้วทั้งสองนวดสะกิดผนังรอบๆ และแหวกออกจากกันในบางที
ผมตื่นใจ ความเสียวแล่นพล่านให้ผมเหยียดขาตรง หลุดออกจากมือตนเอง
“หมาดื้อ พี่บอกให้จับไว้ไง” พี่วศินขมวดคิ้วทำหน้าดุ
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยินยอม ร่างกายผมเป็นสุขเมื่อเขาออกคำสั่ง
“ครับเจ้านาย” ผมคราง นิ้วของเขายังเคลื่อนเข้าออกทั้งยังเพิ่มนิ้วที่สามเข้าไป ผมคว้าขาทั้งสองของตนขึ้นมากอดไว้อีกครั้ง แก่นกายผมสั่นระริกแม้จะไม่ถูกสัมผัส น้ำหล่อลื่นสีใสปริ่มอยู่ที่ปลายยอด
ตอนที่นิ้วทั้งสามชำเราภายในกาย ตอนที่พี่วศินงอข้อนิ้วสะกิดโดนต่อมลูกหมาก ผมอยากจะกรีดร้องและเสร็จมันเสียเดี๋ยวนั้น
ผมกัดริมฝีปากตัวเอง อดทนทำตามคำสั่ง
ผมไม่รู้ว่าเขาจะอนุญาตให้ผมปลดปล่อยได้เมื่อไร
พี่วศินแย้มยิ้มนุ่มละมุน ดวงตาสีดำสนิทของเขามืดมนเหมือนหลุมดำ เหมือนมารร้ายที่จ้องจะกินเมื่อขุนผมจนอ้วนพี เขาชำเราช่องทางของผมด้วยนิ้วมือจนมันอ่อนนุ่มแต่ก็ยังไม่ใส่แก่นกายของตัวเองเข้ามา เขาแสยะยิ้มแล้วดึงนิ้วทั้งสามออก
“หมิงเก่งจัง แฉะตั้งขนาดนี้แล้ว” พี่วศินถูนิ้วทั้งสามเข้าด้วยกันแล้วกางออกให้ผมเห็นสายใยที่ชุ่มฉ่ำ ยิ่งเมื่อนิ้วมือนั้นสัมผัสลงบนปลายองคชาตปริ่มน้ำ ความรู้สึกทั้งมวลของผมก็ถูกเขาปั่นแล้วรีดเค้นอย่างยิ่งยวด
ผมกระถดตัวหนี “เจ้านาย ผมจะเสร็จ”
“พี่ยังไม่อนุญาตให้เสร็จนะ” เขายิ้มกริ่ม “อดทนไว้สิเจ้าหมา”
ทั้งที่พูดแบบนั้น พี่วศินกลับไล่จับแก่นกายของผมไว้เต็มกำมือ กดนิ้วโป้งลงบนส่วนหัวสีชมพูเข้ม
“ฮือ อย่าแกล้งผมสิ” ผมกรีดร้อง
เขาจูบปากและแก้มปลอบประโลมผม แล้วยังจูบซับน้ำตาที่เอ่อคลอ ผมอารมณ์พลุ่งพล่านและงุนงง ไม่รู้ว่าเจ้านายจะใจดีหรือใจร้าย
“โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้ว” พี่วศินปล่อยอวัยวะของผมให้เป็นอิสระ ใบหน้าของเขายิ้มแย้มสนุกสนานยามที่แยกขาทั้งสองของผมให้กางกว้าง สวมถุงยางในเวลาสั้นๆ แล้วย้ำคำสั่งที่ยากแสนยากกับผม “แต่อย่าเพิ่งเสร็จซะล่ะ”
“ครั- อึก...อื้อ”
พี่วศินดันสิ่งแปลกปลอมอันใหญ่โตชำแรกเข้ามา ช่องทางด้านหลังที่นุ่มลงแล้วถูกขยายอีกครั้งด้วยท่อนเอ็นร้อน พี่วศินดันมาเข้ามาทีละนิด ความรู้สึกเจ็บและจุกกลืนกินท่อนล่างของผมจนชาหนึบ ฝ่ามือเขาดันใต้ข้อพับข้างหนึ่งเอาไว้ยามที่ภายในกายผมถูกรุกคืบช้าๆ ผมจิกแขนข้างที่เขาใช้ค้ำตัวเองไว้แน่น ปลายเท้าจิกเกร็ง ความอึดอัดที่ไม่คุ้นเคยดำเนินต่อเนื่องยาวนาน
“ทำไงดีล่ะหมิง เข้าไปได้แค่ครึ่งเดียวเอง” พี่วศินคิ้วขมวดแต่ยังแย้มยิ้มชั่วร้ายอยู่ด้านบน เขาก้มมองต่ำไปยังบริเวณที่เราเชื่อมต่อกัน
ผมพยายามควบคุมลมหายใจเข้าออกให้ช้าลง ความเจ็บชาทำร้ายราวสะโพกผมกำลังจะแยกเป็นชิ้นๆ หยาดน้ำใสรินไหลลงหางตา “พี่ทำให้มันเล็กลงได้ไหมล่ะ”
“อันนี้พี่จนปัญญาจริงๆ” เขาส่ายหน้า ก้มลงจูบผมอีกครั้ง “มีแต่หมิงแล้วที่จะช่วยพี่ได้ ผ่อนคลายหน่อยนะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามผ่อนคลายร่างกายตัวเองที่เครียดเกร็ง สวมกอดผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าเอาไว้แน่น ค่อยๆกลืนกินส่วนแข็งขืนของพี่วศินเข้าไปอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้ว่าผมผ่อนคลายลงแล้วจริงๆหรือผมช้าไม่ทันใจพี่เขา พี่วศินจึงยึดเอวผมเอาไว้แล้วดันตัวเองเข้ามารวดเดียวจนสุด
“อื๊อ” ผมจิกทั้งสิบนิ้วลงบนแผ่นหลังเขา เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฮ่า.. แน่นจัง” เสียงทุ้มบ่นข้างหู พี่วศินแนบจูบลงที่ใบหูผมอีก “พี่ขยับเลยได้ไหม”
เขาถามทั้งๆที่เริ่มขยับไปแล้ว ผมกอดคอเขาเอาไว้แล้วจึงตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ “ถามทำไมเนี่ย”
“เคยตัวน่ะ” พี่วศินหัวเราะเบาๆ กระซิบกระซาบพลางจูบผมไปด้วย “หมิงเก่งที่สุด ปกติคนอื่นแทบจะคลานหนีพี่ไปแล้ว”
เขากระซิบไป ขยับกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าไปด้วย สัมผัสถึงขนาดอันใหญ่โตในท้องตัวเองทำให้ผมอยากจะคลานหนีไม่ต่างกันกับคนในอดีตของเขา ติดที่ผมหมดแรงไปเรียบร้อย กระทั่งจะโต้เถียงกลับไปยังขี้เกียจ ผมตัวสั่นอย่างไม่อาจรับรู้ได้อีกว่าความชาหนึบที่บั้นท้ายนั้นเป็นความสุขสมหรือทรมาน
ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทรมานถึงขนาดทำให้ผมหมดสิ้นอารมณ์ใคร่ ผมเกี่ยวกระหวัดร่างหนาของพี่วศินเอาไว้ทั้งตัว ขยับโยกไปตามจังหวะของเขาโดยไร้แรงต่อต้าน เมื่อความตึงชาถูกความหวามไหวหยดลงผสมมากเข้า ร่างกายผมก็ค่อยๆโอบรับเขาเอาไว้โดยไม่ผลีผลาม ผมกอดรัดการเชื่อมต่อของเราเอาไว้แน่น ทำความคุ้นชินกับรูปร่างใหญ่ยาวในกาย ขมิบตอดมันราวกับจะจดจำรูปร่างของมันเอาไว้
“อึก อ๊ะ”
“พี่ไม่คิดเลย ว่าหมาของพี่จะเซ็กซี่ขนาดนี้” เขาครางเสียงต่ำ
แกนกายของผมที่ช็อคจากความเจ็บปวดกลับมารู้สึกตึงแน่นอีกครั้ง มันสั่นหงึกอยู่ใต้หน้าท้องสีน้ำผึ้งสวย ผมหลับตาพริ้ม คว้าจับแผ่นอกแน่นของเขายามร่างกายถูกกระแทกกระทั้น สิ่งนั้นถูกดันเข้าสุดแล้วดึงออกด้วยจังหวะที่ไม่เร็วมากนัก ผมรู้สึกวูบโหวงสลับกับเต็มตื้น ความสุขสมชำเราผมเสียจนใกล้บ้าเต็มที หลุดเสียงครางออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
