เจ้านาย
ป๊อก
“โอ๊ย!”
ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!”
“พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล
คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร”
“เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ
“ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่
“...”
“...”
เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ”
พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก”
“ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า”
“เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ”
“เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา
“แล้วจะแกล้งลืมทำไม”
ป๊อก
“โอ๊ย!” เขาดีดอีกแล้ว! ผมแยกเขี้ยวใส่เขา “ทารุณกรรมสัตว์!”
“อินเนอร์ดีขนาดนี้ใครจะไม่อยากเลี้ยง” เขาหัวเราะ ลูบหัวผมเหมือนที่ลูบมาทั้งคืนก่อนหน้านี้ “ไม่มีใครอินกับการเป็นหมาได้เท่าหมิงแล้ว”
ผมลูบหน้าผาก มองค้อนใส่เขาอย่างไม่พอใจสุดๆ แต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ “ใครจะไปคิดว่าพี่เอาจริง ผมก็ต้องทำเป็นมึนๆขำๆไปมั้ยล่ะ”
“เรารับปากพี่แล้วนะว่าจะไม่กลับคำ”
“เอาอะไรกับคนเมาก่อน” ผมโวยวายต่อ
พี่วศินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระกับคำครหาใดๆทั้งนั้น จบกัน ความศรัทธาเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผมแตกสลายไม่มีชิ้นดี ขอโทษเถอะนะ ก่อนหน้านี้พี่วศินในสายตาผมเป็นคนใจป้ำ อบอุ่น จริงจัง มีความรับผิดชอบ และอะไรก็ตามที่คนดีๆเขาเป็นกันมาตลอด ใครจะไปคิดว่าคนแบบนั้นจะมาจริงจังกับสัญญาลมปากประหลาดๆได้ ความสัมพันธ์แบบเพื่อนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่เชิง FWB ก็ไม่ใช่อีก แต่เป็นเจ้านายกับน้องหมาเนี่ยนะ ประหลาดเกินไปแล้ว
ถึงผมจะเป็นคนเสนอเองทั้งหมดเลยก็เถอะ แม่ง
“แต่ตอนนี้ก็สร่างแล้วนี่” เขาเอามือมาอังหน้าผากผมโดยไร้สาเหตุ “เมื่อกี้ยังบอกว่าเอาอยู่เลย”
ผมกัดปาก “ก็มัน…”
“ก็มันความฝันสูงสุดของเรานี่เนาะ” เขาหัวเราะ ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องตรงมาเหมือนจะสะกดจิต “หมิงบอกว่าอยากพักสบายๆนี่นา ออกจากงานแล้วช่วงนี้ก็มานอนเล่นอยู่บ้านพี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำตัวน่ารักไปวันๆเหมือนหมาตัวหนึ่งก็พอ หมิงไม่ชอบเหรอ”
โคตรชอบเลยครับ ชีวิตในฝัน “จะดีเหรอพี่ เกาะพี่กินชัดๆเลยนะ”
“แล้วสัตว์เลี้ยงที่ไหนไม่เกาะเจ้าของกินบ้าง” เขาแย้ง
ผมว่าผมหมกมุ่นเรื่องเป็นหมามากแล้ว แต่ไอ้ผู้ชายคนนี้จริงจังกับเรื่องที่ผมเป็นหมามากกว่าผมซะอีกว่ะ
“เกรงใจอ้ะ” ผมพูดเสียงอ่อย ในฐานะผู้ชายวัยใกล้สามสิบคนหนึ่งมันก็ดูละทิ้งความเป็นมนุษย์มากเกินจะรับไหวไปหน่อย
“พี่เต็มใจ จะมาเกรงใจอะไรกัน” เขายิ้ม “บอกตรงๆว่าอยู่บ้านคนเดียวพี่เหงา กำลังอยากเลี้ยงหมาจริงๆ แต่ก็กลัวจะไม่มีเวลาดูแล ถ้าเป็นหมิง หมิงดูแลตัวเองได้ แถมดูแลสุขภาพจิตพี่ได้ด้วย”
ผมรู้สึกเหมือนโดนขายตรง
“เอาแค่ช่วงที่เราอยากพักอยู่เฉยๆก็พอ อยากเริ่มงานใหม่เมื่อไหร่ค่อยเลิกเป็นหมาพี่ก็ได้ พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พี่รู้ว่าเราชอบอะไร และพี่มีพร้อมให้หมดเลย ไม่จำกัดอิสระหมิงด้วย พี่ขอแค่อย่างเดียว”
“อะไรครับ” ผมหันไปมองเขา ข้อเสนอของเขาเย้ายวนใจมากแต่ผมก็ยังระแวงอยู่นิดๆ คิดไปคิดมามันดูคล้ายๆว่าผมเป็นแพคเกจผูกปิ่นโตของอาเสี่ยอย่างไรอย่างนั้น
พี่วศินชูนิ้วชี้ “ขอพี่กอดหน่อยเวลากลับมาเหนื่อยๆ”
อ๋อ ก็แค่กอดนี่
แต่กอดแบบไหนวะ กอดหมา หรือ กอดแบบ มากกว่านั้น
สายตาผมคงดูระแวงจริงจัง เขาจึงรีบเสริม “กอดเฉยๆ พี่เลี้ยงหมาก็ต้องอยากกอดหมาบ้างสิ”
ว่าแล้วเขาก็รวบตัวผมทั้งตัวเข้าไปในอ้อมกอด “แบบนี้น่ะ” แล้วเขาก็จับผมล้มกลิ้งลงบนเตียง
อื้ม เขาทำแค่กอดจริงๆ
ผู้ชายคนนี้จริงจังเรื่องเลี้ยงสุนัขมากกว่าผมจริงๆแหละ เสียอย่างเดียว ไม่ยอมเลี้ยงสุนัขตัวจริง แต่ดันมาอด็อปท์ตัวปลอมอย่างผมไปเลี้ยง
“ว่ายังไงหมิง” เขาทวงคำตอบ
ผมที่อยู่ในอ้อมกอดเขา “ตกลงครับ บ๊อก”
“ฮิๆ น่ารักจัง” แล้วเขาก็ขยี้หัวผมยกใหญ่ จับผมกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ผมทำหน้าตายอยู่ในอ้อมกอดเขา ตัดสินใจครั้งใหญ่(?)ในชีวิต ละทิ้งความเป็นมนุษย์ หวนคืนสู่หมา แม่ง ไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ชีวิตในฝัน ลองดูสักตั้งแล้วกันวะ!
ว่าแต่เราลืมพูดถึงเรื่องจูบกันไปหรือเปล่านะ เอ่อ… ช่างมันก่อนแล้วกัน
.
ผมทำเรื่องย้ายออกจากอพาร์ทเมนท์ด้วยความรู้สึกมึนงง แต่ก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆจนเสร็จ ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง
ผมจะกลายเป็นหมา ที่มีเจ้าของรวยๆแล้ว
คุณพระ ชีวิตในฝัน
แต่ทำไมมันรู้สึกเครียดมากกว่ามีความสุขก็ไม่รู้ คือ ยังไงผมก็ละทิ้งความเป็นมนุษย์หมดจดไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยยังสงสัยกับความคิดและชีวิตตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไป แต่ความสงสัยนั้นก็แค่รบกวนผมอยู่ในสมอง สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงคือผมค่อยๆทำทุกอย่างตามขั้นตอนเพื่อย้ายไปอยู่บ้านพี่วศินราวกับโดนสะกดจิต
ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะย้ายออกจากห้องเช่าของผม เพราะคิดว่าไม่นานผมก็คงกลับไปหางานใหม่ แล้วก็ต้องกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์ตามเดิม แต่พี่วศินบอกว่าบ้านเขาว่างอยู่แล้ว ช่วงที่ได้งานใหม่ถ้ายังหาห้องเช่าถูกใจไม่ได้ก็ให้อยู่ที่บ้านเขาไปก่อน มันทั้งอยู่สบายแล้วก็เดินทางสะดวกกว่าอพาร์ทเมนท์เดิมของผมมาก ที่สำคัญคือผมได้ประหยัดค่าเช่า ผมไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องนี้จึงตอบตกลงไป แล้วก็ดำเนินเรื่องมาจนถึงขั้นตอนที่ขนของเข้าบ้านพี่วศินแล้วนั่นแหละ
ผมใช้ชีวิตแบบเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่เพื่อให้สะดวกย้ายไปเรื่อยๆตามใจจึงทำให้สัมภาระของผมไม่มีอะไรมากนัก ใช้รถขนย้ายที่บรรจุไม่เต็มแค่คันเดียวก็เพียงพอ พี่วศินต้อนรับผมที่หน้าบ้านในเช้าวันอาทิตย์ เขาลากประตูรั้วออกเพื่อให้ขนย้ายได้สะดวก พนักงานขนของเดินไปเดินกลับแค่สามรอบก็เสร็จเรียบร้อย พี่วศินมอบห้องที่เราตกลงเป็นเจ้านาย-สัตว์เลี้ยงกันคืนนั้นให้เป็นห้องนอนของผม
ผมช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่กินพื้นที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
มาถึงขั้นนี้ผมไม่ควรมีคำถามอะไรแล้วแท้ๆ
“พี่จะโอเคจริงๆเหรอถ้าผมแค่ทำตัวขี้เกียจอยู่ที่นี่ไปวันๆน่ะ มันไม่ดูรกหูรกตาอะไรอย่างนี้จริงๆเหรอ” ผมหันไปถามเขาตอนที่กำลังจัดข้าวของเข้าไว้ในห้อง ผมไม่กล้าทำตัวตามสบายนักเพราะผมโดนแม่ดุเรื่องขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่บ่อยๆสมัยเด็ก ส่วนพี่วศินช่วยแกะกล่องกระดาษอยู่ข้างๆ
“พี่เลี้ยงหมาไม่ได้จ้างแม่บ้าน” เขาตอบโดยไม่ได้หันมามอง
เป็นคำตอบที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจนิดหน่อยแหะ ถึงผมจะเต็มใจเป็นหมาที่สุดเลยก็เถอะ อย่างไรเสียมันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้นิดหนึ่ง
“งั้นขอฝากตัวด้วยนะครับเจ้านาย” ผมโค้ง
“จ้ะ” เขาตบหัวผมปุๆ
วันแรกที่ย้ายเข้าบ้านเขา พี่วศินแนะนำแต่ละส่วนภายในบ้าน และกติกาการอาศัยในบ้านคร่าวๆเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ผมอยู่ตามสบายเพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับบ้านใหม่หนึ่งวัน หน้าที่การเป็นสัตว์เลี้ยงของผมจะเริ่มขึ้นในวันถัดไป ซึ่งก็ไม่มีอะไรให้น่ากังวลนักเพราะเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าหน้าที่ผมมีแค่ทำตัวตามสบาย และทำตัวน่ารักไปวันๆก็พอ ดีที่ผมเป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก โรคลูกคนเล็กของผมทำให้ผมมั่นใจเรื่องนี้มากจริงๆแม้จะตัวโตเกินคำว่าน่ารักไปนิดก็ตาม
บ้านของเขาเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในหมู่บ้านใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าโซนเสนานิคม ตัวบ้านได้รับการรีโนเวทเป็นสีขาวนวลสบายตา ตกแต่งด้วยวัสดุไม้และสีน้ำตาลเพื่อขับเน้นให้บ้านไม่ดูขาวมินิมอลจนเกินไป มองไกลๆก็ดูคล้ายกับบ้านอีกสองหลังถัดไปที่เปิดเป็นคาเฟ่ไม่หยอก แต่บ้านพี่วศินให้ความรู้สึกสุขุมกว่านั้นสามส่วน โครงสร้างบ้านภายนอกเป็นแบบที่เรียกว่าโมเดิร์นเมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน หน้าต่างบนชั้นสองยังเป็นหน้าต่างไม้กรุกระจกแบบเก่า ผิดจากบ้านที่นายทุนอสังหาในยุคนี้นิยม แบบที่ทั้งประตูและหน้าต่างมักจะเป็นกระจกบานเลื่อนทั้งหมด ส่วนพื้นที่สวนรอบบ้านนั้นประดับไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ หน้าบ้านมีต้นปีบต้นใหญ่ออกดอกส่งกลิ่นหอมจรุงใจ นอกจากนั้นจึงเป็นไม้พุ่มและไม้ประดับขนาดเล็กลดหลั่นลงไปตามพื้นที่สวนรอบบ้านที่ไม่ได้กว้างมากนัก ภายในถูกตกแต่งด้วยสไตล์มิดเซนจูรี่โมเดิร์น เห็นได้ชัดว่าเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นถูกคัดสรรเข้าบ้านด้วยความใส่ใจ นอกจากห้องนั่งเล่นและห้องครัวที่พี่วศินดูจะจริงจังกับการตกแต่งมากแล้ว ห้องน้ำกับบริเวณซักล้างหลังบ้านก็เป็นพื้นที่ที่เขาไม่ได้ละเลย ผมยังไม่รู้ว่าห้องนอนของพี่วศินหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เดาว่าคงตกแต่งสวยงามเหมือนกันกับส่วนอื่นของบ้าน ห้องนอนโล่งๆของผมที่เป็นห้องนอนแขกจึงเป็นห้องเดียวที่ไม่ได้ถูกตกแต่งราวกับหลุดมาจากนิตยสารอินทีเรียร์อย่างบริเวณอื่นในบ้าน
ผมค่อนข้างสนใจเรื่องการแต่งบ้านพอสมควรแม้จะยังไม่มีแผนซื้อบ้านเป็นของตัวเอง พอเห็นผู้ชายคนหนึ่งสามารถมีบ้านเดี่ยวในเมืองเป็นของตัวเองโดยตกแต่งมันอย่างครบครันขนาดนี้ก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นบ้านที่เขาซื้อมาหรือได้รับเป็นมรดก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าผู้ชายคนนี้สามารถเลี้ยงผมได้สบายอย่างที่ปากเขาว่าจริงๆ ในฐานะสัตว์เลี้ยงน่ะ
ผมเดินสำรวจไปเรื่อยเปื่อย พอเดินไปถึงบริเวณเล็กๆ ที่ถูกจัดเป็นห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง ผมก็ได้เจอกับสิ่งที่ทำให้หัวคิ้วกระตุก
ไหนพี่บอกว่าอยู่คนเดียวไง!
“สวัสดีครับ”
“จุ๊กกรู้ว”
“ช่วยด้วย”
“เจ้านั่นมันตัวปลอม”
“ฉันอยู่นี่!”
ผมขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้กรงขนาดใหญ่ที่มีสิ่งมีชีวิตพูดได้อยู่ในนั้น เจ้านั่นเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็หยุดพูดไปแป๊บหนึ่ง มันสอดส่ายสายตาไปมา แล้วกลับไปพูดวกวนอยู่ในโลกของตัวเองต่อ
“glass”
“rock”
เจ้าสิ่งมีชีวิตพูดเก่งที่ว่าคงเป็นสัตว์ชนิดไหนไปไม่ได้นอกจากนกแก้วแอฟริกันเกรย์ เจ้านกแก้วสีเทาตัวใหญ่กางปีกสะบัดๆแล้วจีงเก็บปีกไว้ตามเดิม มันเดินส่ายหางสีแดงไปมาบนคอนไม้ขนาดกลางที่เจ้าของสรรหามาประดับไว้ให้มันเล่นในกรงที่มีขนาดใหญ่พอให้ผมเดินก้มหัวเข้าไปได้
ใครที่ไหนมันบอกว่าอยู่บ้านคนเดียวแล้วเหงาวะ
ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน “ไหนพี่บอกว่าอยู่คนเดียวแล้วเหงาไง”
เจ้าของบ้านผู้ใส่แว่นเดินผ่านมาทางนี้พอดีหยุดมองผมเมื่อได้ยินคำถาม ภาพพี่วศินใส่แว่นดูแปลกตาแต่ก็น่ามองไปอีกแบบ พอเขาเห็นว่าผมยืนอยู่ข้างๆกรงนกเขาก็ยกยิ้ม “โดนจับได้ซะแล้ว”
พี่วศินเสริม “แต่นกไม่นับเป็นคนนะ พี่อยู่คนเดียวจริงๆ”
ผม “มันพูดเก่งขนาดนี้ไม่น่าเหงานะพี่”
เขา “แรกๆก็ใช่อยู่แหละ”
ผม “ไหนว่าอยากได้หมา”
เขา “ก็เลี้ยงนกมานานแล้วมันอยากงอกหมาเพิ่มไง”
ผม “มันจะอยู่ด้วยกันได้เหรอ”
เขาทำหน้าเศร้า “หมิงไม่ชอบนกเหรอ”
ผม “เปล่า ผมหมายถึงหมาจริงๆมันจะอยู่กับนกได้เหรอ”
เขา “พี่ก็คิดอยู่ เลยไม่ได้เลี้ยงหมาจริงๆสักที”
ผม “งั้นก็ดีแล้วแหละ หมาปลอมตัวนี้เข้ากับนกได้ดีครับ”
ระหว่างที่พวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อย เจ้านกแอฟริกันเกรย์ที่เขาว่ากันว่าเป็นสายพันธุ์นกแก้วที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ร้องออกมา
“เจ้านั่นมันตัวปลอม”
“พี่อยู่นี่!”
เสียงของเจ้านกตัวนี้ฟังคล้ายพี่วศินจนน่าขนลุก
พี่วศินดันแว่นลงแล้วเพ่งมองไปทางกรง “เอาอีกแล้วเประ”
ได้ยินดังนั้นผมก็ส่งสายตาระมัดระวังไปทางชายร่างสูงผิวแทนใจดีที่ผมเคยคุ้นสลับกับเจ้านกแปลกหน้า หลังๆมานี้ผมไม่แน่ใจว่าได้รู้จักเขามากขึ้นหรือเขาต่างไปจากที่ผมเคยรู้จักมากเกินไป เอาจริงๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช่วงนี้ชักจะทำให้ผมคิดว่าคำพูดของนกน่าเชื่อถือกว่าที่ควรเสียแล้ว ผมหรี่ตามองพี่วศินอย่างจับผิด
“บ้าน่า เประมันพูดไปเรื่อย หมิงเชื่อรึไง” พี่วศินออกปาก ดูจะเหนื่อยใจกับเจ้านกนี้เต็มทน
มันก็ฟังดูเพ้อเจ้อเกินไปจริงๆแต่ผมอดไม่ได้ ผมแกล้งแหย่นิ้วเข้าไปในกรงแต่เจ้านกกระโดดหนีไปเกาะคอนที่ไกลกว่าเดิม “พี่สอนมันพูดเหรอ”
“เปล่า” เขาส่ายหน้า เอามือกุมหน้าผาก “เพื่อนพี่มันพูดให้ฟังครั้งเดียว เประจำไม่ลืมเลย”
“น้องชื่ออะไรนะ”
“เป-ระ เป-ระ” เขาแนะนำ “ภาษาญี่ปุ่น แปลว่าพูดเก่ง พูดคล่อง”
“สมชื่อสุดๆ” ผมชม
พี่วศิน “พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะพูดเก่งขนาดนี้”
เขาเปิดประตูกรงแล้วยื่นแขนเข้าไปใกล้กับมัน เประเประก้าวลงมายืนบนสันมือพี่วศินอย่างมั่นคง มันเหลียวซ้ายแลขวา เหมือนจะมองผมเหมือนจะไม่มอง ผมไม่เคยเลี้ยงนกหรือสนใจเลี้ยงนกมาก่อนจึงดูไม่ออกว่ามันรู้สึกอย่างไร
“ไม่กลัวนกใช่ไหม” เขาถามพลางยื่นเจ้าเประมาทางผม
“ค่อนข้างชอบมากกว่าครับ” ผมตอบ อยากจะยื่นมือเข้าไปลูบเจ้านกสีเทาแสนรู้แต่มันกลับขยับตัวหนี เห็นอย่างนั้นพี่วศินเลยบอกให้ผมอยู่เฉยๆ ผมยื่นนิ่งตามที่เขาบอก แล้วเขาก็วางเประเประลงบนไหล่ผม เจ้านกก้าวลงมายืนบนไหล่ผมเก้ๆ กังๆ ผมรู้สึกแปลกๆเพราะกรงเล็บของเจ้าเประเประแอบทิ่มลงเนื้อผมนิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ถึงขั้นรู้สึกเจ็บ
“กี่ขวบแล้วครับเนี่ย” ผมถามสัพเพเหระ พี่วศินบอกให้ผมแบมือ ผมก็แบมือรอ
เขาเทเมล็ดธัญพืชใส่มือผม พยักพเยิดให้ผมป้อนมัน “สิบขวบแล้ว”
ผมยื่นมือที่มีเมล็ดธัญพืชเข้าไปใกล้มัน เประเประก้มลงมา ผมหวาดเสียวจะงอยปากแหลมๆของมันจริงๆ “แก่แล้วนี่นา”
“ไม่แก่ๆ” พี่วศินแย้ง เห็นผมทำท่าจะป้อนแต่ก็ไม่กล้าเขาจึงหยิบเมล็ดธัญพืชจากมือผมขึ้นมา “นกแก้วอายุยืนมากนะ เลี้ยงดีๆก็อยู่ได้ถึงสี่สิบหกสิบปีเลย”
“จริงดิ้!” ผมตกใจ พี่วศินยื่นเมล็ดธัญพืชในมือจ่อปากเประเประเอาไว้ มันอ้าปากจิก.. ไม่สิ มันแลบลิ้นมาจกกินนี่นา ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน ลิ้นสีดำเป็นแท่งของมันยื่นออกมากินอาหารรัวเร็ว สามส่วนอยู่ในปากมัน อีกเจ็ดส่วนร่วงลงพื้น
“จริง แต่ต้องเลี้ยงดีๆน่ะนะ” เขาเสริม “กลัวเจ็บเหรอ มันไม่จิกหรอกลองดู”
ผมมองจะงอยปากสีดำแหลมคมที่อยู่ชิดติดใบหน้าตัวเองแล้วก็ทำใจยื่นมือเข้าไปใกล้ปากมัน เประทำท่าจะจิกกินเมล็ดธัญพืชในนั้น ผมสะดุ้งดึงมือออก
“อย่าไปยั่วโมโหมันสิ” พี่วศินแนะ
“ก็กลัวมือเจ็บอ่า” ผมอ้าง
เประ “กระจอก”
ไอ้นกเหี้ยนี่
ผมเหลือบมองมันตาขวาง ส่วนพี่วศินหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง เขาจับมือผมยื่นเข้าไปใกล้ๆเประอีกครั้ง เจ้าเประก้มหัวลงจิก ผมจินตนาการว่ามันจะต้องเป็นสัมผัสที่ไม่เจ็บก็ชวนแขยงแน่ๆ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น สัมผัสจากลิ้นนกเบาหวิว และจะงอยปากแหลมคมก็ไม่ได้สัมผัสมือของผมเลยด้วยซ้ำ
“เป็นไง” เขาปล่อยมือ ปล่อยให้ผมป้อนอาหารนกเอง
ผมยื่นให้มันอย่างเต็มใจ เศษเปลือกเมล็ดทานตะวันถูกทิ้งไว้เต็มมือ “ไม่รู้สึกอะไรเลย มันเบากว่าที่คิด”
“บอกแล้ว” เขายืนยัน ว่าแล้วก็หัวเราะอีกรอบ “โดนนกด่าเลยหมิง”
“เป็นพี่สอนมันแน่ๆ” ผมคาดโทษ
“พี่เปล่า” เขาทำไขสือ เประกินอิ่มแล้วจึงเดินขึ้นมือพี่วศินที่ยื่นมารับ ย่างก้าวของเจ้านกดูตลกเมื่อดูใกล้ๆ เประเดินเตาะแตะเตาะแตะ ไม่นานพี่วศินก็ส่งมันคืนกรง เประขึ้นไปยืนบนขอนไม้อีกครั้ง เก็บมือกลับมาโดยไม่ได้ปิดประตูกรง
“พี่ไม่อยากขังให้เประอยู่ในกรงแคบๆ ตอนกลางวันพี่จะปล่อยเประให้อยู่ในนี้ พอหกโมงเย็นเอาเข้ากรงแล้วคลุมผ้า ให้เประนอน ตอนเช้าเอาผ้าออก ให้อาหาร พาไปห้องน้ำ บางทีพี่ก็พาเประออกไปอยู่ด้วยข้างนอกห้อง ประมาณนี้แหละ” เขาอธิบายพลางชี้ไปทางถาดมุมห้องที่ดูแล้วน่าจะเป็นห้องน้ำของเประ
คำอธิบายยืดยาวของเขาฟังดูมีจุดประสงค์แอบแฝง
“ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่กำลังสอนให้หมาช่วยเลี้ยงนกเลยล่ะ” ผมขมวดคิ้ว ข้อตกลงคือผมอยู่สบายๆไม่ใช่เหรอ
“เปล่าซะหน่อย พี่แค่อวดว่าพี่เป็นเจ้าของที่ดี” เขายิ้มแล้วก้าวเข้ามาใกล้ “ไว้พรุ่งนี้หมิงเป็นหมาเต็มตัวเมื่อไหร่พี่จะเลี้ยงให้ขนมันเหมือนเประเลย”
ผมส่งยิ้มแห้งให้พี่วศิน นึกภาพตัวเองแปลงร่างเป็นหมาในคืนพระจันทร์เต็มดวง
เจ้าเประที่อยู่ในกรงน่าจะเหงาปาก มันจึงร่วมบทสนทนาด้วย
“วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ”
มันเลียนเสียงรถฉุกเฉินได้เหมือนเป๊ะ
“พี่ล้อเล่น” เขาหัวเราะแล้วขยี้หัวผม
ผมกลืนน้ำลาย เริ่มแยกไม่ออกว่าคำพูดของพี่วศินเป็นแค่คำพูดล้อเล่นหรือเป็นความจริงจากใจ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าเจ้าเประกำลังส่งสัญญาณอะไรสักอย่างให้ผมอยู่
พี่ขออย่างเดียว ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น “นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร “พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย “อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ “ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย” “โห
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ
เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “
มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื
ตามรังควานผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าการตื่น เรียกว่าฟื้นจะเหมาะสมกว่าร่างกายผมร้าวระบมเหมือนเพิ่งไปปั่นจักรยานบนเขามาสามสิบกิโลเมตรโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม ผมไม่อยากจะขยับตัวแม้สักมิลลิเมตรแต่ก็ต้องฝืนขยับเพราะปวดฉี่ ผมมองไม่ออกว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะม่านคุณภาพดีของโรงแรม แสงสว่างพยายามแหวกม่านหนามาให้ถึงเตียงอย่างสุดความสามารถแต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนอยู่บนพื้นเป็นเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เท่านั้น ผมค่อยๆกระดิกร่างกายที่อ่อนล้าทีละส่วนแล้วขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง ตอนที่ยันแขนตัวเองเพื่อลุกขึ้นจึงเพิ่งสังเกตว่าความหนักหน่วงที่ถ่วงร่างกายผมเอาไว้ไม่ใช่เพียงความอ่อนล้า แต่เป็นแขนแข็งแรงอีกข้างที่พาดไว้บนเอวผมจากด้านหลังผิวสีแทนของพี่วศินตัดกับหน้าท้องขาวๆของผม บนหน้าท้องขาวมีรอยจูบและรอยอื่นๆฝากเอาไว้อย่างน่ากระดาก พี่วศินที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังยังคงนอนหลับลึกอย่างเป็นสุข เห็นเขาแล้วผมก็อดหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ผมลอดตัวออกมาจากวงแขนของพี่วศินอย่างยากลำบาก ตอนที่ก้าวถึงพื้นได้ร่างกายผมก็โอนเอน เซถลาแทบคว่ำเพราะขาไม่มีแรง ด้วยเหตุนั้นผมจึงเท้าแขนกับผนังห้อง พยุงพาตัวเองไปถึงห้องน้ำในที่สุดทุกก้าว
แม่เลี้ยงเดี่ยว โชคดีที่เรื่องวิวาทระหว่างพี่เจฟกับน็อตไม่ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างนัก เพราะพวกเรามากันเร็วในร้านจึงยังไม่ทันมีคน อีกทั้งน็อตก็(ดูเหมือนจะ)ไม่เอาเรื่องแล้วล่าถอยไปเงียบๆ พี่เตเจ้าของร้านจึงไม่ต้องรับมือกับปัญหาน่าปวดหัวที่ตามมามากนัก พี่มะลิไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้าร้านมา เธอเพียงนั่งอยู่เงียบๆ ปรับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น คล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนอดทนให้น้ำตาไม่ไหลเราทุกคนสนิทกันพอประมาณ แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวที่อีกฝ่ายไม่เคยเล่า ผู้ชายสามหน่อที่เหลืออย่างพวกผมก็ออกจะประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกกันนิดหน่อย ยิ่งมีผู้หญิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงหน้าพวกผมยิ่งตัวแข็งเป็นหิน อย่างไรเสียน้ำตาหญิงสาวก็เป็นของที่ผู้ชายแพ้ทางจริงๆ“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไหมมึง” พี่เจฟที่สนิทกับพี่มะลิที่สุดถอนหายใจแล้วออกปากเป็นคนแรก “จริงพี่ กับพวกผมไม่ต้องฮึบหรอก” ผมพยายามพูดเผื่อจะทำให้พี่มะลิรู้สึกวางใจมากขึ้น“ผู้ชายคนนั้นใครน่ะมะลิ” ส่วนพี่วศินไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ยิงคำถามตรงๆไม่อ้อมค้อม ถึงจะดูไม่ใส่ใจแต่ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ยังบีบหัวไหล่พี่มะลิเอาไว้เบาๆพี่มะลิสูดล
กรูมมิ่ง ช่วงหลังมานี้เหมือนงานที่บริษัทพี่วศินจะไม่ยุ่งมากนักเหมือนช่วงแรกที่ผมเข้ามาอยู่บ้านนี้ บางวันเขาจึงไม่ได้เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านบ้างตามประสาหนุ่มไอที พี่วศินดูจะมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อไม่ต้องรีบตื่นรีบเดินทางไปทำงาน“หมิงตื่นยัง” พี่วศินเคาะประตูห้องแค่สองสามทีแล้วก็เปิดเข้ามาโดยง่ายเพราะผมไม่ได้ล็อคประตู ประสาทสัมผัสของผมได้ยินและรับรู้การกระทำของเขาแต่ก็ยังไม่อยากลืมตา เตียงยวบเมื่อพี่วศินเดินมานั่งบนเตียงแล้วปลุกผมอย่างใจเย็น“ตื่นไปแปรงฟันเร็ว ไหนบอกว่าวันนี้จะไปวิ่งกับพี่ไง” เขาทวงผมกะพริบตาปริบๆแล้วฝืนลืมตา พี่วศินส่งรอยยิ้มสดใสให้ผมแต่เช้า ทั้งรอยยิ้มและแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเจิดจ้า บรรยากาศอบอุ่นในห้องทำให้เขาต่างหากที่ดูเหมือนหมาตัวใหญ่ เหมือนมากกว่าผมเยอะได้ยินเขาทวงผมก็นึกถึงตัวเองเมื่อหลายคืนก่อน บทสนทนาจากเรื่องต่อยเป็นหรือไม่เป็น ลามไปถึงเรื่องหุ่นและการออกกำลังกาย พอพูดว่าอิจฉาหุ่นของเขา พี่วศินก็ยิ้มแฉ่งชวนผมไปออกกำลังกายทันที ผมที่คิดว่าควรฮึดออกกำลังกายบ้างสักตั้งจึงตอบตกลงด้วยความมั่นใจ ยังมีหน้าไปบอกเขาอีกต่างหากว่าให้เคี่ยวเข็ญผมด
เลือกทางที่ง่ายเช้าตรู่ทุกวันพี่วศินจะมาปลุกผมไปออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งบ้าง เวทเทรนนิ่งบ้าง พอออกกำลังกายเสร็จ พี่วศินจะเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนผมอาบน้ำ ยืนส่งเจ้านายออกไปทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปนอนต่อ ชดเชยที่ต้องตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนสุนัขตัวหนึ่งเประเประยังจะขยันกว่าผม พอเปิดผ้าคลุมกรง กินอาหารและขับถ่ายเรียบร้อย มันก็ร้องเจื้อยแจ้วของมันอยู่ทั้งวัน บินไปทางโน้นบ้าง เดินบ้าง กระโดดบ้าง ใช้ชีวิตแบบนกๆของมันไปอย่างร่าเริง ผมตื่นอีกครั้งราวสิบโมง ก็เดินลงมาทักทายมันเป็นอย่างแรกเหมือนกับทุกวันในวันที่อยู่คนเดียว เประก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของผม ถึงมันจะชอบพูดจากไม่น่ารัก แต่การได้เล่นกับนกก็สนุกและผ่อนคลายอยู่มาก“หมิงหมิง กินข้าว” เสียงแปร่งๆของเประดังขึ้น มันเลียนแบบเสียงร้องที่ได้ยินทุกวัน“กินแล้ว” ผมตอบมันไปเรื่อยเปื่อย “เประ กินข้าวยัง”“กินข้าว กินข้าว”“ปิ๊วๆๆๆๆ”“เข้ากรง”“อะไรล่ะนั่น เพิ่งออกมาจะเข้าอีกแล้วเหรอ” ผมแซว เประพูดไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เดินเข้ากรงอย่างที่มันร้อง เจ้านกสีเทาใช้ปากเกาะกรงเดินไปทั่วอย่างไม่รู้เบื่อ นกที่ถูกเลี้ยงในบ้านไม่ค่อยข
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้
Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l
จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั