Share

บทที่ 4 เจ้านาย

เจ้านาย

               ป๊อก

               “โอ๊ย!” 

               ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!”

               “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล

               คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร”

               “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ 

               “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่

               “...”

               “...”

               เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ”

               พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก”

               “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า”

               “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ”

               “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา

               “แล้วจะแกล้งลืมทำไม”

               ป๊อก

               “โอ๊ย!” เขาดีดอีกแล้ว! ผมแยกเขี้ยวใส่เขา “ทารุณกรรมสัตว์!”

               “อินเนอร์ดีขนาดนี้ใครจะไม่อยากเลี้ยง” เขาหัวเราะ ลูบหัวผมเหมือนที่ลูบมาทั้งคืนก่อนหน้านี้ “ไม่มีใครอินกับการเป็นหมาได้เท่าหมิงแล้ว”

               ผมลูบหน้าผาก มองค้อนใส่เขาอย่างไม่พอใจสุดๆ แต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ “ใครจะไปคิดว่าพี่เอาจริง ผมก็ต้องทำเป็นมึนๆขำๆไปมั้ยล่ะ”

               “เรารับปากพี่แล้วนะว่าจะไม่กลับคำ”

               “เอาอะไรกับคนเมาก่อน” ผมโวยวายต่อ 

               พี่วศินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระกับคำครหาใดๆทั้งนั้น จบกัน ความศรัทธาเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผมแตกสลายไม่มีชิ้นดี ขอโทษเถอะนะ ก่อนหน้านี้พี่วศินในสายตาผมเป็นคนใจป้ำ อบอุ่น จริงจัง มีความรับผิดชอบ และอะไรก็ตามที่คนดีๆเขาเป็นกันมาตลอด ใครจะไปคิดว่าคนแบบนั้นจะมาจริงจังกับสัญญาลมปากประหลาดๆได้ ความสัมพันธ์แบบเพื่อนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่เชิง FWB ก็ไม่ใช่อีก แต่เป็นเจ้านายกับน้องหมาเนี่ยนะ ประหลาดเกินไปแล้ว

               ถึงผมจะเป็นคนเสนอเองทั้งหมดเลยก็เถอะ แม่ง

               “แต่ตอนนี้ก็สร่างแล้วนี่” เขาเอามือมาอังหน้าผากผมโดยไร้สาเหตุ “เมื่อกี้ยังบอกว่าเอาอยู่เลย”

               ผมกัดปาก “ก็มัน…”

               “ก็มันความฝันสูงสุดของเรานี่เนาะ” เขาหัวเราะ ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องตรงมาเหมือนจะสะกดจิต “หมิงบอกว่าอยากพักสบายๆนี่นา ออกจากงานแล้วช่วงนี้ก็มานอนเล่นอยู่บ้านพี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำตัวน่ารักไปวันๆเหมือนหมาตัวหนึ่งก็พอ หมิงไม่ชอบเหรอ”

               โคตรชอบเลยครับ ชีวิตในฝัน “จะดีเหรอพี่ เกาะพี่กินชัดๆเลยนะ”

               “แล้วสัตว์เลี้ยงที่ไหนไม่เกาะเจ้าของกินบ้าง” เขาแย้ง

               ผมว่าผมหมกมุ่นเรื่องเป็นหมามากแล้ว แต่ไอ้ผู้ชายคนนี้จริงจังกับเรื่องที่ผมเป็นหมามากกว่าผมซะอีกว่ะ

               “เกรงใจอ้ะ” ผมพูดเสียงอ่อย ในฐานะผู้ชายวัยใกล้สามสิบคนหนึ่งมันก็ดูละทิ้งความเป็นมนุษย์มากเกินจะรับไหวไปหน่อย

               “พี่เต็มใจ จะมาเกรงใจอะไรกัน” เขายิ้ม “บอกตรงๆว่าอยู่บ้านคนเดียวพี่เหงา กำลังอยากเลี้ยงหมาจริงๆ แต่ก็กลัวจะไม่มีเวลาดูแล ถ้าเป็นหมิง หมิงดูแลตัวเองได้ แถมดูแลสุขภาพจิตพี่ได้ด้วย”

               ผมรู้สึกเหมือนโดนขายตรง 

“เอาแค่ช่วงที่เราอยากพักอยู่เฉยๆก็พอ อยากเริ่มงานใหม่เมื่อไหร่ค่อยเลิกเป็นหมาพี่ก็ได้ พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พี่รู้ว่าเราชอบอะไร และพี่มีพร้อมให้หมดเลย ไม่จำกัดอิสระหมิงด้วย พี่ขอแค่อย่างเดียว”

               “อะไรครับ” ผมหันไปมองเขา ข้อเสนอของเขาเย้ายวนใจมากแต่ผมก็ยังระแวงอยู่นิดๆ คิดไปคิดมามันดูคล้ายๆว่าผมเป็นแพคเกจผูกปิ่นโตของอาเสี่ยอย่างไรอย่างนั้น

               พี่วศินชูนิ้วชี้ “ขอพี่กอดหน่อยเวลากลับมาเหนื่อยๆ”

               อ๋อ ก็แค่กอดนี่

               แต่กอดแบบไหนวะ กอดหมา หรือ กอดแบบ มากกว่านั้น

               สายตาผมคงดูระแวงจริงจัง เขาจึงรีบเสริม “กอดเฉยๆ พี่เลี้ยงหมาก็ต้องอยากกอดหมาบ้างสิ”

               ว่าแล้วเขาก็รวบตัวผมทั้งตัวเข้าไปในอ้อมกอด “แบบนี้น่ะ” แล้วเขาก็จับผมล้มกลิ้งลงบนเตียง

               อื้ม เขาทำแค่กอดจริงๆ

               ผู้ชายคนนี้จริงจังเรื่องเลี้ยงสุนัขมากกว่าผมจริงๆแหละ เสียอย่างเดียว ไม่ยอมเลี้ยงสุนัขตัวจริง แต่ดันมาอด็อปท์ตัวปลอมอย่างผมไปเลี้ยง

               “ว่ายังไงหมิง” เขาทวงคำตอบ

               ผมที่อยู่ในอ้อมกอดเขา “ตกลงครับ บ๊อก”

               “ฮิๆ น่ารักจัง” แล้วเขาก็ขยี้หัวผมยกใหญ่ จับผมกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง

               ผมทำหน้าตายอยู่ในอ้อมกอดเขา ตัดสินใจครั้งใหญ่(?)ในชีวิต ละทิ้งความเป็นมนุษย์ หวนคืนสู่หมา แม่ง ไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ชีวิตในฝัน ลองดูสักตั้งแล้วกันวะ! 

ว่าแต่เราลืมพูดถึงเรื่องจูบกันไปหรือเปล่านะ เอ่อ… ช่างมันก่อนแล้วกัน

.

               ผมทำเรื่องย้ายออกจากอพาร์ทเมนท์ด้วยความรู้สึกมึนงง แต่ก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆจนเสร็จ ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง

               ผมจะกลายเป็นหมา ที่มีเจ้าของรวยๆแล้ว

               คุณพระ ชีวิตในฝัน

               แต่ทำไมมันรู้สึกเครียดมากกว่ามีความสุขก็ไม่รู้ คือ ยังไงผมก็ละทิ้งความเป็นมนุษย์หมดจดไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยยังสงสัยกับความคิดและชีวิตตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไป แต่ความสงสัยนั้นก็แค่รบกวนผมอยู่ในสมอง สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงคือผมค่อยๆทำทุกอย่างตามขั้นตอนเพื่อย้ายไปอยู่บ้านพี่วศินราวกับโดนสะกดจิต

               ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะย้ายออกจากห้องเช่าของผม เพราะคิดว่าไม่นานผมก็คงกลับไปหางานใหม่ แล้วก็ต้องกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์ตามเดิม แต่พี่วศินบอกว่าบ้านเขาว่างอยู่แล้ว ช่วงที่ได้งานใหม่ถ้ายังหาห้องเช่าถูกใจไม่ได้ก็ให้อยู่ที่บ้านเขาไปก่อน มันทั้งอยู่สบายแล้วก็เดินทางสะดวกกว่าอพาร์ทเมนท์เดิมของผมมาก ที่สำคัญคือผมได้ประหยัดค่าเช่า ผมไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องนี้จึงตอบตกลงไป แล้วก็ดำเนินเรื่องมาจนถึงขั้นตอนที่ขนของเข้าบ้านพี่วศินแล้วนั่นแหละ

               ผมใช้ชีวิตแบบเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่เพื่อให้สะดวกย้ายไปเรื่อยๆตามใจจึงทำให้สัมภาระของผมไม่มีอะไรมากนัก ใช้รถขนย้ายที่บรรจุไม่เต็มแค่คันเดียวก็เพียงพอ พี่วศินต้อนรับผมที่หน้าบ้านในเช้าวันอาทิตย์ เขาลากประตูรั้วออกเพื่อให้ขนย้ายได้สะดวก พนักงานขนของเดินไปเดินกลับแค่สามรอบก็เสร็จเรียบร้อย พี่วศินมอบห้องที่เราตกลงเป็นเจ้านาย-สัตว์เลี้ยงกันคืนนั้นให้เป็นห้องนอนของผม

               ผมช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่กินพื้นที่ไม่น้อยเลยจริงๆ

               มาถึงขั้นนี้ผมไม่ควรมีคำถามอะไรแล้วแท้ๆ

               “พี่จะโอเคจริงๆเหรอถ้าผมแค่ทำตัวขี้เกียจอยู่ที่นี่ไปวันๆน่ะ มันไม่ดูรกหูรกตาอะไรอย่างนี้จริงๆเหรอ” ผมหันไปถามเขาตอนที่กำลังจัดข้าวของเข้าไว้ในห้อง ผมไม่กล้าทำตัวตามสบายนักเพราะผมโดนแม่ดุเรื่องขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่บ่อยๆสมัยเด็ก ส่วนพี่วศินช่วยแกะกล่องกระดาษอยู่ข้างๆ

               “พี่เลี้ยงหมาไม่ได้จ้างแม่บ้าน” เขาตอบโดยไม่ได้หันมามอง

               เป็นคำตอบที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจนิดหน่อยแหะ ถึงผมจะเต็มใจเป็นหมาที่สุดเลยก็เถอะ อย่างไรเสียมันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้นิดหนึ่ง

               “งั้นขอฝากตัวด้วยนะครับเจ้านาย” ผมโค้ง

               “จ้ะ” เขาตบหัวผมปุๆ 

               วันแรกที่ย้ายเข้าบ้านเขา พี่วศินแนะนำแต่ละส่วนภายในบ้าน และกติกาการอาศัยในบ้านคร่าวๆเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ผมอยู่ตามสบายเพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับบ้านใหม่หนึ่งวัน หน้าที่การเป็นสัตว์เลี้ยงของผมจะเริ่มขึ้นในวันถัดไป ซึ่งก็ไม่มีอะไรให้น่ากังวลนักเพราะเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าหน้าที่ผมมีแค่ทำตัวตามสบาย และทำตัวน่ารักไปวันๆก็พอ ดีที่ผมเป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก โรคลูกคนเล็กของผมทำให้ผมมั่นใจเรื่องนี้มากจริงๆแม้จะตัวโตเกินคำว่าน่ารักไปนิดก็ตาม

บ้านของเขาเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในหมู่บ้านใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าโซนเสนานิคม ตัวบ้านได้รับการรีโนเวทเป็นสีขาวนวลสบายตา ตกแต่งด้วยวัสดุไม้และสีน้ำตาลเพื่อขับเน้นให้บ้านไม่ดูขาวมินิมอลจนเกินไป มองไกลๆก็ดูคล้ายกับบ้านอีกสองหลังถัดไปที่เปิดเป็นคาเฟ่ไม่หยอก แต่บ้านพี่วศินให้ความรู้สึกสุขุมกว่านั้นสามส่วน โครงสร้างบ้านภายนอกเป็นแบบที่เรียกว่าโมเดิร์นเมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน หน้าต่างบนชั้นสองยังเป็นหน้าต่างไม้กรุกระจกแบบเก่า ผิดจากบ้านที่นายทุนอสังหาในยุคนี้นิยม แบบที่ทั้งประตูและหน้าต่างมักจะเป็นกระจกบานเลื่อนทั้งหมด ส่วนพื้นที่สวนรอบบ้านนั้นประดับไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ หน้าบ้านมีต้นปีบต้นใหญ่ออกดอกส่งกลิ่นหอมจรุงใจ นอกจากนั้นจึงเป็นไม้พุ่มและไม้ประดับขนาดเล็กลดหลั่นลงไปตามพื้นที่สวนรอบบ้านที่ไม่ได้กว้างมากนัก ภายในถูกตกแต่งด้วยสไตล์มิดเซนจูรี่โมเดิร์น เห็นได้ชัดว่าเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นถูกคัดสรรเข้าบ้านด้วยความใส่ใจ นอกจากห้องนั่งเล่นและห้องครัวที่พี่วศินดูจะจริงจังกับการตกแต่งมากแล้ว ห้องน้ำกับบริเวณซักล้างหลังบ้านก็เป็นพื้นที่ที่เขาไม่ได้ละเลย ผมยังไม่รู้ว่าห้องนอนของพี่วศินหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เดาว่าคงตกแต่งสวยงามเหมือนกันกับส่วนอื่นของบ้าน ห้องนอนโล่งๆของผมที่เป็นห้องนอนแขกจึงเป็นห้องเดียวที่ไม่ได้ถูกตกแต่งราวกับหลุดมาจากนิตยสารอินทีเรียร์อย่างบริเวณอื่นในบ้าน

ผมค่อนข้างสนใจเรื่องการแต่งบ้านพอสมควรแม้จะยังไม่มีแผนซื้อบ้านเป็นของตัวเอง พอเห็นผู้ชายคนหนึ่งสามารถมีบ้านเดี่ยวในเมืองเป็นของตัวเองโดยตกแต่งมันอย่างครบครันขนาดนี้ก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นบ้านที่เขาซื้อมาหรือได้รับเป็นมรดก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าผู้ชายคนนี้สามารถเลี้ยงผมได้สบายอย่างที่ปากเขาว่าจริงๆ ในฐานะสัตว์เลี้ยงน่ะ

ผมเดินสำรวจไปเรื่อยเปื่อย พอเดินไปถึงบริเวณเล็กๆ ที่ถูกจัดเป็นห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง ผมก็ได้เจอกับสิ่งที่ทำให้หัวคิ้วกระตุก

ไหนพี่บอกว่าอยู่คนเดียวไง!

“สวัสดีครับ”

“จุ๊กกรู้ว”

“ช่วยด้วย”

“เจ้านั่นมันตัวปลอม”

“ฉันอยู่นี่!”

ผมขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้กรงขนาดใหญ่ที่มีสิ่งมีชีวิตพูดได้อยู่ในนั้น เจ้านั่นเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็หยุดพูดไปแป๊บหนึ่ง มันสอดส่ายสายตาไปมา แล้วกลับไปพูดวกวนอยู่ในโลกของตัวเองต่อ

“glass”

“rock”

เจ้าสิ่งมีชีวิตพูดเก่งที่ว่าคงเป็นสัตว์ชนิดไหนไปไม่ได้นอกจากนกแก้วแอฟริกันเกรย์ เจ้านกแก้วสีเทาตัวใหญ่กางปีกสะบัดๆแล้วจีงเก็บปีกไว้ตามเดิม มันเดินส่ายหางสีแดงไปมาบนคอนไม้ขนาดกลางที่เจ้าของสรรหามาประดับไว้ให้มันเล่นในกรงที่มีขนาดใหญ่พอให้ผมเดินก้มหัวเข้าไปได้

ใครที่ไหนมันบอกว่าอยู่บ้านคนเดียวแล้วเหงาวะ

ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน “ไหนพี่บอกว่าอยู่คนเดียวแล้วเหงาไง”

เจ้าของบ้านผู้ใส่แว่นเดินผ่านมาทางนี้พอดีหยุดมองผมเมื่อได้ยินคำถาม ภาพพี่วศินใส่แว่นดูแปลกตาแต่ก็น่ามองไปอีกแบบ พอเขาเห็นว่าผมยืนอยู่ข้างๆกรงนกเขาก็ยกยิ้ม “โดนจับได้ซะแล้ว”

พี่วศินเสริม “แต่นกไม่นับเป็นคนนะ พี่อยู่คนเดียวจริงๆ”

ผม “มันพูดเก่งขนาดนี้ไม่น่าเหงานะพี่”

เขา “แรกๆก็ใช่อยู่แหละ”

ผม “ไหนว่าอยากได้หมา”

เขา “ก็เลี้ยงนกมานานแล้วมันอยากงอกหมาเพิ่มไง”

ผม “มันจะอยู่ด้วยกันได้เหรอ”

เขาทำหน้าเศร้า “หมิงไม่ชอบนกเหรอ”

ผม “เปล่า ผมหมายถึงหมาจริงๆมันจะอยู่กับนกได้เหรอ”

เขา “พี่ก็คิดอยู่ เลยไม่ได้เลี้ยงหมาจริงๆสักที”

ผม “งั้นก็ดีแล้วแหละ หมาปลอมตัวนี้เข้ากับนกได้ดีครับ”

ระหว่างที่พวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อย เจ้านกแอฟริกันเกรย์ที่เขาว่ากันว่าเป็นสายพันธุ์นกแก้วที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ร้องออกมา

“เจ้านั่นมันตัวปลอม”

“พี่อยู่นี่!”

เสียงของเจ้านกตัวนี้ฟังคล้ายพี่วศินจนน่าขนลุก

พี่วศินดันแว่นลงแล้วเพ่งมองไปทางกรง “เอาอีกแล้วเประ”

ได้ยินดังนั้นผมก็ส่งสายตาระมัดระวังไปทางชายร่างสูงผิวแทนใจดีที่ผมเคยคุ้นสลับกับเจ้านกแปลกหน้า หลังๆมานี้ผมไม่แน่ใจว่าได้รู้จักเขามากขึ้นหรือเขาต่างไปจากที่ผมเคยรู้จักมากเกินไป เอาจริงๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช่วงนี้ชักจะทำให้ผมคิดว่าคำพูดของนกน่าเชื่อถือกว่าที่ควรเสียแล้ว ผมหรี่ตามองพี่วศินอย่างจับผิด

“บ้าน่า เประมันพูดไปเรื่อย หมิงเชื่อรึไง” พี่วศินออกปาก ดูจะเหนื่อยใจกับเจ้านกนี้เต็มทน

มันก็ฟังดูเพ้อเจ้อเกินไปจริงๆแต่ผมอดไม่ได้ ผมแกล้งแหย่นิ้วเข้าไปในกรงแต่เจ้านกกระโดดหนีไปเกาะคอนที่ไกลกว่าเดิม “พี่สอนมันพูดเหรอ”

“เปล่า” เขาส่ายหน้า เอามือกุมหน้าผาก “เพื่อนพี่มันพูดให้ฟังครั้งเดียว เประจำไม่ลืมเลย”

“น้องชื่ออะไรนะ”

“เป-ระ เป-ระ” เขาแนะนำ “ภาษาญี่ปุ่น แปลว่าพูดเก่ง พูดคล่อง”

“สมชื่อสุดๆ” ผมชม

พี่วศิน “พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะพูดเก่งขนาดนี้”

เขาเปิดประตูกรงแล้วยื่นแขนเข้าไปใกล้กับมัน เประเประก้าวลงมายืนบนสันมือพี่วศินอย่างมั่นคง มันเหลียวซ้ายแลขวา เหมือนจะมองผมเหมือนจะไม่มอง ผมไม่เคยเลี้ยงนกหรือสนใจเลี้ยงนกมาก่อนจึงดูไม่ออกว่ามันรู้สึกอย่างไร

“ไม่กลัวนกใช่ไหม” เขาถามพลางยื่นเจ้าเประมาทางผม

“ค่อนข้างชอบมากกว่าครับ” ผมตอบ อยากจะยื่นมือเข้าไปลูบเจ้านกสีเทาแสนรู้แต่มันกลับขยับตัวหนี เห็นอย่างนั้นพี่วศินเลยบอกให้ผมอยู่เฉยๆ ผมยื่นนิ่งตามที่เขาบอก แล้วเขาก็วางเประเประลงบนไหล่ผม เจ้านกก้าวลงมายืนบนไหล่ผมเก้ๆ กังๆ ผมรู้สึกแปลกๆเพราะกรงเล็บของเจ้าเประเประแอบทิ่มลงเนื้อผมนิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ถึงขั้นรู้สึกเจ็บ

“กี่ขวบแล้วครับเนี่ย” ผมถามสัพเพเหระ พี่วศินบอกให้ผมแบมือ ผมก็แบมือรอ

เขาเทเมล็ดธัญพืชใส่มือผม พยักพเยิดให้ผมป้อนมัน “สิบขวบแล้ว”

ผมยื่นมือที่มีเมล็ดธัญพืชเข้าไปใกล้มัน เประเประก้มลงมา ผมหวาดเสียวจะงอยปากแหลมๆของมันจริงๆ “แก่แล้วนี่นา”

“ไม่แก่ๆ” พี่วศินแย้ง เห็นผมทำท่าจะป้อนแต่ก็ไม่กล้าเขาจึงหยิบเมล็ดธัญพืชจากมือผมขึ้นมา “นกแก้วอายุยืนมากนะ เลี้ยงดีๆก็อยู่ได้ถึงสี่สิบหกสิบปีเลย”

“จริงดิ้!” ผมตกใจ พี่วศินยื่นเมล็ดธัญพืชในมือจ่อปากเประเประเอาไว้ มันอ้าปากจิก.. ไม่สิ มันแลบลิ้นมาจกกินนี่นา ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน ลิ้นสีดำเป็นแท่งของมันยื่นออกมากินอาหารรัวเร็ว สามส่วนอยู่ในปากมัน อีกเจ็ดส่วนร่วงลงพื้น

“จริง แต่ต้องเลี้ยงดีๆน่ะนะ” เขาเสริม “กลัวเจ็บเหรอ มันไม่จิกหรอกลองดู”

ผมมองจะงอยปากสีดำแหลมคมที่อยู่ชิดติดใบหน้าตัวเองแล้วก็ทำใจยื่นมือเข้าไปใกล้ปากมัน เประทำท่าจะจิกกินเมล็ดธัญพืชในนั้น ผมสะดุ้งดึงมือออก

“อย่าไปยั่วโมโหมันสิ” พี่วศินแนะ

“ก็กลัวมือเจ็บอ่า” ผมอ้าง

เประ “กระจอก”

ไอ้นกเหี้ยนี่

ผมเหลือบมองมันตาขวาง ส่วนพี่วศินหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง เขาจับมือผมยื่นเข้าไปใกล้ๆเประอีกครั้ง เจ้าเประก้มหัวลงจิก ผมจินตนาการว่ามันจะต้องเป็นสัมผัสที่ไม่เจ็บก็ชวนแขยงแน่ๆ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น สัมผัสจากลิ้นนกเบาหวิว และจะงอยปากแหลมคมก็ไม่ได้สัมผัสมือของผมเลยด้วยซ้ำ

“เป็นไง” เขาปล่อยมือ ปล่อยให้ผมป้อนอาหารนกเอง

ผมยื่นให้มันอย่างเต็มใจ เศษเปลือกเมล็ดทานตะวันถูกทิ้งไว้เต็มมือ “ไม่รู้สึกอะไรเลย มันเบากว่าที่คิด”

“บอกแล้ว” เขายืนยัน ว่าแล้วก็หัวเราะอีกรอบ “โดนนกด่าเลยหมิง”

“เป็นพี่สอนมันแน่ๆ” ผมคาดโทษ

“พี่เปล่า” เขาทำไขสือ เประกินอิ่มแล้วจึงเดินขึ้นมือพี่วศินที่ยื่นมารับ ย่างก้าวของเจ้านกดูตลกเมื่อดูใกล้ๆ เประเดินเตาะแตะเตาะแตะ ไม่นานพี่วศินก็ส่งมันคืนกรง เประขึ้นไปยืนบนขอนไม้อีกครั้ง เก็บมือกลับมาโดยไม่ได้ปิดประตูกรง

“พี่ไม่อยากขังให้เประอยู่ในกรงแคบๆ ตอนกลางวันพี่จะปล่อยเประให้อยู่ในนี้ พอหกโมงเย็นเอาเข้ากรงแล้วคลุมผ้า ให้เประนอน ตอนเช้าเอาผ้าออก ให้อาหาร พาไปห้องน้ำ บางทีพี่ก็พาเประออกไปอยู่ด้วยข้างนอกห้อง ประมาณนี้แหละ” เขาอธิบายพลางชี้ไปทางถาดมุมห้องที่ดูแล้วน่าจะเป็นห้องน้ำของเประ

คำอธิบายยืดยาวของเขาฟังดูมีจุดประสงค์แอบแฝง

“ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่กำลังสอนให้หมาช่วยเลี้ยงนกเลยล่ะ” ผมขมวดคิ้ว ข้อตกลงคือผมอยู่สบายๆไม่ใช่เหรอ

“เปล่าซะหน่อย พี่แค่อวดว่าพี่เป็นเจ้าของที่ดี” เขายิ้มแล้วก้าวเข้ามาใกล้ “ไว้พรุ่งนี้หมิงเป็นหมาเต็มตัวเมื่อไหร่พี่จะเลี้ยงให้ขนมันเหมือนเประเลย”

ผมส่งยิ้มแห้งให้พี่วศิน นึกภาพตัวเองแปลงร่างเป็นหมาในคืนพระจันทร์เต็มดวง

เจ้าเประที่อยู่ในกรงน่าจะเหงาปาก มันจึงร่วมบทสนทนาด้วย

“วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ”

มันเลียนเสียงรถฉุกเฉินได้เหมือนเป๊ะ

“พี่ล้อเล่น” เขาหัวเราะแล้วขยี้หัวผม

ผมกลืนน้ำลาย เริ่มแยกไม่ออกว่าคำพูดของพี่วศินเป็นแค่คำพูดล้อเล่นหรือเป็นความจริงจากใจ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าเจ้าเประกำลังส่งสัญญาณอะไรสักอย่างให้ผมอยู่

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status