ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว
ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ
ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น
“นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร
“พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย
“อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ
“ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย”
“โห” ผมลากเสียงยาว มองบัตรเครดิตบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย “ป๋าจัง เลี้ยงดีเกินไปมั้ยเนี่ย”
“ก็หมิงเป็นหมาของพี่นี่นา พี่ก็ต้องเลี้ยงสิ”
“เดี๋ยวผมติดใจไม่ยอมหางานขึ้นมาทำไง”
เขาหัวเราะ “จะเอาไปปล่อยวัด”
ผมงอแง “ใจร้าย”
“วันนี้พี่ต้องเข้าออฟฟิศ ไปก่อนนะ อยู่บ้านดีๆล่ะ” เขามองนาฬิกาข้อมือหรูของตัวเอง ก่อนออกไปพี่วศินไม่พลาดเดินมาลูบหัวผมหนึ่งที แถมหยิกแก้มผมอีกหนึ่งอย่าง นี่สินะชีวิตสัตว์เลี้ยงที่ถูกลูบจนเฉามือ
“คร้าบ”
ผมโบกมือส่งเขาเดินจากไป ผมคิดว่าเขาจะขับรถเอสยูวีสีขาวไปทำงานเสียอีก แต่ที่ไหนได้ พี่ชายตัวสูงเดินตัวปลิวออกไปนอกรั้ว เขาชูหนึ่งนิ้ว ไม่นานก็มีพี่วินกั๊กส้มขี่มอเตอร์ไซค์มารับพี่เขาออกไป
แล้วผมที่อุตส่าห์เซ็ตไว้ไม่เสียงทรงหมดหรือนั่น
ผมมองตามงงๆ สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจ หันมากินโจ๊กเห็ดหอมที่ส่งกลิ่นยั่วยวนตรงหน้าดีกว่า
ผมใช้ชีวิตคนว่างงานอย่างคุ้มค่า กินข้าวเสร็จก็นอนเล่นมือถือ เล่นมือถือสักพักก็สั่งข้าวกลางวันมากินอีก ผมยังเกรงใจอยู่นิดหน่อยเลยยั้งมือสั่งมาแค่อาหารตามสั่งกับชานมไข่มุก ตกบ่ายผมเดินไปทำความสนิทสนมกับเประเประบ้าง แต่มันก็ยังไม่สนิทกับผมสักเท่าไร
กรงของเประเปิดกว้าง มันบินออกมาเกาะคอนของเล่นด้านนอก กรงเล็บเท้าหยิบลูกบอลของเล่นขึ้นมากัดเล่น พอเห็นผมโผล่หน้าเข้าไปมันก็ร้อง
“ไรวะ” เสียงแปร่งๆของเประดังขึ้น “กระจอก กระจอก”
ไอ้นกนี่ทำไมจำแต่คำน่าหงุดหงิดมาพูด ผมท้าทายมันกลับ “อะไรเประ อยากมีเรื่องเหรอ”
“ช่วยด้วย!” มันร้องเสียงสูง “วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ”
“เรามาสนิทกันดีกว่าน่า” ผมพยายามเดินเข้าไปใกล้ แต่มันก็กระโดดหนี เห็นแบบนี้คงต้องใช้ท่าไม้ตาย
ผมหยิบอาหารนกยื่นไปใกล้ๆมัน เประเมียงมองอยู่สักพักก็ก้าวขึ้นข้อมือผมแล้วก้มลงจิกกิน ผมยกเประขึ้นมาเชยชมในระดับสายตา
“ペラペラ” มันร้องชื่อตัวเอง สำเนียงชัดราวอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น
เหอะ พวกสัตว์เลี้ยง ขอแค่มีอาหารก็ไม่มีอะไรยากแล้ว
ดูคุ้นๆเหมือนใครก็ไม่รู้
ผมเอามืออีกข้างที่ว่างกุมหน้าผากตัวเอง นึกถึงตัวเองแล้วผมก็ไม่ต่างอะไรจากหมาจรนักหรอก โดนเขาเอาอาหารเข้าล่อก็ตามมาอยู่บ้านเขาเหมือนเด็กใจแตกซะแล้ว จริงๆชีวิตผมตอนนี้มันก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นสักหน่อย แต่พอเอาข้อดีกับข้อเสียมาเทียบกันแล้วผมก็วิ่งมาฝั่งนี้ไม่คิดหน้าคิดหลัง ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ก็จริงแต่ผมก็อดอับอายกับตัวเองไม่ได้
แต่จริงๆแล้วที่มันง่ายขนาดนี้เป็นเพราะว่าฝ่ายหนึ่งเป็นผม และอีกฝ่ายเป็นพี่วศินต่างหาก
ผมรู้จักเขามาสามสี่ปี เราเจอกันที่ร้านเก้าหนึ่ง เป็นเพื่อนดื่มกันมานาน ครั้งแรกๆ ที่เราเจอกัน เราเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวัน รวมไปถึงทัศนคติสารพัดอย่างให้กันและกันฟังประหนึ่งสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไร มิตรภาพคนเมาก็แบบนี้ เจอกันครั้งเดียวเหมือนสนิทกันมาแล้วสิบปีก็ไม่ปาน ปกติผมมักจะเขินอายในวันถัดมาที่ได้พบว่าตัวเองคุยสารพัดเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟัง แต่กับพี่วศินไม่เป็นแบบนั้น ผมรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนดื่มที่คุยถูกคอ ถูกใจจนไม่อยากจะห่างหายกันไปเพราะความประดักประเดิดเล็กน้อยแค่นั้น เราจึงยังสานสัมพันธ์วงเหล้าต่อมาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่พี่วศิน กับพี่เจฟและพี่มะลิก็เป็นเรื่องราวคล้ายๆกัน ความสัมพันธ์นั้นสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจที่แน่นแฟ้นเสียจนผมไม่นึกระแวงเลยสักนิด
ฝ่ายพี่วศินเองก็คงจะเอ็นดูผมไม่น้อย เขาใส่ใจคำบ่นบ้าๆบอๆของผมเสมอมา เขาอาจจะอยากยื่นมือช่วยเหลือน้องชายที่สนิทในเวลาเปราะบางแบบนี้ หรือไม่ก็มีความรู้สึกบางอย่างให้ผม
ผมแตะริมฝีปากตัวเอง
เราไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องคืนนั้นที่ถูกเลี่ยงไว้ไม่พูดถึง ผมเองก็ไม่อยากพูดเช่นกัน ผมตัดสินใจผลักเรื่องน่าสงสัยแต่ไม่ได้อยากรู้สักเท่าไรออกจากหัว
อีกสาเหตุสำคัญที่พาเหตุการณ์มาไกลขนาดนี้เป็นเพราะผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้ต้องคอยระวังภัยเหมือนเด็กผู้หญิง หากผมเป็นผู้หญิง ต่อให้สิ้นไร้ไม้ตอกกว่านี้ผมก็มีแต่ต้องอดทนด้วยตัวเองเท่านั้น
พอมีเวลาเล่นมือถือมากขนาดนี้ จิตใจผมก็ฟุ้งไปตามกระแสในอินเทอร์เน็ตพอสมควร ข่าวร้ายหลายข่าวทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงบ่อยเป็นพิเศษ และก็ทำให้ผมตระหนักถึงความได้เปรียบทางเพศของตัวเองมากขึ้นนิดหน่อยด้วย พายุอารมณ์โหมรุนแรงอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ง่ายที่จะพัดพาความคิดผมให้ปลิวว่อนไปตามการกระตุ้นเร้า ผมโกรธ โมโห โศกเศร้าเสียใจ หดหู่ ทุกความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับตัวผมในเวลาไม่กี่หน้าทีที่ไถหน้าจอ ผมนั่งไถสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องนกมาเกือบชั่วโมงจนเจ้าเประบินกลับไปงีบในกรงเรียบร้อยแล้ว ผมคิดว่าตัวเองควรพักสายตาเสียที
ผมเดินกลับขึ้นห้องตัวเอง แล้วก็เปิดแอร์นอนหลับ
ใช้ชีวิตคนตกงานอย่างคุ้มค่าที่สุด
ตื่นมาอีกทีก็เย็นย่ำแล้ว
ผมเดินเมาขี้ตาลงมาชั้นล่าง บ้านทั้งหลังเงียบสนิท มีเพียงเสียงคนสัญจรไปมาด้านนอกเท่านั้น รถเอสยูวีสีขาวจอดนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม ผมยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากบ้านเลยสักก้าวเดียววันนี้ และคนที่ก้าวเท้าออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าคนนั้นก็ยังไม่กลับมา ผมเห็นว่าถึงเวลาแล้วจึงไปจัดการเรื่องอาหารและความสะอาดของเจ้าเประโดยที่เจ้าของตัวจริงไม่ได้ขอ ผมพิมพ์ข้อความไปถามรายละเอียดพี่วศินซึ่งเขาก็แนะนำกลับมาสั้นๆพร้อมกับขอบคุณ ผมทำตามคำแนะนำนั้น สุดท้ายก็หยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมกรง ส่งเจ้าเประเข้านอน
ผมเริ่มหิวข้าว จึงหยิบมือถือมามานอนเล่นบนโซฟาอีกรอบ นิ้วมือไถแอพส่งอาหารหลากหลายแอพเพื่อเปรียบเทียบราคาที่คุ้มค่าที่สุด ผมมองบัตรเครดิตของเจ้านายในมือ กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะกินอะไรดี เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง ท้องเริ่มร้องประท้วงโครกคราก
ตอนที่อยู่บ้านพ่อแม่ ทั้งสองคนรอกินข้าวพร้อมผมเสมอ ถ้าผมไม่กลับไปกินที่บ้านจะต้องบอกพวกเขาก่อน ผมติดนิสัยคิดถึงคนอื่นเวลากินข้าวมาจากพวกเขา ผมก็เลยตัดสินใจส่งข้อความไปถามพี่วศิน
หมิง: เจ้านาย
หมิง: เย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านไหมครับ
Wasin: รอพี่อยู่เหรอ
หมิง: แค่คิดว่าจะรอดีมั้ยน่ะ
หมิง: เผื่อเจ้านายอยากให้รอ
Wasin: น่ารักจัง
Wasin: หมิงหมิงกินก่อนเลยครับไม่ต้องรอ
Wasin: กว่าพี่จะถึงบ้านคงอีกชั่วโมง
หมิง: โอเคคับ
หมิงหมิงอะไรล่ะนั่น
ผมอมยิ้มกับข้อความที่ดูอ่อนหวานกว่าเสียงและหน้าตาของพี่วศินตัวจริงเกินไปสักหน่อย พี่วศินบอกว่าไม่ต้องรอ ผมจึงกดสั่งอาหารทันที
ตอนที่เจ้าของบ้านตัวจริงกลับมา ผมก็กินอิ่มแล้วพอดี เขายังอยู่ในชุดสูทตัวเดิม แต่ผมที่เซ็ตเอาไว้เริ่มไม่เป็นทรงแล้วตามคาด พี่วศินเก็บสูทกับบัตรพนักงานเข้าที่แล้วปลดไทด์กับกระดุมลงเพื่อให้หายใจสะดวก เขาดูไม่คุ้นเคยกับชุดสูทเต็มยศแบบนี้สักเท่าไร ดวงตาสีดำคู่นั้นอ่อนแสงดูเหนื่อยล้า เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่ยังนั่งแกร่วอยู่บนโต๊ะกินข้าว
“อยู่บ้านคนเดียวเหงาไหม” พี่วศินวางมือบนพนักพิงด้านหลังผมแล้วถาม
“ไม่นะ ผมนอนทั้งวันเลย แล้วก็เล่นกับเประ ไม่เหงาหรอก” ผมพูดตามตรง วันแรกของชีวิตว่างงานมันน่าตื่นเต้นจะตายไป
“สนิทกันแล้วเหรอ” เขาเดินไปล้างมือ
“พยายามอยู่ครับ”
“ขอบคุณที่ช่วยดูเประนะ”
เห็นสภาพเขาดูอ่อนระโหยโรยแรง ผมนึกถึงหนึ่งอย่างที่พี่วศินเคยขอ แม้จะตกงานแต่ผมก็ยังตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่
“วันนี้เหนื่อยไหมครับ”
เขาดูแปลกใจนิดหน่อย “ดูออกเลยเหรอ เหนื่อยมากเลยหมิง วันนี้ลูกค้ามาหา สู้กันทั้งวัน”
ผมลุกขึ้นเดินไปยืนด้านหลังเขาที่กำลังเช็ดมือกับผ้าขนหนูผืนเล็ก กางแขนออก
พี่วศินทำหน้างง
งงอะไร นี่กำลังทำหน้าที่สุนัขแสนรู้สุดความสามารถเลยนะ ถึงจะเขินนิดหน่อยก็เถอะ ผมเสมองไปข้างๆ “พี่บอกว่าขอกอดตอนเหนื่อยไง”
พี่วศินค่อยๆเผยรอยยิ้มกว้าง เขาอ้าแขนรวบผมเข้าไปกอดทั้งตัว ผมชักจะคุ้นเคยกับการอยู่ในอ้อมกอดที่อุ่นกว่าปกติขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
“ฮะๆ เด็กดี พี่หายเหนื่อยเลย”
จ้าจ้า
.
ผมใช้ชีวิตแบบนั้นมาสัปดาห์หนึ่ง ตื่นเช้ามากินอาหารที่มีคนหาไว้ให้ กลางวันนอนกลิ้งไปมา ดูซีรีส์จบไปสองเรื่อง เล่นเกมจนแรงค์ขึ้นไม่หยุด กับเประก็คุยจนเริ่มสนิทกันแล้ว (แลกกับการโดนอึใส่ไปสองสามที) ผมเป็นสุนัขที่มีชีวิตที่ดีตัวหนึ่ง ขาดแค่การออกกำลังกาย ผมไม่ต้องการใช้แรงมากอย่างที่สุนัขใหญ่ทั่วไปเป็นกัน ผมมีความสุขดีกับการนั่งๆนอนๆ แล้วตอนนี้พุงก็เริ่มเต่ง
ถ้าผมเป็นหมาอ้วน พี่วศินจะยังเห็นว่าผมน่ารักมั้ยนะ
ผมนอนเหม่อลอยจิ้มพุงตัวเองอยู่หน้าทีวี คิดจะลุกไปทำงานบ้านเสียบ้างพี่วศินก็จ้างแม่บ้านมาทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ขาดแค่พี่วศินจับผมไปทำสปาผมก็จะไม่ต่างอะไรจากเจ้าหมาอินฟลูเอนเซอร์พวกนั้นแล้ว
ผมยังไม่มีอารมณ์หงุดหงิดเคว้งคว้างเพราะว่างงาน แต่ชักจะเริ่มเหงาขึ้นมาเพราะพี่วศินเข้าออฟฟิศทุกวัน ส่วนผมวันๆ อยู่แต่กับนกแก้ว คุยกับมันก็สนุกดีแต่เหมือนพูดกันคนละเรื่อง ให้ตายยังไงก็ไม่เหมือนคุยกับคนจริงๆ หรอก พอนึกอยากจะจับมันมาลูบบ้างเประก็หันมาจิกผมจนได้เลือดเป็นบางที พี่วศินบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ว่าแล้วเขาก็โชว์รอยแผลเป็นบนแขนให้ดู ผมนึกสงสัยว่าคนเลี้ยงนกนี่เขาบำเพ็ญตบะกันอยู่หรือไงนะ
นึกถึงความเหงา จริงๆแล้วพี่วศินก็ไม่ได้ขังผมอยู่ในบ้านซะหน่อย ผมสามารถออกไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก แค่ต้องบอกเขาก่อนเขาจะได้ไม่เป็นห่วงเวลากลับบ้านมาแล้วไม่เจอผม ผมเคยคิดอยู่ว่าจะออกไปเจอเพื่อนบ้าง แต่วันธรรมดาเพื่อนก็ไม่ว่าง ครั้นจะไปร้านเก้าหนึ่ง พอเห็นพี่วศินงานยุ่งจนไม่ว่างไปผมก็ขี้เกียจไปด้วยอีกคน
พี่มะลิกับพี่เจฟทักทายผมมาบ้างเหมือนกันว่าว่างงานแท้ๆแล้วหายหน้าไปไหน ผมบอกไม่ได้หรอกว่าหายไปเป็นหมาให้คนเลี้ยงอยู่ แถมคนที่ว่าก็เป็นคนใกล้ตัวเสียด้วย
ชีวิตดีขนาดนี้ มีข้อแลกเปลี่ยนแค่อย่างเดียวคือ “ขอกอดตอนเหนื่อยๆ”
ทุกค่ำคืนที่พี่วศินกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อเจอหน้าผมคือเดินเข้ามากอด ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่เขาก็จะเดินเข้ามากอดแน่นๆทีหนึ่งแล้วค่อยทักทายกัน ทำให้ผมคิดติดตลกว่าตัวเองเป็นเหมือนภรรยาตัวน้อยที่รอคอยสามีกลับบ้าน อุณหภูมิที่สูงกว่าปกติของเขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและวางใจ ผมคุ้นชินกับสัมผัสนั้นซะจนเป็นฝ่ายรอคอยในบางครั้ง รู้สึกตัวอีกทีผมก็อาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเขากลับถึงบ้านเพราะไม่อยากให้เขาเจอผมในสภาพเหม็นเหงื่อ ผมเป็นสุนัขซื่อสัตย์ที่ไม่อยากให้เจ้าของรังเกียจ
บางครั้งเขากอดผมล้มกลิ้งลงบนโซฟาเบดหน้าทีวี แล้วนอนกอดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ลมหายใจร้อนๆ ของเขาที่รดต้นคอทำให้ผมรู้สึกขัดเขิน ผมอดจินตนาการถึงเรื่องคืนนั้นไม่ได้ ผมระแวงและคาดเดาว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมากกว่านี้แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น เขาเพียงลูบหัวผมแล้วผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น พอมันดึกพอสมควรผมจึงปลุกเขาให้ลุกไปอาบน้ำ แล้วเราก็แยกย้ายเข้าห้องนอน
หลังประตูห้องนอนของพี่วศินมีอะไรอยู่ในนั้นผมไม่เคยรู้เลย เขาไม่ได้ห้าม แต่ก็ไม่เคยเชิญผมเข้าไป ผมจึงได้แต่มองเขาหายลับไปหลังประตูบานนั้นพร้อมรอยยิ้มใจดี รอยยิ้มนั้นเป็นของเขาผู้เป็นพี่วศินคนเดิมที่ผมรู้จักก่อนที่เราจะตกลงทำอะไรบ้าๆบอๆด้วยกัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูไม่มีอะไรผิด แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ
ผมเดินเข้าไปคุยกับเประในห้องนก เหมือนทุกๆ วันที่ผมเข้าไปหามันเวลาเบื่อ เประเกาะคอนห้อยหัวเหมือนค้างคาวตัวหนึ่ง เมื่อเห็นผมมันก็ไต่กรงไปอีกทาง
“หมิงหมิง” มันร้องทัก
“เก่งมากเด็กดี” ผมยื่นเมล็ดทานตะวันให้มันเป็นรางวัล ผมฝึกให้มันเรียกชื่อผมมาสามสี่วันมันจึงจำได้
ผมป้อนทานตะวันเประพลางมองไปรอบห้อง บนมุมหนึ่งของเพดานมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ เพราะพี่วศินไม่มีเวลาอยู่กับเประทั้งวัน เขาจึงติดกล้องเอาไว้ส่องนกแก้วของเขาเวลาคิดถึงละมั้ง ผมโบกมือให้กล้องวงจรปิดตัวนั้นหย็อยๆแล้วหันมาสนใจเจ้านกแก้วจอมตะกละ
“วะ-สีน” มันเรียกชื่อเจ้านายตัวจริงของมัน แล้วก็ร้องเหมือนเสียงปืนเลเซอร์ “ปิ๊วๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆ ไหนทำเสียงอะไรได้อีก โชว์หน่อยซิ” ผมจับมันขึ้นมือ
เประเอียงหัวไปมา เจ้านกตัวใหญ่หันซ้ายหันขวาแล้วทำเสียงริงโทนโทรศัพท์ค่ายดัง
โฮ่ เหมือนเด๊ะ
“เประเก่งจัง” ผมชม ยกเจ้านกมาจรดริมฝีปากตัวเอง ช่วงนี้ผมดูคลิปคนเลี้ยงนกมาบ้าง เห็นเขาจุ๊บนกแล้วก็อยากจุ๊บบ้าง โชคดีที่มันไม่ได้จิกผมจนปากฉีก
เพียงแค่ “สกปรก” มันว่าอย่างนั้น
ไอ้นกเวร
“จะพูดกันดีๆสักครั้งได้มั้ยหา” ผมชักโมโห
“พี่วะสีน” มันร้องขึ้นมาอีก ไม่สนใจคำที่ผมพูดกับมันสักนิด “ช่วยด้วย! นั่นตัวปลอม!”
ผมท้อใจที่จะต้องสื่อสารกับนก “คิดถึงเจ้านายแกรึไง เดี๋ยวเย็นๆเขาก็กลับมาแล้วน่า”
“ใคร” มันว่า
“พี่วศินไง”
“ใครถาม” เสียงแปร่งๆของนกแก้วดังขึ้นอีก ผมกำหมัด จริงๆมันฟังรู้เรื่องแต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องใช่ไหม มันร้องต่อ “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวโดนตี”
“เอ็งนั่นแหละจะโดนตี! นกหัวล้าน” ผมแว้ดไปหนึ่งที ยิ่งอยู่ยิ่งหงุดหงิดเดินออกจากห้องนกเสียดีกว่า ตอนที่เดินออกไปเจ้าเประยังไม่วายจิกผมตามหลัง
“ว้าย กระจอก”
เกลียดนกแก้วว่ะ
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
พี่วศินถามตอนที่กำลังกอดผมอยู่บนโซฟาในค่ำวันศุกร์ เขากลับมาเปิดไวน์ดื่มด้วยกันกับผมในฐานะที่เป็นเย็นวันศุกร์ ร่างกายเราทั้งสองคนต้องการความผ่อนคลายจากแอลกอฮอล์ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธของมึนเมา พอดื่มหมดไปสองขวดเขาก็จับผมไปกอดเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน จมูกของผมซุกอยู่บนไหล่ของพี่วศิน เขาออกไปทำงานมาทั้งวันแต่ตัวยังหอม กลิ่นน้ำหอมที่เขาฉีดเมื่อเช้าจางลงบ้างแต่ยังหลงเหลืออยู่บนเสื้อผ้า ไม่รู้ว่าเขาเห็นสีหน้าผมหรือสังเกตเห็นอะไร ผมซุกหน้าลงกับบ่าของเขา จะบอกดีไหมว่าโดนนกแก้วด่าจนจิตตก
ตอนแรกผมแค่หงุดหงิดแล้วก็ตลกที่มันพูดเก่งขนาดนี้ แต่พออยู่ว่างๆมาเกินสัปดาห์ก็รู้สึกเหมือนความมั่นใจในตัวเองตกต่ำลงอัตโนมัติ โดนนกด่าว่ากระจอกก็เก็บมาคิดมากซะอย่างนั้น ทั้งที่ผมเป็นหมาที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างดี มีอิสระแต่ดันไม่กล้าออกไปไหน เปิดคอมเข้าเว็บหางานใหม่ก็เปิดคาไว้อย่างนั้นไม่ได้ส่งเรซูเม่ไปสักที่ ผมรู้สึกเหนื่อยไม่หาย ทำงานก็เหนื่อย ตอนนี้ได้นอนเยอะๆ ก็ยังเหนื่อย ผมคงกระจอกอย่างที่เประว่า
“ทะเลาะกับนกแก้วน่ะสิ” ผมสารภาพ รัดแขนรอบตัวเขาแน่นกว่าเดิม พี่วศินลูบหัวลูบหลังผม
“อย่าไปเถียงกับมันสิ ไม่ชนะหรอก” เขาบอก นอกจากอ้อมกอดที่แน่นขึ้น ผู้ชายคนนี้ก็ไม่คิดจะปลอบใจกันสักนิด
ผมย้ายความสนใจมาที่ตัวเขา “แล้วพี่ล่ะเหนื่อยไหม”
“ได้กอดหมาก็ไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว” เขาบอก “ตอนเลี้ยงเประตัวเดียว อยากกอดก็กอดไม่ถนัด หมิงนี่แหละค่อยพอดีมือหน่อย”
“พี่ติดกอดรึไง”
“ตอนแรกคิดว่าไม่นะ แต่ตอนนี้ติดแล้ว” เขาหัวเราะ
จริงๆการถูกเขากอดทุกวัน เป็นเรื่องที่ผมต้องอดทนมากพอสมควร ผมเป็นเป็นผู้ชายที่มีรสนิยมทางเพศกว้างขวางคนหนึ่ง ร่างกายที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามของเขาดึงดูดผมมากพอๆกับทรวงอกนุ่มนิ่มของผู้หญิง ก่อนหน้านี้ผมแอบมองเขาเป็นอาหารตา แต่ตอนนี้เราอยู่ใกล้กันเกินกว่าผมจะทำเพียงแอบมองแบบนั้น อุณหภูมิสูงจากร่างกายเขากระตุ้นให้ผมรู้สึกต้องการการสัมผัส ใบหน้าคมสันกับคิ้วเข้มอยู่ตรงหน้าผม เรื่องความรู้สึกผมยังไม่อยากจะนึกถึง แต่เรื่องความต้องการ ผมมีคำตอบที่ค่อนข้างแน่นอนอยู่ในใจ ผมมองดวงตาสีดำที่จ้องกลับมา มันซ่อนบางสิ่งเอาไว้ภายในอย่างแนบเนียน ผมพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร และผมอยากให้เขาเผยมันออกมา
“โคตรคุ้ม ผมอยู่ฟรีกินฟรี พี่ขอแค่กอดอย่างเดียว” ผมค่อนขอด ขยับตัวยุกยิกอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ผมขยับตัวออก หน้าขาตนเองแนบชิดกับร่างกายแน่นตึง แปะมือไว้บนแผ่นอกน่าบีบของเขา ช้อนตามองพี่วศินอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ถ้ามันจะแป้กผมก็แค่พุ่งตัวออกทางหน้าต่างเอาหัวโหม่งต้นปีบหน้าบ้านไปเสีย
แต่ไม่หรอก ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น ดูสายตาเขาสิ
“พี่ขอมากกว่านี้ได้เหรอ” พี่วศินฉีกยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีดำคู่นั้นเป็นประกายน่าหวาดหวั่น มันดำมืดลึกล้ำเหมือนกับมีพายุหมุนอยู่ภายใน แทบจะดึงดูดผมเข้าไปในหลุมดำนั้นทั้งตัว
ผมเลื่อนแขนตัวเองขึ้นไปคล้องคอเขา พูดคำตอบที่วางรอไว้ในใจพร้อมรอยยิ้มบาง
“ได้สิครับ”
ส่วนเรื่องที่ว่าได้มากแค่ไหน เรื่องนั้นเราไม่จำเป็นต้องพูดกัน
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ
เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “
มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื
อยากเป็นหมา เคยเห็นคลิปหมาแมวในโซเชียลมีเดียไหมครับ ช่วงนี้ผมชอบดูคลิปสัตว์โลกคลายเครียดมาก ทั้งสัตว์ป่าสัตว์บ้าน อย่างของอินฟลูสายสัตว์เลี้ยงที่พาไปโชว์ตัวบ่อยๆก็ดูน่าจะเหนื่อยหน่อย แต่มันมีอีกแบบที่ทำคอนเทนต์สปาหมา ASMR เอาหมามานอนหน้ากล้องแล้วก็ขัดผิวสางขนทาครีมบำรุงโชว์ ไอ้แบบนั้นเนี่ย เห็นกี่ทีผมก็โคตรอิจฉาเลย แล้วคุณดูนั่นสิ คลิปเตรียมอาหาร บนจานหลุมแบนๆนั่นเต็มไปด้วยโปรตีน ผัก และธัญพืช แล้วยังมีแซลมอนชิ้นเบ้อเริ่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามอีก อาหารหมาจานนี้จานเดียวมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ผมกินมาทั้งสัปดาห์อีกมั้ง ผมเป็นคนแท้ๆ วันวันหนึ่งผมได้กินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นแหละ จริงๆวัยใกล้สามสิบอย่างผมน่ะควรดูแลสุขภาพออกกำลังกายได้แล้ว เพื่อนวัยเดียวกันจูงมือกันเข้าคลาสพิลาทีส ปีนผา เข้ายิมกันหมด แต่อย่างผมนี่แค่หาเวลานอนได้ก็เก่งที่สุดแล้ว ไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ กับเงินเดือนขี้ปะติ๋วแค่นี้ผมทำงานหนักเป็นวัวเป็นควายเลยแหละ ผมสมัครงานเข้ามาเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ของบริษัทแฟชั่นขายปลีกเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในแผนกผมมีผมแค่คนเดียว ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน
ไม่ล้อเล่น ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เล
เมาเป็นหมา พูดถึงพี่วศิน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเป็นหัวหน้าในฝันของใครหลายๆคน เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ไม่ค่อยจะดุอะไร พึ่งพาได้ แล้วก็ตั้งใจรับฟังเราอยู่เสมอ พร้อมเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เราทุกครั้งที่เจอปัญหาอีกต่างหาก (แม้บางทีผมจะแค่บ่นเฉยๆก็ตาม) ก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีแสนอบอุ่นในฝันของพนักงานกินเงินเดือนอย่างเรานั่นแหละ ผมเชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากมีสามีอย่างเขา นานมาแล้วผมเคยถามเขาเรื่องแฟนแต่เขาก็บอกว่ายังไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะรอดเป็นโสดมาได้จนอายุปานนี้ ผมมักจะแซวว่าเขาแก่เป็นลุงอยู่บ่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอาวุโสที่สุดในกลุ่มเฉยๆ จริงๆเขาอายุแค่สามสิบแปดเท่านั้นเอง ทั้งที่เขาทำงานสายเทคที่ต้องวิ่งตามความรวดเร็วของเทคโนโลยีให้ทันอยู่เสมอ แต่พี่แกกลับตามกระแสอะไรในอินเตอร์เน็ตไม่ทันสักอย่าง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะแซวพี่วศินบ่อยๆ และเมื่อเทียบกับอายุที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนของเขา เขาดูแลตัวเองได้ดีมาก ร่างกายของเขากำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิดกับพี่ชายคนโตของผมที่ลงพุงไปแล้วเรียบร้อย ผมรู้จักแขนล่ำๆที่เผลอไปกอดตอนเมาอยู่บ่อยๆนั่นดี แต่ผมเพิ่งจะรู้เอาวันนี้ว่าเขาถึงขั้นมีซิกแพ็ค มี
เจ้านาย ป๊อก “โอ๊ย!” ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!” “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร” “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่ “...” “...” เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ” พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก” “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า” “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ” “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา “แล้วจะแกล้งลืมทำไม” ป๊อก