บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิด
ภาพสุดท้ายที่เหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเจียงเห็นและกลับไปรายงานให้กับเจ้านายของพวกเขาแต่ละคนก็คือ ภาพของหญิงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากดอกไม้กลีบบอบบางที่โดยฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแต่ทว่ายังแข็งใจเดินออกมา มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือจูงมือลูกชาย และมีบ่าว 4 คนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตามถนนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
"เจี๋ยเออร์ เสวี่ยเออร์ ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ยังอยู่กับพวกเจ้าเสมอ"นางพูดกับลูกๆ ของนางเบาๆ
เจียงหย่าเสวี่ยที่ร้องไห้เสียงสั่น
"ท่านแม่...เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ? ทำไมท่านพ่อถึง..."
เจียงซิ่วเหยาพยายามยิ้มอย่างเข้มแข็งไปที่ลูกสาว
"ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะพาพวกเจ้าไปในที่ที่ปลอดภัย เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย"
ป้าจวงหันมาพูดกับเจียงซิ่วเหมย"ฮูหยินเจ้าคะ เราแวะพักที่โรงเตี้ยมข้างหน้านั้นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ดูเหมือนคุณหนูทั้งสองจะเหนื่อยกันมากแล้ว"
เจียงซิ่วเหยา "คุณหนู!! ต่อไปป้าจวงเรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ..ตอนนี้ไม่มีฮูหยินอีกแล้ว เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ เจี๋ยเออร์กับเสวี่ยเออร์คงจะหิวแล้วจริงไหมลูก?"
เจียงเจี๋ยเออร์และเจียงหย่าเสวี่ย พยักหน้า"หิวเจ้าค่ะ/เจ้าขอรับ ท่านแม่..."
เจียงซิ่วเหยา "ดีแล้ว พวกเราไปพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
"เฮ้อ น่าสงสารจริง ๆ นะ นั่นใช่ฮูหยินใหญ่จากจวนเจียงหรือเปล่า?" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"ใช่แล้ว ข้าเคยเห็นนางตอนยังรุ่งเรืองอยู่ แต่นี่...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง เดี๋ยวข้าจะแอบไปถามยายเฒ่าจงตอนนี่นางออกมาซื้อของ ไว้จะมาเล่าให้เจ้าฟัง"
นางเอ่ยบอกเพื่อนของนางในการหาข่าวและจะมาช่วยกันไขความอยากรู้นี้ให้ได้ราวกับเป็นภารกิจที่จะต้องกระทำ หากไม่ทำจะกินข้าวไม่อร่อยอย่างไรอย่างนั้น
"ใครจะไปคิดว่าคนที่เคยสูงส่งขนาดนั้นจะต้องมาตกต่ำถึงเพียงนี้ ข้าเห็นตอนที่พวกนางถูกบ่าวรับใช้ในจวนโยนออกมาราวกับเป็นของไม่มีค่ามีราคา หาใช่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แล้วสงสารนัก ดูเหมือนลูกๆ ของนางจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ…เฮ้อ… พวกคนใหญ่คนโตนี้ทำอะไรคนธรรมดาแบบพวกเรานี้คาดไม่ถึงจริงๆ "
มีอีกเสียงที่ค้นพบสัจธรรมของชีวิต ดังขึ้นข้างๆ พวกนางสองคน พวกนางจึงหันไปทางนั้นและขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยจากนั้นการนินทาระยะเผาขนก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตามประสาจีนมุงอยากรู้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
"แต่ว่าเจ้าดูสิ นางยังคงดูเข้มแข็งอยู่นะ ไม่ได้อ่อนแอหรือน่าสมเพชเลยนางจูงมือลูก ๆ อย่างนั้น ราวกับว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวของนางได้ ผู้หญิงที่บอบบางแบบนางใครจะนึกว่าจะเข้มแข็งขนาดนี้ได้ "
หญิงที่อยู่ในกลุ่มพูดต่อด้วยความทึ่งและมีหลายคนพยักหน้าตามที่นางพูดด้วย
"ก็จริง... ข้าว่าลูก ๆ ของนางคงจะไม่เข้าใจความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เห็นท่าทางของนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ" เพื่อนของนางเสริมพร้อมกับมองตามเจียงซิ่วเหยาที่จูงลูก ๆ และขบวนบ่าวเล็กๆ ที่เดินห่างออกไป
"แต่ก็นะ ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนในเมืองหลวงนี่ใจดำกันจริง ๆ ทุกคนแค่สนใจตัวเองไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนที่ตกต่ำแล้ว" ชายชราที่วิ่งมาดูเหตุการณ์ตั้งแต่แรกพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเห็นใจ
"เจ้าก็พูดถูก เราเองก็ทำได้แค่มองเท่านั้น" เพื่อนของเขาตอบพร้อมถอนหายใจ “แต่ข้าก็หวังว่าพวกเขาจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัยสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ และเด็กๆ เสียจริง ท่านเสนาก็ช่างใจดำเหลือเกินจะให้ออกจากจวนก็ไม่ให้เวลาพวกนางเก็บของเรียกรถม้าเลย แบบนี้พวกนางจะเดินได้ถึงไหนกัน เฮ้ออ..”
จากนั้นก็มองภาพที่หญิงสาวที่เคยมีความสูงส่งต้องเดินฝ่าฝูงชนด้วยความยากลำบาก แต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูเข้มแข็งและพร้อมที่จะปกป้องลูก ๆ และคนของนางอย่างเต็มกำลัง
เจียงหย่าเสวี่ยที่เดินเคียงข้างมารดานั้นร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา นางเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอมาโดยตลอด ทำให้นางหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก นางตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับผู้คนมากมายและบรรยากาศที่แสนวุ่นวายนางยังตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ที่อยู่ ท่านพ่อก็โยนท่านแม่ออกมาจากจวน และท่านพ่อยังไม่ต้องการพวกนางอีก…ทำไมท่านพ่อถึงได้ทำแบบนั้น ทำไมถึงไม่รักพวกนางเหมือนกับที่รักลูกๆ ของแม่รองบ้าง นี่คือสิ่งที่เด็กสาวคิด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดหวั่น
เจียงหย่าเสวี่ยเกาะแขนมารดาไว้แน่นราวกับจะหาแหล่งพึ่งพิง มือเล็ก ๆ ที่จับมือของมารดาสั่นเทาด้วยความกลัว ใบหน้าที่บอบบางซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น แต่ความอบอุ่นจากมือของมารดาที่จับนางไว้ก็ช่วยให้นางมีความมั่นใจขึ้นเล็กน้อย แววตาของเจียงหย่าเสวี่ยที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอค่อย ๆ เริ่มแฝงไปด้วยความเข้มแข็งตามแบบที่มารดาแสดงให้เห็น ขณะที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่คน แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการแบกข้าวของ แต่ก็ยังคงเดินตามอย่างจงรักภักดี พวกเขารับรู้ได้ถึงความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ และต่างก็พร้อมที่จะร่วมฝ่าฟันไปกับนายของตน
ผู้คนในเมืองหลวงที่เดินผ่านต่างเหลือบมองพวกเขาด้วยความสนใจ บ้างหัวเราะเยาะ บ้างกระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ พวกเขาเห็นเพียงครอบครัวที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย ท่ามกลางความโหดร้ายของชีวิตในเมืองหลวง เจียงซิ่วเหยาและลูก ๆ ต้องเดินฝ่าฝูงชนอย่างยากลำบาก แต่แม้จะไม่มีใครช่วย พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ข้าวของที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่แบกอยู่ทำให้การเดินเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ทุกคนก็ยังคงพยายามสุดความสามารถ
///////
ปักกิ่งปี 2024
ณ ลานกว้างใหญ่ที่ถูกจัดอย่างหรูหราและสง่างาม ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการแสดงความยินดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เนื่องในงานวันเกิดของปรมาจารย์อัจฉริยะ หลี่หนิงหญิงสาวที่มีอายุเพียง 35 ปี เธอที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะด้านจิตรกรรมในรอบ 100 ปีของ ความสามารถในการวาดภาพและการถ่ายทอดพลังจิตลงในผลงานทำให้หลี่หนิงได้รับการเคารพอย่างมากมายจากศิษย์และบุคคลในวงการศิลปะ ผู้คนต่างมาแสดงความเคารพและมอบของขวัญให้เธอในโอกาสพิเศษนี้
หลี่หนิง"ขอบคุณทุกคนมากที่มาในวันนี้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและความรักจากพวกเธอทุกคน"
ลูกศิษย์คนหนึ่ง"อาจารย์หลี่คะ นี่คือของขวัญที่ฉันค้นพบจากร้านขายของโบราณที่เมืองเฉิงตู เห็นว่าพวกเขาได้มันมาจากสุสานที่ค้นพบไม่นานมานี้ค่ะ ฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับอาจารย์อย่างมากเลยค่ะ มันดูเหมือนมีความลับอย่างไรไม่รู้ ฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะชอบ"
หลี่หนิง ยิ้มและยื่นมือรับของขวัญ "พู่กันโบราณอย่างนั้นหรือ? ช่างลึกลับเสียจริง ๆ ขอบใจมากนะ พวกเธอช่างเอาใจใส่กันดีจริง ๆ"
ลูกศิษย์อีกคน "อาจารย์คะ ลองเปิดดูสิคะ พวกเราเองก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง"
เมื่อหลีหนิงเปิดกล่องเธอเห็นพู่กันโบราณที่อยู่ในกล่องนั้นดูสวยงามและลึกลับ ขนพู่กันที่ดูเหมือนจะนุ่มละมุนกลับมีแสงเรืองรองบางเบา ละม้ายคล้ายกับละอองเวทมนตร์ที่ลอยอยู่รอบๆ ขนพู่กัน เมื่อเธอยกมันขึ้นมองใกล้ๆ จะเห็นลวดลายโบราณที่สลักไว้บนด้ามจับ ลวดลายเหล่านั้นไม่ใช่เพียงลายเส้นธรรมดา แต่กลับดูเหมือนอักษรเวทมนตร์ที่มีพลังลี้ลับแฝงอยู่ แสงจางๆ จากลวดลายสลักนั้นคล้ายกับว่ายังมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ราวกับมันกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง พู่กันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอคอยผู้ที่คู่ควรที่จะใช้มัน พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในทำให้หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอไม่อาจอธิบายได้
หลี่หนิงมองพู่กันด้วยความประทับใจ "ดูสิ ขนพู่กันนุ่มมาก และลวดลายบนด้ามจับก็มีความละเอียดอ่อน เหมือนกับมีบางอย่างแฝงอยู่จริง ๆ"
ลูกศิษย์คนเดิม "อาจารย์ลองใช้ดูสิคะ บางทีอาจจะมีพลังพิเศษก็ได้นะคะ ฮ่า ๆ"
หลี่หนิงหัวเราะเบา ๆ "คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกจริง ๆ เหมือนกับว่ามีพลังอะไรบางอย่างที่ดึงดูดฉันอยู่"
หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากพู่กันนี้ มันราวกับว่ามันกำลังเชื้อเชิญให้เธอสัมผัสอย่างใกล้ชิด ด้วยความประทับใจ เธอค่อย ๆ ใช้นิ้วมือเรียวลูบไปตามปลายพู่กันที่นุ่มละมุน แต่ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีขนพู่กันเส้นหนึ่งที่แข็งเหมือนเข็ม หลี่หนิงยังไม่ทันจะขยับมือกลับ ขนพู่กันเส้นนั้นก็ทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของเธอ
“โอ๊ย!”
เธอร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะเห็นเลือดหยดหนึ่งซึมออกมาจากปลายนิ้ว เลือดหยดนั้นหยดลงไปบนพู่กันโบราณ มันซึมเข้าไปในขนพู่กันอย่างรวดเร็ว และเกิดบางสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น …พู่กันเหมือนกับมีชีวิต มันดูดซับเลือดของเธออย่างกระหาย ราวกับมันกำลังดื่มเลือดในชั่วพริบตา โลกทั้งใบของหลี่หนิงก็พลันมืดดับลง เสียงผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลองรอบกายเธอก็หายไป ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป เหมือนกับถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความว่างเปล่า เธอไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป ร่างของเธออ่อนแรง และหลี่หนิงก็วูบลงไปทันที ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกสิ่งที่เธอรับรู้ได้
เสียงของผู้คนรอบข้างตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความตกใจ แต่หลี่หนิงกลับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว มีเพียงความมืดที่เข้าปกคลุมสติและทำให้ทุกอย่างดับมืดลง…ไปตลอดกาล…
****
บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน....ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆลอยละล่องพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น รถม้าสองคันแล่นตามกันออกจากเมืองหลวงที่คึกคักสู่ชนบทที่ห่างไกล สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้สูงชะลูดและอาคารแบบทรงนิยมในเมืองหลวง ที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเลือนรางและห่างไกลออกไปทุกที บรรยากาศที่เคยครึกครื้นในเมืองหลวงกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเดียวดาย มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่กระทบกับถนนกรวดดังเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น รถม้าคันหนึ่งเป็นที่นั่งของเจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ และป้าจวงบ่าวคนสนิท อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้สามคนและสัมภาระทั้งหมดที่นำติดตัวมา แม้จะมีคนอยู่ข้างกัน แต่ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งก็ยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขาเจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ในรถม้า ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต นางมองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ นางรู้สึกทั้งกังวลและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน จุดหมายปลายทางของนางคือเมืองที่เรียกว่าอวี้ไห่ เมืองชนบทห่างไกลที่อยู่ริมทะเล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าครั้ง
บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก""ใช่ ข้าก็หวังเช
บทที่ 5 พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงคืนที่เงียบสงัดหลังจากที่เจียงหย่าเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ในคืนที่ลมหนาวพัดผ่านทุ่งหญ้าอย่างแผ่วเบา ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวลงมายังค่ายพัก ร่างของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าที่คับแคบ ขณะที่ท่านแม่เจียงซิ่วเหยานั่งข้าง ๆ ด้วยความดีใจสุดขีด นางรีบทำโจ๊กผักอย่างที่ลูกสาวอยากกินมาให้สุดฝีมือ"เสวี่ยเออร์ กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่นางยกช้อนโจ๊กมาป้อนลูกสาว"ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องลำบากท่านหรอก"เจียงหย่าเสวี่ยตอบเบา ๆ แต่ก็รับช้อนจากมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆเจียงซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย นางยิ้มทั้งน้ำตา "ข้าอยากป้อนเจ้า ให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไป"หลังจากป้อนโจ๊กเสร็จ เจียงซิ่วเหยาลูบผมลูกสาวและกอดลูกไว้แน่นๆ ราวกับอยากให้ตัวเองมั่นใจว่านางไม่ได้สูญเสียลูกสาวที่รักคนนี้ไปจริง ๆ นางอยากจะมั่นใจว่าลูกยังอยู่ตรงนี้"ท่านแม่ ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ" เจียงหย่าเสวี่ยพูดปลอบเบา ๆเจียงซิ่งเหยาเมื่อป้อนโจ๊กผักให้ลูกสาวเสร็จก็ใช้หน
บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลงเมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัยตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
ตอนพิเศษ 3 บทส่งท้ายแห่งความสุข EP 2 NC...“…อา อื๊อ อี้หลง”เจิ้งอี้หลงใช้ความจัดเจนดูดดุนปลายลิ้นกับทรวงอกอวบสวยทำให้นางแอ่นหน้าอกขึ้นมาด้วยเสียวซ่าน ขณะที่มืออีกข้างก็เขี่ยคลึงเล่นไปที่ปลายถันที่ยังว่างอยู่จนยอดแข็งชันสู้มือหญิงสาวส่ายร่างบิดไปมาบนที่นอนด้วยด้วยความกระสันซ่าน อารมณ์ปรารถนาของนางถูกปลุกเร้าจนตื่นเพริศ เนื้อตัวเร่าร้อนไปหมดนางปรารถนาเขาจริงๆ ส่วนเจิ้งอี้หลงนั้น เมื่อหญิงสาวตอบสนองและไม่หวงเนื้อหวงตัว เขาจึงจัดเต็มตามอารมณ์ที่เก็บกดไว้ ริมฝีปากของเขาหยอกเย้าดูดดุนอยู่ที่ปลายถัน ส่วนมือก็บีบเค้นปทุมถันอวบใหญ่แรงขึ้นจนผิวขาวๆ เริ่มเป็นจ้ำสีแดงตามรอยมือและปาก จนเมื่อเขาละริมฝีปากจากปลายถันก็เล็มไล้ไต่ลงมาที่เนินหน้าท้อง แล้วซุกไซ้จมูกและปากอยู่ที่สะดือสวย ก่อนจะใช้นิ้วเลื่อนลูบไปที่เนินเนื้อโหนกนูนที่บิดส่ายอยู่ใต้ร่างเขา“อ๊า…อี้หลงค่ะ ฉัน..”หญิงสาวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แล้วจับข้อมือชายหนุ่มไว้ เจิ้งอี้หลงยกยิ้มที่มุมปากและค่อยดึงมือของเขาออก และยกมือของนางมาจูบและรวบดูดปลายนิ้วเล็กเรียวแสนสวยนั้นเสียเลย เฟิงหย่าเสวี่ยตัวอ่อนระรวย ไม่มีแรงที่จะห้ามปรามเขาเสียแล้ว… (เฮ้อช่าง
ตอนพิเศษ3 บทส่งท้ายแห่งความสุข ep 1ค่ำคืนอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ายามราตรีเหนือพระราชวังต้าหมิงสว่างไสวไปด้วยแสงประกายของดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสูง สาดส่องท้องฟ้าด้วยสีสันอันตระการตา เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านผสมผสานกับเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะของเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและความปลื้มปีติภายในพระราชวังงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกำลังดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ ท้องพระโรงอันวิจิตรตระการตาประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี เสนาอำมาตย์และขุนนางจากทั้งแคว้นต้าหมิงและแคว้นต้าโจวต่างมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความยินดีและสรรเสริญความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองแคว้นฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงประทับบนบัลลังก์แกะสลักมังกร พระพักตร์เปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ ขณะที่เฟิงฮองเฮา หรือเฟิงหย่าเสวี่ยนั่งเคียงข้างพระสวามี สวมอาภรณ์สีเหลือทองประดับประดาอย่างงดงามสมเกียรติสะท้อนความงดงามหยดย้อยของนางอย่างชัดเจน แววตาของนางแสดงถึงความมุ่งมั่นและความรักและความเมตตาที่มีต่อแผ่นดินและประชาชน"กระหม่อมขอกราบบังคมทูล" เสนาบดีอาวุ
ตอนพิเศษ 2 สองสุดยอดแพทย์แห่งยุคภายในห้องผ่าตัดขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงอย่างพิถีพิถัน แสงจากโคมไฟหลากดวงส่องรวมตรงกลาง เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนเตียงมีชายชราผู้สูญเสียขาจากสงครามนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาชา รอบข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ดูแปลกตาสำหรับแพทย์จำนวนไม่น้อยในยุคนี้วันนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่หลายคนต่างพูดถึง เพราะจะมีการผ่าตัดเพื่อใส่ขาเทียมให้กับผู้ป่วยที่ขาพิการโดยผู้นำการผ่าตัดคือนายท่านเฟิงหยวนเจี๋ย คุณชายหมอเทวดาซึ่งกำลังมีชื่อเสียงขจรขจาย และถือเป็นคุณชายเนื้อหอมมากๆ ผู้หนึ่งของแคว้นต้าหมิง และอีกผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็คือฮองเฮาเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งแม้ร่างกายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน แต่ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของนางก็ไม่เป็นสองรองใคร และการผ่าตัดในครั้งนี้ก็เป็นการที่นางต้องการที่จะทำด้วย และวาระสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นนั้นไม่รอช้าที่จะส่งนายแพทย์มาเพื่อศึกษาดูงาน ซึ่งฮองเฮาเฟิงนั้นก็ยินดีที่จะให้พวกเขาได้เรียนรู้ในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วยเหล่าแพทย์ของจากทั้งสองแคว้นคือแคว้นต้าโจวและต้าหมิงรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ทางด้านหลังเพื่อศึกษาขั้นตอนในก
ตอนพิเศษ ครอบครัวสุขสันต์หลังจากที่เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นคืนสติ ข่าวดีนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วตอนนี้ทั้งประชาชนแคว้นอวี้ไห่และประชาชนแคว้นต้าหมิงต่างก็ความสุขที่ได้รับรู้ว่าเฟิงฮองเฮานั้นได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เมืองอวี้ไห่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกเหมยท้อบานสะพรั่งทั้งสวนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ภายในสวนที่จัดแต่งเอาไว้อย่างงดงามนั้นมีเสียงหัวเราะและบทบทสนทนาของคนในครอบครัวเฟิงที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยหลังจากฟื้นก็ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งจากอาจารย์ของนาง ท่านป้าจวงและเฟิงหยวนเจี๋ยที่มักจะนำยาบำรุงชั้นเลิศที่เขาคิดค้นขึ้นมาสำหรับนางโดยเฉพาะมาให้ดื่มเสมอ ทำให้ร่างก่ายของนางนั้นแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สมกับที่นางนั้นได้ตกอยู่ในมือของเหล่าหมอเทวดาจริงๆ"ท่านแม่" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยเรียกเฟิงซิ่งเหยาที่กำลังนั่งปักรองเท้าอยู่ในสวนดอกไม้ "ท่านแม่ดูอิ่มเอิบขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ" เฟิงซิ่งเหยายิ้มอายๆ ขณะที่มือลูบท้องน้อยที่เริ่มนูนขึ้น"เสด็จพ่อของเจ้านี่สิ... ตั้งแต่รู้ว่าข้าตั้งครรภ์บุตรคนนี้ก็เอาแต่แพ้ท้องแทนข้า กินไม่ได้นอนไม่หลับวิงเวียนอยู่ตลอดเ
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใช
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น