เมื่อเห็นว่าผมไม่เจ็บปวดทั้งยังรื่นรมย์กับรสสัมผัส พี่วศินก็จูบผมอีกครั้งแล้วหยัดตัวขึ้น เขาคว้าหมอนแถวนั้นมารองไว้ใต้สะโพกผม แก่นกายเขาหลุดออกจากช่องทางด้านหลังเป็นเสียงน่าอายจนรู้สึกว่างเปล่า ผมไขว่คว้าหาเจ้าสิ่งนั้นด้วยความอาวรณ์
พี่วศินแย้มยิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มขวาบุ๋มลง เขาเสือกสอดความกำยำของตนเองเข้ามาอีกครั้งจนสุดลำแล้วกระชับเอวผมเอาไว้ด้วยสองมือ จากนั้นร่างหนาของเขาจึงบรรเลงบทเพลงเต้นรำที่วาบหวามที่สุดในค่ำคืนนี้
ร่างกายผมสั่นกระตุกตามจังหวะที่รัวเร็วของเขา เหมือนถูกลากให้เต้นไปตามจังหวะที่เราไม่อาจตามทัน แต่การประคองนำของเขาก็ทำให้ผมจำต้องก้าวตามอย่างไม่อาจต้านทาน ความเร็วนั้นสร้างความหฤหรรษ์ ผมขึ้นและลงเหมือนอยู่บนเครื่องเล่นน่าหวาดเสียว เม็ดเหงื่อผุดพร่างพราวไปทั้งกาย มือหนาของเขากระชับเอวผมเอาไว้แน่น แรงที่ถูกส่งเข้าออกสะเทือนไปถึงกลางกายของผม มันกระดอนกระเด้งอย่างไร้ยางอาย ที่บั้นท้ายบังเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั้งห้อง คละเคล้ากับเสียงครางกระเส่า ส่วนหัวกระแทกย้ำจุดอ่อนไหวด้านในซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอยากจะหวีดร้องแต่ก็ทำได้เพียงยกสองแขนขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
“หมาตัวนี้รู้จักอายบ้างแล้วเหรอ” เสียงทุ้มแสนรื่นเริงนั้นไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเลย ผู้ชายคนนี้คิดจะทำทุกอย่างพร้อมกันจริงๆหรือ ทั้งพูด ทั้งกระแทก เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนัก
“ฮ่า…ฮ่า” ผมทำได้แค่หอบหายใจ “เจ้านาย… ผมจะเสร็จ”
“ต้องทำยังไงดีล่ะ” พี่วศินยียวน ลูบไล้แก่นกายของผมแล้วกดน้ำหนักลงกลางท้องน้อย
“อ๊า!” ผมไม่อาจห้ามเสียงตัวเองได้
ผมไม่ได้คาดหวังว่าค่ำคืนนี้จะหวานละมุนเหมือนกับคนแรกรัก เพียงคนสองคนที่กระหายแต่ความใคร่จากกันและกันมันจะพาผมไปไกลสักแค่ไหนกันเชียว แต่สิ่งที่พี่วศินปรนเปรอให้แก่ผมกลับเกินกว่าที่ผมประมาณไว้ไปมากโข ร่างกายผมไม่ได้เตรียมพร้อมมาเจอกับการบีบเค้นทางกามารมณ์ขนาดนี้เลย รสสัมผัสของเขาป่าเถื่อนกว่าภาพลักษณ์ใจดีมากเกินไป มากเกินกว่าผมจะปรับตัวไหว
ส่วนปลายของเขากระแทกชนกับหน้าท้องที่ถูกกดจนผมแทบสิ้นสติ “พี่- ผมไม่ไหว..”
พี่วศินเร่งจังหวะขึ้นอีก เขาเอนกายลงมาล็อกตัวผมไว้ด้วยสองแขน ทั้งยังขยับสะโพกอย่างแข็งขัน กระซิบคำอนุญาตแสนหวานที่ผมรอคอย “หมิงหมิงเด็กดี ปล่อยออกมาได้แล้วครับ”
ดวงตาสีดำจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของผม หมู่ดาวพร่างพรายในนั้นส่งกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่าง ผมปล่อยมันไปโดยไม่ได้อดกลั้นอีก กอดไหล่พี่วศินเอาไว้เหมือนเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายในวันโลกถล่ม เมื่อแรงอารมณ์พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ขาทั้งสองข้างของผมก็เกี่ยวสะโพกสอบของเขา ล็อกมันเอาไว้ กระทั่งกายผมสั่นกระตุกฉีดพุ่งของเหลวออกมาเปรอะเปื้อนร่างกายของกันและกัน
ผมหมดแรง ลูบหน้าท้องที่เหนียวเหนอะของตัวเอง รสสัมผัสคงค้างทำให้ผมเผลอคิดไปว่าฝ่ามือของผมสามารถสัมผัสถึงอวัยวะแปลกปลอมที่แทรกเข้ามาอยู่ในกายผมได้ผ่านผิวหนังหน้าท้อง ผมลูบมันเบาๆในตอนที่พี่วศินค่อยๆถอนกายของเขาออกไป
เราหอบหายใจ พี่วศินดึงถุงยางที่มีของเหลวสีขุ่นบรรจุอยู่ออกจากอวัยวะเพศของตนเอง มันสงบลงแต่ยังทิ้งขนาดอันน่าพรั่นพรึงเอาไว้ในความทรงจำ ผมพลิกตัวไปคว้าทิชชู่ข้างเตียงมาเช็ดคราบบนตัว ในจังหวะที่ผมคลานหันหลังให้เขา เอวผมก็ถูกฝ่ามืออุ่นคู่นั้นคว้าเอาไว้อีก
ผมเอี้ยวตัวไปมอง ขนลุกไปทั่วทั้งกาย
เจ้าโลกที่คายน้ำเชื้อออกมาถึงสองครั้งสองครากลับผงาดขึ้นมาอีกครั้งในกำมือของพี่วศิน และผู้ที่เป็นนายของเจ้าอสูรร้ายนั่นก็ยังแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ผมอย่างน่าหวาดผวาอยู่เบื้องหลัง
“เจ้านาย…” ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งเพราะเอาแต่ครางมาตลอดหนึ่งชั่วโมง
“เป็นเด็กดีนะหมิง” พี่วศินใช้ปากฉีกซองถุงยางแล้วสวมมันลงไป ผิวเรียบสีชมพูของมันแนบสนิทไปกับท่อนเอ็นสีเข้ม
“พี่-” ผมไม่อาจทัดทาน ได้แต่เบิกตาโพลงยามที่ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะผมแนบพื้นเตียง ช่องทางที่ยังไม่อาจปิดสนิทถูกรุกรานอีกครั้ง “อื๊อ”
“คลานสี่ขาอย่างนี้ค่อยเหมือนหมาขึ้นมาหน่อย” พี่วศินหัวเราะเหมือนแซวเล่น เขายันเข่าข้างหนึ่งขึ้นมา จับสะโพกผมล็อกเอาไว้ในฝ่ามือคีม หยัดกายเข้าออกตามใจตนเอง ผมยันคางไว้กับเตียงนุ่ม ความเสียวแล่นปราดไปทั่วร่างอีกครั้ง ความหนักหน่วงที่เสียบสอดเข้ามาด้านหลังทำให้ผมจุก แต่ผมกลับแอ่นกายรอรับแรงกระแทกของเขาโดยอัตโนมัติ
สติของผมไม่ค่อยจะสมประดี มันมึนงงและมัวเมา กามารมณ์ย้อมผมด้วยสีน้ำตาลคอปเปอร์ ไม่อาจรับรู้ได้อีกว่าท่อนแขนแข็งแรงของเขาจับร่างกายผมพาดตรงไหนทำท่าอะไรบ้าง ผมขยับตามแรงดึงไปโดยไม่ขัดขืนและคิดอะไรอีก ลิ้มเพียงรสจากริมฝีปากของเขาและความรู้สึกอันท่วมท้นภายใน ผมรู้ว่าพรุ่งนี้จะระบมไปทั้งร่าง แต่ความทรมานแสนสุขสมเช่นนี้ผมไม่อาจถอนตัวปฏิเสธมัน
ผมนึกถึงคืนที่ผ่านมา ที่ผมอวดดีคิดจะใช้ร่างกายตัวเองบำเรอเขาง่ายๆ
ที่พี่วศินบอกว่าไม่พอ มันคือไม่พอจริงๆ
เจ้านายผมเป็นมารร้ายในคราบนักบุญแท้ๆ
เขาเอาผมอยู่อย่างนั้นทั้งคืน
ตามรังควานผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าการตื่น เรียกว่าฟื้นจะเหมาะสมกว่าร่างกายผมร้าวระบมเหมือนเพิ่งไปปั่นจักรยานบนเขามาสามสิบกิโลเมตรโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม ผมไม่อยากจะขยับตัวแม้สักมิลลิเมตรแต่ก็ต้องฝืนขยับเพราะปวดฉี่ ผมมองไม่ออกว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะม่านคุณภาพดีของโรงแรม แสงสว่างพยายามแหวกม่านหนามาให้ถึงเตียงอย่างสุดความสามารถแต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนอยู่บนพื้นเป็นเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เท่านั้น ผมค่อยๆกระดิกร่างกายที่อ่อนล้าทีละส่วนแล้วขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง ตอนที่ยันแขนตัวเองเพื่อลุกขึ้นจึงเพิ่งสังเกตว่าความหนักหน่วงที่ถ่วงร่างกายผมเอาไว้ไม่ใช่เพียงความอ่อนล้า แต่เป็นแขนแข็งแรงอีกข้างที่พาดไว้บนเอวผมจากด้านหลังผิวสีแทนของพี่วศินตัดกับหน้าท้องขาวๆของผม บนหน้าท้องขาวมีรอยจูบและรอยอื่นๆฝากเอาไว้อย่างน่ากระดาก พี่วศินที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังยังคงนอนหลับลึกอย่างเป็นสุข เห็นเขาแล้วผมก็อดหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ผมลอดตัวออกมาจากวงแขนของพี่วศินอย่างยากลำบาก ตอนที่ก้าวถึงพื้นได้ร่างกายผมก็โอนเอน เซถลาแทบคว่ำเพราะขาไม่มีแรง ด้วยเหตุนั้นผมจึงเท้าแขนกับผนังห้อง พยุงพาตัวเองไปถึงห้องน้ำในที่สุดทุกก้าว
แม่เลี้ยงเดี่ยว โชคดีที่เรื่องวิวาทระหว่างพี่เจฟกับน็อตไม่ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างนัก เพราะพวกเรามากันเร็วในร้านจึงยังไม่ทันมีคน อีกทั้งน็อตก็(ดูเหมือนจะ)ไม่เอาเรื่องแล้วล่าถอยไปเงียบๆ พี่เตเจ้าของร้านจึงไม่ต้องรับมือกับปัญหาน่าปวดหัวที่ตามมามากนัก พี่มะลิไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้าร้านมา เธอเพียงนั่งอยู่เงียบๆ ปรับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น คล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนอดทนให้น้ำตาไม่ไหลเราทุกคนสนิทกันพอประมาณ แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวที่อีกฝ่ายไม่เคยเล่า ผู้ชายสามหน่อที่เหลืออย่างพวกผมก็ออกจะประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกกันนิดหน่อย ยิ่งมีผู้หญิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงหน้าพวกผมยิ่งตัวแข็งเป็นหิน อย่างไรเสียน้ำตาหญิงสาวก็เป็นของที่ผู้ชายแพ้ทางจริงๆ“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไหมมึง” พี่เจฟที่สนิทกับพี่มะลิที่สุดถอนหายใจแล้วออกปากเป็นคนแรก “จริงพี่ กับพวกผมไม่ต้องฮึบหรอก” ผมพยายามพูดเผื่อจะทำให้พี่มะลิรู้สึกวางใจมากขึ้น“ผู้ชายคนนั้นใครน่ะมะลิ” ส่วนพี่วศินไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ยิงคำถามตรงๆไม่อ้อมค้อม ถึงจะดูไม่ใส่ใจแต่ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ยังบีบหัวไหล่พี่มะลิเอาไว้เบาๆพี่มะลิสูดล
กรูมมิ่ง ช่วงหลังมานี้เหมือนงานที่บริษัทพี่วศินจะไม่ยุ่งมากนักเหมือนช่วงแรกที่ผมเข้ามาอยู่บ้านนี้ บางวันเขาจึงไม่ได้เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านบ้างตามประสาหนุ่มไอที พี่วศินดูจะมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อไม่ต้องรีบตื่นรีบเดินทางไปทำงาน“หมิงตื่นยัง” พี่วศินเคาะประตูห้องแค่สองสามทีแล้วก็เปิดเข้ามาโดยง่ายเพราะผมไม่ได้ล็อคประตู ประสาทสัมผัสของผมได้ยินและรับรู้การกระทำของเขาแต่ก็ยังไม่อยากลืมตา เตียงยวบเมื่อพี่วศินเดินมานั่งบนเตียงแล้วปลุกผมอย่างใจเย็น“ตื่นไปแปรงฟันเร็ว ไหนบอกว่าวันนี้จะไปวิ่งกับพี่ไง” เขาทวงผมกะพริบตาปริบๆแล้วฝืนลืมตา พี่วศินส่งรอยยิ้มสดใสให้ผมแต่เช้า ทั้งรอยยิ้มและแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเจิดจ้า บรรยากาศอบอุ่นในห้องทำให้เขาต่างหากที่ดูเหมือนหมาตัวใหญ่ เหมือนมากกว่าผมเยอะได้ยินเขาทวงผมก็นึกถึงตัวเองเมื่อหลายคืนก่อน บทสนทนาจากเรื่องต่อยเป็นหรือไม่เป็น ลามไปถึงเรื่องหุ่นและการออกกำลังกาย พอพูดว่าอิจฉาหุ่นของเขา พี่วศินก็ยิ้มแฉ่งชวนผมไปออกกำลังกายทันที ผมที่คิดว่าควรฮึดออกกำลังกายบ้างสักตั้งจึงตอบตกลงด้วยความมั่นใจ ยังมีหน้าไปบอกเขาอีกต่างหากว่าให้เคี่ยวเข็ญผมด
เลือกทางที่ง่ายเช้าตรู่ทุกวันพี่วศินจะมาปลุกผมไปออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งบ้าง เวทเทรนนิ่งบ้าง พอออกกำลังกายเสร็จ พี่วศินจะเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนผมอาบน้ำ ยืนส่งเจ้านายออกไปทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปนอนต่อ ชดเชยที่ต้องตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนสุนัขตัวหนึ่งเประเประยังจะขยันกว่าผม พอเปิดผ้าคลุมกรง กินอาหารและขับถ่ายเรียบร้อย มันก็ร้องเจื้อยแจ้วของมันอยู่ทั้งวัน บินไปทางโน้นบ้าง เดินบ้าง กระโดดบ้าง ใช้ชีวิตแบบนกๆของมันไปอย่างร่าเริง ผมตื่นอีกครั้งราวสิบโมง ก็เดินลงมาทักทายมันเป็นอย่างแรกเหมือนกับทุกวันในวันที่อยู่คนเดียว เประก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของผม ถึงมันจะชอบพูดจากไม่น่ารัก แต่การได้เล่นกับนกก็สนุกและผ่อนคลายอยู่มาก“หมิงหมิง กินข้าว” เสียงแปร่งๆของเประดังขึ้น มันเลียนแบบเสียงร้องที่ได้ยินทุกวัน“กินแล้ว” ผมตอบมันไปเรื่อยเปื่อย “เประ กินข้าวยัง”“กินข้าว กินข้าว”“ปิ๊วๆๆๆๆ”“เข้ากรง”“อะไรล่ะนั่น เพิ่งออกมาจะเข้าอีกแล้วเหรอ” ผมแซว เประพูดไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เดินเข้ากรงอย่างที่มันร้อง เจ้านกสีเทาใช้ปากเกาะกรงเดินไปทั่วอย่างไม่รู้เบื่อ นกที่ถูกเลี้ยงในบ้านไม่ค่อยข
จำนนมะม่วงที่เก็บมาวันก่อนมีจำนวนมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สองคน ผมจึงแบ่งไว้สำหรับบริโภคแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจัดใส่ถุงให้พี่วศินนำไปแจกได้ตามสะดวกมะม่วงแก้วขมิ้นเป็นมะม่วงที่กินอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ลูกดิบสีเขียวให้รสเปรี้ยวเหมาะนำไปรับประทานกับน้ำปลาหวาน เมื่อเริ่มสุกเนื้อในจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองอย่างรวดเร็ว มีรสชาติเปรี้ยวหวานปนกัน ทานกับพริกเกลืออร่อย ส่วนผลสุกมีรสหวานฉ่ำ อาจสู้สายพันธุ์น้ำดอกไม้หรืออกร่องทองไม่ได้ แต่เมื่อนำมารับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูนรสชาติหวานเค็มก็ลงตัวไปอีกแบบผมสั่งน้ำปลาหวานเจ้าเด็ดมาจากนครปฐม ส่วนข้าวเหนียวมูนก็ไปซื้อมาจากตลาดในหมู่บ้าน ตอนนี้ทั้งเนื้อมะม่วงหวานฉ่ำและข้าวเหนียวมูนกลมกล่อมอยู่ในปากของผม กลิ่นหอมของน้ำกะทิอวลขึ้นจมูก ผมเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเป็นสุขในเช้าวันหยุดที่อากาศดี พอว่างก็หั่นมะม่วงสุกอีกลูกเป็นสองซีก วางใส่จานแล้วถือเดินเข้าไปในห้องนก เประก้มลงสำรวจไม่นานก็จิกจะงอยปากสีดำอันใหญ่ของมันลงบนเนื้อมะม่วง เลียกินน้ำหวานและเนื้อฉ่ำๆอย่างเพลิดเพลินพี่วศินยืนกอดอกมองอยู่ตรงทางเข้า “ใครเป็นเจ้าของเประกันแน่พี่เริ่มจะไม่แน่ใจแล้
แนบเนียนผ้าปูเตียงและชุดเครื่องนอนสีขาวถูกสับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนในตอนบ่าย ตอนที่ยัดผ้านวมและหมอนข้างเข้าปลอกอย่างยากลำบากได้แล้ว ผมและพี่วศินก็ช่วยกันสวมผ้าปูเตียงอยู่คนละมุม พัดลมตัวใหญ่ที่ปลายเตียงพัดส่งลมเย็นระบายความร้อน ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงแดดยามบ่ายร้อนจัดจ้าผิดกับบรรยากาศมืดครึ้มตอนเช้ามืดลิบลับพอปูเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างคนขี้เกียจ ตอนที่กลิ้งไปถึงอีกฝั่งพี่วศินก็ทรุดนั่งลงตรงหัวเตียงพอดี ผมขยับขึ้นไปหนุนตักเขาอย่างได้ใจพื้นที่ที่ผมเคยต่อสู้กับตัวเองในสมองถูกทำลายลงไปแล้วเมื่อมันได้ผู้ชนะ ผมตัดสินใจเลิกคิดมากและทำตามอย่างที่ใจต้องการ เพราะผมไม่ยอมหนีไปตอนที่ยังทัน ตอนนี้จึงสายเกินไปที่จะทำแบบนั้นแล้วผมชอบเขาไม่ใช่น้อยเลยพี่วศินลูบหัวผมแผ่วเบา ผมเส้นเล็กนุ่มแผ่กระจายอยู่บนต้นขาของเขา ดวงตาสีดำที่มองมาทำให้ความหวังในใจผมวูบไหว เป็นแววตาเดียวกันกับที่ผมได้สัมผัสเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ประกายอบอุ่นในหลุมดำแสนอันตรายที่ดูดผมเข้าไปจนไม่อาจหนีไปที่ไหนได้อีกผมเป็นคนไม่ช่างตั้งคำถามในระดับที่ทำให้แม่บ่นอยู่บ่อยๆ ปล่อยตัวปล่อยใจมาอยู่บ้านพี่วศินโดยรู้เรื่องราวของเขาเพียงส่ว
ชีวิตในฝัน ผมนั่งฟังศาสตราจารย์คนขาวอธิบายความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ไปได้หนึ่งชั่วโมงก็หาวหวอด สับเปลี่ยนมาดูคลิปเกี่ยวกับ UX/UI อย่างที่พี่วศินแนะนำ ผมพอจะเข้าใจคอนเซปต์คร่าวๆแต่ก็จบที่นั่งหาวน้ำตาไหลอีกตามเคย เนื้อหาของมันน่าตื่นเต้นและเข้าใจได้ไม่ยากในตอนแรก แต่พอหลังๆสติผมก็เริ่มหลุด ความมั่นใจดับวูบ คิดเพียงว่าเรียนไปตอนอายุป่านนี้ก็คงตามใครไม่ทันเฮ้อ จะว่าอย่างไรดี ผมรู้ดีว่าควรทำอะไร รู้ดีว่าไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆเพียงตั้งใจกับมันแค่ชั่วครู่ชั่วคราว คนเก่งทุกคนผ่านการฝึกฝนทักษะมาไม่ต่ำกว่าพันชั่วโมงกันทั้งนั้น ความตั้งใจกับการรับรู้ความเป็นจริงของผมมันขัดแย้ง คอยแต่รั้งให้ชีวิตผมไปไม่ถึงไหน คนรักสบายและเห็นแก่ตัวอย่างผมจึงหลีกหนีจากมันมาตลอด ใช้ชีวิตล่องลอยตามสายน้ำไหลไปเรื่อยโดยหวังว่าโชคชะตาจะไม่ใจร้ายมากนัก ความคิดและความรู้สึกซ้อนกันอยู่หลายชั้น ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะปล่อยชีวิตตัวเองให้ไหลไปตามกระแสลมอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมทำก็มีแต่การทำตัวตามสบาย พักอีกสักหน่อย ค่อยเริ่มวันพรุ่งนี้ ผัดวันประกันพรุ่งจนเ
ตั้งหลักป้ายที่ใหญ่ที่สุดของโปรเจ็คท์นี้ตกเป็นของผม ผลงานของผมได้รับคะแนนโหวตท่วมท้นและจะถูกนำไปใช้ในวันจัดแสดงคอนเสิร์ต ความภูมิใจคับพองอยู่ในอกแม้ผมจะไม่ได้เงินจากงานนี้สักบาทเดียวเลยก็ตามความยินดีสุขล้นจากข้างในไหลออกมาถึงข้างนอก จนพี่วศินยังดูออกว่ามีเรื่องดีๆเกิดขึ้น เขาเดาได้ทันทีว่างานการกุศลที่ผมเคยพูดถึงถูกนำไปใช้“ดีไซน์ของหมิงโดดเด่นกว่าคนอื่นจริงๆนั่นแหละ” พี่วศินกล่าวชม วันที่กลุ่มแฟนคลับเปิดให้ลงคะแนน พี่วศินนั่งอยู่ด้วยกันกับผม ผลงานทุกชิ้นผ่านตาเราทั้งคู่จึงทำให้ผมและเขาเห็นความแตกต่างได้ค่อนข้างชัดให้พูดตรงๆก็ดูเหมือนเอามืออาชีพมาแข่งกับมือสมัครเล่น งานส่วนใหญ่เป็นงานอาสาทำจากใจล้วนๆ จึงมีคนให้ความร่วมมือไม่มากนักและส่วนใหญ่ในนั้นก็คงไม่ใช่คนที่ทำมาหากินด้วยการออกแบบกราฟฟิคอย่างผม แต่ถึงอย่างนั้นคำชมที่ได้รับก็เป็นของจริง จะไม่ให้ผมดีใจกับมันเลยก็เป็นไปได้ยากไฟที่เคยมอดดับลุกโชนขึ้นมา ผมจึงใช้เวลาแต่ละวันในบ้านนี้อย่างมีความหมาย กิจวัตรในแต่ละวันถูกจัดสรรให้เป็นเวลามากยิ่งขึ้น ตอนเช้าเป็นเวลาออกกำลังกายและเล่นกับนก ตอนเย็นเป็นเวลาทำอาหาร ส่วนช่วงกลางวันที่ผมอยู่บ้
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้
Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l
จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั