กรูมมิ่ง ช่วงหลังมานี้เหมือนงานที่บริษัทพี่วศินจะไม่ยุ่งมากนักเหมือนช่วงแรกที่ผมเข้ามาอยู่บ้านนี้ บางวันเขาจึงไม่ได้เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านบ้างตามประสาหนุ่มไอที พี่วศินดูจะมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อไม่ต้องรีบตื่นรีบเดินทางไปทำงาน“หมิงตื่นยัง” พี่วศินเคาะประตูห้องแค่สองสามทีแล้วก็เปิดเข้ามาโดยง่ายเพราะผมไม่ได้ล็อคประตู ประสาทสัมผัสของผมได้ยินและรับรู้การกระทำของเขาแต่ก็ยังไม่อยากลืมตา เตียงยวบเมื่อพี่วศินเดินมานั่งบนเตียงแล้วปลุกผมอย่างใจเย็น“ตื่นไปแปรงฟันเร็ว ไหนบอกว่าวันนี้จะไปวิ่งกับพี่ไง” เขาทวงผมกะพริบตาปริบๆแล้วฝืนลืมตา พี่วศินส่งรอยยิ้มสดใสให้ผมแต่เช้า ทั้งรอยยิ้มและแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเจิดจ้า บรรยากาศอบอุ่นในห้องทำให้เขาต่างหากที่ดูเหมือนหมาตัวใหญ่ เหมือนมากกว่าผมเยอะได้ยินเขาทวงผมก็นึกถึงตัวเองเมื่อหลายคืนก่อน บทสนทนาจากเรื่องต่อยเป็นหรือไม่เป็น ลามไปถึงเรื่องหุ่นและการออกกำลังกาย พอพูดว่าอิจฉาหุ่นของเขา พี่วศินก็ยิ้มแฉ่งชวนผมไปออกกำลังกายทันที ผมที่คิดว่าควรฮึดออกกำลังกายบ้างสักตั้งจึงตอบตกลงด้วยความมั่นใจ ยังมีหน้าไปบอกเขาอีกต่างหากว่าให้เคี่ยวเข็ญผมด
เลือกทางที่ง่ายเช้าตรู่ทุกวันพี่วศินจะมาปลุกผมไปออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งบ้าง เวทเทรนนิ่งบ้าง พอออกกำลังกายเสร็จ พี่วศินจะเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนผมอาบน้ำ ยืนส่งเจ้านายออกไปทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปนอนต่อ ชดเชยที่ต้องตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนสุนัขตัวหนึ่งเประเประยังจะขยันกว่าผม พอเปิดผ้าคลุมกรง กินอาหารและขับถ่ายเรียบร้อย มันก็ร้องเจื้อยแจ้วของมันอยู่ทั้งวัน บินไปทางโน้นบ้าง เดินบ้าง กระโดดบ้าง ใช้ชีวิตแบบนกๆของมันไปอย่างร่าเริง ผมตื่นอีกครั้งราวสิบโมง ก็เดินลงมาทักทายมันเป็นอย่างแรกเหมือนกับทุกวันในวันที่อยู่คนเดียว เประก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของผม ถึงมันจะชอบพูดจากไม่น่ารัก แต่การได้เล่นกับนกก็สนุกและผ่อนคลายอยู่มาก“หมิงหมิง กินข้าว” เสียงแปร่งๆของเประดังขึ้น มันเลียนแบบเสียงร้องที่ได้ยินทุกวัน“กินแล้ว” ผมตอบมันไปเรื่อยเปื่อย “เประ กินข้าวยัง”“กินข้าว กินข้าว”“ปิ๊วๆๆๆๆ”“เข้ากรง”“อะไรล่ะนั่น เพิ่งออกมาจะเข้าอีกแล้วเหรอ” ผมแซว เประพูดไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เดินเข้ากรงอย่างที่มันร้อง เจ้านกสีเทาใช้ปากเกาะกรงเดินไปทั่วอย่างไม่รู้เบื่อ นกที่ถูกเลี้ยงในบ้านไม่ค่อยข
จำนนมะม่วงที่เก็บมาวันก่อนมีจำนวนมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สองคน ผมจึงแบ่งไว้สำหรับบริโภคแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจัดใส่ถุงให้พี่วศินนำไปแจกได้ตามสะดวกมะม่วงแก้วขมิ้นเป็นมะม่วงที่กินอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ลูกดิบสีเขียวให้รสเปรี้ยวเหมาะนำไปรับประทานกับน้ำปลาหวาน เมื่อเริ่มสุกเนื้อในจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองอย่างรวดเร็ว มีรสชาติเปรี้ยวหวานปนกัน ทานกับพริกเกลืออร่อย ส่วนผลสุกมีรสหวานฉ่ำ อาจสู้สายพันธุ์น้ำดอกไม้หรืออกร่องทองไม่ได้ แต่เมื่อนำมารับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูนรสชาติหวานเค็มก็ลงตัวไปอีกแบบผมสั่งน้ำปลาหวานเจ้าเด็ดมาจากนครปฐม ส่วนข้าวเหนียวมูนก็ไปซื้อมาจากตลาดในหมู่บ้าน ตอนนี้ทั้งเนื้อมะม่วงหวานฉ่ำและข้าวเหนียวมูนกลมกล่อมอยู่ในปากของผม กลิ่นหอมของน้ำกะทิอวลขึ้นจมูก ผมเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเป็นสุขในเช้าวันหยุดที่อากาศดี พอว่างก็หั่นมะม่วงสุกอีกลูกเป็นสองซีก วางใส่จานแล้วถือเดินเข้าไปในห้องนก เประก้มลงสำรวจไม่นานก็จิกจะงอยปากสีดำอันใหญ่ของมันลงบนเนื้อมะม่วง เลียกินน้ำหวานและเนื้อฉ่ำๆอย่างเพลิดเพลินพี่วศินยืนกอดอกมองอยู่ตรงทางเข้า “ใครเป็นเจ้าของเประกันแน่พี่เริ่มจะไม่แน่ใจแล้
แนบเนียนผ้าปูเตียงและชุดเครื่องนอนสีขาวถูกสับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนในตอนบ่าย ตอนที่ยัดผ้านวมและหมอนข้างเข้าปลอกอย่างยากลำบากได้แล้ว ผมและพี่วศินก็ช่วยกันสวมผ้าปูเตียงอยู่คนละมุม พัดลมตัวใหญ่ที่ปลายเตียงพัดส่งลมเย็นระบายความร้อน ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงแดดยามบ่ายร้อนจัดจ้าผิดกับบรรยากาศมืดครึ้มตอนเช้ามืดลิบลับพอปูเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างคนขี้เกียจ ตอนที่กลิ้งไปถึงอีกฝั่งพี่วศินก็ทรุดนั่งลงตรงหัวเตียงพอดี ผมขยับขึ้นไปหนุนตักเขาอย่างได้ใจพื้นที่ที่ผมเคยต่อสู้กับตัวเองในสมองถูกทำลายลงไปแล้วเมื่อมันได้ผู้ชนะ ผมตัดสินใจเลิกคิดมากและทำตามอย่างที่ใจต้องการ เพราะผมไม่ยอมหนีไปตอนที่ยังทัน ตอนนี้จึงสายเกินไปที่จะทำแบบนั้นแล้วผมชอบเขาไม่ใช่น้อยเลยพี่วศินลูบหัวผมแผ่วเบา ผมเส้นเล็กนุ่มแผ่กระจายอยู่บนต้นขาของเขา ดวงตาสีดำที่มองมาทำให้ความหวังในใจผมวูบไหว เป็นแววตาเดียวกันกับที่ผมได้สัมผัสเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ประกายอบอุ่นในหลุมดำแสนอันตรายที่ดูดผมเข้าไปจนไม่อาจหนีไปที่ไหนได้อีกผมเป็นคนไม่ช่างตั้งคำถามในระดับที่ทำให้แม่บ่นอยู่บ่อยๆ ปล่อยตัวปล่อยใจมาอยู่บ้านพี่วศินโดยรู้เรื่องราวของเขาเพียงส่ว
ชีวิตในฝัน ผมนั่งฟังศาสตราจารย์คนขาวอธิบายความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ไปได้หนึ่งชั่วโมงก็หาวหวอด สับเปลี่ยนมาดูคลิปเกี่ยวกับ UX/UI อย่างที่พี่วศินแนะนำ ผมพอจะเข้าใจคอนเซปต์คร่าวๆแต่ก็จบที่นั่งหาวน้ำตาไหลอีกตามเคย เนื้อหาของมันน่าตื่นเต้นและเข้าใจได้ไม่ยากในตอนแรก แต่พอหลังๆสติผมก็เริ่มหลุด ความมั่นใจดับวูบ คิดเพียงว่าเรียนไปตอนอายุป่านนี้ก็คงตามใครไม่ทันเฮ้อ จะว่าอย่างไรดี ผมรู้ดีว่าควรทำอะไร รู้ดีว่าไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆเพียงตั้งใจกับมันแค่ชั่วครู่ชั่วคราว คนเก่งทุกคนผ่านการฝึกฝนทักษะมาไม่ต่ำกว่าพันชั่วโมงกันทั้งนั้น ความตั้งใจกับการรับรู้ความเป็นจริงของผมมันขัดแย้ง คอยแต่รั้งให้ชีวิตผมไปไม่ถึงไหน คนรักสบายและเห็นแก่ตัวอย่างผมจึงหลีกหนีจากมันมาตลอด ใช้ชีวิตล่องลอยตามสายน้ำไหลไปเรื่อยโดยหวังว่าโชคชะตาจะไม่ใจร้ายมากนัก ความคิดและความรู้สึกซ้อนกันอยู่หลายชั้น ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะปล่อยชีวิตตัวเองให้ไหลไปตามกระแสลมอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมทำก็มีแต่การทำตัวตามสบาย พักอีกสักหน่อย ค่อยเริ่มวันพรุ่งนี้ ผัดวันประกันพรุ่งจนเ
ตั้งหลักป้ายที่ใหญ่ที่สุดของโปรเจ็คท์นี้ตกเป็นของผม ผลงานของผมได้รับคะแนนโหวตท่วมท้นและจะถูกนำไปใช้ในวันจัดแสดงคอนเสิร์ต ความภูมิใจคับพองอยู่ในอกแม้ผมจะไม่ได้เงินจากงานนี้สักบาทเดียวเลยก็ตามความยินดีสุขล้นจากข้างในไหลออกมาถึงข้างนอก จนพี่วศินยังดูออกว่ามีเรื่องดีๆเกิดขึ้น เขาเดาได้ทันทีว่างานการกุศลที่ผมเคยพูดถึงถูกนำไปใช้“ดีไซน์ของหมิงโดดเด่นกว่าคนอื่นจริงๆนั่นแหละ” พี่วศินกล่าวชม วันที่กลุ่มแฟนคลับเปิดให้ลงคะแนน พี่วศินนั่งอยู่ด้วยกันกับผม ผลงานทุกชิ้นผ่านตาเราทั้งคู่จึงทำให้ผมและเขาเห็นความแตกต่างได้ค่อนข้างชัดให้พูดตรงๆก็ดูเหมือนเอามืออาชีพมาแข่งกับมือสมัครเล่น งานส่วนใหญ่เป็นงานอาสาทำจากใจล้วนๆ จึงมีคนให้ความร่วมมือไม่มากนักและส่วนใหญ่ในนั้นก็คงไม่ใช่คนที่ทำมาหากินด้วยการออกแบบกราฟฟิคอย่างผม แต่ถึงอย่างนั้นคำชมที่ได้รับก็เป็นของจริง จะไม่ให้ผมดีใจกับมันเลยก็เป็นไปได้ยากไฟที่เคยมอดดับลุกโชนขึ้นมา ผมจึงใช้เวลาแต่ละวันในบ้านนี้อย่างมีความหมาย กิจวัตรในแต่ละวันถูกจัดสรรให้เป็นเวลามากยิ่งขึ้น ตอนเช้าเป็นเวลาออกกำลังกายและเล่นกับนก ตอนเย็นเป็นเวลาทำอาหาร ส่วนช่วงกลางวันที่ผมอยู่บ้
ศึกษาดูใจผมนั่งตัวลีบอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์เอสยูวีสีขาว มันพุ่งทะยานฝ่าค่ำคืนกรุงเทพฯในความเร็วที่ไม่มากไม่น้อย ความเงียบงันโรยตัวปกคลุมบรรยากาศเย็นเยียบในรถอย่างน่าอึดอัด ผมมองทางไปเรื่อยด้วยไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับคนที่ดูเหมือนจะหัวร้อนข้างๆคนนี้ดีผ่านไปพักหนึ่งผมจึงลอบหันไปมองพี่วศินด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจเผื่อว่าเขาจะใจเย็นลงบ้างแล้ว ใบหน้าคมสันสีน้ำผึ้งที่ยิ้มหวานอย่างน่ากลัวเมื่อสักครู่นี้กลายเป็นใบหน้านิ่งเฉย เขาผินหน้ามาสบตาผมทีหนึ่งแล้วจึงถอนหายใจ หางคิ้วเข้มตกลง“พี่ใจร้อนไปหน่อยเนาะ” เขาเอ่ยพลางเสยผมสั้นๆของตัวเอง “โทษทีนะ”ร่างกายที่ตึงเครียดตามบรรยากาศอึดอัดในรถก่อนหน้านี้ของผมจึงค่อยผ่อนคลายลงเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากพูด พี่วศินดูจะใจเย็นลงแล้วจริงๆ“ก็ใจร้อนน่ะสิ” ผมพึมพำงุบงิบผมไม่เคยเห็นมุมที่เขาหงุดหงิดแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองจะต้องโดนเขาโกรธใส่เพราะไม่ยอมบอกเขาเรื่องที่กำลังหางานเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเป็นเขาเองที่เอ่ยปากขอโทษออกมาก่อนประสบการณ์ส่วนตัวผมเคยเจอแต่คนที่โกรธแล้วเอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจ เพราะผมใจเย็นจึงต้องกลายเป็นเป
ขาขึ้นจากใบสมัครงานที่ผมยื่นไปหลายเจ้า ผมถูกเรียกสัมภาษณ์สองสามที่ สองในนั้นเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ส่วนอีกหนึ่งที่นัดผมเข้าไปเจอที่ออฟฟิศ และหนึ่งที่สุดท้ายที่ว่าก็เป็นที่ที่ผมหมายตาอยากเข้าไปทำงานมากที่สุดผมก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแล้วยื่นแบงค์ยี่สิบให้พี่วิน เนื่องจากไม่มีหวังจะได้ไว้ผมยาวจนสามารถนำไปบริจาค ผมจึงตัดผมยาวระต้นคอให้สั้นเข้าทรงเรียบร้อย วันนี้ผมสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คที่ไม่ได้ใส่มานานจึงทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อสูทที่ดูไม่เข้ากับผมสักเท่าไรตัวนี้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังปลอมตัวมาสัมภาษณ์งานอย่างไรอย่างนั้นตึกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ความสูงของมันทำเอาผมหยุดความคิดที่จะแหงนหน้ามอง ผมก้าวเท้าเข้าไปภายในตึกด้วยความมั่นใจที่พกติดตัวมาไม่มากนัก ยื่นบัตรประชาชนแลกกับบัตร visitor แล้วกดลิฟต์ขึ้นชั้นสามสิบห้าไปตามที่อยู่ที่ได้รับทางอีเมล พนักงานบริษัทที่เดินสวนทางกับผมไปแต่ละคนดูภูมิฐานบุคลิกดีสมกับเป็นพนักงานเอกชนชั้นนำ และนั่นทำเอาผมที่ปกติแต่งตัวตามสบายเข้าออฟฟิศอยู่เสมอรู้สึกว่าตัวเองตัวลีบเล็กลงอย่างอดไม่อยู่ผมเคยทำงานอยู่ในเ
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั
พินัยกรรมโอเค กูอดต่อยพระละผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ อารมณ์ที่เคยคุกรุ่นจากเรื่องเล่าของพี่วศินพลันมอดดับด้วยสถานการณ์เหนือความคาดหมาย ตอนแรกผมกะว่าถ้าไอ้คนชื่อแชมป์มันโผล่หน้ามาเมื่อไหร่จะขอเล็งหน้ามันไว้ก่อนเผื่อต้องต่อยให้หายแค้น ที่ไหนได้ ห่มผ้าเหลืองออกมาอย่างสำรวมเสียจนผมเหวอไปหมดฝ่ายพี่วศินเองก็ดูจะตื่นตกใจไม่ต่างจากผม ดวงตาสีดำของเขาเพ่งมองชายในจีวรอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทั้งสองยืนห่างกันราวสี่ห้าเมตร พี่วศินตัวสูงใหญ่กว่าพระแชมป์ราวหนึ่งฝ่ามือ อีกฝ่ายค่อนข้างผอมกว่าแต่ก็ดูแข็งแรงไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนใช้แรงงาน ริ้วรอยแห่งวัยก็ดูจะเล่นงานพระแชมป์หนักกว่าพี่วศิน เพียงอายุสี่สิบต้นๆใบหน้าของเขาก็ซูบตอบลงไปมากแล้ว นอกจากสีผิวที่ใกล้เคียงกันแล้วทั้งคู่แทบไม่มีอะไรเหมือนกันอีก“แล้วนั่น โยม?” พระแชมป์หันหน้ามาทางผม ผมที่ลอบกำหมัดไว้เมื่อสักครู่จึงต้องแบมือออกประกบกันยกไหว้เขาแกนๆ เป็นหน้าที่พี่วศินอีกครั้งที่ต้องแนะนำผม
จันทบุรีตอนที่เล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมา ก็คล้ายกับความเจ็บปวดรวดร้าวที่พี่วศินเคยรู้สึกจะถูกชะล้างไปจนเกือบหมดแล้ว ดวงตาสีดำสนิทของเขาไม่สื่ออารมณ์ใดเป็นพิเศษยามที่ส่งมือขึ้นมาทัดผมลงที่ข้างหูอีกรอบ ผมรู้สึกอ้ำอึ้งและจุกหน่วงไปหมด อยากจะร้องไห้ออกมาให้เขารู้ว่าผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆเหล่านั้นแต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้มีน้ำตาผมลูบศีรษะคนแก่กว่าอย่างเงียบเชียบ หน้าตาผมคงจะดูแย่เอาการ“พี่บอกแล้วว่ามันไม่น่าเล่า” พี่วศินยิ้มจางๆ “เรื่องดราม่าเกินไปหน่อย ชวนให้กระอักกระอ่วนกันเปล่าๆ”“ดราม่าเกินไปหน่อยอะไรเล่า เจอมาหนักขนาดนั้น”เขาหัวเราะ “ตอนนั้นพี่ก็อยากจะเป็นบ้าตายไปเหมือนกัน”“แล้วตอนนี้พี่โอเคแล้วจริงๆเหรอ” ผมอดถามไม่ได้ นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรหากเป็นผมเองที่เจอเรื่องราวเดียวกัน“ตอนแรกก็คิดว่าไม่โอเคนะ แต่พอได้เล่าออกมาจริงๆแล
เมย 3เมยไม่เคยมีมื้อเช้าที่อึดอัดขนาดนี้มาก่อน เด็กหนุ่มพยายามตามไปอธิบายและปิดปากน้าชายแล้วหลังจากเกิดเรื่องแต่แชมป์กลับไม่ยอมเปิดประตูให้ เพียงส่งเสียงจากในห้องบอกว่าจะนอนแล้วก็เท่านั้น กระนั้นเมื่อวันใหม่มาถึง บนโต๊ะอาหารยามสายที่ประกอบไปด้วย แชมป์ เบน และเมย น้าชายคนนี้กลับเอาแต่พูดจ้อไม่หยุดแหม่มเดินมาเติมอาหารในสำรับสำหรับเด็กๆ ไข่เจียวร้อนๆถูกจัดในจานวางลงบนโต๊ะ เมื่อวางปุ๊บแชมป์ก็จิ้มช้อนเข้าไปตักไข่เจียวของโปรดทันที ชายหนุ่มดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษผิดกับเมื่อวานที่ทะเลาะกับนายถนอมเป็นฟืนเป็นไฟเธอสังเกตเห็นความผิดปกติในบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร“เพื่อนชื่ออะไรน่ะ” แชมป์หันไปทางเบนที่นั่งกินข้าวทีละน้อยเหมือนคนกินอะไรไม่ลง“ชื่อเบน” เมยตอบห้วนๆ“มาติวหนังสือกันเหรอ” ชายหนุ่มหันไปหัวเราะในลำคอกับเบนที่ไม่แม้แต่จะสบตาเขา “ไอ้เมยมันเก่งใช่ไหม ได้ที่หนึ่งตลอดเลยเชียวนา เก่ง
เมย 2เมยเป็นลูกคนเดียว แต่มีน้าชายที่แก่กว่าสามปีอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ชีวิตลูกคนเดียวของเมยจึงไม่ต่างจากคนที่มีพี่น้องมากนัก พอเข้าโรงเรียนแชมป์ก็สะดวกให้เมยเรียกตัวเองว่าพี่มากกว่า เมยจึงไม่ได้เรียกแชมป์ว่าน้าแชมป์อีกนับแต่นั้นแชมป์ชอบเล่นเกมมาก ตอนที่นายถนอมซื้อเครื่องเล่นแฟมิคอมให้เป็นของขวัญวันเกิด แชมป์ก็มักจะชวนเมยมาเล่นด้วยกันเป็นประจำ แรกเริ่มเดิมทีเมยตื่นเต้นกับการเล่นเกมมาก แต่เมื่อเล่นมากเข้าแล้วเอาชนะแชมป์ไม่ได้เสียทีเด็กชายก็เริ่มเบื่อหากชีวิตของเด็กสองคนนี้คือการแข่งขัน สิ่งเดียวที่แชมป์เอาชนะเมยได้คงเป็นการเล่นเกม“เมยมาเล่นเกมกัน” เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเสียงดังมาเรียกหลานชายผู้ขลุกอยู่ในห้องครัวกับมารดา เมยเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเรียนภาษาไทยแล้วก็อุบลงไปอีก“ไม่เอา พี่แชมป์ชอบเล่นสูตรขี้โกง” เมยกล่าวหา เด็กชายไม่อยากพ่ายแพ้แล้วต้องฟังเสียงหัวเราะเยาะของแชมป์อีก&nbs
เมย 1สายน้ำจากฝักบัวเรนชาวเวอร์ไหลลงกระทบร่างสูงเป็นเสียงซัดซ่า มันกระทบผิวกายสีแทนแล้วไหลลงสู่พื้นห้องน้ำ เสียงเปาะแปะของสายน้ำแต่ละสายรวมกันเป็นเสียงดังต่อเนื่อง แม้สายน้ำจะกระทบผิวกายจนเกิดเสียงดังพอสมควรแต่ก็ไม่อาจพัดพาความหนักอึ้งกลางอกชายหนุ่มให้หายไปได้วศินเปลือยกายอยู่ใต้ฝักบัว เขายืนนิ่งให้สายน้ำพัดพาสิ่งสกปรกไหลลงท่อระบายน้ำไปตามแรงโน้มถ่วง ชายหนุ่มรับน้ำเย็นให้เปียกปอนไปทั้งกายอยู่เป็นหลายนาทีแล้วจึงเริ่มขยับมือชำระร่างกายไปอย่างที่ควรจะเป็นในภายหลังสายตาคนรักหมาดๆของเขามีคำถามและความหวาดระแวงแฝงอยู่เต็มเปี่ยม เขาไม่อาจสู้สายตานั้นจึงทิ้งอีกฝ่ายไว้กับความกังวลที่ข้างนอกแล้วขังตัวเองไว้ในห้องน้ำมาพักใหญ่วศินลูบหน้าลูบผมตัวเองอย่างแรง เขารู้ดีว่าการหนีออกมาแบบนี้ไม่อาจรั้งอะไรไว้ได้นานนัก ชายหนุ่มขัดถูเรือนกายกำยำของตนราวกับจะชำระจิตใจตัวเองไปด้วยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงปิดน้ำ ความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงดังต่อเนื่องของสายน้ำทันทีทันใด มันมาพร้อมก
รสขมสมัยประถมเคยโดนล้อกันไหมครับประมาณว่า เอชอบบี บีชอบซี ไม่ก็ เห้ย ไอ้บีมันชอบแกอ้ะ แล้วคนที่ล้อก็จะทำตากรุ้มกริ่มๆน่ารำคาญใส่ ตอนเด็กๆผมโดนบ่อยเพราะสนิทเล่นหัวกับเด็กผู้หญิงในห้อง แต่โตมาก็ไม่ได้เจออะไรแบบนั้นมาพักใหญ่แล้วเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันเลิกเห่อการละเล่นแบบนี้ไป ไม่ได้คิดเลยว่าจะมาเจออีกทีตอนจะสามสิบกับบรรดาคุณพี่วัยใกล้กลางคน มีลูกแล้วหนึ่ง เพิ่งเป็นหม้ายอีกหนึ่งไอ้สายตาของสองคนนั้นมันเกินไปป่าววะผมหรี่ตาตอนที่เดินเข้าร้านมาพร้อมพี่วศิน สีหน้าพี่มะลิกับพี่เจฟกะลิ้มกะเหลี่ยเกินทน แทบจะได้ยินเสียง วี้ดวิ่ว กริ๊วๆ อยู่ในหูแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าผมหลอนไปเองพวกเราทักทายและพูดคุยกันตามปกติ ผมถูกถามเรื่องที่ทำงานใหม่พอเป็นพิธี จนเบียร์แก้วที่หนึ่งผ่านไปผมก็ยังไม่เจอคำถามชวนกระอักกระอ่วนอย่าง พวกแกเป็นไรกันอะ? สักที ผมได้แต่นั่งระแวงคำถามเหล่านั้นจนสงบใจเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งพี่มะลิและพี่เจฟไม่ได้เอ่ยแซวอะไรก็จริง แต่สายตาของสองคนน
Trust Issueตอนที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาสายแล้ว แสงอาทิตย์ยามแปดโมงเช้าทะลุทะลวงผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาถึงบนเตียง ปลายเท้าผมโผล่พ้นผ้านวมสีฟ้าอ่อนโดยมีท่อนขาแข็งแรงสีแทนเกาะก่ายอยู่ไม่ห่าง อ้อมกอดอุ่นจากด้านหลังไม่ได้ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมากเท่ากับสัมผัสยุกยิกบริเวณบั้นท้ายฝ่ามือซุกซนของคนด้านหลังสัมผัสลูบไล้ก้นนิ่ม ปลายนิ้วแข็งแรงเลื่อนลึกเข้าซอกหลืบ สัมผัสไล้เหมือนหยอกเหมือนเอาจริง ผมลืมตาตื่นตอนที่บั้นท้ายสัมผัสโดนอวัยวะที่ร้อนและใหญ่กว่าปลายนิ้วของคนข้างหลัง ผมหันไปโวยวายใส่เขา“เล่นอะไรเนี่ย”“มอร์นิ่งครับ” พี่วศินเห็นผมหันหน้ากลับไปหาจึงฉวยโอกาสจูบแก้มผมเบาๆผมที่ยังงัวเงียอยู่จึงทำได้แค่ลูบแก้มเบาๆยามที่ตอบเขากลับไปเท่านั้น “มอร์นิ่งครับ”ผมใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่สองคืนแล้วจึงกลับมาที่บ้านพี่วศิน ใช้เวลายามค่ำคืนอย่างลึกล้ำกับเขาแล้วก็ต
แรกพบสมัยเด็กๆ ผมเคยไปรอแม่ที่ที่ทำงานครั้งหนึ่ง มีนักศึกษาเดินเข้าห้องแม่มาปรึกษาไม่ขาดสายผมจึงขอตัวออกมาเดินเล่นด้านนอกภาควิชา เดินไปเดินมาก็เจอกับตลาดนัดมหาวิทยาลัยเข้าจึงเดินเข้าไปสำรวจภายในด้วยความยินดี มองดูสินค้าหลากหลายอย่างสนุกสนาน ซื้อขนมน่ากินติดมือมาบ้างในงบประมาณสามสิบบาทที่แม่ให้พกไว้ประจำวันตอนนั้นผมอยู่ม.2 ยังสูงไม่ถึง 155 เซนติเมตรด้วยซ้ำ ช่วงพักกลางวันคนแน่นตลาดเสียจนต้องเดินเบียดกัน เมื่อเดินลึกเข้าไปในตลาดแล้วเจอกับความแออัดมากเข้าจึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เดินหลบเลี่ยงร่างกายผู้คนที่ไม่คุ้นเคยไปเรื่อยก็หลุดออกมาอีกด้านหนึ่งของตลาด แน่นอนว่าตอนนั้นผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองยืนอยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัยเด็กม.2 น่าจะดูแลตัวเองได้พอสมควรแล้วแต่ไม่ใช่กับลูกแหง่อย่างผม ผมหวาดกลัวและเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเดินไปทางไหนและจะกลับไปหาแม่ได้อย่างไรดี สิ่งล่อใจหลากสีสันในตลาดนัดไม่อาจดึงดูดความสนใจผมได้อีก ผมเริ่มเบะปากหากแต่ไม่ได้ส่งเสียง ตอนที่กำลังมองไ