ศึกษาดูใจผมนั่งตัวลีบอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์เอสยูวีสีขาว มันพุ่งทะยานฝ่าค่ำคืนกรุงเทพฯในความเร็วที่ไม่มากไม่น้อย ความเงียบงันโรยตัวปกคลุมบรรยากาศเย็นเยียบในรถอย่างน่าอึดอัด ผมมองทางไปเรื่อยด้วยไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับคนที่ดูเหมือนจะหัวร้อนข้างๆคนนี้ดีผ่านไปพักหนึ่งผมจึงลอบหันไปมองพี่วศินด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจเผื่อว่าเขาจะใจเย็นลงบ้างแล้ว ใบหน้าคมสันสีน้ำผึ้งที่ยิ้มหวานอย่างน่ากลัวเมื่อสักครู่นี้กลายเป็นใบหน้านิ่งเฉย เขาผินหน้ามาสบตาผมทีหนึ่งแล้วจึงถอนหายใจ หางคิ้วเข้มตกลง“พี่ใจร้อนไปหน่อยเนาะ” เขาเอ่ยพลางเสยผมสั้นๆของตัวเอง “โทษทีนะ”ร่างกายที่ตึงเครียดตามบรรยากาศอึดอัดในรถก่อนหน้านี้ของผมจึงค่อยผ่อนคลายลงเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากพูด พี่วศินดูจะใจเย็นลงแล้วจริงๆ“ก็ใจร้อนน่ะสิ” ผมพึมพำงุบงิบผมไม่เคยเห็นมุมที่เขาหงุดหงิดแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองจะต้องโดนเขาโกรธใส่เพราะไม่ยอมบอกเขาเรื่องที่กำลังหางานเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเป็นเขาเองที่เอ่ยปากขอโทษออกมาก่อนประสบการณ์ส่วนตัวผมเคยเจอแต่คนที่โกรธแล้วเอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจ เพราะผมใจเย็นจึงต้องกลายเป็นเป
ขาขึ้นจากใบสมัครงานที่ผมยื่นไปหลายเจ้า ผมถูกเรียกสัมภาษณ์สองสามที่ สองในนั้นเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ส่วนอีกหนึ่งที่นัดผมเข้าไปเจอที่ออฟฟิศ และหนึ่งที่สุดท้ายที่ว่าก็เป็นที่ที่ผมหมายตาอยากเข้าไปทำงานมากที่สุดผมก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแล้วยื่นแบงค์ยี่สิบให้พี่วิน เนื่องจากไม่มีหวังจะได้ไว้ผมยาวจนสามารถนำไปบริจาค ผมจึงตัดผมยาวระต้นคอให้สั้นเข้าทรงเรียบร้อย วันนี้ผมสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คที่ไม่ได้ใส่มานานจึงทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อสูทที่ดูไม่เข้ากับผมสักเท่าไรตัวนี้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังปลอมตัวมาสัมภาษณ์งานอย่างไรอย่างนั้นตึกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ความสูงของมันทำเอาผมหยุดความคิดที่จะแหงนหน้ามอง ผมก้าวเท้าเข้าไปภายในตึกด้วยความมั่นใจที่พกติดตัวมาไม่มากนัก ยื่นบัตรประชาชนแลกกับบัตร visitor แล้วกดลิฟต์ขึ้นชั้นสามสิบห้าไปตามที่อยู่ที่ได้รับทางอีเมล พนักงานบริษัทที่เดินสวนทางกับผมไปแต่ละคนดูภูมิฐานบุคลิกดีสมกับเป็นพนักงานเอกชนชั้นนำ และนั่นทำเอาผมที่ปกติแต่งตัวตามสบายเข้าออฟฟิศอยู่เสมอรู้สึกว่าตัวเองตัวลีบเล็กลงอย่างอดไม่อยู่ผมเคยทำงานอยู่ในเ
แรกพบสมัยเด็กๆ ผมเคยไปรอแม่ที่ที่ทำงานครั้งหนึ่ง มีนักศึกษาเดินเข้าห้องแม่มาปรึกษาไม่ขาดสายผมจึงขอตัวออกมาเดินเล่นด้านนอกภาควิชา เดินไปเดินมาก็เจอกับตลาดนัดมหาวิทยาลัยเข้าจึงเดินเข้าไปสำรวจภายในด้วยความยินดี มองดูสินค้าหลากหลายอย่างสนุกสนาน ซื้อขนมน่ากินติดมือมาบ้างในงบประมาณสามสิบบาทที่แม่ให้พกไว้ประจำวันตอนนั้นผมอยู่ม.2 ยังสูงไม่ถึง 155 เซนติเมตรด้วยซ้ำ ช่วงพักกลางวันคนแน่นตลาดเสียจนต้องเดินเบียดกัน เมื่อเดินลึกเข้าไปในตลาดแล้วเจอกับความแออัดมากเข้าจึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เดินหลบเลี่ยงร่างกายผู้คนที่ไม่คุ้นเคยไปเรื่อยก็หลุดออกมาอีกด้านหนึ่งของตลาด แน่นอนว่าตอนนั้นผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองยืนอยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัยเด็กม.2 น่าจะดูแลตัวเองได้พอสมควรแล้วแต่ไม่ใช่กับลูกแหง่อย่างผม ผมหวาดกลัวและเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเดินไปทางไหนและจะกลับไปหาแม่ได้อย่างไรดี สิ่งล่อใจหลากสีสันในตลาดนัดไม่อาจดึงดูดความสนใจผมได้อีก ผมเริ่มเบะปากหากแต่ไม่ได้ส่งเสียง ตอนที่กำลังมองไ
Trust Issueตอนที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาสายแล้ว แสงอาทิตย์ยามแปดโมงเช้าทะลุทะลวงผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาถึงบนเตียง ปลายเท้าผมโผล่พ้นผ้านวมสีฟ้าอ่อนโดยมีท่อนขาแข็งแรงสีแทนเกาะก่ายอยู่ไม่ห่าง อ้อมกอดอุ่นจากด้านหลังไม่ได้ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมากเท่ากับสัมผัสยุกยิกบริเวณบั้นท้ายฝ่ามือซุกซนของคนด้านหลังสัมผัสลูบไล้ก้นนิ่ม ปลายนิ้วแข็งแรงเลื่อนลึกเข้าซอกหลืบ สัมผัสไล้เหมือนหยอกเหมือนเอาจริง ผมลืมตาตื่นตอนที่บั้นท้ายสัมผัสโดนอวัยวะที่ร้อนและใหญ่กว่าปลายนิ้วของคนข้างหลัง ผมหันไปโวยวายใส่เขา“เล่นอะไรเนี่ย”“มอร์นิ่งครับ” พี่วศินเห็นผมหันหน้ากลับไปหาจึงฉวยโอกาสจูบแก้มผมเบาๆผมที่ยังงัวเงียอยู่จึงทำได้แค่ลูบแก้มเบาๆยามที่ตอบเขากลับไปเท่านั้น “มอร์นิ่งครับ”ผมใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่สองคืนแล้วจึงกลับมาที่บ้านพี่วศิน ใช้เวลายามค่ำคืนอย่างลึกล้ำกับเขาแล้วก็ต
รสขมสมัยประถมเคยโดนล้อกันไหมครับประมาณว่า เอชอบบี บีชอบซี ไม่ก็ เห้ย ไอ้บีมันชอบแกอ้ะ แล้วคนที่ล้อก็จะทำตากรุ้มกริ่มๆน่ารำคาญใส่ ตอนเด็กๆผมโดนบ่อยเพราะสนิทเล่นหัวกับเด็กผู้หญิงในห้อง แต่โตมาก็ไม่ได้เจออะไรแบบนั้นมาพักใหญ่แล้วเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันเลิกเห่อการละเล่นแบบนี้ไป ไม่ได้คิดเลยว่าจะมาเจออีกทีตอนจะสามสิบกับบรรดาคุณพี่วัยใกล้กลางคน มีลูกแล้วหนึ่ง เพิ่งเป็นหม้ายอีกหนึ่งไอ้สายตาของสองคนนั้นมันเกินไปป่าววะผมหรี่ตาตอนที่เดินเข้าร้านมาพร้อมพี่วศิน สีหน้าพี่มะลิกับพี่เจฟกะลิ้มกะเหลี่ยเกินทน แทบจะได้ยินเสียง วี้ดวิ่ว กริ๊วๆ อยู่ในหูแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าผมหลอนไปเองพวกเราทักทายและพูดคุยกันตามปกติ ผมถูกถามเรื่องที่ทำงานใหม่พอเป็นพิธี จนเบียร์แก้วที่หนึ่งผ่านไปผมก็ยังไม่เจอคำถามชวนกระอักกระอ่วนอย่าง พวกแกเป็นไรกันอะ? สักที ผมได้แต่นั่งระแวงคำถามเหล่านั้นจนสงบใจเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งพี่มะลิและพี่เจฟไม่ได้เอ่ยแซวอะไรก็จริง แต่สายตาของสองคนน
เมย 1สายน้ำจากฝักบัวเรนชาวเวอร์ไหลลงกระทบร่างสูงเป็นเสียงซัดซ่า มันกระทบผิวกายสีแทนแล้วไหลลงสู่พื้นห้องน้ำ เสียงเปาะแปะของสายน้ำแต่ละสายรวมกันเป็นเสียงดังต่อเนื่อง แม้สายน้ำจะกระทบผิวกายจนเกิดเสียงดังพอสมควรแต่ก็ไม่อาจพัดพาความหนักอึ้งกลางอกชายหนุ่มให้หายไปได้วศินเปลือยกายอยู่ใต้ฝักบัว เขายืนนิ่งให้สายน้ำพัดพาสิ่งสกปรกไหลลงท่อระบายน้ำไปตามแรงโน้มถ่วง ชายหนุ่มรับน้ำเย็นให้เปียกปอนไปทั้งกายอยู่เป็นหลายนาทีแล้วจึงเริ่มขยับมือชำระร่างกายไปอย่างที่ควรจะเป็นในภายหลังสายตาคนรักหมาดๆของเขามีคำถามและความหวาดระแวงแฝงอยู่เต็มเปี่ยม เขาไม่อาจสู้สายตานั้นจึงทิ้งอีกฝ่ายไว้กับความกังวลที่ข้างนอกแล้วขังตัวเองไว้ในห้องน้ำมาพักใหญ่วศินลูบหน้าลูบผมตัวเองอย่างแรง เขารู้ดีว่าการหนีออกมาแบบนี้ไม่อาจรั้งอะไรไว้ได้นานนัก ชายหนุ่มขัดถูเรือนกายกำยำของตนราวกับจะชำระจิตใจตัวเองไปด้วยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงปิดน้ำ ความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงดังต่อเนื่องของสายน้ำทันทีทันใด มันมาพร้อมก
เมย 2เมยเป็นลูกคนเดียว แต่มีน้าชายที่แก่กว่าสามปีอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ชีวิตลูกคนเดียวของเมยจึงไม่ต่างจากคนที่มีพี่น้องมากนัก พอเข้าโรงเรียนแชมป์ก็สะดวกให้เมยเรียกตัวเองว่าพี่มากกว่า เมยจึงไม่ได้เรียกแชมป์ว่าน้าแชมป์อีกนับแต่นั้นแชมป์ชอบเล่นเกมมาก ตอนที่นายถนอมซื้อเครื่องเล่นแฟมิคอมให้เป็นของขวัญวันเกิด แชมป์ก็มักจะชวนเมยมาเล่นด้วยกันเป็นประจำ แรกเริ่มเดิมทีเมยตื่นเต้นกับการเล่นเกมมาก แต่เมื่อเล่นมากเข้าแล้วเอาชนะแชมป์ไม่ได้เสียทีเด็กชายก็เริ่มเบื่อหากชีวิตของเด็กสองคนนี้คือการแข่งขัน สิ่งเดียวที่แชมป์เอาชนะเมยได้คงเป็นการเล่นเกม“เมยมาเล่นเกมกัน” เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเสียงดังมาเรียกหลานชายผู้ขลุกอยู่ในห้องครัวกับมารดา เมยเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเรียนภาษาไทยแล้วก็อุบลงไปอีก“ไม่เอา พี่แชมป์ชอบเล่นสูตรขี้โกง” เมยกล่าวหา เด็กชายไม่อยากพ่ายแพ้แล้วต้องฟังเสียงหัวเราะเยาะของแชมป์อีก&nbs
เมย 3เมยไม่เคยมีมื้อเช้าที่อึดอัดขนาดนี้มาก่อน เด็กหนุ่มพยายามตามไปอธิบายและปิดปากน้าชายแล้วหลังจากเกิดเรื่องแต่แชมป์กลับไม่ยอมเปิดประตูให้ เพียงส่งเสียงจากในห้องบอกว่าจะนอนแล้วก็เท่านั้น กระนั้นเมื่อวันใหม่มาถึง บนโต๊ะอาหารยามสายที่ประกอบไปด้วย แชมป์ เบน และเมย น้าชายคนนี้กลับเอาแต่พูดจ้อไม่หยุดแหม่มเดินมาเติมอาหารในสำรับสำหรับเด็กๆ ไข่เจียวร้อนๆถูกจัดในจานวางลงบนโต๊ะ เมื่อวางปุ๊บแชมป์ก็จิ้มช้อนเข้าไปตักไข่เจียวของโปรดทันที ชายหนุ่มดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษผิดกับเมื่อวานที่ทะเลาะกับนายถนอมเป็นฟืนเป็นไฟเธอสังเกตเห็นความผิดปกติในบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร“เพื่อนชื่ออะไรน่ะ” แชมป์หันไปทางเบนที่นั่งกินข้าวทีละน้อยเหมือนคนกินอะไรไม่ลง“ชื่อเบน” เมยตอบห้วนๆ“มาติวหนังสือกันเหรอ” ชายหนุ่มหันไปหัวเราะในลำคอกับเบนที่ไม่แม้แต่จะสบตาเขา “ไอ้เมยมันเก่งใช่ไหม ได้ที่หนึ่งตลอดเลยเชียวนา เก่ง
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้
Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l
จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั