มันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้
ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป
“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำ
จริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้น
ผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเอง
เมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนเล็กๆจากภายใน พี่วศินก็กดหัวผมเอาไว้ ท่อนเนื้อนั้นยัดลึกลงมามากกว่าที่ผมควบคุมด้วยตัวเอง ดวงตาของผมเบิกโพลง รู้สึกเหมือนจะสำลักเอาเสียให้ได้ แต่นั่นไม่อาจหยุดความมุ่งมั่นของผม ผมดูดกินมันอย่างแรง เร่งความเสียวซ่านให้ชำเราพี่วศินมากขึ้นมากขึ้น เมื่ออวัยวะในโพรงปากนุ่มสั่นกระตุก พี่วศินจึงดึงมันออกจากปากผม เขาชักรูดมันสองสามครั้งน้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมา ราดรดลงบนใบหน้าผมที่นั่งรอ
ผมหัวเราะพลางปาดของเหลวข้นเหนียวออกจากเปลือกตา “ฮะๆ นี่พี่ชอบแตกใส่หน้าเหรอเนี่ย”
พี่วศินก้มลงมาเช็ดปลายคิ้วของผม ดวงตาสีดำมีความรักใคร่ที่น่าพรั่นพรึงอยู่ในนั้น “ก็ใช่อยู่หรอก แต่กับหมิงพี่น่าจะได้แตกใส่อีกหลายที่เลยล่ะ”
เหลือจะเชื่อ แค่คำพูดเขาผมก็เสียวแล้ว
“ไอ้ที่บาร์คืออาหารเรียกน้ำย่อย ส่วนที่นี่คือเมนดิชใช่ป่ะ” ผมแซวพี่วศินที่ดูจะวางแผนมาอย่างดี เส้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและสุนัขของพวกเราเลือนรางลงทุกที
“อืม พี่รอกินเมนดิชแล้วเนี่ย” พี่วศินตอบหน้าตาย เขาไม่อายกับคำพูดตัวเองสักนิด
กับห้องที่ใช้นอนเพราะ ‘เมาจนขับรถไม่ไหว’ ก็ยังอุตส่าห์จองเป็นห้องสวีทเสียอีก ผมมองเขาถอดเสื้อผ้าลงไปนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำเรียบร้อย มัดกล้ามและก้นแน่นที่ใฝ่ฝันนั้นผมได้เห็นเต็มตาแล้ว ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนผิวแทนเนี่ยโคตรขี้โกงเลยเวลาแก้ผ้า ทั้งลอนกล้ามและความนวลเนียนของผิว แค่มองเขาผมก็ตื่นแล้ว
พี่วศินที่นั่งอยู่ในอ่างกวักมือเรียกผมหย็อยๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเสี่ยคนหนึ่ง
ผมเกี่ยวกางเกงในสีขาวโยนทิ้งไปอีกทางแล้วก้าวเท้าลงไปในอ่างอาบน้ำเดียวกัน เจ้าลูกรักแข็งตัวชี้หน้าคนที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่ก็เรื่องปกติเปล่าวะ คนกำลังจะมีเซ็กส์กันก็ต้องปึ๋งปั๋งสิ
“วัยรุ่นนี่มันปึ๋งปั๋งดีจริงๆ” เขาพูดเหมือนคนแก่
“วัยรุ่นอะไรเลยมานานแล้วป้ะ” ผมตีน้ำใส่เขา “ลุงเหอะแข็งแรงเกินเด็กไปเปล่า”
“อย่าเรียกลุงสิ มันเจ็บหัวใจนะ” เขาแสร้งจับอกตัวเองเหมือนเจ็บปวดเหลือทน “เรียกพี่น่ะดีแล้ว”
“ได้ครับเจ้านาย” ผมกวน
ผมนั่งชันเข่าประจันหน้ากับเขา น้ำในอ่างถูกตีฟองจนมองไม่เห็นภาพใต้ผิวน้ำ ผมจมตัวเองลงไปจนเหลือแค่คอ ลูบไล้เนื้อตัวเพื่อทำความสะอาดได้ไม่กี่ครั้งพี่วศินก็ดึงผมเข้าไปใกล้ เขาจับผมหมุนตัวโดยมีร่างใหญ่ซ้อนอยู่ด้านหลัง ถึงจะมองไม่เห็นแต่สัมผัสแข็งๆที่บั้นท้ายทำให้ผมนึกภาพออก ลุงคนนี้เพิ่งเสร็จไปแต่ดันแข็งแรงอย่างที่ผมพูดไม่มีผิด
แขนแข็งแรงของพี่วศินโอบล้อมมาด้านหน้า ผิวกายผมเป็นสีขาวจัดตัดกับผิวสีแทนของเขา ร่างสูงของผมไม่ถึงกับผอมแต่ก็ไม่มีกล้ามเนื้อมากนัก ช่างผิดกับหุ่นของคนที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีอย่างเขาเช่นกัน ฝ่ามือใหญ่คู่นั้นลูบไล้เนื้อตัวผมจนมาถึงแผ่นอก เขาจับมันบีบหนุบหนับ
“หมาตัวนี้มีนมด้วยอ้ะ” หน้าตาเขาดูปกติ แต่จากคำพูดของพี่วศิน ผมว่าเขาแอบเมาจริงๆไม่ได้โกหกแล้วล่ะ
ผมเอนหลังพิงตัวเขา “นมพี่ใหญ่กว่าอีก”
“ของพี่เป็นกล้าม” เขาพูดอวดโอ่ เสียงหัวเราะจากในลำคอของเขาฟังดูน่าหมั่นไส้ มือที่นวดหน้าอกผมอยู่เริ่มซุกซนถึงบริเวณปลายยอด พอปลายนิ้วเขาสะกิดโดน ความรู้สึกแปลกๆพลันแผ่กระจายไปทั่วตัว
มือเขาไม่เคยอยู่นิ่ง เขาเป็นเจ้านายที่ปรนเปรอสุนัขของตนอย่างดีเสมอ ตัวตนเบื้องล่างของผมเต้นเร่าอยู่ในมือเขา ความอบอุ่นของฝ่ามือกับน้ำเย็นๆทำให้ผมเสียววาบ ยิ่งเมื่อนิ้วมือนั้นไต่ลงต่ำไปถึงส่วนเร้นลับ ผมก็เผลอส่งเสียงออกมาเบาๆ
“ตรงนี้มันคิดถึงอะไรอยู่หรือเปล่า” ปลายนิ้วของพี่วศินสะกิดเขี่ยบริเวณนั้นอย่างน่าอึดอัด ผมบิดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา อยากถูกเติมเต็มมากกว่าการหยอกล้อแค่ผิวเผิน ผมรู้ว่าผมคิดถึงอะไร แต่จะไม่บอกเขาหรอก
ผมพลิกตัว หันกลับไปคร่อมเขาเอาไว้แล้วจูบ ส่งลิ้นที่เล็กกว่าเขาเล็กน้อยเข้าไปสำรวจภายในโพรงปากอุ่น พี่วศินหลับตาพริ้ม ลิ้นของเขาหยอกล้อกับลิ้นผมอย่างเป็นสุข ริมฝีปากของเราบวมเจ่อ แต่มิวายมันยังคงโหยหากันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงจูบดังอยู่ข้างหู เมื่อมันแยกจากก็ทิ้งสายใยเชื่อมกันเอาไว้ ผมเลียริมฝีปากอุ่นของเขาอย่างเคยตัว
“พี่วศิน ไปที่เตียงกันเถอะ” ผมคล้องคอเขาเอาไว้
“เอาสิ” พี่วศินตอบในลำคอ แต่กลับครอบริมฝีปากลงบนยอดอกของผม ไม่พาผมไปที่เตียงดังที่รับปาก ลิ้นหนาและร้อนหยอกล้อหัวนมจนมันแข็งขึ้น เมื่อลิ้นลากผ่านความรู้สึกเสียวปลาบก็วิ่งพล่านไปทั้งกาย
ปลายนิ้วมือของพี่วศินลูบไล้บั้นท้ายของผม มันไล่จากสันหลังลงไปถึงก้นกบ แหวกฝ่าก้นกลมกลึงทั้งสองเข้าไปตรงกลาง ตรงเข้าไปนวดจุดที่เขาเคยเย้าแหย่อยู่ใต้น้ำ น้ำสบู่ทำให้มันไม่ฝืดมากนักแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ผมเด้งตัวขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อปลายนิ้วของเขาพยายามแหย่เข้าไป
“เจ้านาย…” ผมออดอ้อน เบียดอกตัวเองเข้ากับใบหน้าเขา รอยตอหนวดสั้นๆที่คางของเขาทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ ใบหน้าคมคายของพี่วศินเงยขึ้นสบตากับผม เขาดูสงบและผ่อนคลาย เหมือนคนที่หยอกล้อกับสัตว์เล็กเพื่อความบันเทิง
พี่วศินละมือ “หมิงอยากได้อะไร”
“พาผมไปที่เตียงเถอะครับ” ผมลุกขึ้นจากน้ำแล้วหันหน้าไปด้านข้าง ดึงมือเขาให้ลุกขึ้นตามด้วย ห้องนอนกับห้องน้ำของโรงแรมแบ่งส่วนแยกกันแต่กลับมีกลไกให้สามารถเลื่อนบังตาออกได้ หากมีคนนั่งอยู่บนเตียงคิงไซซ์ข้างนอกนั่น เขาก็สามารถมองเห็นกิจกรรมที่ผมกับพี่วศินทำในห้องน้ำได้หมดจดเลยทีเดียว
“ตามใจหมิง” เขาพูดแล้วจูงผมก้าวออกมายืนบนพรม พี่วศินคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวมาห่อตัวผมเอาไว้แล้วย่อช้อนเอว แบกผมพาดไหล่ทั้งอย่างนั้น
“พี่วศิน!” ผมร้องเสียงหลง ความสูงของเขาทำเอาใจผมแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อาการหวาดเสียวว่าหัวจะชนเพดานยังไม่ทันหาย ร่างกายผมก็ลอยหวือลงบนเตียงสปริงชั้นดีเสียก่อน พี่วศินทาบทับลงมาโดยไม่เว้นช่วงให้ผมหายตกใจ
จูบรสเผ็ดร้อนบรรเลงขึ้นบนเตียงนุ่ม เขาแทรกตัวเองเข้ามาตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของผม ในภาวะที่ผมกำลังมึนเมาในจุมพิต สัมผัสเย็นและลื่นก็ตกลงบนจุดศูนย์กลาง ผมตัวสั่น มือใหญ่ของพี่วศินลูบไล้แก่นกายของผมกับเจลหล่อลื่น ทั้งมือของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวลื่น ปลายนิ้วเหล่านั้นกดนวดช่องทางด้านหลังของผมอย่างอดทน ผมคว้าเอาท่อนเนื้อแข็งของเขาเอาไว้ ช่วยเตรียมความพร้อมให้มันแม้มันจะพร้อมอยู่นานแล้วก็ตาม
“เด็กดี อ้าปาก” พี่วศินชันตัวขึ้น จ่อไอศกรีมช็อกโกแลตอันใหญ่ลงบนปากของผม ผมอ้าปากรับไว้ด้วยความเต็มใจ ละเลงน้ำลายของตนลงบนไอศกรีมแท่งนั้น เจ้านายของผมขมวดคิ้วด้วยแรงอารมณ์แล้วดึงออกถอยกลับไป เขายันใต้ข้อพับเข่าทั้งสองของผมขึ้น ปลายเท้าทั้งคู่ชี้ไปบนเพดาน ผมเป็นเด็กดีนอนรอ ดูว่าเขาจะทำอะไรกับร่างกายที่ซื่อสัตย์ของผมบ้าง
พี่วศินดึงมือผมไปซ้อนไว้ใต้เข่าตัวเอง “หมิงจับไว้นะ”
ผมยิ้มอย่างเผลอไผล “ครับ”
“อย่าเสร็จซะก่อนล่ะ” พี่วศินเหยียดยิ้มมุมปาก แล้วแทรกนิ้วที่ชุ่มฉ่ำด้วยเจลหล่อลื่นเข้าไปในช่องทางเร้นลับ
“จะ…พยายาม…ครับ” ผมเอ่ยเสียงกระเส่าเมื่อสิ่งแปลกปลอมแหวกเข้ามาในกาย เกร็งไปทั้งตัวอย่างไม่อาจห้ามได้
ผมนอนหงายกอดขาตัวเองเอาไว้ ในขณะที่คนแก่กว่าเล่นกับช่องทางของผมอย่างสนุกมือ เขาแทรกนิ้วเข้าออก สำรวจพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย พอเห็นผมทำหน้าเหยเกเขาก็แทรกนิ้วที่สองเข้ามาโดยไม่ปริปาก จากสายตาผมเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่มองมาทางผมกับมือใหญ่ที่ขยับเข้าออก ช่องทางด้านหลังค่อยๆนุ่มขึ้นเมื่อนิ้วทั้งสองนวดสะกิดผนังรอบๆ และแหวกออกจากกันในบางที
ผมตื่นใจ ความเสียวแล่นพล่านให้ผมเหยียดขาตรง หลุดออกจากมือตนเอง
“หมาดื้อ พี่บอกให้จับไว้ไง” พี่วศินขมวดคิ้วทำหน้าดุ
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยินยอม ร่างกายผมเป็นสุขเมื่อเขาออกคำสั่ง
“ครับเจ้านาย” ผมคราง นิ้วของเขายังเคลื่อนเข้าออกทั้งยังเพิ่มนิ้วที่สามเข้าไป ผมคว้าขาทั้งสองของตนขึ้นมากอดไว้อีกครั้ง แก่นกายผมสั่นระริกแม้จะไม่ถูกสัมผัส น้ำหล่อลื่นสีใสปริ่มอยู่ที่ปลายยอด
ตอนที่นิ้วทั้งสามชำเราภายในกาย ตอนที่พี่วศินงอข้อนิ้วสะกิดโดนต่อมลูกหมาก ผมอยากจะกรีดร้องและเสร็จมันเสียเดี๋ยวนั้น
ผมกัดริมฝีปากตัวเอง อดทนทำตามคำสั่ง
ผมไม่รู้ว่าเขาจะอนุญาตให้ผมปลดปล่อยได้เมื่อไร
พี่วศินแย้มยิ้มนุ่มละมุน ดวงตาสีดำสนิทของเขามืดมนเหมือนหลุมดำ เหมือนมารร้ายที่จ้องจะกินเมื่อขุนผมจนอ้วนพี เขาชำเราช่องทางของผมด้วยนิ้วมือจนมันอ่อนนุ่มแต่ก็ยังไม่ใส่แก่นกายของตัวเองเข้ามา เขาแสยะยิ้มแล้วดึงนิ้วทั้งสามออก
“หมิงเก่งจัง แฉะตั้งขนาดนี้แล้ว” พี่วศินถูนิ้วทั้งสามเข้าด้วยกันแล้วกางออกให้ผมเห็นสายใยที่ชุ่มฉ่ำ ยิ่งเมื่อนิ้วมือนั้นสัมผัสลงบนปลายองคชาตปริ่มน้ำ ความรู้สึกทั้งมวลของผมก็ถูกเขาปั่นแล้วรีดเค้นอย่างยิ่งยวด
ผมกระถดตัวหนี “เจ้านาย ผมจะเสร็จ”
“พี่ยังไม่อนุญาตให้เสร็จนะ” เขายิ้มกริ่ม “อดทนไว้สิเจ้าหมา”
ทั้งที่พูดแบบนั้น พี่วศินกลับไล่จับแก่นกายของผมไว้เต็มกำมือ กดนิ้วโป้งลงบนส่วนหัวสีชมพูเข้ม
“ฮือ อย่าแกล้งผมสิ” ผมกรีดร้อง
เขาจูบปากและแก้มปลอบประโลมผม แล้วยังจูบซับน้ำตาที่เอ่อคลอ ผมอารมณ์พลุ่งพล่านและงุนงง ไม่รู้ว่าเจ้านายจะใจดีหรือใจร้าย
“โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้ว” พี่วศินปล่อยอวัยวะของผมให้เป็นอิสระ ใบหน้าของเขายิ้มแย้มสนุกสนานยามที่แยกขาทั้งสองของผมให้กางกว้าง สวมถุงยางในเวลาสั้นๆ แล้วย้ำคำสั่งที่ยากแสนยากกับผม “แต่อย่าเพิ่งเสร็จซะล่ะ”
“ครั- อึก...อื้อ”
พี่วศินดันสิ่งแปลกปลอมอันใหญ่โตชำแรกเข้ามา ช่องทางด้านหลังที่นุ่มลงแล้วถูกขยายอีกครั้งด้วยท่อนเอ็นร้อน พี่วศินดันมาเข้ามาทีละนิด ความรู้สึกเจ็บและจุกกลืนกินท่อนล่างของผมจนชาหนึบ ฝ่ามือเขาดันใต้ข้อพับข้างหนึ่งเอาไว้ยามที่ภายในกายผมถูกรุกคืบช้าๆ ผมจิกแขนข้างที่เขาใช้ค้ำตัวเองไว้แน่น ปลายเท้าจิกเกร็ง ความอึดอัดที่ไม่คุ้นเคยดำเนินต่อเนื่องยาวนาน
“ทำไงดีล่ะหมิง เข้าไปได้แค่ครึ่งเดียวเอง” พี่วศินคิ้วขมวดแต่ยังแย้มยิ้มชั่วร้ายอยู่ด้านบน เขาก้มมองต่ำไปยังบริเวณที่เราเชื่อมต่อกัน
ผมพยายามควบคุมลมหายใจเข้าออกให้ช้าลง ความเจ็บชาทำร้ายราวสะโพกผมกำลังจะแยกเป็นชิ้นๆ หยาดน้ำใสรินไหลลงหางตา “พี่ทำให้มันเล็กลงได้ไหมล่ะ”
“อันนี้พี่จนปัญญาจริงๆ” เขาส่ายหน้า ก้มลงจูบผมอีกครั้ง “มีแต่หมิงแล้วที่จะช่วยพี่ได้ ผ่อนคลายหน่อยนะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามผ่อนคลายร่างกายตัวเองที่เครียดเกร็ง สวมกอดผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าเอาไว้แน่น ค่อยๆกลืนกินส่วนแข็งขืนของพี่วศินเข้าไปอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้ว่าผมผ่อนคลายลงแล้วจริงๆหรือผมช้าไม่ทันใจพี่เขา พี่วศินจึงยึดเอวผมเอาไว้แล้วดันตัวเองเข้ามารวดเดียวจนสุด
“อื๊อ” ผมจิกทั้งสิบนิ้วลงบนแผ่นหลังเขา เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฮ่า.. แน่นจัง” เสียงทุ้มบ่นข้างหู พี่วศินแนบจูบลงที่ใบหูผมอีก “พี่ขยับเลยได้ไหม”
เขาถามทั้งๆที่เริ่มขยับไปแล้ว ผมกอดคอเขาเอาไว้แล้วจึงตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ “ถามทำไมเนี่ย”
“เคยตัวน่ะ” พี่วศินหัวเราะเบาๆ กระซิบกระซาบพลางจูบผมไปด้วย “หมิงเก่งที่สุด ปกติคนอื่นแทบจะคลานหนีพี่ไปแล้ว”
เขากระซิบไป ขยับกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าไปด้วย สัมผัสถึงขนาดอันใหญ่โตในท้องตัวเองทำให้ผมอยากจะคลานหนีไม่ต่างกันกับคนในอดีตของเขา ติดที่ผมหมดแรงไปเรียบร้อย กระทั่งจะโต้เถียงกลับไปยังขี้เกียจ ผมตัวสั่นอย่างไม่อาจรับรู้ได้อีกว่าความชาหนึบที่บั้นท้ายนั้นเป็นความสุขสมหรือทรมาน
ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทรมานถึงขนาดทำให้ผมหมดสิ้นอารมณ์ใคร่ ผมเกี่ยวกระหวัดร่างหนาของพี่วศินเอาไว้ทั้งตัว ขยับโยกไปตามจังหวะของเขาโดยไร้แรงต่อต้าน เมื่อความตึงชาถูกความหวามไหวหยดลงผสมมากเข้า ร่างกายผมก็ค่อยๆโอบรับเขาเอาไว้โดยไม่ผลีผลาม ผมกอดรัดการเชื่อมต่อของเราเอาไว้แน่น ทำความคุ้นชินกับรูปร่างใหญ่ยาวในกาย ขมิบตอดมันราวกับจะจดจำรูปร่างของมันเอาไว้
“อึก อ๊ะ”
“พี่ไม่คิดเลย ว่าหมาของพี่จะเซ็กซี่ขนาดนี้” เขาครางเสียงต่ำ
แกนกายของผมที่ช็อคจากความเจ็บปวดกลับมารู้สึกตึงแน่นอีกครั้ง มันสั่นหงึกอยู่ใต้หน้าท้องสีน้ำผึ้งสวย ผมหลับตาพริ้ม คว้าจับแผ่นอกแน่นของเขายามร่างกายถูกกระแทกกระทั้น สิ่งนั้นถูกดันเข้าสุดแล้วดึงออกด้วยจังหวะที่ไม่เร็วมากนัก ผมรู้สึกวูบโหวงสลับกับเต็มตื้น ความสุขสมชำเราผมเสียจนใกล้บ้าเต็มที หลุดเสียงครางออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
เมื่อเห็นว่าผมไม่เจ็บปวดทั้งยังรื่นรมย์กับรสสัมผัส พี่วศินก็จูบผมอีกครั้งแล้วหยัดตัวขึ้น เขาคว้าหมอนแถวนั้นมารองไว้ใต้สะโพกผม แก่นกายเขาหลุดออกจากช่องทางด้านหลังเป็นเสียงน่าอายจนรู้สึกว่างเปล่า ผมไขว่คว้าหาเจ้าสิ่งนั้นด้วยความอาวรณ์
พี่วศินแย้มยิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มขวาบุ๋มลง เขาเสือกสอดความกำยำของตนเองเข้ามาอีกครั้งจนสุดลำแล้วกระชับเอวผมเอาไว้ด้วยสองมือ จากนั้นร่างหนาของเขาจึงบรรเลงบทเพลงเต้นรำที่วาบหวามที่สุดในค่ำคืนนี้
ร่างกายผมสั่นกระตุกตามจังหวะที่รัวเร็วของเขา เหมือนถูกลากให้เต้นไปตามจังหวะที่เราไม่อาจตามทัน แต่การประคองนำของเขาก็ทำให้ผมจำต้องก้าวตามอย่างไม่อาจต้านทาน ความเร็วนั้นสร้างความหฤหรรษ์ ผมขึ้นและลงเหมือนอยู่บนเครื่องเล่นน่าหวาดเสียว เม็ดเหงื่อผุดพร่างพราวไปทั้งกาย มือหนาของเขากระชับเอวผมเอาไว้แน่น แรงที่ถูกส่งเข้าออกสะเทือนไปถึงกลางกายของผม มันกระดอนกระเด้งอย่างไร้ยางอาย ที่บั้นท้ายบังเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั้งห้อง คละเคล้ากับเสียงครางกระเส่า ส่วนหัวกระแทกย้ำจุดอ่อนไหวด้านในซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอยากจะหวีดร้องแต่ก็ทำได้เพียงยกสองแขนขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
“หมาตัวนี้รู้จักอายบ้างแล้วเหรอ” เสียงทุ้มแสนรื่นเริงนั้นไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเลย ผู้ชายคนนี้คิดจะทำทุกอย่างพร้อมกันจริงๆหรือ ทั้งพูด ทั้งกระแทก เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนัก
“ฮ่า…ฮ่า” ผมทำได้แค่หอบหายใจ “เจ้านาย… ผมจะเสร็จ”
“ต้องทำยังไงดีล่ะ” พี่วศินยียวน ลูบไล้แก่นกายของผมแล้วกดน้ำหนักลงกลางท้องน้อย
“อ๊า!” ผมไม่อาจห้ามเสียงตัวเองได้
ผมไม่ได้คาดหวังว่าค่ำคืนนี้จะหวานละมุนเหมือนกับคนแรกรัก เพียงคนสองคนที่กระหายแต่ความใคร่จากกันและกันมันจะพาผมไปไกลสักแค่ไหนกันเชียว แต่สิ่งที่พี่วศินปรนเปรอให้แก่ผมกลับเกินกว่าที่ผมประมาณไว้ไปมากโข ร่างกายผมไม่ได้เตรียมพร้อมมาเจอกับการบีบเค้นทางกามารมณ์ขนาดนี้เลย รสสัมผัสของเขาป่าเถื่อนกว่าภาพลักษณ์ใจดีมากเกินไป มากเกินกว่าผมจะปรับตัวไหว
ส่วนปลายของเขากระแทกชนกับหน้าท้องที่ถูกกดจนผมแทบสิ้นสติ “พี่- ผมไม่ไหว..”
พี่วศินเร่งจังหวะขึ้นอีก เขาเอนกายลงมาล็อกตัวผมไว้ด้วยสองแขน ทั้งยังขยับสะโพกอย่างแข็งขัน กระซิบคำอนุญาตแสนหวานที่ผมรอคอย “หมิงหมิงเด็กดี ปล่อยออกมาได้แล้วครับ”
ดวงตาสีดำจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของผม หมู่ดาวพร่างพรายในนั้นส่งกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่าง ผมปล่อยมันไปโดยไม่ได้อดกลั้นอีก กอดไหล่พี่วศินเอาไว้เหมือนเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายในวันโลกถล่ม เมื่อแรงอารมณ์พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ขาทั้งสองข้างของผมก็เกี่ยวสะโพกสอบของเขา ล็อกมันเอาไว้ กระทั่งกายผมสั่นกระตุกฉีดพุ่งของเหลวออกมาเปรอะเปื้อนร่างกายของกันและกัน
ผมหมดแรง ลูบหน้าท้องที่เหนียวเหนอะของตัวเอง รสสัมผัสคงค้างทำให้ผมเผลอคิดไปว่าฝ่ามือของผมสามารถสัมผัสถึงอวัยวะแปลกปลอมที่แทรกเข้ามาอยู่ในกายผมได้ผ่านผิวหนังหน้าท้อง ผมลูบมันเบาๆในตอนที่พี่วศินค่อยๆถอนกายของเขาออกไป
เราหอบหายใจ พี่วศินดึงถุงยางที่มีของเหลวสีขุ่นบรรจุอยู่ออกจากอวัยวะเพศของตนเอง มันสงบลงแต่ยังทิ้งขนาดอันน่าพรั่นพรึงเอาไว้ในความทรงจำ ผมพลิกตัวไปคว้าทิชชู่ข้างเตียงมาเช็ดคราบบนตัว ในจังหวะที่ผมคลานหันหลังให้เขา เอวผมก็ถูกฝ่ามืออุ่นคู่นั้นคว้าเอาไว้อีก
ผมเอี้ยวตัวไปมอง ขนลุกไปทั่วทั้งกาย
เจ้าโลกที่คายน้ำเชื้อออกมาถึงสองครั้งสองครากลับผงาดขึ้นมาอีกครั้งในกำมือของพี่วศิน และผู้ที่เป็นนายของเจ้าอสูรร้ายนั่นก็ยังแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ผมอย่างน่าหวาดผวาอยู่เบื้องหลัง
“เจ้านาย…” ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งเพราะเอาแต่ครางมาตลอดหนึ่งชั่วโมง
“เป็นเด็กดีนะหมิง” พี่วศินใช้ปากฉีกซองถุงยางแล้วสวมมันลงไป ผิวเรียบสีชมพูของมันแนบสนิทไปกับท่อนเอ็นสีเข้ม
“พี่-” ผมไม่อาจทัดทาน ได้แต่เบิกตาโพลงยามที่ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะผมแนบพื้นเตียง ช่องทางที่ยังไม่อาจปิดสนิทถูกรุกรานอีกครั้ง “อื๊อ”
“คลานสี่ขาอย่างนี้ค่อยเหมือนหมาขึ้นมาหน่อย” พี่วศินหัวเราะเหมือนแซวเล่น เขายันเข่าข้างหนึ่งขึ้นมา จับสะโพกผมล็อกเอาไว้ในฝ่ามือคีม หยัดกายเข้าออกตามใจตนเอง ผมยันคางไว้กับเตียงนุ่ม ความเสียวแล่นปราดไปทั่วร่างอีกครั้ง ความหนักหน่วงที่เสียบสอดเข้ามาด้านหลังทำให้ผมจุก แต่ผมกลับแอ่นกายรอรับแรงกระแทกของเขาโดยอัตโนมัติ
สติของผมไม่ค่อยจะสมประดี มันมึนงงและมัวเมา กามารมณ์ย้อมผมด้วยสีน้ำตาลคอปเปอร์ ไม่อาจรับรู้ได้อีกว่าท่อนแขนแข็งแรงของเขาจับร่างกายผมพาดตรงไหนทำท่าอะไรบ้าง ผมขยับตามแรงดึงไปโดยไม่ขัดขืนและคิดอะไรอีก ลิ้มเพียงรสจากริมฝีปากของเขาและความรู้สึกอันท่วมท้นภายใน ผมรู้ว่าพรุ่งนี้จะระบมไปทั้งร่าง แต่ความทรมานแสนสุขสมเช่นนี้ผมไม่อาจถอนตัวปฏิเสธมัน
ผมนึกถึงคืนที่ผ่านมา ที่ผมอวดดีคิดจะใช้ร่างกายตัวเองบำเรอเขาง่ายๆ
ที่พี่วศินบอกว่าไม่พอ มันคือไม่พอจริงๆ
เจ้านายผมเป็นมารร้ายในคราบนักบุญแท้ๆ
เขาเอาผมอยู่อย่างนั้นทั้งคืน
อยากเป็นหมา เคยเห็นคลิปหมาแมวในโซเชียลมีเดียไหมครับ ช่วงนี้ผมชอบดูคลิปสัตว์โลกคลายเครียดมาก ทั้งสัตว์ป่าสัตว์บ้าน อย่างของอินฟลูสายสัตว์เลี้ยงที่พาไปโชว์ตัวบ่อยๆก็ดูน่าจะเหนื่อยหน่อย แต่มันมีอีกแบบที่ทำคอนเทนต์สปาหมา ASMR เอาหมามานอนหน้ากล้องแล้วก็ขัดผิวสางขนทาครีมบำรุงโชว์ ไอ้แบบนั้นเนี่ย เห็นกี่ทีผมก็โคตรอิจฉาเลย แล้วคุณดูนั่นสิ คลิปเตรียมอาหาร บนจานหลุมแบนๆนั่นเต็มไปด้วยโปรตีน ผัก และธัญพืช แล้วยังมีแซลมอนชิ้นเบ้อเริ่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามอีก อาหารหมาจานนี้จานเดียวมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ผมกินมาทั้งสัปดาห์อีกมั้ง ผมเป็นคนแท้ๆ วันวันหนึ่งผมได้กินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นแหละ จริงๆวัยใกล้สามสิบอย่างผมน่ะควรดูแลสุขภาพออกกำลังกายได้แล้ว เพื่อนวัยเดียวกันจูงมือกันเข้าคลาสพิลาทีส ปีนผา เข้ายิมกันหมด แต่อย่างผมนี่แค่หาเวลานอนได้ก็เก่งที่สุดแล้ว ไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ กับเงินเดือนขี้ปะติ๋วแค่นี้ผมทำงานหนักเป็นวัวเป็นควายเลยแหละ ผมสมัครงานเข้ามาเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ของบริษัทแฟชั่นขายปลีกเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในแผนกผมมีผมแค่คนเดียว ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน
ไม่ล้อเล่น ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เล
เมาเป็นหมา พูดถึงพี่วศิน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเป็นหัวหน้าในฝันของใครหลายๆคน เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ไม่ค่อยจะดุอะไร พึ่งพาได้ แล้วก็ตั้งใจรับฟังเราอยู่เสมอ พร้อมเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เราทุกครั้งที่เจอปัญหาอีกต่างหาก (แม้บางทีผมจะแค่บ่นเฉยๆก็ตาม) ก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีแสนอบอุ่นในฝันของพนักงานกินเงินเดือนอย่างเรานั่นแหละ ผมเชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากมีสามีอย่างเขา นานมาแล้วผมเคยถามเขาเรื่องแฟนแต่เขาก็บอกว่ายังไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะรอดเป็นโสดมาได้จนอายุปานนี้ ผมมักจะแซวว่าเขาแก่เป็นลุงอยู่บ่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอาวุโสที่สุดในกลุ่มเฉยๆ จริงๆเขาอายุแค่สามสิบแปดเท่านั้นเอง ทั้งที่เขาทำงานสายเทคที่ต้องวิ่งตามความรวดเร็วของเทคโนโลยีให้ทันอยู่เสมอ แต่พี่แกกลับตามกระแสอะไรในอินเตอร์เน็ตไม่ทันสักอย่าง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะแซวพี่วศินบ่อยๆ และเมื่อเทียบกับอายุที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนของเขา เขาดูแลตัวเองได้ดีมาก ร่างกายของเขากำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิดกับพี่ชายคนโตของผมที่ลงพุงไปแล้วเรียบร้อย ผมรู้จักแขนล่ำๆที่เผลอไปกอดตอนเมาอยู่บ่อยๆนั่นดี แต่ผมเพิ่งจะรู้เอาวันนี้ว่าเขาถึงขั้นมีซิกแพ็ค มี
เจ้านาย ป๊อก “โอ๊ย!” ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!” “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร” “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่ “...” “...” เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ” พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก” “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า” “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ” “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา “แล้วจะแกล้งลืมทำไม” ป๊อก
พี่ขออย่างเดียว ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น “นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร “พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย “อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ “ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย” “โห
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ
เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “