บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน....
ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆลอยละล่องพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น รถม้าสองคันแล่นตามกันออกจากเมืองหลวงที่คึกคักสู่ชนบทที่ห่างไกล สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้สูงชะลูดและอาคารแบบทรงนิยมในเมืองหลวง ที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเลือนรางและห่างไกลออกไปทุกที บรรยากาศที่เคยครึกครื้นในเมืองหลวงกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเดียวดาย มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่กระทบกับถนนกรวดดังเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น รถม้าคันหนึ่งเป็นที่นั่งของเจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ และป้าจวงบ่าวคนสนิท อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้สามคนและสัมภาระทั้งหมดที่นำติดตัวมา แม้จะมีคนอยู่ข้างกัน แต่ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งก็ยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขา
เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ในรถม้า ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต นางมองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ นางรู้สึกทั้งกังวลและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน จุดหมายปลายทางของนางคือเมืองที่เรียกว่าอวี้ไห่ เมืองชนบทห่างไกลที่อยู่ริมทะเล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปที่นั่นเมื่อตอนยังเด็ก เป็นความทรงจำที่รางเลือนแต่ก็อบอุ่นในใจ เมืองอวี้ไห่เป็นสถานที่ที่ท่านแม่ของนางเคยเล่าให้ฟังเสมอว่าเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม และผู้คนที่อ่อนโยน ป้าจวงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
"คุณหนูเจ้าคะ ทำไมไม่กลับไปที่บ้านของคุณท่านก่อนล่ะเจ้าคะ ท่านนายอำเภอคงจะยินดีช่วยเหลือพวกเรา"
เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจดึงตัวเองออกจากความคิดที่ลอยไปไกลพลางส่ายหน้าเบา ๆ
"ข้าไม่อยากทำให้ครอบครัวของท่านพ่อต้องลำบาก ป้าจวงก็ทราบว่า ท่านพ่อแต่งงานใหม่หลังจากที่แม่ของข้าเสีย ข้าไม่อยากเป็นภาระหรือทำให้พวกเขาเดือดร้อน ข้าถือว่าแต่งออกมาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกมา ไม่ควรกลับไปบ้านเดิม ข้าต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักก่อน แล้วค่อยคิดหาหนทางต่อไป"
นางได้พบกับเจียงเฉินในตอนที่ตามท่านพ่อมาเที่ยวที่เมืองหลวง หลังจากนั้นเมื่อนางแต่งงานกับเจียงเฉินและย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง นางก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านท่านแม่อีกเลย ความฝันที่จะกลับไปเยือนบ้านเกิดของท่านแม่กลายเป็นสิ่งที่นางต้องเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่วันนี้ เมืองอวี้ไห่กลับกลายเป็นสถานที่ที่นางเลือกที่จะใช้เป็นที่หลบภัย ที่นางจะพาลูก ๆ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากสูญเสียทุกอย่างในเมืองหลวงที่แสนโหดร้ายแห่งนี้
"ป้าจวง เราต้องวางแผนเรื่องเงินด้วยนะ ข้าได้เก็บเงินส่วนหนึ่งจากการขายเครื่องประดับของข้าเองก่อนที่เราจะออกมาข้ามีเงินอยู่ไม่มากแต่น่าจะพอสำหรับการตั้งตัวในช่วงแรกข้าวางแผนว่าจะใช้เงินนี้ในการหาที่พักเล็ก ๆ ที่เมืองอวี้ไห่ ก่อนจากนั้นอาจจะเปิดร้านเล็ก ๆ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและลูกๆ"
ป้าจวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวคิดว่าเงินที่เรามีอยู่ตอนนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการตั้งตัวในระยะยาว แต่หากเราประหยัดและหาหนทางเพิ่มรายได้ไปพร้อมกัน น่าจะพอผ่านช่วงแรกไปได้"
เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจเบา ๆ "ข้ารู้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ข้าตั้งใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพาใคร ข้าต้องการพึ่งตัวเองให้มากที่สุด แม้ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากก็ตาม ข้าไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของท่านพ่อหรือใครก็ตาม เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักและเริ่มต้นชีวิตใหม่"
ป้าจวงพยักหน้าจากนั้นนางก็บอกว่าตอนนี้เงินที่พวกนางมีอยู่นั้นประมาณ 900 ตำลึง ในตอนแรกนั้นพวกนางมีเกือบ 1400 ตำลึง แต่เพราะว่าต้องนำมาจ้างรถม้า 2 คัน และยังจ้างคนคุ้มกันมากับรถมาด้วย 2 คน เพราะว่าห่วงเรื่องความปลอดภัย และซื้อขาวของอาหารสำหรับเดินทางไกลอีก ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือเงินอยู่เพียง 900 ตำลึง นี้รวมกับเงินที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาแล้วด้วย เงิน900 ตำลึงจะว่ามากก็มาจะว่าน้อยก็น้อย เพราะว่ามีปากท้องที่ต้องพึ่งพาเงินจำนวนนี้ถึง 7 ปาก และระยะทางที่จะเดินทางนั้นก็ยังอีกไกล เพราะเมืองอวี้ไห่นั้นต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 เดือนทีเดียว ดังนั้นพวกนางทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องประหยัดมากที่สุด แต่หากว่าไม่ไหวจริงๆ นางคิดว่าจะขายเครื่องประดับที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาอย่างน้อยน่าจะมีเงินเพิ่มอีกสัก 300 ตำลึง เจียงซิ่วเหยาวางแผนกับป้าจวง
พูดคุยเสร็จป้าจวงก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง เมื่อไม่มีเสียงใดๆ รบกวนนอกจากเสียงของล้อรถที่บดถนน ใจของเจียงซิ่วเหยาก็ลอยกลับไปนึกถึงตอนที่แต่งงานกับเจียงเฉินอีกครั้ง อดีตเมื่อครั้งที่เจียงเฉินยังเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ นางหันไปหาป้าจวงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และเอ่ยว่า
"ป้าจวง ท่านจำได้ไหม ตอนที่ข้าพบกับเจียงเฉินครั้งแรก เขาเคยให้สัญญากับข้าว่าจะดูแลและรักข้าตลอดไป..." เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำตาเริ่มเอ่อคลอในดวงตาของนาง
ป้าจวงยิ้มอ่อนโยนพลางพยักหน้า "บ่าวจำได้เจ้าค่ะ คุณหนู ตอนนั้นท่านเจียงดูเป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนจริง ๆ รักท่านมากอย่างที่ไม่มีใครสงสัยได้เลย"
"ใช่... เขามีความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังคงแสดงความรักและห่วงใยต่อข้าเสมอ ทำให้ข้าเชื่อมั่นและมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ข้าคิดว่าเขาคือผู้ชายที่ข้าสามารถฝากชีวิตไว้ได้" เจียงซิ่วเหยาพูดพลางกำมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจและความผิดหวัง
ป้าจวงมองเจียงซิ่วเหยาด้วยสายตาเห็นใจ "คุณหนู ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกเจ้าค่ะ ตอนนั้นท่านรักเขามาก ท่านย่อมเชื่อในคำพูดของเขา มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย"
ในตอนนั้นเขาเคยให้สัญญากับนางว่าจะดูแลและรักนางตลอดไป ทั้งสองพบรักกันในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย เจียงเฉินเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนโยนในสายตาของนาง แต่เมื่ออยู่เมืองหลวงได้เพียงหนึ่งปี เจียงเฉินก็ได้พบกับหลิวหลันฟาง คุณหนูตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงผู้ที่มีพ่อเป็นถึงอัครเสนาบดีใหญ่ ครอบครัวของหลิวหลันฟางมีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนัก หลิวหลันฟางนั้นตกหลุมรักเจียงเฉินเข้าอย่างจัง ใครพูดอะไรก็ไม่ย่อมฟังเรื่องที่บอกว่าเขาแต่งงานแล้ว หากว่านางจะแต่งให้เขานางทำได้เพียงเป็นภรรยารองเท่านั้น ซึ่งนางก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แต่งงานกับเจียงเฉินและในที่สุด นางก็ได้เข้ามาเป็นภรรยารองและแล้วตระกูลเจียงมาอย่างยิ่งใหญ่ จนคนทั่วไปนั้นต่างคิดกันว่าใครกันแน่ที่เป็นภรรยาเอก เพราะความที่ตระกูลเจียงนั้นทั้งให้เกียรติและต้อนรับการแต่งเข้ามาของเจียงหลังฟาง
แม้ว่าเจียงซิ่วเหยาจะไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่านางนั้นไม่มีอำนวจที่จะไปคัดค้านอยู่แล้วประกอบกับตระกูลของนางก็เป็นเพียงนายอำเภอเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าไปขัดแย้งกับตระกูลของอัครเสนาบดีหลิวที่เป็นถึงคนสำคัญของฮ่องเต้ หลิวหลันฟางใช้ความอิทธิพลของครอบครัวผลักดันเจียงเฉินให้ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น และเมื่อเขามีอำนาจแล้ว คำสัญญาที่เคยให้ไว้นั้นกลับถูกลืมไปหมดสิ้น เจียงเฉินเริ่มละเลยนางและลูก ๆ เขาไม่ต้องการนางอีกต่อไป เหมือนกับสิ่งของที่หมดประโยชน์ ความรักที่เคยมีต่อกันกลายเป็นเพียงความเย็นชาและไม่สนใจ
นางอดทนกับสิ่งนี้มาหลายปีจนกระทั่งนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง บุตรชายของนางกลับถูกมองว่าเป็นอัปมงคล เพราะเขามีนิ้วเกินมาหนึ่งนิ้ว ทันทีที่เจียงเฉินได้ทราบข่าว เขากลับแสดงสีหน้าแปลกแยกและเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาถึงขั้นเชิญนักพรตมาดูดวงของลูกชาย
ในตอนนั้นเจียงเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่านักพรตที่พวกเขาเชิญมาที่เรือน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาถามนักพรตด้วยเสียงที่สั่นและเป็นกังวลว่า
"ท่านนักพรต ท่านเห็นอะไรเกี่ยวกับลูกชายของข้าหรือไม่?"
นักพรตมองหน้าเจียงเฉินก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ดี เจ้าหนูน้อยนี้อาจนำพาความหายนะมาสู่ตระกูลของท่าน ท่านดูเอาเถิดแม้แต่นิ้วมือที่ควรจะมีห้า เขากับมีถึง หก นิ้ว หากให้เขาอยู่ในตระกูลต่อไป อาจจะเป็นเหตุให้ตระกูลไม่เจริญรุ่งเรือง"
เจียงเฉินถอนหายใจลึก"เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร ท่านนักพรต ข้าไม่อาจยอมให้ตระกูลของข้าต้องลำบากเพราะเด็กคนนี้"
"ทางเลือกอยู่ที่ท่าน"
นักพรตตอบด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ "หากท่านต้องการให้ตระกูลปลอดภัย ท่านต้องหาวิธีจัดการ"
เจียงเฉินพยักหน้าเขาหันไปมองเจียงซิ่วเหยาที่กำลังอุ้มลูกชายอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังปนรังเกียจ เจียงซิ่วเหยามองหน้าเจียงเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม นางเดินเข้ามาใกล้และถามด้วยเสียงสั่น
"ท่านจะทำอะไรกับลูกของเรา"
เจียงเฉินหันไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เขาไม่ควรเกิดมา ซิ่วเหยา ข้าไม่อาจให้เขาอยู่ในตระกูลต่อไปได้"
น้ำตาไหลรินลงมาบนแก้มของเจียงซิ่วเหยา นางกอดลูกชายแน่นขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"ท่านพูดอะไร ท่านบอกว่าจะรักและดูแลข้ากับลูกตลอดไป ท่านลืมคำสัญญานั้นแล้วหรือ"
เจียงเฉินถอนหายใจหนัก ๆ และหันหลังให้
"ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของตระกูล อย่าทำให้ข้าลำบากใจไปกว่านี้เลย ซิ่วเหยา"
เจียงซิ่วเหยาน้ำตาไหลพราก นางมองเจียงเฉินเดินจากไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย นางก้มลงมองลูกชายที่ไร้เดียงสาและเอ่ยเบา ๆ
"ลูกแม่... แม่จะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"
เจียงหยวนเจี๋ย ลูกชายของนางเติบโตขึ้นมาในเรือนเล็กที่ไกลออกไปจากเรือนใหญ่ เขารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าตนเองถูกรังเกียจ เขามักจะถามมารดาด้วยเสียงแผ่วเบา
"ท่านแม่ ทำไมพวกเขาไม่รักข้าเหมือนคนอื่น ๆ ข้าไม่ดีพอหรือขอรับ"
เจียงซิ่วเหยากอดลูกชายแน่น น้ำตาไหลลงมาในขณะที่นางพูด
"ลูกแม่ เจ้าดีที่สุดแล้ว เจ้ามีค่าเสมอ อย่าให้คำพูดของใครมาทำให้เจ้ารู้สึกน้อยใจ แม่รักเจ้า และจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ"
เจียงหยวนเจี๋ยพยักหน้า แม้ว่าจะยังคงมีความเศร้าในดวงตา แต่เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้รับความรักจากมารดา
"ข้ารักท่านแม่ ข้าจะพยายามไม่ทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจ"
เจียงซิ่วเหยาเสียใจที่ลูกชายของนางต้องมาเผชิญกับความรู้สึกนี้ นางรู้ดีว่าเด็กคนหนึ่งไม่ควรต้องทนรับความเกลียดชังจากผู้ใหญ่ที่ควรจะปกป้องและรักเขา แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านั้นได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการกอดเขาไว้แน่น ๆ ยามที่เขาร้องไห้ และบอกกับเขาว่าเขามีค่าเสมอ นางจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายได้รู้สึกถึงความรักและความปลอดภัย แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากและความรังเกียจจากคนรอบข้าง นางก็จะไม่ยอมแพ้ที่จะปกป้องและทำให้ลูกชายของนางมีความสุขให้ได้
นางรู้ดีว่าไม่มีที่ยืนสำหรับนางและลูกในตระกูลเจียงอีกต่อไป ความรักที่นางเคยมีให้เจียงเฉินได้ตายจากไปพร้อมกับความรังเกียจที่เขามีต่อลูกชายของนาง นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกของนางได้อีกต่อไป และจะไม่ยอมให้อำนาจใด ๆ มากดขี่นางและลูกอีกแล้ว
ความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งนั้นทิ่มแทงลึกลงไปในหัวใจ สิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดที่สุดคือคำสัญญาที่เขาเคยให้ ไม่เพียงแต่ลืมรักที่เคยมี เขายังลืมแม้กระทั่งลูก ๆ ของพวกเขา เขาไม่ต้องการลูกๆ ของนางอีกต่อไป เหมือนกับที่เขาไม่ต้องการนาง ความผิดหวังและความเจ็บปวดกลายเป็นแผลลึกในใจ นางรู้สึกถูกทรยศอย่างแสนสาหัส คำสัญญาที่เคยหอมหวานกลับกลายเป็นเพียงถ้อยคำลวง นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความแค้นและความผิดหวังแผ่กระจายออกมา นางสาบานกับตนเองว่า จะไม่มีวันยอมให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้อีก นางจะไม่อ่อนแอ ไม่พึ่งพาคนอื่น และจะไม่ยอมให้คำสัญญาที่ว่างเปล่ามาทำร้ายนางได้อีกต่อไป
ป้าจวงเห็นท่าทางเหม่อลอยและมือที่กำแน่นของคุณหนูของนาง นางรู้ว่าคุณหนูคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงยื่นมือไปจับมือของคุณหนูของนางและเอ่ยขึ้นมาว่า
"บ่าวจะอยู่เคียงข้างคุณหนูเสมอเจ้าค่ะ เราจะร่วมมือกันผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้"
เจียงซิ่วเหยาพยักหน้า และมองออกไปยังท้องทุ่งที่ทอดยาว นางรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่นางก็พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง ด้วยความหวังที่จะสร้างชีวิตใหม่ให้กับตนเองและลูก ๆ
เจียงซิ่วเหยาหันไปกอดลูกสาวและลูกชายไว้ใกล้ตัว พลางมองใบหน้าของพวกเขาที่หลับใหลอย่างอ่อนแรง เจียงหย่าเสวี่ยยังคงมีคราบน้ำตาบนแก้มของนาง ในขณะที่เจียงหยวนเจี๋ยยังคงขมวดคิ้วราวกับกำลังฝันร้าย เจียงซิ่วเหยาเอื้อมมือไปลูบหัวลูกทั้งสองอย่างอ่อนโยน นางรู้ว่าพวกเขายังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างต่อจากนี้ แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น นางจะปกป้องลูก ๆ ให้ถึงที่สุด
"ท่านแม่...เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?" เจียงหย่าเสวี่ยลืมตาขึ้นมาถาม น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังฝัน ซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูมั่นใจ
"เรากำลังไปเมืองอวี้ไห่จ้ะ ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของท่านยายของเจ้า ท่านแม่เคยไปที่นั่นเมื่อตอนยังเด็ก มันเป็นที่ที่สวยงามและเงียบสงบมาก เจ้าจะต้องชอบแน่ ๆ"
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง เจียงซิ่วเหยาใช้มือลูบที่หน้าผากของนางเมื่อเห็นว่านางตัวร้อนมาก นางก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่าลูกสาวของนางนั้นคงจะไม่สบายแน่แล้ว จากนั้นก็ให้ป้าจวงหาผ้ามาเช็ดตัวให้ลูกสาวของนาง เมื่อเห็นว่าลูกสาวหลับไปอีกครั้ง นางก็มองไปนอกหน้าต่างรถม้า ท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดทําให้นางรู้สึกถึงอิสรภาพที่นางไม่เคยได้สัมผัสในเมืองหลวง เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่นางและลูก ๆ จะได้เริ่มต้นใหม่ แม้นางจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ใจของนางก็ยังเต็มไปด้วยความหวังเล็ก ๆ ที่พวกเขาจะสามารถหาความสุขและความสงบสุขได้ที่นั่น
**** น้องเริ่มป่วยแล้ว เพิ่งจะออกจากเมืองหลวงเอง เอาใจช่วยท่านแม่กันเถอะ ถูกแล้วที่คิดว่า เจ็บแล้วจำคือคน….****
บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก""ใช่ ข้าก็หวังเช
บทที่ 5 พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงคืนที่เงียบสงัดหลังจากที่เจียงหย่าเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ในคืนที่ลมหนาวพัดผ่านทุ่งหญ้าอย่างแผ่วเบา ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวลงมายังค่ายพัก ร่างของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าที่คับแคบ ขณะที่ท่านแม่เจียงซิ่วเหยานั่งข้าง ๆ ด้วยความดีใจสุดขีด นางรีบทำโจ๊กผักอย่างที่ลูกสาวอยากกินมาให้สุดฝีมือ"เสวี่ยเออร์ กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่นางยกช้อนโจ๊กมาป้อนลูกสาว"ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องลำบากท่านหรอก"เจียงหย่าเสวี่ยตอบเบา ๆ แต่ก็รับช้อนจากมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆเจียงซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย นางยิ้มทั้งน้ำตา "ข้าอยากป้อนเจ้า ให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไป"หลังจากป้อนโจ๊กเสร็จ เจียงซิ่วเหยาลูบผมลูกสาวและกอดลูกไว้แน่นๆ ราวกับอยากให้ตัวเองมั่นใจว่านางไม่ได้สูญเสียลูกสาวที่รักคนนี้ไปจริง ๆ นางอยากจะมั่นใจว่าลูกยังอยู่ตรงนี้"ท่านแม่ ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ" เจียงหย่าเสวี่ยพูดปลอบเบา ๆเจียงซิ่งเหยาเมื่อป้อนโจ๊กผักให้ลูกสาวเสร็จก็ใช้หน
บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลงเมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัยตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่