อยากเป็นหมา
เคยเห็นคลิปหมาแมวในโซเชียลมีเดียไหมครับ ช่วงนี้ผมชอบดูคลิปสัตว์โลกคลายเครียดมาก ทั้งสัตว์ป่าสัตว์บ้าน อย่างของอินฟลูสายสัตว์เลี้ยงที่พาไปโชว์ตัวบ่อยๆก็ดูน่าจะเหนื่อยหน่อย แต่มันมีอีกแบบที่ทำคอนเทนต์สปาหมา ASMR เอาหมามานอนหน้ากล้องแล้วก็ขัดผิวสางขนทาครีมบำรุงโชว์ ไอ้แบบนั้นเนี่ย เห็นกี่ทีผมก็โคตรอิจฉาเลย แล้วคุณดูนั่นสิ คลิปเตรียมอาหาร บนจานหลุมแบนๆนั่นเต็มไปด้วยโปรตีน ผัก และธัญพืช แล้วยังมีแซลมอนชิ้นเบ้อเริ่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามอีก อาหารหมาจานนี้จานเดียวมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ผมกินมาทั้งสัปดาห์อีกมั้ง
ผมเป็นคนแท้ๆ วันวันหนึ่งผมได้กินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นแหละ จริงๆวัยใกล้สามสิบอย่างผมน่ะควรดูแลสุขภาพออกกำลังกายได้แล้ว เพื่อนวัยเดียวกันจูงมือกันเข้าคลาสพิลาทีส ปีนผา เข้ายิมกันหมด แต่อย่างผมนี่แค่หาเวลานอนได้ก็เก่งที่สุดแล้ว
ไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ กับเงินเดือนขี้ปะติ๋วแค่นี้ผมทำงานหนักเป็นวัวเป็นควายเลยแหละ
ผมสมัครงานเข้ามาเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ของบริษัทแฟชั่นขายปลีกเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในแผนกผมมีผมแค่คนเดียว ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้อง ความเป็นจริงที่เจอทำให้ผมต้องรับจบอยู่คนเดียวตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ยิ่งช่วงนี้การทำคอนเทนท์ด้วยรูปภาพไม่เพียงพอเพราะความนิยมในโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนไป ผมก็เลยต้องหัดตัดต่อคลิปสั้นและดูแลปัญหาจุกจิกเวลาไลฟ์สดขายของเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อก่อนหลังสองทุ่มเป็นเวลาที่แน่นอนแล้วว่าผมจะได้ไปนั่งผ่อนคลายที่ร้านคราฟท์เบียร์เจ้าประจำของผม แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ใกล้สามทุ่มแล้วผมยังนั่งหัวฟูอยู่กับน้องพนักงานไลฟ์สดอยู่เลย เสียงคุณเธอกดกระดิ่งกริ๊งๆทำเอาผมปวดประสาทแทบตาย
อยากลาออก
อยากเป็นหมาคนรวย นอกจากนั่งนอนทำตัวน่ารักไปวันๆก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
ระหว่างที่ผมไถฟีดไอจีดูคลิปหมาแมวไปเรื่อย น้องแอดมินข้างๆก็สะกิดผม “พี่หมิงๆ ขึ้นราคากับรหัสสินค้าล็อตนี้ใหม่ที ลูกค้าตามไม่ทัน”
ผมมองไปยังน้องนักขายหน้ากล้อง เธอหยิบชุดเดรสแขนสั้นสี่สีขึ้นราว ดวงตาของเธอส่งซิกให้ผมอย่างหนัก ผมถอนหายใจแล้วทำตามคำสั่ง
ไอ้ห่า น่าเบื่อชิบหาย
ผมหมุนคอเป็นวงกลม รอเวลาเลิกงานแล้วจะได้รีบบึ่งไปร้านคราฟท์เบียร์เสียที
.
ความสุขของผมอยู่ที่นี่
“ฮ้าาา มีแต่เบียร์ร้านพี่เตนี่แหละที่ทำให้สดชื่นได้”
ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นสูงหลังจากดื่มไปจนหมดแก้ว ผู้ชายหุ่นหมีเคราครึ้มหลังเคาน์เตอร์บาร์ยิ้มหัวเราะให้แล้วหันไปกดเบียร์จากแท็ปที่เรียงรายด้านหลัง ชายหนุ่มยื่นแก้วใบน้อยที่มีน้ำสีอำพันบรรจุอยู่เล็กน้อยให้ผม
“นี่ตัวใหม่พี่เพิ่งได้มา ตัวนี้เป็นซาวเออร์แบบที่หมิงชอบ ลองชิมดูสิ” พี่เตแนะนำ
ผมรับแก้วใบน้อยมาชิม รสชาติเปรี้ยวซ่าและกลิ่นหอมอวลอยู่ในปาก สายตามองเบอร์แท็ปหมายเลขแปดแล้วหันไปมองข้อมูลและราคาเบียร์บนกระดานดำเหนือบาร์ เห็นเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ของเจ้าแก้วนี้แล้วก็ต้องร้องเหวอ “เจ็ดเลยเหรอพี่! ทำออกมายังไงให้แทบไม่ติดขมเลยเนี่ย”
“เด็ดเนาะ” พี่เตพยักหน้า รับแก้วชิมคืนไปจากผม
“ของโคตรดี งั้นผมขอเบอร์แปดแก้วนึงครับ” ผมชูนิ้วชี้ ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่ดึกเกินไปสำหรับผมหรอก
“จัดไปน้อง”
พอรับแก้วก้านทรงสูงที่บรรจุน้ำสีอำพันประดับด้วยฟองขาวด้านบนมาได้ ผมก็ดมกลิ่นหอมๆของฮ็อปส์และซิตรัสพอเป็นพิธีแล้วจึงละเลียดชิมอย่างสุขใจ ร้าน at 91 Craft House เป็นร้านคราฟท์เบียร์เจ้าประจำที่ผมจะต้องแวะมาสัปดาห์ละสองสามครั้ง ตัวร้านตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเก่าแก่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า พี่เตเจ้าของร้านที่ชื่นชอบและหลงใหลในคราฟท์เบียร์มากๆได้รับมรดกเป็นบ้านเก่าจากคุณยายมา เจ้าตัวจึงรีโนเวทบ้านหลังนี้ให้เป็นทั้งที่พักและร้านคราฟท์เบียร์เล็กๆในตัว ส่วนผมเช่าอพาร์ตเมนท์ที่อยู่ถัดไปอีกสองสถานี เพราะร้านอยู่ใกล้และบรรยากาศก็ดี ร้านนี้จึงเป็นร้านประจำของผมหลังจากมาเพียงไม่กี่ครั้ง
“ช่วงนี้มาดึกนะหมิง เมื่อก่อนสองทุ่มก็ต้องมาประจำเคาน์เตอร์แล้ว” ผู้ชายใส่แว่นข้างๆผมถาม คนนี้คือพี่เจฟ หนึ่งในแก๊งขาประจำร้านเก้าหนึ่ง
“โดนยัดงานเละเลยพี่ อย่าเรียกผมว่ากราฟฟิคเลย ผมเป็นมากกว่านั้นเยอะ” ผมบ่น นึกถึงงานทีไรก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นทุกที
“อย่างนี้ต้องลาออกไอ้หมิง” พี่สาวที่นั่งอีกข้างของผมเชียร์ สาวสวยปากแดงคนนี้ชื่อพี่มะลิ หญิงสาวซดเบียร์ดำลงคออย่างป่าเถื่อน
“หางานใหม่ไหมละ งานดีๆมีอีกเยอะ แค่ต้องหาหน่อย” เสียงทุ้มแนะนำด้วยรอยยิ้ม พี่ชายผิวแทนคนที่นั่งข้างๆพี่เจฟอีกทีคนนี้เป็นพี่ใหญ่ของแก๊งเรา ชื่อพี่วศิน ปกติพี่เขาไม่ค่อยว่างมาสักเท่าไร โชคดีที่วันนี้เจอเขาอยู่ที่ร้านด้วย
“มาทำกับพี่ก็ได้นะ งานรายได้ดี มีอิสระ กำหนดได้ตามใจ” พี่มะลิหันมาขายของทีเล่นทีจริง ที่เธอเชียร์ให้ผมลาออกอย่างแข็งขันขนาดนี้ก็เพราะพี่มะลิลาออกจากงานประจำไปเป็นตัวแทนประกันชีวิตแล้วรุ่งสุดๆน่ะสิ
“รีครูทน้องอีกแล้ว มีช่องไม่ได้เลย” พี่เตแซว
“โอกาสดีๆพี่พร้อมเสนอเสมอค่ะ” พี่มะลิหัวเราะ จริงๆพี่สาวคนนี้รู้ดีว่ามันไม่ใช่แนวผม แต่ก็อดหยอดไม่ได้
“ไว้พี่ลองดูออฟเฟอร์ที่เหมาะกับเราให้เอาไหม” พี่วศินเสนอต่อ พี่ชายใหญ่คนนี้เป็นหัวหน้าทีมเทคในบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังจึงพอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง ผมซาบซึ้งกับความหวังดีของเขาจริงๆ
“ขอบคุณครับ แต่บอกตรงๆนะ ผมอยากลาออกมานอนเฉยๆมากกว่าหางานใหม่” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน อยากจะรับความหวังดีของพี่วศินเอาไว้แต่ก็ขอวางไว้ตรงนั้นแหละ เป็นไปได้ผมก็อยากจะอยู่ว่างๆไปเลยสักครึ่งปีแล้วค่อยหางานใหม่ แต่ผมต้องเก็บเงินไว้ใช้สำหรับช่วงพักตรงนั้นก่อนก็เลยไม่ได้ลาออกตามที่ฝันสักที
“คนบ่นอยากลาออกมันไม่ค่อยจะได้ออกกันหรอก” พี่เจฟหันไปคุยกับพี่เต พี่เตที่กดเบียร์ใส่แก้วสำหรับลูกค้าโต๊ะอื่นพยักหน้าหงึกหงัก
“เห็นมาเยอะแล้วไอ้แบบนี้ อยู่ยาวยันห้าสิบนู่น”พี่เตเสริม
“พวกพี่แช่งผมอ้ะ” ผมอยากจะร้องไห้
แต่ที่พวกพี่เขาแซวก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงสักเท่าไร ผมอยากลาออกแต่ก็เก็บเงินไม่ได้สักที พอเงินเดือนเข้าผมก็เอามาละลายกับค่ากินค่าอยู่ค่าบัตรเครดิต โดยเฉพาะค่าคราฟท์เบียร์ร้านพี่เตนี่แหละตัวปัญหา ให้เทียบกับเบียร์นายทุนแล้วคราฟท์เบียร์แพงกว่าหลายเท่ามาก แต่รสชาติความอร่อยของมันก็เยี่ยมยอดกว่าเป็นไหนๆ ปัญหาหลักที่แท้จริงจึงเป็นความเครียดจากงานที่ทำให้ผมลดละเลิกความบันเทิงไม่ได้สักที จะให้เก็บตัวเก็บเงินผมก็อยากทำ ติดอยู่ที่ชีวิตมันเศร้าเกินจนสุดท้ายผมก็เอาเงินออกมาละลายกับร้านเหล้าเสียเกือบหมดทุกเดือน
จริงๆถ้าได้งานใหม่ที่ผ่อนคลายกว่าและเงินดีกว่าอย่างที่พี่วศินว่ามันก็ดีและสมเหตุสมผลกว่ามาก แต่ผมกลัวงานใหม่ที่หาเจอจะแย่กว่าเดิมน่ะสิ มันมีงานดีๆสำหรับกราฟฟิคดีไซน์เนอร์ดาดๆอย่างผมอยู่จริงหรือ ผมไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
ผมคิดเรื่องนี้วนไปวนมาจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากอยากเป็นหมา
“อยากเป็นหมาอ้ะ” ผมรำพึงทั้งหน้าเศร้า
“มันเอาอีกแล้ว” พี่เจฟหัวเราะเสียงสูง
“ไอ้หนุ่มนี่ดูภูมิฐานหน้าตาก็ดีแท้ๆ” พี่มะลิตบบ่า มองผมหัวจรดเท้าเหมือนมองอะไรสักอย่างที่เสียของ “ดันมีความฝันสูงสุดอยากเป็นหมาซะงั้น”
“ไม่ใช่หมาธรรมดาสักหน่อย ต้องเป็นหมาคนรวยด้วย” ผมแย้ง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ตัวเองดูดีขึ้นสักเท่าไร
“กูขอให้มึงสมหวังนะไอ้น้องน้อย” พี่เจฟตบบ่าแล้วจับผมโยกไปมาเหมือนปลอบเด็กเล็กทั้งที่ผมตัวสูงตั้งร้อยแปดสิบ ส่วนพี่วศินที่นั่งถัดไปแค่เท้าคางแล้วยิ้มขำเท่านั้น
ทุกคืนวันที่แสนสาหัสของผมผ่านไปได้ก็เพราะร้านนี้และคนกลุ่มนี้ ความสัมพันธ์กลางคืนที่แสนสบายใจ เป็นเหมือนเซฟโซนของผมในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวาย
ผมเป็นคนผิวขาวตามประสาลูกหลานคนจีน หลายคนที่เพิ่งรู้จักผมครั้งแรกก็มักจะทักว่าผมเป็นคนเหนือหรือเปล่า ผมก็เป็นคนเหนือจริงๆนั่นแหละ เหนือกรุงเทพเยื้องไปทางซ้ายน่ะ ใช่แล้ว หมิงเป็นชาวนนทบุเรี่ยนโดยกำเนิดครับ
ในวันที่ผมเพิ่งจะอายุครบยี่สิบเก้า พ่อกับแม่ผมก็เป็นข้าราชการเกษียณวัยเจ็ดสิบแล้ว ผมเป็นลูกหลงจากพี่น้องสามคน แม่คลอดผมตอนอายุสี่สิบกว่า โชคดีที่ผมเกิดมาแข็งแรงดี แกก็เลยไม่มีอะไรให้เครียดมากจนเป็นคนแก่ที่ยังแข็งแรงในทุกวันนี้นั่นแหละ พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านเดิมที่นนทบุรี ทำสวนเล็กๆก๊อกๆแก๊กๆไปตามประสา ว่างๆก็ตีตั๋วไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน มีชีวิตที่แสนสุขดี ส่วนพี่ชายคนโตและพี่สาวของผม ทั้งคู่ลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว พี่ชายวัยสี่สิบสองของผมเป็นเขยร้านขายวัสดุก่อสร้างอยู่ที่บางใหญ่ ส่วนพี่สาววัยสามสิบเก้าเป็นฝ่ายกฎหมายของโรงงานไฟฟ้าอยู่ที่ระยอง ทั้งสองมีงานมั่นคงและประสบความสำเร็จในชีวิตดี พ่อแม่ผมเบาใจ ผมก็เบาใจ ใช้ชีวิตลอยชายมีความสุขไปวันๆโดยไม่ต้องกดดันจากความคาดหวังของใคร และเพราะผมลอยชายให้แม่เลี้ยงบ้างให้พี่เลี้ยงบ้างมาจนอายุยี่สิบห้า พอถึงปีที่ยี่สิบหก พวกท่านเลยบอกว่าพอกันที ตั้งใจทำงานเก็บเงินเลี้ยงตัวเองให้ดีสักทีเถอะ ต่อไปนี้จะกลับไปขอเงินที่บ้านไม่ได้แล้ว
มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ
ผมเข้าใจพวกท่านนะ
แต่ไม่ค่อยเข้าใจโชคชะตาของตัวสักเท่าไร เมื่อหนึ่งเดือนต่อมาผมตกงาน
ก่อนหน้านี้ผมทำงานในเครือโรงแรมใหญ่ เพราะสวัสดิการแสนดีผมก็เลยใช้เงินเก่งและเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น ผมน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ไลฟ์สไตล์อู้ฟู่ที่สุดในรุ่นตอนช่วงอายุยี่สิบห้าแล้ว ใช้ชีวิตเหมือนฝันแบบนั้นได้สองสามปี โรงแรมก็จำต้องเชิญผมออกเพราะวิกฤตโควิดในช่วงปี 2020 ตอนนั้นตัวผมตุปัดตุเป๋ หางานใหม่อย่างบ้าคลั่งเพราะเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่คือเงินค่าชดเชยจ้างออกจากทางโรงแรม ได้ลองทำงานสายกราฟฟิคเป็นลูกน้องให้รุ่นพี่มหาวิทยาลัยอยู่ครึ่งปีแกก็จ้างต่อไม่ไหว หลังจากนั้นจึงลองมาสมัครงานกับที่ทำงานปัจจุบัน เป็นโอกาสเดียวที่ผมได้รับในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่ามันจะกลายเป็นนรกในอีกสองสามปีต่อมาที่พอคิดจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว
หลายปีมานี้ถึงจะขลุกขลักอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่ได้กลับไปขอเงินที่บ้านอีกเพราะผมไม่ถึงกับขาดเงินเสียทีเดียว ยังไงผมก็รับปากพวกท่านไว้แล้ว ผมเลยใช้ชีวิตเดือนชนเดือนเรื่อยมานับแต่นั้น เก็บเงินได้บ้างนิดหน่อย แต่พออยากเอาไปใช้กับอะไรผมก็ใช้ เรียกได้ว่าเงินเก็บน้อยนิดของผมเมื่อสามปีที่แล้วมีเท่าไร วันนี้มันก็มีเท่าเดิมนั่นแหละ
เฮ้อ ไม่ใช่เรื่องที่จะอวดกับใครได้หรอก
ก็ผมมันลูกคนเล็กที่ถูกโอ๋มาตลอดนี่นา
ผมจะพยายามกระเสือกกระสนกับงานนี้ต่อไปอีกหน่อย ผมเชื่อว่าในอนาคตมันยังมีเรื่องดีๆรออยู่ เช่นใครสักคนที่พร้อมจะเลี้ยงผม(ฮา) แต่อย่างน้อยถ้าสุดทางแล้วผมไม่เหลืออะไรจริงๆ ผมก็ยังมีบ้านให้กลับอยู่ดี อย่างผมถือว่าเกิดมาโชคดีแล้ว
เสียงโทรศัพท์และเสียงพูดคุยดังระงมไปทั้งออฟฟิศ บอสใหญ่ที่เป็นคนจีนพูดอะไรสักอย่างกับผู้จัดการฉอดๆ ไม่นานผู้จัดการก็เดินมาหาผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แคมเปญเดือนหน้า บอสจะเลื่อนคอลเล็คชั่นบลอสซั่มที่เตรียมไว้แล้วออกไปก่อน ช่วงนี้กระแสวินเทจมาแรง บอสจะดันยอดขายด้วยคอลเล็คชั่นวินเทจอันใหม่ ชุดกับนางแบบพร้อมแล้ว บ่ายนี้หมิงไปสแตนบายที่กองกับช่างภาพนะ”
ผมอ้าปากค้าง
“พี่ตาลบอกผมหน่อย ว่าผมไม่ต้องทำใหม่ทั้งหมด” ผมพยายามหลอกตัวเอง
พี่ตาลไม่ยิ้มสักนิดตอนที่บอกผม “คอลเล็คชั่นวินเทจสี่สิบสี่ชุด มีแยกชิ้น กับเดรสอีกห้า พี่ขอภาพนิ่งชิ้นละสามมุมมอง ไซส์ชาร์ตประกอบเหมือนเดิมนะเดี๋ยวน้องแอดมินฟอร์เวิร์ดชีทดีเทลของแต่ละชุดไปให้ แล้วก็ขอแบนเนอร์ประจำคอลเล็คชั่นมาให้พี่สักสองอัน เดี๋ยวพี่ส่งบรีฟไปทางไลน์ ภาพนางแบบทั้งหมดพี่ขอภายในวีคนี้ มีฟอลโล่วอัพทุกวัน ส่วนแบนเนอร์เป็นไปได้พี่ขอดราฟท์ภายในวันนี้ ดึกหน่อยก็ได้ เรามีเวลาน้อย ช่วยกันหน่อยนะ”
ผู้จัดการหน้าตายคนนั้นพูดเสร็จแล้วก็เดินไปสั่งงานคนอื่นต่อ ผมมองผนังออฟฟิศด้วยความสิ้นหวัง ด้านนอกผนังกระจกเป็นมุมมองกรุงเทพมหานครจากบนตึกสูงชั้นยี่สิบห้า ผมเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าถ้าวิ่งชนกระจกออกไปเลยผมจะมีปีกบินแล้วได้เป็นอิสระสักทีหรือเปล่านะ แต่กราฟฟิคแรงน้อยอย่างผมไม่มีแรงที่ไหนจะไปชนกระจกนิรภัยให้แตกหรอก ผมทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามสั่งต่อไปเท่านั้นแหละ ว่าแล้วผมก็เปิดโปรแกรมขึ้นมาร่างแบนเนอร์ไปผรุสวาทไอ้บอสหน้าข้อศอกหมาในใจไปพลาง ตอนนั้นแจ้งเตือนจากพี่ตาลก็กระพริบขึ้นบนหน้าจอมือถือ
“ขอเป็นวิดีโอสั้นๆชุดละหนึ่งด้วยนะหมิง”
ผมไม่ได้ไปที่ร้านเก้าหนึ่งมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ อาหารหลักของผมเป็นข้าวเวฟกับเครื่องดื่มชูกำลัง ส่วนการนอนไม่จำเป็นอีกต่อไป มีข้อความจากพี่ๆชาวแก๊งส่งความคิดถึงมาให้ใจชื้นบ้าง แต่ผมขยับตัวไปไหนนอกจากหน้าคอมตัวเองไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าผมระลึกได้ว่าตัวเองเป็นพนักงานกินเงินเดือนแล้ว ผมคงขนเครื่องนอนมานอนที่ออฟฟิศให้แล้วรู้แล้วรู้รอดเหมือนสมัยมหาวิทยาลัยไปแล้ว
กลับถึงอพาร์ตเมนท์ ผมลากสังขารยมๆเข้าห้องน้ำ รีบอาบส่งๆแล้วก็โยนตัวเองลงบนเตียง งานที่ได้รับมอบหมายเข้าขั้นเป็นไปไม่ได้แต่ผมก็ทำให้มันเป็นไปได้เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่พี่ตาลบอกให้แก้ผมก็แก้แล้ว เหลือแค่รออนุมัติพรุ่งนี้ ผมก็จะจบไปอีกงาน ก่อนสลบไสล ผมอวยพรขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี
แต่พรของผมไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนประทานให้ เช้าวันต่อมาที่ออฟฟิศบอสใหญ่ชาวจีนคนนั้นปากระดาษทั้งกองใส่หัวผมตอนที่ถูกเรียกเข้าไป
ดวงตาผมว่างเปล่า สมองมึนเบลอไปหมด
แกด่าผมยาวเป็นชุดด้วยภาษาจีน ผมฟังไม่ออกแต่จับน้ำเสียงได้ น้องล่ามข้างๆไม่กล้าแปล ได้แต่ยืนหลบตาผมอยู่ตรงนั้น
แผ่นกระดาษที่ถูกปาใส่ร่วงลงพื้น ทั้งหมดเป็นพริ้นท์เอาต์งานที่ผมอดตาหลับขับตานอนทำมาทั้งสัปดาห์ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันผิดพลาดตรงไหนเพราะฟังไม่ออก ล่ามที่ตะกุกตะกักไม่แปลความครบๆอย่างใจบอสเลยโดนตวาดไปด้วยอีกคน หญิงสาวสีหน้าไม่ดีเอาซะเลย
“บอสบอกว่า… สไตล์ที่พี่หมิงเลือกใช้มันไม่ช่วยส่งเสริมสินค้าคอลเล็คชั่นนี้ของเราค่ะ ที่บอสอยากได้คือแบบนี้” ว่าแล้วเธอก็ยื่นกระดาษปึกบางๆให้ผม ในนั้นเป็นเรฟเฟอเรนซ์สไตล์แฟรี่ที่ใครบางคนแค่จับภาพหน้าจอช่องเสิร์ชของพินเทอเรสแล้วปริ๊นท์ออกมา
ผมก้มหยิบกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาแผ่นหนึ่งวางบนโต๊ะผู้บริหาร บนกระดาษแผ่นนั้นมีลายเซ็นที่คุ้นเคยกำกับไว้อยู่ “แต่ดราฟท์สไตล์ที่ผมทำพวกนี้ บอสอนุมัติให้ผมทำแล้วนะครับ”
ผมยื่นกระดาษแผ่นนั้นไปตรงหน้าบอส เขามองมันอย่างไม่ยี่หระ
ปกติผมไม่ทำแบบนี้หรอก ผมไม่โต้กลับ ไม่ขัดแย้ง ก้มหน้าก้มตาทำตามสั่งไปเพราะมันง่ายกว่า แต่ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะมาถึงลิมิตของตัวเอง
เขาดีดกระดาษแผ่นนั้นกลับมาทางผม พูดภาษาจีนสองสามประโยค น้องล่ามแปลโดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ
“บริษัทเราทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด และการตัดสินใจของบอสวันนี้ย่อมดีกว่าวันก่อน เรายังเหลือเวลาก่อนแคมเปญประจำเดือนอีกนิดหน่อย บอสต้องการให้พี่ไปทำมาค่ะ แกต้องการตัวอย่างสักสองสามชุดก่อนภายในสี่โมงวันนี้ แล้วแกจะพิจารณาอีกทีค่ะ”
“ครับ”
ผมรับกระดาษปึกนั้นมาแล้วเดินกลับโต๊ะตัวเองโดยไม่ต่อรองอะไรอีก
ผมฝากสั่งกาแฟกับน้องแอดมินที่อาสาลงไปซื้อให้ทุกคน แล้วก็นั่งออกแบบชิ้นงานใหม่อีกครั้งตามบรีฟและเรฟที่บอสให้มา พี่ตาลมองผมด้วยความลำบากใจนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จู่ๆก็เหมือนสมองปลอดโปร่ง ทุกสิ่งที่เคยขมุกขมัวจางหายไปจากความคิดของผม ไอเดียต่างๆพรั่งพรู ผมขยับตกแต่งมันลงบนเฟรม ตั้งใจทำงานใหม่อย่างสุดความสามารถ เพื่อนร่วมงานมองมาทางผมด้วยความแปลกใจ มันก็ดูประหลาดอยู่แหละที่คนที่เพิ่งโดนซีอีโอด่ากลับมานั่งตั้งใจทำงานไม่ทุกข์ร้อน
วันนี้ทั้งวันผมอารมณ์ดี เป็นมิตรกับทุกคน พอถึงเวลาส่งงานผมก็ปริ๊นท์ไปนำเสนอเพราะซีอีโอไม่ชอบเช็คงานจากในคอม (ทั้งๆที่สุดท้ายเราต้องอัปโหลดภาพทั้งหมดลงไปขายในแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์)
นายใหญ่ชาวจีนตรวจตัวอย่างที่ผมให้ไป แกขมวดคิ้วโคลงศีรษะไปมา เคาะปากกากับโต๊ะดังก๊อกๆไม่หยุด ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของเราที่ผ่านการแปลภาษาแล้ว
“อย่างที่คิดเอาไว้ นายมันไม่เอาไหนจริงๆหมิง” นายใหญ่บ่น ปลายปากกาจิ้มลงบนชิ้นงานใหม่ “นี่มันเหมือนกับเรฟที่ฉันให้ไปที่ไหน”
ผมอดทน ไม่ได้ตอบอะไร
“ดูท่าการมอบงานใหญ่ให้นายจะเป็นฉันที่คาดหวังสูงเกินไปจริงๆ” เขาไม่เคยมองตาผมเวลาพูด เอาแต่จ้องกระดาษพลิกไปพลิกมาเสียงดังจนมันเป็นรอยยับ “อันนี้ใช้ไม่ได้ เอาแบบเก่านั่นแหละดีกว่า เรียกตาลมาซิ”
บนโต๊ะมีงานชิ้นเก่าที่เคยโดนปาทิ้งลงพื้นวางรอไว้แล้ว ใครบางคนรวบรวมมันจัดเป็นชุดไว้เรียบร้อย พอพี่ตาลเดินเข้ามาบอสก็ยื่นกระดาษปึกนั้นไปให้พี่ตาล
“เลือกใช้สไตล์นี้แหละ เช็คดีเทลให้ดีๆอย่าพลาดก่อนอัพโหลด สั่งการต่อได้เลย” ในที่สุดซีอีโอคนประเสริฐก็หันมาทางผม “ส่วนนายออกไปได้”
ผมก้มหัวทีหนึ่งแล้วก็เดินออกมา
ชีวิตกราฟฟิคก็เป็นแบบนี้แหละครับ งานโดนปาลงถังขยะ แล้วสุดท้ายก็เลือกจากในถังขยะขึ้นมาอีก สั่งแก้งานไปสิบดราฟท์ สุดท้ายเลือกดราฟท์แรก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมชินแล้วแหละ
ผมไม่ได้เดินกลับไปที่โต๊ะ แต่เดินตรงไปที่ห้องเอชอาร์ ผมเคาะประตูสามครั้งเบาๆแล้วเปิดเข้าไป เพื่อนร่วมงานที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดีเพราะเข้ามาพร้อมกันเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวยิ้มแหย
“เอาจริงแล้วสินะ…”
“อือ กูขอลาออก” ผมพูดเสียงเรียบ
ไม่ล้อเล่น ผมให้เพื่อนเอชอาร์ช่วยจัดการเรื่องลาออกของผมให้เร็วที่สุด ผมใช้วันลาพักร้อนที่เหลือทั้งหมด พี่ตาลอนุมัติให้โดยไม่ได้ยื้ออะไรผมมาก เธอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทที่ผ่านมาแล้วก็อวยพรขอให้ผมโชคดี วันถัดมาเจ้านายใหญ่คนนั้นที่ต้องเซ็นให้ผมเป็นคนสุดท้ายก็ตวัดปากกาอนุมัติง่ายๆไม่ได้มีเรียกผมไปพูดคุยหรืออะไรแต่อย่างใด แค่ฝากพี่ตาลมาแจ้งให้ผมลาสเดย์ได้เลยวันนี้โดยไม่ต้องรอกำหนด 30 วันตามระเบียบบริษัทเพียงเท่านั้น เพื่อนเอชอาร์นินทาให้ผมฟังว่าบอสเห็นว่าผมหมดใจก็เลยไม่รู้จะให้อยู่ต่อไปทำไมจึงอนุมัติให้ออกได้ทันที ผมยักไหล่ เหนื่อยจะทำความเข้าใจเจ้านายเจ้าอารมณ์ ขั้นตอนการลาออกจากที่ทำงานจบลงง่ายๆในวันเดียว ใจผมเคว้งคว้างนิดหน่อยที่ลาออกมาโดยไม่มีอะไรรองรับ ผมเก็บข้าวของแล้วร่ำลาเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันอยู่บ้าง ผมโกหกทุกคนไปว่าได้งานใหม่แล้วเพราะไม่อยากตอบคำถามจุกจิก ทุกคนที่เห็นสภาพผมต่างบอกว่าดีแล้วและอวยพรให้ผมโชคดี ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากออฟฟิศตั้งแต่พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน อากาศยามบ่ายถึงจะร้อนแต่ก็สดชื่นเพราะผมได้หายใจเต็มปอดสักที ใจหายนิดหน่อยแต่ไม่อาวรณ์เล
เมาเป็นหมา พูดถึงพี่วศิน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเป็นหัวหน้าในฝันของใครหลายๆคน เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ไม่ค่อยจะดุอะไร พึ่งพาได้ แล้วก็ตั้งใจรับฟังเราอยู่เสมอ พร้อมเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เราทุกครั้งที่เจอปัญหาอีกต่างหาก (แม้บางทีผมจะแค่บ่นเฉยๆก็ตาม) ก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีแสนอบอุ่นในฝันของพนักงานกินเงินเดือนอย่างเรานั่นแหละ ผมเชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากมีสามีอย่างเขา นานมาแล้วผมเคยถามเขาเรื่องแฟนแต่เขาก็บอกว่ายังไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะรอดเป็นโสดมาได้จนอายุปานนี้ ผมมักจะแซวว่าเขาแก่เป็นลุงอยู่บ่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอาวุโสที่สุดในกลุ่มเฉยๆ จริงๆเขาอายุแค่สามสิบแปดเท่านั้นเอง ทั้งที่เขาทำงานสายเทคที่ต้องวิ่งตามความรวดเร็วของเทคโนโลยีให้ทันอยู่เสมอ แต่พี่แกกลับตามกระแสอะไรในอินเตอร์เน็ตไม่ทันสักอย่าง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะแซวพี่วศินบ่อยๆ และเมื่อเทียบกับอายุที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนของเขา เขาดูแลตัวเองได้ดีมาก ร่างกายของเขากำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิดกับพี่ชายคนโตของผมที่ลงพุงไปแล้วเรียบร้อย ผมรู้จักแขนล่ำๆที่เผลอไปกอดตอนเมาอยู่บ่อยๆนั่นดี แต่ผมเพิ่งจะรู้เอาวันนี้ว่าเขาถึงขั้นมีซิกแพ็ค มี
เจ้านาย ป๊อก “โอ๊ย!” ผมโดนดีดหน้าผาก ความเจ็บทำให้ผมคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ “พี่วศิน เจ็บนะ!” “พี่ก็เจ็บเหมือนกัน” ตอแหล คนใจดีก่อนหน้านี้หายไปไหนวะ ผมโวยวาย “เจ็บอะไร ดีดผมแล้วพี่เจ็บอะไร” “เจ็บใจ” เขาตอบหน้านิ่งๆ “ขอร้องเลย” ผมทำหน้าเอือมกลับไปให้เขา มุกน้ำเน่าเหี้ยอะไรนี่ “...” “...” เรานั่งจ้องตาเงียบๆกันสักพัก เขายังยึดข้อมือผมเอาไว้อยู่ ดวงตาสีดำกดดันจนผมต้องหลบตาสารภาพบาป “เราก็แค่เล่นกันตอนเมาไม่ใช่เหรอ” พี่วศินถอยกลับไปนั่งตามสบาย เขาทำหน้าบึ้ง “หมาขี้โกหก” “ก็ผมสนุกเกินไปหน่อย” ผมเถียงข้างๆคูๆ “พี่จะเลี้ยงผมจริงๆรึไงเล่า” “เลี้ยงได้สบายมาก” เขายืนยัน “ไม่เอาแล้วเหรอเจ้านายรวยๆน่ะ” “เอา” ไอ้ห่า สัญชาตญาณไวกว่าสมองสุดๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเขา บอกไม่ถูกว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่แต่พี่วศินมองแล้วเผลอยิ้มออกมา “แล้วจะแกล้งลืมทำไม” ป๊อก
พี่ขออย่างเดียว ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้านายใจดีมีฐานะ ชีวิตในฝันของผมมันง่ายแค่นี้เอง จากฝันลมๆแล้งๆ ของคนขี้บ่น สุดท้ายจับพลัดจับผลูจนเป็นจริงขึ้นมาได้แบบงงๆ แต่ถึงกระนั้น พอผมเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะสุนัขวันแรกก็โดนเจ้าของทิ้งให้เฝ้าบ้านเสียแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะนอนตื่นสายอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่พี่วศินเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นไปกินข้าวเสียก่อนก็เลยต้องตื่น เขาทำอาหารเช้าง่ายๆไว้ให้ อา… เลี้ยงดียิ่งกว่าผมใช้ชีวิตอยู่เองจริงๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีโจ๊กหมูส่งกลิ่นหอม พี่วศินก็เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้านแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ทับด้วยสูท ผมสั้นสีดำที่ปกติมักจะปล่อยไว้ตามสบายก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ดูเนี้ยบกว่าปกติที่ผมเคยเห็น “นี่พี่ทำเองเลยเหรอ” ผมก้มมองชามโจ๊กบนโต๊ะอาหาร “พี่ซื้อมาน่ะ” เขาเฉลย “อ๋อ” ผมไม่แปลกใจ “ส่วนมื้อกลางวันอยากกินอะไรสั่งเอานะ” พี่วศินพูดพลางยื่นบัตรแข็งใบหนึ่งวางบนโต๊ะข้างๆชามโจ๊ก “ใช้บัตรพี่ได้เลยตามสบาย” “โห
กายภาพล้วนๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไ
เผยพี่มะลิเคยแนะนำลูกสาวให้พวกเรารู้จักครั้งหนึ่ง เด็กหญิงมีชื่อว่ามานี อายุแปดขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สามมานีเติบโตมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณตาคุณยายเป็นอีกกำลังสำคัญ พี่มะลิไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของมานีให้ฟัง พวกเราเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแค่มานีเป็นเด็กโตเร็วที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม เด็กหญิงเชื่อว่าตัวเองโตพอดูแลตัวเองได้แล้ว และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดูแลคุณแม่ที่ทำงานสายตัวแทบขาดคนเดียวของเธอด้วยผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่มะลิถึงออกมาเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ได้บ่อยทั้งที่มีลูกเล็ก พี่มะลิส่ายหน้าแล้วเล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจกึ่งหวั่นใจ“มานีบอกว่าแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ มานีจะดูละครกับคุณยาย ดูยัยเด็กนี่พูดสิ” พี่มะลิหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเครียดดี “ตอนขายประกันใหม่ๆพี่นัดลูกค้าช่วงค่ำถึงดึกบ่อย มัวแต่ทำงานไม่ลืมหูลืมตา รู้ตัวอีกทีมานีก็ชินแล้วที่พี่ไม่อยู่บ้านเวลานี้ พอพี่กลับไปหาลูกลูกก็บอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ มานีไม่เหงา ว่างั้นแน่ะ”“โคตรเก่ง” ผมจุปากชม “แต่จริงๆ มานีอาจจะอยากให้พี่อยู่หรือเปล่า”“พี่เคยอยู่แล้ว” ใบหน้าพี่มะลิมีร่องรอยดำทะมึน เธอกระดกเบียร์ดำเข้าไปอีก “
มารร้ายมันใหญ่อย่างที่ผมคิด สีออกคล้ำกว่าผิวกายเขาเล็กน้อย ครั้งก่อนผมขัดอกขัดใจที่โดนจับปอกจนล่อนจ้อนอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นอะไรๆของอีกฝ่ายสักนิด แต่ครั้งนี้มันเด้งผึงอยู่ตรงหน้าเต็มๆตาแล้ว ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ความร้อนแนบอยู่ข้างแก้มผม ผมกุมมันเอาไว้แล้วแลบลิ้นเลียจากโคน พี่วศินเป็นคนที่อุณหภูมิร่างกายอุ่นกว่าชาวบ้าน เจ้าตรงนี้จึงร้อนกว่าใครๆเช่นกัน ปลายลิ้นผมฉวัดเฉวียนหยอกล้อตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกับแมลงน่ารำคาญ พี่วศินขมวดคิ้วอย่างขัดใจอยู่บนนั้น ผมอมยิ้มมองเขาแล้วจึงครอบริมฝีปากลงไป“หมิง…” เขาครางเสียงต่ำจริงๆแล้วอวัยวะของคนมันไม่มีรสชาติอะไรหรอก แต่ผมดูดกลืนมันราวกับเอร็ดอร่อยเต็มที ลิ้นของผมลากไปรอบๆความอบอุ่นในปากในขณะเดียวกันกับมือที่ขยับขึ้นลง พี่วศินก้มมองผมเสมือนว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ผมเอียงคอสบตาเขาแล้วดันส่วนปลายให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นจนถึงคอ ดูดมันเหมือนกับไอศกรีมแท่งหนึ่งแล้วจึงดึงออกมา เมื่อหัวหยักสัมผัสกับริมฝีปากและลิ้นเรียวผมก็ดันมันกลับเข้าไปในคออีก สลับไปมาอยู่เช่นนั้นผมทำงานขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อสนองราคะของตัวเองเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทื
ตามรังควานผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าการตื่น เรียกว่าฟื้นจะเหมาะสมกว่าร่างกายผมร้าวระบมเหมือนเพิ่งไปปั่นจักรยานบนเขามาสามสิบกิโลเมตรโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม ผมไม่อยากจะขยับตัวแม้สักมิลลิเมตรแต่ก็ต้องฝืนขยับเพราะปวดฉี่ ผมมองไม่ออกว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะม่านคุณภาพดีของโรงแรม แสงสว่างพยายามแหวกม่านหนามาให้ถึงเตียงอย่างสุดความสามารถแต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนอยู่บนพื้นเป็นเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เท่านั้น ผมค่อยๆกระดิกร่างกายที่อ่อนล้าทีละส่วนแล้วขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง ตอนที่ยันแขนตัวเองเพื่อลุกขึ้นจึงเพิ่งสังเกตว่าความหนักหน่วงที่ถ่วงร่างกายผมเอาไว้ไม่ใช่เพียงความอ่อนล้า แต่เป็นแขนแข็งแรงอีกข้างที่พาดไว้บนเอวผมจากด้านหลังผิวสีแทนของพี่วศินตัดกับหน้าท้องขาวๆของผม บนหน้าท้องขาวมีรอยจูบและรอยอื่นๆฝากเอาไว้อย่างน่ากระดาก พี่วศินที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังยังคงนอนหลับลึกอย่างเป็นสุข เห็นเขาแล้วผมก็อดหงุดหงิดนิดๆ ไม่ได้ผมลอดตัวออกมาจากวงแขนของพี่วศินอย่างยากลำบาก ตอนที่ก้าวถึงพื้นได้ร่างกายผมก็โอนเอน เซถลาแทบคว่ำเพราะขาไม่มีแรง ด้วยเหตุนั้นผมจึงเท้าแขนกับผนังห้อง พยุงพาตัวเองไปถึงห้องน้ำในที่สุดทุกก้าว
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้
Specialty Coffee ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยจุมพิตที่แก้มขวา เมื่อลืมตาดูก็เห็นพี่วศินอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทางแล้ว ผมคิดว่าตัวเองตื่นสายจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ทว่าความปวดร้าวที่บั้นท้ายร่วมกับฝ่ามือใหญ่ของพี่วศินกลับยันกายผมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเก่า “นอนเถอะเจ้าหมา เดี๋ยวพี่ไปที่ดินเอง”ผมยังเมาขี้ตา กึ่งเป็นห่วงกึ่งดีใจจึงจับมือเขาเอาไว้ “จะดีเหรอ”“ดีสิ พี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” เขาว่า “ให้หมิงพักดีกว่า เดี๋ยวจะสะบักสะบอมเกิน”“รู้ตัวเหมือนกันนะว่าเล่นผมซะเยิน”“ก็เราชอบไม่ใช่เหรอครับ”“ชอบที่สุด” ผมยิ้มเผล่ทั้งที่ตายังปิด&l
จันทร์กระเพื่อม“ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ… พี่จะได้เสร็จเร็วๆไง”เด็กตรงหน้าเอ่ยวาจายั่วเย้าพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วยวน ความซุกซนในแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้วศินรู้สึกเหมือนแก่ลงสิบปีเขาอายุแค่สามสิบแปด อย่างเขาไม่อาจเรียกได้ว่าแก่ ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มากแท้ๆ แต่ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆก็ล้วนแต่พูดว่าตนเองรู้สึกแก่กันทั้งนั้น เขาตามกระแสที่ชาวบ้านคุยกันก็ไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเมื่อคบหาสมาคมกับเด็กรุ่นน้อง การเป็นพี่คนโตในที่ทำงานก็ยิ่งกล่อมให้เขาเข้าใจว่าตัวเองแก่อย่างที่ปากว่าจริงๆไปอีกแล้วการคบหาดูใจกับคนที่อายุน้อยกว่าเก้าปีเป็นอย่างไรงั้นหรือก็คงคล้ายๆกับการถูกแวมไพร์น้อยดูดเลือดกระมังชีวิตที่เคยนิ่งสงบเพราะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนอยู่ตัวพอประมาณพลันถูกความสดใสมีชีวิตชีวาของเจ้าหมาเด็กเข้ามาเล่นงาน คลื่นอารมณ์ที่เค
แรมริมน้ำเรื่องราวทั้งหมดคล้ายจะคลี่คลายลงได้ด้วยดี นอกจากนัดหมายที่สำนักงานที่ดินในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกอย่างที่พี่วศินต้องการตั้งแต่ขับรถออกมาจากวัด พี่วศินก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาบอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดูไม่สบายอกสบายใจแบบนั้น“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองตาพลางแตะมือไปที่หน้าขาของเขาพี่วศินเหมือนทำหน้าไม่ถูก “อ๋อ อืม” เขายื่นมือหนึ่งมาจับมือผมที่ยื่นไปเมื่อสักครู่ มือใหญ่ของเขาเย็นเฉียบเพราะลมแอร์ “มันเหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่โล่งยังไงก็ไม่รู้น่ะ”“ทำไมล่ะ”“ไอ้พี่แชมป์มันแปลกเกิน” พี่วศินเปรยก่อนเบ้ปากทันควัน “เชี่ย บาปมั้ยวะ”ผมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย ผมเตรียมมาต่อยเขาแท้ๆนะเนี่ย”“ห่มผ้าเหลืองมาขนาดนั้นอยากต่อยก็ต่อยไม่ลงน่ะสิ” พี่วศินวิจารณ์พลางส่ายหน้า “ความจริงมั