พี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สาม
มานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วย
ผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ
“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”
“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”
“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “มานีบอกจะดูละคร แม่ก็ชวนคุยอยู่ได้”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พวกผมที่เหลือหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รับรู้ได้ชัดว่ามานีเป็นเด็กแสบคนหนึ่ง
“ลูกรำคาญว่ะ โอ๊ย คุณแม่ที่น่าสงสาร” พี่เจฟหัวเราะหนักกว่าใคร เจ้าตัวถึงกับถอดแว่นออกเพื่อปาดน้ำตา
“อย่าให้เห็นมึงมีลูกบ้างเถอะ” พี่มะลิโต้กลับพี่เจฟด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย “แต่งมาสามปีแล้วยังไม่มีอีก”
“กูอยากมีแต่เมียไม่อยากมีน่ะสิ” พี่เจฟหยุดหัวเราะทันควัน ดวงตาสีน้ำตาลเหม่อมองไปไกลแสนไกล พี่เตที่ยืนเช็ดแก้วอยู่ด้านหลังบาร์ถึงกับมองตามเพราะนึกว่ามีตัวอะไรเกาะอยู่ด้านหลัง
พี่วศินตบบ่าพี่เจฟปุๆ “ผู้หญิงไม่อยากมีก็อย่าไปฝืนเขา”
“ร่างกายเขาผมไม่ฝืนหรอกพี่” พี่เจฟหัวเราะขื่นๆ
กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน น้องมานียืนกอดแขนพี่เจฟแน่นเหมือนเป็นพ่อแท้ๆเลยทีเดียว พี่เจฟที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกโดนหาเรื่องโดยไม่รู้ตัว ผมในฐานะผู้ชมหลุดหัวเราะพรืดเพราะได้ยินกิตติศัพท์ความแสบของเด็กหญิงคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่คิดเลยว่าจะแสบได้ขนาดนี้
“รู้จักเหรอ” เมจิที่มองตามผมมาสักพักถามขึ้น
“อื้อ” ผมพยักหน้า ตักอาหารใส่ปาก “พี่ที่สนิทกัน ตอนแรกว่าจะเข้าไปช่วยอยู่แต่คงไม่ต้องแล้ว” ฝากด้วยนะครับพี่เจฟ
“ดูเรื่องใหญ่อยู่นะ” เมจิวิจารณ์
ผมพยักหน้า มองตามคนสนิททั้งสองที่ค่อยๆเดินไกลออกไปเพราะต้องการหลบสายตาผู้คน ผมไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันอีก ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นยังตามหาเรื่องอย่างไม่ลดละ แต่พี่เจฟเหมือนจะจับทางอะไรๆ ได้จึงเข้ามากันอีกฝ่ายออกเต็มตัว สุดท้ายผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
เห็นแบบนั้นผมจึงกินข้าวต่ออย่างสบายใจ นึกสงสารพี่เจฟที่เป็นคนซวยที่สุดในสมการนี้ขึ้นมา ไว้ไปร้านเก้าหนึ่งเมื่อไหร่ผมต้องจับทั้งคู่มาสัมภาษณ์แบบเอ็กซคลูซีฟสักหน่อยแล้ว
ดูหนังจบแล้วผมกับเมจิมายืนเม้าแตกด้วยกันพักหนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือบ๊ายบาย พอหยิบมือถือมาเช็คก็พบแจ้งเตือนจากพี่วศินขึ้นมาเป็นอันแรก เห็นหน้าหล่อๆ ของเขาในมือถือตัวเองแล้วก็นึกหวั่นขึ้นมา ผู้ชายคนนี้กลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะไปพบเจอชาวแก๊งอย่างที่เคย ผมกลัวว่าระหว่างพูดจะหลุดพิรุธอะไรออกไป แค่คิดก็เหงื่อตกแล้ว
ในแอปพลิเคชันสีเขียว แจ้งเตือนจากพี่วศินบอกว่าเขาส่งข้อความมาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว
Wasin: ได้เลิกงานจริงๆสักที
Wasin: *สติกเกอร์*
Wasin: ดูหนังเสร็จแล้วทักมานะครับ”
Wasin: เดี๋ยวพี่ออกไปรับ
ผมคิ้วกระตุกขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่ รู้สึกประหลาดแต่ก็หุบยิ้มไม่ได้ในเวลาเดียวกัน ถ้าผมมีหางมันคงส่ายไปมา การเดินทางด้วยรถไฟฟ้ากลับบ้านไม่ได้ยากเลยสักนิด แต่พอมีคนมารับผมก็ดีใจเหมือนสุนัขที่เจ้าของมารับจากร้านตัดขนอย่างไรอย่างนั้น
ผมตอบเขาไปว่าดูหนังเสร็จแล้ว พี่วศินตอบกลับมาแทบจะทันที เราพูดคุยเรื่องหนังสัพเพเหระระหว่างที่ผมรอเขามารับ ในตอนที่ผมกำลังเดินลงบันไดเลื่อนเพื่อไปยังสถานที่นัดหมาย ผมก็เจอกับผู้ชายผิวแทนร่างสูงในชุดเสื้อโปโลสีเข้มและกางเกงชิโน่สีครึมพอดีตัว เขาโบกมือให้ผมในจังหวะที่ผมเดินเข้าไป
“นึกว่าพี่กำลังออกมาจากบ้านซะอีก” ผมประหลาดใจ กำลังคิดว่าจะสั่งน้ำเมนูไหนระหว่างรอเขาอยู่พอดี
“ถ้าต้องรอพี่นานขนาดนั้นเดี๋ยวหมิงจะอยากกลับเองซะก่อนน่ะสิ” พี่วศินเดินล้วงกระเป๋า เราเดินข้างกันไปตามทาง “พี่เลิกงานสักพักแล้วก็เลยออกมาหาอะไรกินด้วยน่ะ”
“อ้อ”
“ว่าแต่เรามีที่ไหนอยากไปต่อหรือเปล่า พี่ก็ไม่ได้ถาม”
“ไม่นะครับ ผมกะว่าดูหนังเสร็จก็กลับบ้านแหละ” ผมส่ายหน้า คนตกงานอย่างผมไม่ได้มีเงินพอเที่ยวขนาดนั้นหรอกครับ ถึงจะมีคนเลี้ยงแล้วก็เถอะ
“งั้นไปที่นี่เป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” เสียงทุ้มฟังดูตื่นเต้นดีใจ พี่วศินยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดู ในนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริการและการตกแต่งภายในที่สวยงาม
“ได้นะ แต่พี่หิวแล้วเหรอ” ผมหันไปมองคนข้างๆ พี่วศินเพิ่งพูดว่ามาที่นี่เพื่อกินข้าวอยู่หยกๆ นี่จะชวนไปกินข้าวอีกแล้ว
พี่วศินหุบยิ้ม “หมายถึงไปตอนมื้อเย็นสิ”
ผมที่โชคดีทำตามความฝันสำเร็จได้เป็นสุนัขของคนมีเงิน นอกจากจะได้นอนอยู่บ้านเฉยๆ แบบไม่อดตายแล้ว ยังได้ออกมาใช้ชีวิตสุดหรูโดยไม่ต้องจ่ายเงินเลยสักบาท
ผมไม่อยากกลับไปเป็นคนแล้วละครับ
เนื้อวัวมีเดียมแรร์เกรดพรีเมียมในปากผมค่อยๆละลายลงท้อง ทุกรสชาติสัมผัสซาบซ่านไปทั้งโพรงปากทำเอาผมสุขใจเสียจนน้ำตาแทบไหล ดนตรีสดในร้านแสนไพเราะไม่ดังหนวกหู แล้วยังแขกเหรื่อในร้านที่ดูดีจนเป็นอาหารตาได้อีก ฟินว่ะ
ไม่มีเวลาไหนที่ผมอยากกลายร่างเป็นหมาลงไปนั่งแลบลิ้นข้างเท้าพี่วศินมากกว่าตอนนี้แล้ว ชายร่างสูงตรงหน้าผมเปลี่ยนจากเสื้อโปโลมาเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ เขาดูเหมาะกับร้านแบบนี้ยิ่งกว่าร้านคราฟท์เบียร์เป็นไหนๆ เหมือนจู่ๆ ออร่าของพี่วศินก็ได้รับการปลดปล่อยอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศแบบนี้ผมพูดได้คำเดียว่าขอบคุณครับเจ้านาย
อร่อยทั้งปากอร่อยทั้งตา
“พี่อยากมาร้านนี้ตั้งนานแล้ว แต่มาคนเดียวมันเขินๆน่ะ” พี่วศินอธิบายพลางหั่นเนื้อในจาน ดวงตาสีดำเหลือบมองผม เป็นประกายตามรอยยิ้มของเขา “อร่อยไหมหมิง”
“อร่อยมากครับ ขอบคุณที่พามานะ” ผมซึ้งใจ จิ้มเนื้อและผักย่างเข้าปากอีกสองสามคำ แม้แต่ของทอดธรรมดาๆ ก็มีรสชาติที่พิเศษกว่าของทอดตามร้านอาหารทั่วไป ผมชักไม่แน่ใจว่ามันอร่อยกว่าจริงๆ หรือเป็นเพราะมนต์ขลังบรรยากาศร้านด้วย
ผมจิบค็อกเทลที่พนักงานมาเสิร์ฟ ในแก้วใสมีน้ำสีสวย เหนือน้ำแข็งก้อนสี่เหลี่ยมมีผลไม้และดอกไม้ประดับอย่างประณีต เมื่อน้ำสีสวยไหลลงคอ ด้วยหน้าตาที่วิจิตรขนาดนั้นแล้วรสชาติยังดียิ่งกว่า ผมไม่ชอบรสหวานจัดแต่ร้านนี้ชงค็อกเทลได้เปรี้ยวซ่ากำลังดี ความสดชื่นแผ่กระจายไปทั้งร่างกาย ดื่มแล้วก็อยากดื่มอีก ด้วยรสชาติที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ผมไม่สงสัยเลยสักนิดที่เขาจะขนานนามค็อกเทลเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มง่ายแล้วยังเมาเร็ว
พี่วศินยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบ ดวงตาสีดำมองตรงมาทางผมด้วยความผ่อนคลาย เริ่มบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร
“อยู่บ้านพี่มาสักพัก ติดขัดอะไรตรงไหนไหม”
ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นมา รู้สึกขัดเขินจนต้องเกาแก้มแต่ก็ตอบตามตรง “สบายจนรู้สึกผิดเลยครับ”
พี่วศินหัวเราะในลำคอ ดวงตาสีดำวาววับ “ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมสารภาพ ความรับผิดชอบกับความรักสบายต่อสู้กันอยู่ในใจ “คือพี่เลี้ยงดีเกินอ้ะ ใจหนึ่งผมก็อยากรีบหางานให้ได้ไวๆ แต่อีกใจก็อยากอยู่เป็นหมาพี่ตลอดไปเหมือนกัน”
“พี่จะถือว่าเป็นคำชมนะ” เขาเท้าคาง สีหน้าสบายอารมณ์แบบที่สามารถนำไปล่อลวงผู้เยาว์ใจแตกบางคนได้
“เหมือนฝันผมเป็นจริงเลย” ผมพูดต่อ แก้มผมเริ่มมีสีเรื่อ
“จะอยู่เป็นหมาพี่ตลอดจริงๆ ก็ได้นะ พี่ไม่เอาไปปล่อยวัดหรอก” พี่วศินยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ เสียงทุ้มของเขาเหมือนเสียงกระซิบจากมารร้าย
พอผมเผยสิ่งที่เขาพยายามเก็บซ่อนสำเร็จครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเป็นเขาเองแล้วที่อนุญาตให้ผมเข้าไปดูเสียเอง
นี่คงเป็นพี่วศินคนที่ไม่เคยมี ‘แฟน’ คนนั้น
ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ประมวลความรู้สึกในหัวออกมาเป็นคำพูดเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แต่มันทำเอาผมเคว้งคว้างไปเหมือนกัน พอมาถึงจุดหมายแล้วมันดันไม่ได้รู้สึกอิ่มขนาดนั้น ผมมีความสุขอยู่ครึ่งวัน อีกครึ่งวันผมก็กระวนกระวายกับชีวิตตัวเอง”
“นึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างฝันแล้วจะมีความสุขตลอดเวลาเหรอ” เขาถาม ดวงตาสีอนธการคู่นั้นว่างเปล่า
เป็นคำถามที่ผมไม่เคยนึกถามตัวเองเลย
มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นนี่นา
“ผมก็นึกไว้แบบนั้นจริงๆ” ผมยอมรับ “แต่สุดท้ายผมก็หนีจากความกังวลไม่พ้นอยู่ดี พอไม่ต้องกดดันเรื่องที่ทำงาน ผมก็กังวลกับตัวเองเรื่องอื่นต่อ เหมือนยิ่งโตขึ้นยิ่งพอใจในตัวเองไม่ได้”
“มันเป็นคำสาปของคนที่เป็นผู้ใหญ่ไงล่ะ” พอเห็นว่าค็อกเทลหมดแก้วแล้วพี่วศินก็รินไวน์ใส่แก้วใบใหม่ยื่นให้ผม เขาหลุบตา “ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนพอใจในตัวเองหรอก”
“ขนาดพี่เองก็ยังรู้สึกแบบนี้เหรอ” ผมรับแก้วก้านใบสวยมา ร่องรอยในน้ำเสียงของเขามีความขมขื่นลึกล้ำซ่อนอยู่
“พี่ก็คนธรรมดานะหมิง” เขายิ้ม “จะให้ไม่มีเรื่องกังวลเลยมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราแค่ต้องหาวิธีรับมือกับมัน”
“พี่วศินดูไม่กังวลกับอะไรเลยแท้ๆ” ผมออกความเห็น เขาดูเหมือนคนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการ
“พี่แค่แสดงออกแบบนั้น” เขาเฉลย แล้วก็ปัดเรื่องออกจากตัวเอง กลับมาโฟกัสที่ผมอีกครั้ง “แล้วกังวลอะไรล่ะเราช่วงนี้”
“ไม่บอกหรอก” ผมตัดความ จิบไวน์ในแก้วลงคอ ลิ้มรสอาหารในจาน
“เอ้า”
“พี่บอกผมดีกว่าว่าพี่รับมือกับความกังวลยังไง” ผมโยนคำถามกลับไปที่เขา ชักเริ่มจะอยากรู้เรื่องของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ผมเบื่อที่จะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องอยู่คนเดียวแล้ว
“พี่เหรอ” เขาเหลือบตามองบน ทำท่าเหมือนใช้ความคิด แล้วก็ชี้นิ้วมาทางผม “เลี้ยงสัตว์ไง”
“น่าเกลียดจริงๆ” ไอ้ผมก็อุตส่าห์จริงจัง จึงอดแขวะเขาไม่ได้
“น่า ของแบบนี้ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
“ขี้หวง”
ตอนที่พี่วศินเรียกเก็บเงินและเตรียมกลับออกจากร้าน ผมคิดว่าเราจะกดลิฟต์ลงไปชั้นจอดรถด้านล่างแต่ไม่ใช่ เพราะดวงไฟหน้าลิฟต์สว่างวาบเป็นเครื่องหมายขึ้นด้านบน
“เราไม่ได้จะกลับบ้านเหรอครับ” ถึงจะถามแบบนั้นแต่ผมก็ก้าวตามเขาเข้ามาในลิฟต์
“พี่เมาแล้วขับกลับไม่ไหวหรอก” คนที่บอกว่าเมาคนนั้นพูดจาฉะฉาน ดึงตัวผมเข้าไปยืนใกล้ๆเมื่อมีผู้โดยสารคนอื่นเดินเข้ามาด้วย
“เมาไม่ขับน่ะดี” ผมคล้อยตาม แต่มองสภาพเขาแล้วก็อดทำหน้ายู่ใส่เขาไม่ได้ “แต่เมายังไงวะ”
ลิฟต์พุ่งตัวขึ้นรวดเร็ว มันหยุดลงเมื่อถึงชั้นล็อบบี้โรงแรม คุณผู้หญิงที่โดยสารมาด้วยเดินออกไปก่อน เมื่อลิฟต์ปิดตัวลงแล้วพุ่งขึ้นอีกครั้งพี่วศินจึงตอบผมเสียที
“ทั้งค็อกเทลทั้งไวน์มันเมากว่าที่หมิงคิดนะ” ผู้ชายตัวสูงอ้าง แขนเขายังคงโอบเอวผมเอาไว้ไม่ปล่อย “พี่อาจจะน็อกกลางทางก็ได้ ไม่สงสารพี่หน่อยเหรอ”
ไอ้ท่าทางแบบนี้มันน่าสงสารตรงไหนไม่ทราบ ผมหรี่ตามองหน้าพี่วศิน มืออุ่นๆบริเวณเอวล็อคร่างกายผมไว้แน่นเหมือนคีมหนีบ ผมเห็นว่าหมายเลขชั้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นจนเข้าเขตที่พักอาศัยไปแล้ว โดยปกติชั้นผู้พักอาศัยของโรงแรมจะถูกล็อคเอาไว้ให้เฉพาะผู้เข้าพัก การที่พี่ชายคนนี้กดเลขชั้นห้องพักได้โดยง่ายย่อมเป็นเพราะเขามีคีย์การ์ดของโรงแรม
“แอบไปเช็คอินมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ได้แอบนะ” เขาไม่ตอบคำถามผม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“นี่วางแผนมาแล้วชัดๆ” ผมเงยหน้าเล็กน้อยมองเขาตาขวาง
“เปล่าซะหน่อย” พี่วศินปฏิเสธตาใส ลิฟต์หยุดนิ่งส่งเสียงดังติ๊ง มืออุ่นที่หนีบเอวผมเอาไว้ข้างนั้นขยับขึ้นมาโอบไหล่ลากผมออกไปจากลิฟต์ บริเวณทางเดินตรงกลางปูด้วยพรมยาวประดับลาย ผนังทั้งสองด้านเป็นประตูห้องเรียงรายห่างกันพอสมควร ดูจากเลขชั้นและขนาดห้องผมก็พอเดาออกว่าชั้นนี้เป็นชั้นห้องสวีท พี่วศินหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาจากไหนไม่ทราบ เขาแตะมันกับประตูแล้วเปิดเข้าไป
ผมกลอกตาเป็นวงกลม รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปแต่ก็เดินเข้าไปตามแรงคนตัวใหญ่ พลันคำพูดของตัวเองก็หลอกหลอนอยู่ในหัว
“เรื่องนี้ไม่ต้องทนก็ได้ครับ วินวิน”
ผมคงต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองแต่โดยดี ทันทีที่ประตูปิดตามหลัง ร่างใหญ่โตของพี่วศินก็เบียดทับผมไว้กับผนังห้องทันที ริมฝีปากของเขาอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูกผม กลิ่นไวน์ลอยอวลอยู่ระหว่างเรา
“หมิงยังอยากกลับบ้านไหม” เขาเสนอทางเลือกให้ผม เหมือนไม่ได้บังคับ แต่สถานการณ์กำลังบังคับให้ผมตัดสินใจอย่างที่เขาต้องการอยู่กลายๆ
“ขนาดนี้ไม่ต้องกลับแล้วครับ” ผมถอนหายใจน้อยๆ สติที่พยายามประคองถูกทิ้งขว้างไว้บนพื้น มือทั้งสองเกาะเอวเขาเอาไว้ “เจ้านายอยากให้ผมทำอะไรก็สั่งมาเลยดีกว่า”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา ดวงตาสีดำคู่นั้นหรี่ลงตามรอยยิ้ม สะท้อนใบหน้าอวดดีของผมเพียงชั่วครู่ แล้วริมฝีปากอุ่นจัดก็ทาบทับลงบนริมฝีปากของผม
ผมหลับตาลง หัวใจกระดอนอยู่ในอก ความชุ่มชื้นบนริมฝีปากยังคงทำให้ตื่นเต้นแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก มือใหญ่และอุ่นทั้งสองประคองใบหน้าของผมเอาไว้แน่นอย่างเคย ร่างทั้งร่างถูกตรึงเอาไว้กับกำแพงหินอ่อนเย็นเฉียบ ความกระสันอยากของพี่วศินคลับคล้ายกับกรงขัง เขามักจะตรึงผมเอาไว้จนไม่อาจหนีไปไหนได้พ้น
ผมถูกยึดไว้กับที่ ในขณะที่ริมฝีปากอุ่นขยับเคลื่อนไปตามใจ รสจูบนุ่มนวลแสนหวานค่อยๆพัฒนาจนปะทุขึ้นด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนา ผู้ชายตรงหน้ารุกเร้าร้อนแรง เขาดูดดึงริมฝีปากและลิ้นผมเข้าไป ร่างกายผมแข็งเกร็งเมื่อความอ่อนนุ่มในโพรงปากพัวพันหยอกล้อ รสสัมผัสที่ดุดันทำเอาผมหลอมละลายอยู่ในวงแขนแข็งแรงคู่นั้น ความร้อนบนผิวเนื้อของพี่วศินส่งต่อมาถึงร่างกายของผม ทุกพื้นผิวที่สัมผัสกันมีแต่จะเร่งอุณหภูมิร่างกายของผมให้สูงขึ้น เขาจูบไปทั่วทั้งแก้มและใบหน้า ทั้งเปลือกตาและกกหู เมื่อเรียวลิ้นร้อนสัมผัสใบหูผมก็สั่นกระตุกด้วยความวาบหวาม
“หมิงชอบตรงนี้เหรอ” เขากระซิบข้างหูแล้วเลียมันอีก ผมอยากจะบ้าตาย
แค่โดนจูบผมก็แทบสิ้นแรง ริมฝีปากร้อนไล่จูบตั้งแต่กกหูลงมาจนถึงลำคอ พี่วศินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเขียวขี้ม้าของผมลงสองเม็ดแล้วไล่จูบลงมาถึงไหปลาร้า ผมกอดยึดร่างกายของเขาเอาไว้แน่น เกรงว่าตัวเองจะหลอมละลายจนไหลลงพื้นไป
พี่วศินตัวสูงกว่าผมแต่ก็ไม่มากนัก ร่างกายที่ทาบทับกันพอดีทำให้กลางกายของเราบดเบียด ฝ่ามือเขาบีบก้นผมจนแทบจะเป็นรอยมือ ที่จุดศูนย์กลางมีความร้อนพวยพุ่ง มันแนบสนิทไปกับท้องน้อยของผม ผมเอนกายแนบชิดมันยิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือลูบไล้ไปตามแนวสันหลังของเขา เงยหน้ารับจูบที่ถูกป้อนให้จนแทบสำลัก มือที่ซุกซนของผมจึงค่อยๆเลื้อยมาด้านหน้า สัมผัสความร้อนของเขาที่คราวที่แล้วไม่ได้สัมผัส บีบนวดมันอย่างรักใคร่
เราจูบแลกของเหลวกันอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากของเขาดูดดึง ฟันของเขาขบกัดเบาๆ ยามที่ผมสัมผัสกายเขาที่ด้านล่าง มือใหญ่และร้อนข้างนั้นไม่อยู่เฉย เขาสัมผัสผมบ้างอย่างเท่าเทียมกัน ความร้อนจากปลายนิ้วที่คุ้นเคยทำให้ผมนึกถึงตัวเองคืนก่อนที่ทำตัวน่าอับอายอยู่บนตักเขาอย่างไม่เหลือมาด
ลำคอผมแห้งผาก ปลายนิ้วปลดเข็มขัดของเขาช้าๆ ช้อนตาสบดวงตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นเหมือนกับขออนุญาต พี่วศินอนุญาตให้ผมสัมผัสมันผ่านกางเกง เขาหมุนตัวเอนกายพิงผนัง มือใหญ่ทาบทับลงบนสิ่งที่พองนูนของตน สายตาของเขาทำให้ผมต้องคุกเข่าลง ผมทิ้งตัวลงพื้น ดวงตาเพ่งมองความคับนูนนั้นแล้วกลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นมองพี่วศินเหมือนสุนัขน่าสงสารเพราะเขาไม่ยอมรูดซิปลงมาเสียที
“รอคำสั่งพี่อยู่เหรอ” เสียงทุ้มของพี่วศินถามคำถามน่าอาย ดึงเข็มขัดโยนไปด้านข้าง แต่ผมอับอายยิ่งกว่าที่ตัวเองมีอารมณ์กับคำพูดของเขาจนแทบคลั่ง
ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาผมเป็นอย่างไร พี่วศินจึงมีรอยยิ้มที่น่ากลัวขนาดนั้น
“เหมือนหมิงกำลังทำให้พี่กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเลย” เขาโทษผม ฝ่ามือเขาข้างหนึ่งลูบแก้มผมอย่างเหลืออด อีกข้างลูบกลางกายตัวเอง
“ผมแค่อยากให้พี่วศินสั่งเอง” ผมพูด ลำคอของผมแห้งผากเสียจนเสียงขาดหาย “ให้ผมช่วยนะ”
“อืม” พี่วศินตอบรับในลำคอ มือที่ว่างชี้ปากผมพลางออกคำสั่ง “หมิงบอกว่าใช้นี่ก็ได้สินะ งั้นอมให้พี่หน่อย”
ผมหลุดยิ้ม ความยินดีพวยพุ่งในตัวผม ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบใบหน้าผมเมื่อสักครู่กดหัวผมแนบไว้กับความร้อนของตัวเอง ความร้อนใต้เนื้อผ้าขยับเด้งดันข้างแก้ม ผมเกาะขอบกางเกงด้านหลังของพี่วศินเอาไว้แล้วจึงใช้ฟันรูดซิปกางเกงอีกฝ่ายลง เมื่อดึงกางเกงชั้นในเนื้อละเอียดลงตาม เจ้าท่อนเนื้อที่อึดอัดอยู่ภายในจึงได้เด้งผึงออกมาสูดอากาศ
มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื
อยากเป็นหมา เคยเห็นคลิปหมาแมวในโซเชียลมีเดียไหมครับ ช่วงนี้ผมชอบดูคลิปสัตว์โลกคลายเครียดมาก ทั้งสัตว์ป่าสัตว์บ้าน อย่างของอินฟลูสายสัตว์เลี้ยงที่พาไปโชว์ตัวบ่อยๆก็ดูน่าจะเหนื่อยหน่อย แต่มันมีอีกแบบที่ทำคอนเทนต์สปาหมา ASMR เอาหมามานอนหน้ากล้องแล้วก็ขัดผิวสางขนทาครีมบำรุงโชว์ ไอ้แบบนั้นเนี่ย เห็นกี่ทีผมก็โคตรอิจฉาเลย แล้วคุณดูนั่นสิ คลิปเตรียมอาหาร บนจานหลุมแบนๆนั่นเต็มไปด้วยโปรตีน ผัก และธัญพืช แล้วยังมีแซลมอนชิ้นเบ้อเริ่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามอีก อาหารหมาจานนี้จานเดียวมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ผมกินมาทั้งสัปดาห์อีกมั้ง ผมเป็นคนแท้ๆ วันวันหนึ่งผมได้กินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นแหละ จริงๆวัยใกล้สามสิบอย่างผมน่ะควรดูแลสุขภาพออกกำลังกายได้แล้ว เพื่อนวัยเดียวกันจูงมือกันเข้าคลาสพิลาทีส ปีนผา เข้ายิมกันหมด แต่อย่างผมนี่แค่หาเวลานอนได้ก็เก่งที่สุดแล้ว ไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ กับเงินเดือนขี้ปะติ๋วแค่นี้ผมทำงานหนักเป็นวัวเป็นควายเลยแหละ ผมสมัครงานเข้ามาเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ของบริษัทแฟชั่นขายปลีกเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในแผนกผมมีผมแค่คนเดียว ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน
ไม่ล้อเล่น ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เล
เมาเป็นหมา พูดถึงพี่วศิน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเป็นหัวหน้าในฝันของใครหลายๆคน เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ไม่ค่อยจะดุอะไร พึ่งพาได้ แล้วก็ตั้งใจรับฟังเราอยู่เสมอ พร้อมเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เราทุกครั้งที่เจอปัญหาอีกต่างหาก (แม้บางทีผมจะแค่บ่นเฉยๆก็ตาม) ก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีแสนอบอุ่นในฝันของพนักงานกินเงินเดือนอย่างเรานั่นแหละ ผมเชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากมีสามีอย่างเขา นานมาแล้วผมเคยถามเขาเรื่องแฟนแต่เขาก็บอกว่ายังไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะรอดเป็นโสดมาได้จนอายุปานนี้ ผมมักจะแซวว่าเขาแก่เป็นลุงอยู่บ่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอาวุโสที่สุดในกลุ่มเฉยๆ จริงๆเขาอายุแค่สามสิบแปดเท่านั้นเอง ทั้งที่เขาทำงานสายเทคที่ต้องวิ่งตามความรวดเร็วของเทคโนโลยีให้ทันอยู่เสมอ แต่พี่แกกลับตามกระแสอะไรในอินเตอร์เน็ตไม่ทันสักอย่าง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะแซวพี่วศินบ่อยๆ และเมื่อเทียบกับอายุที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนของเขา เขาดูแลตัวเองได้ดีมาก ร่างกายของเขากำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิดกับพี่ชายคนโตของผมที่ลงพุงไปแล้วเรียบร้อย ผมรู้จักแขนล่ำๆที่เผลอไปกอดตอนเมาอยู่บ่อยๆนั่นดี แต่ผมเพิ่งจะรู้เอาวันนี้ว่าเขาถึงขั้นมีซิกแพ็ค มี
เจ้านาย ป๊อก “โอ๊ย!” ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!” “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร” “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่ “...” “...” เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ” พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก” “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า” “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ” “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา “แล้วจะแกล้งลืมทำไม” ป๊อก
พี่ขออย่างเดียว ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น “นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร “พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย “อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ “ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย” “โห
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