แชร์

บทที่ 6 กายภาพล้วนๆ

ผู้เขียน: thisishowienjoy
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-28 12:04:27

กายภาพล้วนๆ

               มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง

               วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ

               ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น 

               มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไปในกางเกง ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ในขวดแก้วใบเล็ก ทิ้งน้ำหนักและกดนวดในจุดที่ปรารถนา ไม่นานขวดแก้วใบนั้นก็แตกกระจาย นำความสุขสมมาแก่ร่างกายอ่อนเปลี้ยของผม

ผมเข้าใจว่านั่นคือความเคยชินของร่างกาย และการช่วยตัวเองก็เพียงพอ

กระทั่งความใกล้ชิดในเนื้อหนังมังสาร้อนๆ ของคนคนนั้นสร้างความปั่นป่วนให้ผมมากเข้า ผมก็โลภขึ้น สิ่งที่เคยเพียงพอจึงกลายเป็นไม่พอขึ้นมา

ฝ่ามืออุ่นหนาของพี่วศินลูบไล้แผ่นหลังของผมยามที่เขาแนบริมฝีปากลงมา รสชาติของไวน์ยังแนบสนิทอยู่ในโพรงปากของเรา รสจูบชวนให้มึนเมายิ่งกว่ายามที่ผมดื่มกินมันเข้าไปโดยตรง ร่างกายใหญ่โตของเขาทาบทับ สองมือหนาประคองใบหน้าของผมเอาไว้อย่างมั่นคงเสียจนผมขยับไปไหนไม่ได้นอกจากเขาจะต้องการ นิ้วมือร้อนเหล่านั้นทาบลงบนใบหน้าและศีรษะของผม มันใหญ่จนแทบจะปิดหน้าผมได้หมด แล้วมันก็ร้อนเหมือนเรียวลิ้นที่รุกเข้ามาพัวพันอยู่ในปากผม ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกินมากกว่ากำลังจะมีเซ็กส์

น่าตลกที่ความรู้สึกนั้นทำให้ผมตื่นตัวยิ่งกว่าปกติ ผมอยากโดนเขากินให้หมดจด จนแม้แต่เสี้ยวเดียวก็ไม่หลงเหลือไว้บนโลกใบนี้

ผมกดนิ้วมือลงบนหน้าอกของเขา บีบคลึงมันผ่านเนื้อผ้า มวลกล้ามเนื้อที่ผมสัมผัสได้หนั่นแน่นเต็มมือ ผมวนนิ้วหาจุดปลายยอดของมันด้วยแรงขับเคลื่อนที่ไม่ได้มาจากสมอง ริมฝีปากที่บดเบียดจึงได้ผละออกจากกันยามที่ผมหาปลายตุ่มแข็งนั้นเจอ

ใบหน้าของพี่วศินไม่ใช่อะไรที่ผมเคยจินตนาการถึง เขาคาดโทษ “หมิงอย่าซนสิ”

เขาว่าผมแบบนั้น แต่ฝ่ามือของเขาบีบก้นผมเสียแรงเลยทีเดียว ผมไม่หยุดการกระทำของตัวเองแล้วยังต่อปากต่อคำ “ไม่ให้ซนตอนนี้แล้วจะให้ซนตอนไหนล่ะครับ”

“ทำไมหมาตัวนี้มันดื้อจัง” เขาดุ มือของพี่วศินยังบีบนวดไม่หยุด

“เจ้าของไม่พาไปเดินเล่นมันก็เลยจะดื้อบ้างแหละ” ผมเย้าแหย่ งับริมฝีปากล่างของเขาจนมันยื่นออกมา เขาจับผมจูบต่อเหมือนขี้เกียจจะเถียงไร้สาระ

โซฟาเบดตัวนี้ไม่ได้ใหญ่พอให้ผู้ชายตัวสูงสองคนกลิ้งไปมา พี่วศินจึงลุกขึ้นนั่งแล้วจับผมให้ลุกขึ้นตาม เขาดึงตัวผมไปไว้บนตัก ร่างกายเราแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของอีกฝ่ายแม้จะมีกางเกงผ้าของเรากั้นกลาง บั้นท้ายของผมทิ้งน้ำหนักลงบดเบียดความร้อนเบื้องล่างของเขาราวกับการเสียดสีจะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ ผมหวามไหวอยู่ในท้องเมื่อโดนขบกัดบริเวณต้นคอ ฝ่ามือเขาซุกเข้าใต้เสื้อยืด สำรวจร่างกายใต้ร่มผ้าของผม

ผมอยากจะทำอะไรบ้าง แต่เพราะนั่งหันหลังให้เขาผมจึงทำอะไรไม่ได้ดั่งใจนัก ได้แต่ปล่อยให้มือปลาหมึกคู่นั้นลากเลื้อยไปตามอำเภอใจ ฝ่ามือคู่นั้นหมกมุ่นอยู่กับยอดอกของผมเหมือนจะเอาคืน มันโดนบีบทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเสียววาบจนต้องจิกลงบนต้นขาพี่วศิน

กายผมสั่นระริกเหมือนจะทนไม่ไหว แต่คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังกลับเอาแต่ปรนเปรอผมอย่างไม่รู้จบ พี่วศินเลียติ่งหูด้านขวาของผมจนเผลอสะดุ้ง ยามที่ตื่นใจกับสัมผัสอันไม่คุ้นเคย มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้กลางกายของผมผ่านเนื้อผ้าอย่างหยาบโลน มันดุนดันผ่านกางเกงผ้าบางๆ มานานแล้ว ไม่รอให้ผมจัดการตัวเองเขาก็ยื่นมือเข้ามาเสียก่อน

สัมผัสที่ด้านหน้าทำให้ผมว้าวุ่น แต่ความร้อนที่ดุนดันบั้นท้ายผมอยู่กลับทำให้รุ่มร้อนยิ่งกว่า ผมพยายามเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องแกร่งของพี่วศินที่ด้านหลัง แต่เมื่อขยับลุกขึ้นเปลี่ยนท่าผมก็โดนวงแขนแข็งแรงข้างนั้นคว้าตัวกลับไปนั่งแหมะที่เดิม

“หมาดื้อ พี่ยังไม่ได้อนุญาตให้ขยับเลย” เขาหัวเราะร้ายกาจอยู่ข้างหู ทั้งที่ไม่อนุญาตแต่มือทั้งสองข้างของพี่วศินกลับไม่ได้ช่วยให้ผมอยู่เฉยๆได้อย่างที่เขาสั่ง ผมบิดกายตามแรงกระตุ้นจากฝ่ามือของเขาอย่างเหนือการควบคุม กางเกงผมถูกร่นลงไปใต้สะโพกตอนที่พยายามลุกขึ้นตอนนั้นเอง

ผมตัดใจเรื่องที่คิดจะสัมผัสเขา แล้วปล่อยให้เจ้านายสัมผัสตนเองอย่างที่เขาต้องการ ผมเอนกายพิงร่างหนาด้านหลัง เอี้ยวคอไปรับจูบที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่รู้เบื่อ ในขณะที่พี่วศินทำความรู้จักผมแทบทุกซอกทุกมุม กางเกงผ้าบางกับกางเกงในของผมก็ไหลไปกองอยู่ที่ข้อเท้าข้างหนึ่ง มือใหญ่แสนอุ่นข้างนั้นรับเอาตัวตนของผมไปกำไว้เต็มมือ เรานั่งอยู่กลางบ้านในท่วงท่าน่าอาย ตัวผมแทบจะเปล่าเปลือย เสื้อยืดถูกดึงขึ้นไปเหนือแผ่นอก แต่กระนั้นผมก็ไม่มีเวลาให้นึกละอายนัก เพราะเมื่อมือข้างนั้นขยับ ความรู้สึกทั้งมวลของผมก็ถูกเหวี่ยงไปราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ

พี่วศินทั้งขบกัดและเลียท้ายทอยผมจนเปียกชื้น มือข้างหนึ่งยังคงขยุ้มหน้าอกแบนของผมอย่างขยันขันแข็ง เสียงทุ้มต่ำกว่าปกติกระซิบข้างหูผมโดยเจ้าตัวไม่ได้หยุดมือ “หมิงหมิงหมาดื้อ จงใจมายั่วพี่ใช่มั้ย”

“อือ… เปล่าซะหน่อย” ผมเผลอแอ่นกายตามแรงอารมณ์

ฝ่ามือของพี่วศินลื่นและเปียกชื้น “หมานิสัยไม่ดี” เขาต่อว่าผมอีก เหมือนครั้งก่อนที่ความเผลอไผลพาเราไปไกลเกินเส้นกั้น

“ไม่ ฮือ ผมเป็นเด็กดี” ผมแย้ง หันไปจูบเขาอีกครั้งทั้งรอยยิ้มยั่วยุ “ผมแค่อยากให้เจ้านายมีความสุข”

ฝ่ามือข้างนั้นบีบแน่นเหมือนจะแกล้งกัน ผมรู้สึกจุกขึ้นมาจึงต้องประท้วง “เจ้านาย มันเจ็บ”

เขาคลายมือลง แต่ไม่ผ่อนความเร็ว เสียงเขาสั่นพร่า “ก็หมิงดื้อ”

ผมส่ายสะโพกตามความเร็วที่นำไป เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง “เจ้านายจะโทษผมคนเดียวไม่ได้นะ”

เขาไม่ยอมรับ เพียงหันมากดจูบผมจนปากบวมเจ่อ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาบีบหน้าอกผมอย่างแรงทิ้งรอยมือเอาไว้บนผิวขาว มืออีกข้างขยับแก่นกายจนมันสั่นกระตุก ปลายนิ้วของเขาขยี้ลงบนส่วนปลายเหมือนจงใจรังแก ผมงอตัวหนีเพราะความเสียวซ่านเกินจะรับ เหมือนอยู่บนรถไฟเหาะที่กำลังทิ้งตัวดิ่งลงจากที่สูง เมื่อตกลงมาก็สัมผัสได้ถึงของแข็งและร้อนที่บั้นท้าย บังเกิดความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง ผมตื่นใจกับขนาดของมันที่ใหญ่โตเหมือนกับร่างกายเจ้าตัว ไม่เพียงเท่านั้น เจ้านายผมยังขยับสะโพกตนเอง เบียดเจ้าสิ่งนั้นผ่านเนื้อผ้ากับก้นเปล่าเปลือยที่สั่นระริกของผมอีกต่างหาก ความรู้สึกยุบยิบเกิดขึ้นที่ช่องทางด้านหลัง ผมครั่นเนื้อครั่นตัว ใกล้จะเสร็จเต็มทีทั้งที่อีกฝ่ายยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยไม่ถอดเลยสักชิ้น

ผมรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่ร่างกายถูกล็อกเอาไว้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับตามใจ ความรู้สึกกระสันแล่นริ้วเข้าสู่แกนกลาง ผมไม่อยากให้มันเลอะเทอะบริเวณนี้เอาเสียเลย แต่เจ้าของบ้านไม่ได้กังวลเรื่องนั้น

ฝ่ามือร้อนแรงข้างนั้นขยับรัวเร็ว รูดรั้งกระทั่งผมเสร็จสม ผมสั่นกระตุก ของเหลวสีขาวพุ่งเข้าเต็มมือหนาที่รองรับมันเอาไว้ มันไหลย้อยออกมาจนเลอะไปถึงหน้าขา

ผมหอบหายใจ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวพี่วศิน สิ่งที่ร้อนและแข็งยังคงกวนใจผมอยู่จากทางด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ชุ่มชื้นไปด้วยของเหลวจากร่างกายผมยังขยับบีบองคชาตที่อ่อนตัวลงไปเหมือนแกล้งกัน ผมดิ้นขลุกขลักพยายามหนีให้พ้นเจ้าของใจร้าย แต่แขนแกร่งข้างนั้นล็อกตัวผมเอาไว้แน่นเหลือเกิน

ผมตีมือเขาให้เขาหยุดแกล้งผมเสียที เอี้ยวตัวไปหาเขาที่นั่งอึดอัดอยู่ด้านหลัง “ให้ผมช่วยพี่บ้างสิ”

ผมแสดงความรับผิดชอบทั้งที่ยังเหนื่อย หันไปคร่อมลงบนคนตัวใหญ่แล้วโน้มตัวลงจูบ มือของผมยุกยิกพยายามรูปซิปกางเกงสแลคขายาว หน้าท้องสีแทนเผยสู่สายตา ผมดึงขอบกางเกงในสีเทาลงจนเห็นไรขนอ่อน พี่วศินหยุดจูบของผมด้วยจุ๊บเบาๆ ใช้มือข้างที่ไม่เลอะมาหยุดมือผมเอาไว้

“พี่ไม่มีถุงยาง” เขาพูดทั้งรอยยิ้มเรียบเฉย ดึงกางเกงในกลับที่เดิม ภายในนั้นดูอึดอัดใกล้ระเบิดเต็มที

“ใช้มือได้นะ” ผมชูมือ

“ไม่เอาดีกว่า” เขางับแก้มผม “มันจะไม่พอน่ะสิ”

“หรือปากก็ได้นะ” ผมชี้ปากตัวเอง

“ก็ไม่พอ” พี่วศินตีมือผมที่ชี้ปากตัวเองเบาๆ “เลิกยั่วเลยไอ้หมาดื้อ เดี๋ยวมาร้องโอดโอยทีหลังพี่จะซ้ำให้”

ผมหูตก อยากจะท้าว่ามันจะสักแค่ไหนกันเชียวแต่ดวงตาสีดำคู่นั้นบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ว่าแล้วเขาก็ยกผมวางข้างๆด้วยแขนข้างเดียว ก้มลงจูบปากผมอีกทีแล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ผมยักไหล่ สำรวจความเลอะเทอะบริเวณหน้าโซฟาแล้วไม่พบอะไรเสียหายจึงตัดสินใจพาร่างตัวเองไปทำความสะอาดในห้องน้ำชั้นล่างที่ใกล้กว่า ขอบคุณความใส่ใจของพี่เขาที่รู้ว่าคนตัวเลอะอย่างผมไม่ควรเดินโทงๆไปเข้าห้องน้ำไกลถึงชั้นบน

               ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำผมก็สำรวจโซฟาอีกรอบ ไม่เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์อะไรแต่ผมก็เช็ดมันอยู่ดีเพื่อความสบายใจ แอลกอฮอล์ในเลือดของผมสิ้นฤทธิ์ไปนานแล้วจึงนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดได้อย่างชัดเจน ครั้งนี้ผมตัดสินใจเองจึงไม่มีอะไรให้ต้องอับอายหรือเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับรู้สึกขาดทุนสุดๆ ทั้งที่สุขสมสบายตัวอยู่คนเดียว ผมโดนเขาจับแก้ผ้าอล่างฉ่างในขณะที่เขายังแต่งตัวมิดชิด ยิ่งคิดยิ่งเสียดาย แล้วในตอนที่คิดไม่ออกว่าจะแยกย้ายเข้าห้องไปเลยหรือรอพี่วศินดี คนที่ผมคิดถึงก็เดินมาสวมกอดจากด้านหลังพอดี เป็นอ้อมกอดที่ทำให้ผมหนาวสะท้านอยู่ลึกๆ

               ในอ้อมกอดเขาผมภาวนาอยู่ในใจ ขอให้เขาเห็นผมเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่ใช้แก้เหงาได้ เพราะผมก็ใช้เขาเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้น

               “สบายตัวหรือยังล่ะ” ผมแซวเขา พยายามโฟกัสบทสนทนาให้อยู่ที่เรื่องกายภาพ

               “ไม่ค่อยนะ” เขาบอกแล้วดึงผมนั่งลงข้างๆ พี่วศินโอบผมไว้หลวมๆ “ไว้พี่ต้องซื้อถุงยางมาติดไว้ซะแล้วสิ”

               “ทะลึ่งอ้ะ” ผมหัวเราะ

               “ก็ดันมีหมาติดสัด” เขาหรี่ตา พลางลูบแขนผมไปด้วย “เป็นเจ้าของต้องช่วยหมาเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

“พอดีหมาที่พี่เลี้ยงมันไม่ค่อยธรรมดาน่ะ” แววตาผมพราวระยับ

               ผมอดไม่ได้ที่จะพูดจาอวดดี คิดไปเองว่าเขาคงจะโต้ตอบอะไรกลับมาบ้างหรือแสดงท่าทีเขินอาย ผิดคาด สิ่งที่ผมได้รับกลับมามีแต่สายตาว่างเปล่า

               “เฮ้อ” เขาถอนหายใจ “หมิงไม่อาย แต่บางทีพี่ก็อายนะ”

               พี่พูดขนาดนี้ด่าผมตรงๆเลยก็ได้ครับ

               “ตัวเองก็อยากเถอะทำมาพูด” ผมปั้นปึ่ง

               “พี่อุตส่าห์อดทนเป็นเจ้านายที่ดีแท้ๆนะหมิง”

               “เรื่องนี้ไม่ต้องทนก็ได้ครับ วินวิน” ผมชูสองนิ้ว ส่งรอยยิ้มไม่จริงจังให้เขาทีหนึ่ง

               ดวงตาสีดำไหววูบไปนิดหนึ่ง เพียงชั่วแวบเดียวเขาจึงฉีกยิ้มมาให้ “ดูพูดเข้า โดนทำโทษแน่”

               เราพูดคุย(และตบตี)สัพเพเหระกันไปเรื่อยโดยไม่มีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้งมาเกี่ยวข้องอย่างที่ผมหวัง ผมจึงบอกลาเขาแล้วกลับไปนอนห้องตัวเองอย่างสบายใจ

.

               สองปีก่อน ตอนที่เพิ่งรู้จักกับพี่วศินไม่นาน ผมเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาสองต่อสองครั้งหนึ่ง วันนั้นพี่เจฟและพี่มะลิไม่ว่าง แล้วผมก็เพิ่งเลิกกับแฟนเก่าได้ไม่นาน คนน่าสงสารจึงเป็นพี่วศินที่ต้องมานั่งฟังผมระบายประวัติชีวิตรักตัวเอง

               ตอนนั้นผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราน่าจะเป็นเพื่อนดื่มฉาบฉวยที่ไม่นานก็ห่างหายกันไป ผมจึงพูดอะไรไปเยอะแยะมากมายเหมือนคุยกับคนแปลกหน้าที่จะลืมเรื่องราวในสามวัน

               ผมมีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง เธอเป็นเพื่อนสนิทที่ทำให้ผมใจเต้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ ผมห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ไหว สุดท้ายจึงข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปสำเร็จ เราคบกันอย่างเรียบง่ายอยู่เกือบปี แล้วก็เลิกกันเพราะผมเป็นเพื่อนที่ดีแต่ไม่ใช่แฟนอย่างที่เธอต้องการ เลิกกันไม่ถึงเดือนเธอก็เปิดตัวหนุ่มคนใหม่ ผมไม่โทษเธอ แต่ความไว้ใจในตัวมนุษย์ของผมถูกทำลายไปสองส่วนโดยไม่สามารถกู้คืนได้ ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าผมยังโอเคอยู่

               แฟนคนที่สองของผมเป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ผมคิดว่าเราเป็นแฟนกัน แต่เขาคิดว่าผมเป็นแค่คู่นอน จริงๆแล้วผมไม่อยากนับไอ้หมอนี่ในรายชื่อแฟนเก่าสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง มันหล่อและผมก็ชอบมันมากๆตอนนั้น เรียกว่าหลงเลยก็ได้ ดีที่ตอนเลิกกันไอ้หมอนี่ทำผมไว้เจ็บแสบ ผมจึงพาตัวเองออกมาจากนรกแห่งการนอกใจแห่งนั้นได้

               “เอ๊ะ หมิงเป็น..?” พี่วศินขัดขึ้นมาระหว่างผมระบายความในใจ เขาคงไม่ตั้งใจเลยเผลอยกมือปิดปากแบบนั้น

               “เป็นไบครับ” ผมชูสองนิ้ว เศร้าเกินกว่าจะปิดบังเรื่องเพศ “ทำไม ขยะแขยงกลัวผมจะชอบพี่หรือไง”

               “คิดไปเอง” พี่วศินแกล้งดีดหน้าผากแต่ผมหลบทัน “โดนคนทำไม่ดีใส่บ่อยเหรอ”

“ถ้าอายุประมาณพี่ก็บ่อยนะ” ผมหัวเราะ ตอนใครๆรู้ว่าผมเคยมีแฟนผู้ชายก็มักจะโดนทำหน้าแปลกๆใส่ ปกติผมก็เลยไม่ค่อยจะเล่าให้ใครฟังนัก ถ้าไม่ใช่สถานที่พิเศษอย่างร้านเก้าหนึ่งและฤทธิ์แอลกอฮอล์ผมก็คงไม่พูดมันออกมา

“แรงว่ะ อย่าเหมารวมได้มั้ย” เขาเอนหลังพิงพนัก ท่าทางไม่ได้ตื่นตกใจอะไรเป็นพิเศษ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นสามส่วน “ไม่ใช่ทุกคนจะมีอคติแบบนั้นหรอกนะ”

               “ถ้าทุกคนเป็นได้อย่างพี่คงดี”

               “พี่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก” เขายักไหล่

               “ดูไม่ออกเลยอ้ะ” ผมหัวเราะเบาๆ “ดูผ่านๆยังไงก็คุณพ่อลูกสามรักครอบครัว”

               “วอนเหลือเกินไอ้หมิง” เขาทำท่าทุบผมที่แซวเรื่องอายุอีกแล้ว 

               ผมรู้ว่าปัจจุบันเขาโสด เลยอยากละลาบละล้วงอดีตของอีกฝ่ายบ้าง “แล้วแฟนคนก่อนๆของพี่วศินเป็นไงบ้างอ้ะ”

               “แฟนนี่ไม่มีนะ” เขาตอบไม่ยี่หระ

               “จริงดิ” ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า คนแบบนี้ไม่เคยมีแฟนได้ไง

               “เคยมีแต่แบบที่ไม่ใช่แฟนน่ะสิ” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ร่องรอยความร้ายกาจปรากฏออกมา

               ผมเอนหลังกับพนักพิงบ้าง หัวเราะให้กับเสน่ห์เหลือร้ายของเขา “เหลือจะเชื่อ”

.

               ผมไม่รู้ว่าไม่อคติของพี่วศินหมายถึงเขาก็มีรสนิยมทางเพศที่เปิดกว้างด้วยหรือไม่ แต่ตั้งแต่บทสนทนาครั้งนั้น ระหว่างผมกับพี่วศินก็มีบรรยากาศคลุมเครือปกคลุมมาตลอด เรารักที่จะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน ไม่สานสัมพันธ์อะไรที่ชวนให้ต้องแตกหัก แต่เราต่างไม่ได้ปิดประตูความเป็นไปได้ให้สนิท แอบเหลือพื้นที่น้อยๆเอาไว้ให้ความปรารถนาของตัวเองอยู่เสมอ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันศุกร์จึงไม่ใช่สิ่งที่ชวนให้ตื่นตกใจจนเกินไป

               หรอกมั้ง

วันนี้เป็นวันหยุด พี่วศินหยุดอยู่ที่บ้านแต่ก็ยังเปิดคอมคอยสแตนบาย รับทุกสายที่ออฟฟิศโทรมา ส่วนผมตัดสินใจก้าวเท้าออกจากบ้านไปเจอแสงแดดบ้าง พอแต่งตัวเรียบร้อยผมก็บอกลาเจ้านายแล้วออกมาผจญภัย

(ผมไม่ได้หลบหน้าแต่อย่างใด)

คนกรุงเทพจะมีที่ไหนให้ไปมากนักนอกเสียจากห้างสรรพสินค้า ผมนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีห้าแยกลาดพร้าวเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุดในกรุงเทพ บริเวณชั้นใต้ดินมีคนคลาคล่ำ เพื่อนผมนัดไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในชั้นใต้ดินนี้เอง

เมจิเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยที่ผมทำงานโรงแรม เราสนิทกันเพราะมีรสนิยมคล้ายกันหลายอย่างทั้งดนตรีและการ์ตูน และเนื่องในโอกาสที่อนิเมะเรื่องโปรดเข้าโรงภาพยนตร์ประเทศไทย ผมและเมจิเลยนัดกันมาดูหนังที่นี่

เมจิอายุเท่ากันกับผม เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กพกพาง่าย หญิงสาวมาในชุดเสื้อวอร์มแขนยาวกับกางเกงยีนขาสั้นง่ายๆ หน้าผมก็แทบไม่แต่ง ผิดจากในเวลางานที่ต้องใส่ยูนิฟอร์มแต่งตัวเต็มรูปแบบ แต่เพราะแบบนั้นเมจิจึงยังดูเด็กกว่าวัยมาก ต้องขอบคุณพันธุกรรมที่มอบผิวสุดแข็งแรงให้เธอ ผมแทบไม่เคยเห็นเมจิมีปัญหาผิวเลย

“โรงแรมเป็นไงบ้าง” ผมถามระหว่างที่เรารออาหารมาเสิร์ฟ เราเลือกร้านที่คนไม่เยอะนัก

เมจิผู้ที่ออกจากงานพร้อมกันกับผมแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมโรงแรมอีกครั้งภายหลังตอบ “ก็โอเคนะ มันกลับมาอู้ฟู่เหมือนเดิมแล้ว ไม่สนใจกลับมาเหรอจ๊ะ”

ผมคิดตาม นึกถึงความสนุกสนานในตอนนั้น “ก็อยากแหละ แต่ร่างกายไม่น่าสู้กะดึกไหวแล้ว”

“พวกพี่แอสซิสแทนท์เขาสี่สิบกันแล้วยังอยู่ได้เลย” เมจิแย้ง

“มันไม่เหมือนกันน่า” ผมรับน้ำเปล่าที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟ “แกกลับไปเป็นซีเนียร์นี่ ฉันกลับไปตอนนี้ก็มีแต่ตำแหน่งจูเนียร์ว่าง ไม่เอาหรอก”

“ก็เข้าใจได้น่ะนะ” เมจิรับแก้วน้ำจากผม “แล้วช่วงนี้ยังทำงานเดิมอยู่ป้ะ กราฟฟิค?”

“ลาออกมาแล้ว” ผมตอบตามตรง “ว่างงานอยู่”

“แบบนี้ยิ่งต้องรีบกลับโรงแรมไม่ใช่เหรอ ที่แผนกขาดคนอยู่พอดีเลยนะ” เมจิยังไม่ท้อถอยกับการรีครูทผม

“ขอพักสักหน่อยเถอะ ตอนนี้ยังไม่อยากทำงานอะไรทั้งนั้นอ้ะ” 

ผมไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติม ในเวลานั้นพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมกับเมจิยังไม่ทันตักคำแรกเข้าปากก็ได้ยินเสียงเด็กร้องจากด้านหลัง ตอนแรกผมคิดว่าแค่เสียงเด็กร้องจึงไม่ได้สนใจอะไร ทว่าเสียงถัดไปกลับคุ้นหูจนต้องหันไปมอง ปรากฏเป็นชายหญิงทะเลาะกัน ฝ่ายชายเสียงดังส่วนฝ่ายหญิงดูข่มอารมณ์เต็มที

“ลูกก็ต้องมีพ่อมั้ย!”

“อย่ามายัดเยียดตัวเอง”

“ยัดเยียดอะไรก็นี่ลูกผม!”

“ไม่เคยเลี้ยงแล้วยังจะมาพูดมากอะไรอีก”

โต๊ะต้นเสียงอยู่ทางด้านหลังผมถัดไปสองโต๊ะ เพราะเสียงดังทำให้คนทั้งร้านหันไปมอง เสียงที่คุ้นหูนั้นเป็นเสียงทางฝ่ายหญิง เธอกอดลูกสาวไว้แนบอกทั้งยังปิดหูเด็กน้อยเอาไว้ เด็กหญิงเขม้นมองชายหนุ่มที่ยืนโหวกเหวกโวยวายตรงนั้นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

เป็นพี่มะลิที่กักเก็บความโกรธจวนเจียนระเบิดอยู่ตรงนั้น

ชายหนุ่มที่ผมไม่รู้จักคว้ามือพี่มะลิ ปากพูดแต่คำพูดประเภทเห็นแก่ลูกอะไรประมาณนั้นแต่พี่มะลิดูจะไม่อยากฟัง เธอสะบัดมือทิ้ง แล้วตัดสินใจจูงลูกเดินออกจากร้าน แต่ก็ไม่วาย ชายหนุ่มคนนั้นยังคอยตามตอแยไม่เลิก กระทั่งทั้งสามเดินออกจากร้าน ผมก็ยังไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี คิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นรุนแรงมากขึ้นค่อยเข้าไปช่วย

เด็กน้อยในอ้อมกอดพี่มะลิหันซ้ายหันขวา ฝั่งหนึ่งเป็นคุณแม่ที่ยืนทะเลาะกับชายที่น่าจะเป็นพ่ออย่างอดทน อีกฝั่งเป็นชายหนุ่มใส่แว่นยืนต่อแถวซื้อไอศกรีมอยู่ เห็นดังนั้นเด็กหญิงก็วิ่งปร๋อออกจากมือแม่ไปหาชายคนนั้นทันที

เด็กน้อยกระตุกชายเสื้อให้ชายหนุ่มใส่แว่น หรือก็คือ พี่เจฟ หันมามอง

เด็กหญิงพูดทั้งน้ำตาคลอ

“ป่าป๊า”

ผมหัวเราะพรืด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 7 เผย

    เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-29
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 8 มารร้าย

    มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-29
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 9 ตามรังควาน

    ตามรังควานผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าการตื่น เรียกว่าฟื้นจะเหมาะสมกว่าร่างกายผมร้าวระบมเหมือนเพิ่งไปปั่นจักรยานบนเขามาสามสิบกิโลเมตรโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม ผมไม่อยากจะขยับตัวแม้สักมิลลิเมตรแต่ก็ต้องฝืนขยับเพราะปวดฉี่ ผมมองไม่ออกว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะม่านคุณภาพดีของโรงแรม แสงสว่างพยายามแหวกม่านหนามาให้ถึงเตียงอย่างสุดความสามารถแต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนอยู่บนพื้นเป็นเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เท่านั้น ผมค่อยๆกระดิกร่างกายที่อ่อนล้าทีละส่วนแล้วขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง ตอนที่ยันแขนตัวเองเพื่อลุกขึ้นจึงเพิ่งสังเกตว่าความหนักหน่วงที่ถ่วงร่างกายผมเอาไว้ไม่ใช่เพียงความอ่อนล้า แต่เป็นแขนแข็งแรงอีกข้างที่พาดไว้บนเอวผมจากด้านหลังผิวสีแทนของพี่วศินตัดกับหน้าท้องขาวๆของผม บนหน้าท้องขาวมีรอยจูบและรอยอื่นๆฝากเอาไว้อย่างน่ากระดาก พี่วศินที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังยังคงนอนหลับลึกอย่างเป็นสุข เห็นเขาแล้วผมก็อดหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ผมลอดตัวออกมาจากวงแขนของพี่วศินอย่างยากลำบาก ตอนที่ก้าวถึงพื้นได้ร่างกายผมก็โอนเอน เซถลาแทบคว่ำเพราะขาไม่มีแรง ด้วยเหตุนั้นผมจึงเท้าแขนกับผนังห้อง พยุงพาตัวเองไปถึงห้องน้ำในที่สุดทุกก้าว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-01
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 10 แม่เลี้ยงเดี่ยว

    แม่เลี้ยงเดี่ยว โชคดีที่เรื่องวิวาทระหว่างพี่เจฟกับน็อตไม่ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างนัก เพราะพวกเรามากันเร็วในร้านจึงยังไม่ทันมีคน อีกทั้งน็อตก็(ดูเหมือนจะ)ไม่เอาเรื่องแล้วล่าถอยไปเงียบๆ พี่เตเจ้าของร้านจึงไม่ต้องรับมือกับปัญหาน่าปวดหัวที่ตามมามากนัก พี่มะลิไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้าร้านมา เธอเพียงนั่งอยู่เงียบๆ ปรับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น คล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนอดทนให้น้ำตาไม่ไหลเราทุกคนสนิทกันพอประมาณ แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวที่อีกฝ่ายไม่เคยเล่า ผู้ชายสามหน่อที่เหลืออย่างพวกผมก็ออกจะประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกกันนิดหน่อย ยิ่งมีผู้หญิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงหน้าพวกผมยิ่งตัวแข็งเป็นหิน อย่างไรเสียน้ำตาหญิงสาวก็เป็นของที่ผู้ชายแพ้ทางจริงๆ“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไหมมึง” พี่เจฟที่สนิทกับพี่มะลิที่สุดถอนหายใจแล้วออกปากเป็นคนแรก “จริงพี่ กับพวกผมไม่ต้องฮึบหรอก” ผมพยายามพูดเผื่อจะทำให้พี่มะลิรู้สึกวางใจมากขึ้น“ผู้ชายคนนั้นใครน่ะมะลิ” ส่วนพี่วศินไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ยิงคำถามตรงๆไม่อ้อมค้อม ถึงจะดูไม่ใส่ใจแต่ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ยังบีบหัวไหล่พี่มะลิเอาไว้เบาๆพี่มะลิสูดล

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-01
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 11 กรูมมิ่ง

    กรูมมิ่ง ช่วงหลังมานี้เหมือนงานที่บริษัทพี่วศินจะไม่ยุ่งมากนักเหมือนช่วงแรกที่ผมเข้ามาอยู่บ้านนี้ บางวันเขาจึงไม่ได้เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านบ้างตามประสาหนุ่มไอที พี่วศินดูจะมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อไม่ต้องรีบตื่นรีบเดินทางไปทำงาน“หมิงตื่นยัง” พี่วศินเคาะประตูห้องแค่สองสามทีแล้วก็เปิดเข้ามาโดยง่ายเพราะผมไม่ได้ล็อคประตู ประสาทสัมผัสของผมได้ยินและรับรู้การกระทำของเขาแต่ก็ยังไม่อยากลืมตา เตียงยวบเมื่อพี่วศินเดินมานั่งบนเตียงแล้วปลุกผมอย่างใจเย็น“ตื่นไปแปรงฟันเร็ว ไหนบอกว่าวันนี้จะไปวิ่งกับพี่ไง” เขาทวงผมกะพริบตาปริบๆแล้วฝืนลืมตา พี่วศินส่งรอยยิ้มสดใสให้ผมแต่เช้า ทั้งรอยยิ้มและแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเจิดจ้า บรรยากาศอบอุ่นในห้องทำให้เขาต่างหากที่ดูเหมือนหมาตัวใหญ่ เหมือนมากกว่าผมเยอะได้ยินเขาทวงผมก็นึกถึงตัวเองเมื่อหลายคืนก่อน บทสนทนาจากเรื่องต่อยเป็นหรือไม่เป็น ลามไปถึงเรื่องหุ่นและการออกกำลังกาย พอพูดว่าอิจฉาหุ่นของเขา พี่วศินก็ยิ้มแฉ่งชวนผมไปออกกำลังกายทันที ผมที่คิดว่าควรฮึดออกกำลังกายบ้างสักตั้งจึงตอบตกลงด้วยความมั่นใจ ยังมีหน้าไปบอกเขาอีกต่างหากว่าให้เคี่ยวเข็ญผมด

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 12 เลือกทางที่ง่าย

    เลือกทางที่ง่ายเช้าตรู่ทุกวันพี่วศินจะมาปลุกผมไปออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งบ้าง เวทเทรนนิ่งบ้าง พอออกกำลังกายเสร็จ พี่วศินจะเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนผมอาบน้ำ ยืนส่งเจ้านายออกไปทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปนอนต่อ ชดเชยที่ต้องตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนสุนัขตัวหนึ่งเประเประยังจะขยันกว่าผม พอเปิดผ้าคลุมกรง กินอาหารและขับถ่ายเรียบร้อย มันก็ร้องเจื้อยแจ้วของมันอยู่ทั้งวัน บินไปทางโน้นบ้าง เดินบ้าง กระโดดบ้าง ใช้ชีวิตแบบนกๆของมันไปอย่างร่าเริง ผมตื่นอีกครั้งราวสิบโมง ก็เดินลงมาทักทายมันเป็นอย่างแรกเหมือนกับทุกวันในวันที่อยู่คนเดียว เประก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของผม ถึงมันจะชอบพูดจากไม่น่ารัก แต่การได้เล่นกับนกก็สนุกและผ่อนคลายอยู่มาก“หมิงหมิง กินข้าว” เสียงแปร่งๆของเประดังขึ้น มันเลียนแบบเสียงร้องที่ได้ยินทุกวัน“กินแล้ว” ผมตอบมันไปเรื่อยเปื่อย “เประ กินข้าวยัง”“กินข้าว กินข้าว”“ปิ๊วๆๆๆๆ”“เข้ากรง”“อะไรล่ะนั่น เพิ่งออกมาจะเข้าอีกแล้วเหรอ” ผมแซว เประพูดไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เดินเข้ากรงอย่างที่มันร้อง เจ้านกสีเทาใช้ปากเกาะกรงเดินไปทั่วอย่างไม่รู้เบื่อ นกที่ถูกเลี้ยงในบ้านไม่ค่อยข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-05
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 13 จำนน

    จำนนมะม่วงที่เก็บมาวันก่อนมีจำนวนมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สองคน ผมจึงแบ่งไว้สำหรับบริโภคแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจัดใส่ถุงให้พี่วศินนำไปแจกได้ตามสะดวกมะม่วงแก้วขมิ้นเป็นมะม่วงที่กินอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ลูกดิบสีเขียวให้รสเปรี้ยวเหมาะนำไปรับประทานกับน้ำปลาหวาน เมื่อเริ่มสุกเนื้อในจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองอย่างรวดเร็ว มีรสชาติเปรี้ยวหวานปนกัน ทานกับพริกเกลืออร่อย ส่วนผลสุกมีรสหวานฉ่ำ อาจสู้สายพันธุ์น้ำดอกไม้หรืออกร่องทองไม่ได้ แต่เมื่อนำมารับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูนรสชาติหวานเค็มก็ลงตัวไปอีกแบบผมสั่งน้ำปลาหวานเจ้าเด็ดมาจากนครปฐม ส่วนข้าวเหนียวมูนก็ไปซื้อมาจากตลาดในหมู่บ้าน ตอนนี้ทั้งเนื้อมะม่วงหวานฉ่ำและข้าวเหนียวมูนกลมกล่อมอยู่ในปากของผม กลิ่นหอมของน้ำกะทิอวลขึ้นจมูก ผมเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเป็นสุขในเช้าวันหยุดที่อากาศดี พอว่างก็หั่นมะม่วงสุกอีกลูกเป็นสองซีก วางใส่จานแล้วถือเดินเข้าไปในห้องนก เประก้มลงสำรวจไม่นานก็จิกจะงอยปากสีดำอันใหญ่ของมันลงบนเนื้อมะม่วง เลียกินน้ำหวานและเนื้อฉ่ำๆอย่างเพลิดเพลินพี่วศินยืนกอดอกมองอยู่ตรงทางเข้า “ใครเป็นเจ้าของเประกันแน่พี่เริ่มจะไม่แน่ใจแล้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-06
  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 14 แนบเนียน

    แนบเนียนผ้าปูเตียงและชุดเครื่องนอนสีขาวถูกสับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนในตอนบ่าย ตอนที่ยัดผ้านวมและหมอนข้างเข้าปลอกอย่างยากลำบากได้แล้ว ผมและพี่วศินก็ช่วยกันสวมผ้าปูเตียงอยู่คนละมุม พัดลมตัวใหญ่ที่ปลายเตียงพัดส่งลมเย็นระบายความร้อน ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงแดดยามบ่ายร้อนจัดจ้าผิดกับบรรยากาศมืดครึ้มตอนเช้ามืดลิบลับพอปูเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างคนขี้เกียจ ตอนที่กลิ้งไปถึงอีกฝั่งพี่วศินก็ทรุดนั่งลงตรงหัวเตียงพอดี ผมขยับขึ้นไปหนุนตักเขาอย่างได้ใจพื้นที่ที่ผมเคยต่อสู้กับตัวเองในสมองถูกทำลายลงไปแล้วเมื่อมันได้ผู้ชนะ ผมตัดสินใจเลิกคิดมากและทำตามอย่างที่ใจต้องการ เพราะผมไม่ยอมหนีไปตอนที่ยังทัน ตอนนี้จึงสายเกินไปที่จะทำแบบนั้นแล้วผมชอบเขาไม่ใช่น้อยเลยพี่วศินลูบหัวผมแผ่วเบา ผมเส้นเล็กนุ่มแผ่กระจายอยู่บนต้นขาของเขา ดวงตาสีดำที่มองมาทำให้ความหวังในใจผมวูบไหว เป็นแววตาเดียวกันกับที่ผมได้สัมผัสเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ประกายอบอุ่นในหลุมดำแสนอันตรายที่ดูดผมเข้าไปจนไม่อาจหนีไปที่ไหนได้อีกผมเป็นคนไม่ช่างตั้งคำถามในระดับที่ทำให้แม่บ่นอยู่บ่อยๆ ปล่อยตัวปล่อยใจมาอยู่บ้านพี่วศินโดยรู้เรื่องราวของเขาเพียงส่ว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-07

บทล่าสุด

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   ตอนพิเศษ Deep Dive

    Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   ตอนพิเศษ ใต้สมุทร

    ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   ตอนพิเศษ ไอทะเล

    ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทส่งท้าย

    บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 31 เคียงข้าง

    เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 30 เอาแต่ใจ

    เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 29 Specialty Coffee

    Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 28 จันทร์กระเพื่อม

    จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค

  • เจ้านายใจดีช่วยเลี้ยงผมทีได้ไหมครับ   บทที่ 27 แรมริมน้ำ

    แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั

DMCA.com Protection Status