บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลง
เมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัย
ตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"
ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง
"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือ
ทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง
"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข้า ผู้ที่ทำพันธสัญญากับข้าแล้ว ข้าคือชิงหลง พู่กันที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ตามเจตจำนงของเจ้านาย"
เจียงหย่าเสวี่ยฟังเสียงในหัวของนางด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยคิดว่าพู่กันนี้จะมีชีวิตและสามารถสื่อสารกับนางได้
"เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้? แล้วข้าต้องใช้เจ้าอย่างไร?" เจียงหย่าเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
"ชิงหลงมีพลังในการลิขิตสิ่งที่ท่านต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์หรือทำลายล้าง เพียงแต่เจ้านายต้องใช้พลังของข้าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และมั่นคง จึงจะสามารถควบคุมพลังที่รังสรรค์ออกมาได้ ข้าคือสัญลักษณ์แห่งพลังของสวรรค์ สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง ท่านสามารถใช้ข้าเขียนคำลิขิตหรือวาดสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต วัตถุ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทุกสิ่งที่ท่านรังสรรค์จะก่อกำเนิดขึ้นจากพลังแห่งข้า แต่จงระวัง เพราะพลังของข้าคือการลิขิตชะตา สิ่งที่ท่านวาดไม่ได้เพียงเกิดขึ้นเท่านั้น แต่มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสายธารแห่งชะตากรรมด้วย ดังนั้นจงใช้พลังข้าอย่างรอบคอบและด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์" ชิงหลงตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและมั่นคง
เจียงหย่าเสวี่ยนิ่งคิด นางรู้สึกทั้งทึ่งและตื่นเต้นกับพลังของชิงหลง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นางไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างไม่ระมัดระวัง นางรู้ว่าพลังที่ยิ่งใหญ่นี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางและคนรอบข้างได้ แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลดีหรือผลร้ายอย่างไร
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็เห็นป้าจวงกวักมือเรียกอยู่นางจึงเดินกลับมา ป้าจวงเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชาในมือ นางมองเจียงหย่าเสวี่ยที่ยืนถือพู่กันอยู่ด้วยความสงสัย
"คุณหนูดื่มชาให้อบอุ่นร่างกายของเจ้าค่ะ คุณหนูป่วยมานานอย่าเดินเยอะจนเกินไป ค่อยๆ ออกกำลังและบำรุงนะเจ้าคะ แล้วนั่นคือพู่กันอะไรหรือเจ้าคะ? ป้าไม่เห็นมาก่อนเลย" ป้าจวงถามด้วยความสงสัย นางมองพู่กันในมือของเจียงหย่าเสวี่ยด้วยสายตาที่จับจ้อง
เจียงหย่าเสวี่ยเก็บพู่กันชิงหลงเข้าไปในเสื้อของนางทันที นางยิ้มบาง ๆ ให้กับป้าจวงและตอบว่า "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกป้าจวง ข้าแค่รู้สึกอยากสูดอากาศยามเช้า ส่วนพู่กันนี่ข้าได้มานานแล้ว ดีที่หยิบมันมาด้วย"
ป้าจวงพยักหน้า แม้จะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม นางยื่นน้ำชาให้เจียงหย่าเสวี่ย "นี่เจ้าค่ะน้ำแกงไก่ร้อน ๆ สำหรับเช้านี้ ท่านต้องบำรุงร่างกายมาก ๆ จะได้ฟื้นตัวไว ๆ บ่าวต้มน้ำแกงไก่ และก็ใส่โสมที่ได้มาลงไป คุณหนูดื่มสักหน่อยร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วเจ้าค่ะ " ป้าจวงบอกพลางมองดูคุณหนูของนางอย่างพินิจ ....เหมือนว่าจะมีอะไรไม่เหมือนคุณหนูคนเดิมแต่นางก็บอกไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มรับน้ำแกงมาดื่ม ขณะที่ดื่มนางได้กลิ่นหอมของโสมที่อยู่ในน้ำแกง พลางคิดว่า การใช้โสมนั้นต้องใช้เงินมาก นางไม่สามารถห้ามความกังวลที่เกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้บ้านนางเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ ความคิดเรื่องเงินทองที่ลดลงทำให้นางรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง นางหันไปถามป้าจวงด้วยความห่วงใย "ป้าจวง น้ำแกงนี้มีให้ท่านแม่ด้วยหรือไม่? ข้ารู้ว่าท่านแม่เหนื่อยมากที่ต้องดูแลข้าตลอดทาง" ป้าจวงยิ้มและพยักหน้า "มีเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าเตรียมไว้ให้ท่านแม่ของคุณหนูด้วยแล้ว" เจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกโล่งใจและขอบคุณในใจ นางรู้สึกขอบคุณป้าจวงที่คอยดูแลนางและครอบครัวของเจียงหย่าเสวี่ยอย่างเต็มที่แม้สถานการณ์ทางการเงินจะไม่ค่อยดี แต่เพราะว่าคุณหนูป่วยมานาน หมอที่สั่งยาจึงบอกว่าจำเป็นที่จะต้องให้ดื่มน้ำแกงโสม แม้ว่าเงินที่มีจะไม่เยอะแต่พวกนางก็ซื้อทันทีโดยที่ไม่ลังเลย หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว นางก็หันไปมองที่พู่กันในเสื้อของนางอีกครั้ง นางรู้ว่าตนเองต้องเรียนรู้วิธีใช้พลังนี้เพื่อปกป้องครอบครัวเจียงและต่อสู้กับอันตรายที่อาจกำลังจะมาถึง
ช่วงบ่าย เจียงหย่าเสวี่ยตัดสินใจทดลองใช้พลังของชิงหลง นางเลือกที่จะลองใช้พู่กันนี้ในการวาดสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เพื่อทดสอบว่าพลังของมันเป็นจริงหรือไม่ นางหากระดาษและน้ำหมึกมา แล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนาง
"ข้าจะลองวาดไก่และไข่ไก่" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง นางค่อย ๆ จับพู่กันชิงหลงและเริ่มลงมือวาดภาพไก่และไข่ไก่บนกระดาษ ทันทีที่เส้นแรกสัมผัสกับกระดาษ แสงสีฟ้าประกายออกมาจากปลายพู่กัน เส้นสายที่นางวาดออกมานั้นเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ ราวกับมีชีวิตชีวาและกำลังเต้นรำไปตามจังหวะของพลังวิเศษ เมื่อวาดเสร็จ ไก่ตัวนั้นก็หลุดออกมาจากกระดาษอย่างน่าอัศจรรย์ แสงสีทองกระจายไปรอบ ๆ และกลายเป็นไก่ที่มีชีวิตจริง ๆ พร้อมกับไข่ไก่ที่กลิ้งตกลงมาที่พื้น ไก่ตัวนั้นส่งเสียงร้องก้องกังวาน เสียงนั้นดังก้องไปในป่า และทันใดนั้นเอง พื้นดินรอบ ๆ ก็เหมือนจะตอบรับ พื้นหญ้าสั่นไหวเบา ๆ และลมพัดเข้ามาอย่างอ่อนโยน ราวกับธรรมชาติกำลังยินดีกับการสร้างสรรค์นี้ เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตะลึง นางไม่อยากเชื่อว่าพลังนี้สามารถทำให้สิ่งที่วาดมีชีวิตได้จริง นางหันมองกระดาษที่วาดและพบว่าภาพไก่ที่นางวาดนั้นหายไป เหมือนกับว่ามันได้ก้าวออกมาจากกระดาษและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ แสงสีฟ้ายังคงเรืองรองรอบ ๆ ไก่และไข่ เหมือนกับสิ่งที่นางสร้างขึ้นนี้ยังคงมีพลังแห่งสวรรค์แฝงอยู่
"มัน...เป็นจริง!" นางอุทานออกมา นางไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นความจริง นางหันไปมองกระดาษอีกครั้งและตัดสินใจลองวาดรูปนก นางค่อย ๆ วาดรูปนกด้วยความตั้งใจ เส้นสายดูมีชีวิตชีวา และทันทีที่วาดเสร็จ แสงสีฟ้าประกายขึ้นจากกระดาษอีกครั้ง นกตัวเล็ก ๆ ที่นางวาดขึ้นมาด้วยพู่กันชิงหลงก็ค่อย ๆ หลุดออกมาจากกระดาษและกลายเป็นนกจริง ๆ ที่บินออกไปสู่อิสระบนท้องฟ้า นางมองดูนกที่บินออกไปด้วยความตะลึงและตื่นเต้น
เสียงของชิงหลงดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง "เจ้านาย ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถทำให้สิ่งที่เจ้าวาดหรือเขียนกลายเป็นจริงได้ พลังของข้ามีมากมายมหาศาล แต่เจ้านายต้องใช้มันด้วยความระมัดระวังและด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน"
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงพลังที่นางได้รับมา แต่นางก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของความรับผิดชอบเช่นกัน นางไม่สามารถใช้พลังนี้โดยประมาทได้ นางต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันให้ดี เพื่อที่จะสามารถใช้มันในการปกป้องครอบครัวเจียงและช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
ทันใดนั้น เจียงหย่าเสวี่ยก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา นางหันไปมองชิงหลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง "แล้วข้าสามารถวาดเงินได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าคิดว่าเงินที่มีในบ้านน่าจะเหลือน้อยแล้ว..."
ทันใดนั้นเอง ชิงหลงตอบเสียงดังและแข็งกร้าวทันทีแบบไม่ย่อมผ่อนปรนในเรื่องนี้เด็ดขาด
"ไม่ได้!!!!"
น้ำเสียงของชิงหลงทำให้เจียงหย่าเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย นางมองพู่กันในมือด้วยสีหน้าตกใจ แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ นางพูดกับตัวเองอย่างขบขัน "เอาล่ะ เอาละ!!!ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเสียงแข็งขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่ลองถามดูเท่านั้นเอง ( เผื่อว่าจะฟลุก ) ไม่คิดว่าชิงหลงจะจริงจังขนาดนี้"
นางยิ้มขำกับท่าทีของพู่กันที่ดูเหมือนจะมีบุคลิกของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ท่านแม่เจียงซิ่วเหยาก็ตื่นขึ้นมา นางหันไปหาลูกสาวตามปกติ แต่เมื่อไม่เห็นเจียงหย่าเสวี่ยนอนอยู่ข้าง ๆ นางก็รู้สึกใจหาย ความกังวลเริ่มเข้ามาในใจ นางรีบลุกขึ้นและเดินออกจากรถม้าอย่างรวดเร็ว นางมองไปรอบ ๆ ค่ายพักด้วยความเร่งรีบ จนกระทั่งนางเห็นร่างผอมบางของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความห่วงและความกังวลที่มีต่อบุตรสาวค่อย ๆ เบาบางลง
เจียงซิ่วเหยาเดินเข้ามาหาเจียงหย่าเสวี่ยและนั่งลงข้าง ๆ อย่างแผ่วเบา
"มานั่งทำอะไรตรงนี้ลูก เจ้าเพิ่งจะหายป่วยอย่าให้โดนลมมาก "
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของลูกสาวอีกเมื่อเห็นว่าร่างกายของนางไม่ร้อนและหน้าตาก็สดใสขึ้นนางจึงเบาใจ
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงความห่วงใยที่แท้จริงที่มาจากฝ่ามือที่แตะที่หน้าผากของนาง ...ท่านแม่คนนี้ดีจังเลย เจียงหย่าเสวี่ยคิด เพราะว่าชีวิตก่อนนั้นนางเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด เพราะพ่อแม่ของนางเอานางมาทิ้งเอาไว้ที่หน้าประตู นางต้องเติบโตท่ามกลางความโดดเดี่ยวและการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่โชคดีที่นางมีพรสวรรค์ทางศิลปะที่โดดเด่น นางเริ่มวาดรูปตั้งแต่ยังเด็ก ภาพที่นางวาดนั้นเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและสื่ออารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้นางได้รับความสนใจจากครูผู้ดูแล
ด้วยความสามารถทางศิลปะของนาง นางจึงได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากมูลนิธิเด็กกำพร้า จนกระทั่งได้เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะที่มีชื่อเสียง นางตั้งใจเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก นางใช้เวลาส่วนใหญ่กับการวาดภาพจนกลายเป็นอัจฉริยะด้านการวาดภาพ และมีชื่อเสียงมากในวงการศิลปะ แม้นางจะได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียง แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวในหัวใจนั้นก็ไม่เคยหายไป จนกระทั่งนางมาอยู่ในชาตินี้ นางเพิ่งได้สัมผัสถึงความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นครั้งแรก ...มันดีจริงๆ เจียงหย่าเสวี่ยคิด
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและจับมือท่านแม่ นางรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ด้วยพลังของพู่กันชิงหลงและความรักที่นางมีต่อครอบครัว นางจะสามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคและปกป้องครอบครัวเจียงให้ปลอดภัยได้ นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่นางรักได้อีกต่อไป จากนั้นนางก็หันหลังและร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า…
“ท่านแม่เจ้าคะ!!! ดูนั่น ตรงนั้น….นั่นมันแม่ไก่นี่เจ้าคะ…มีไข่ด้วยเจ้าค่ะ….” จากนั้นรีบวิ่งไปจับมาทันที ( ไก่ไม่บินหนีด้วยนะ )
เนียนๆ เลย…
****ไม่ยอมให้วาดเงิน ไม่งั้นน้องสบายเลย 555 ***
**** สิ่งที่ไรท์ต้องการ....หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้นและคอมเมนต์มาเมาท์มอย ชี้แนะค่ะ จะได้อ่านนิยายสนุกด้วยกันทั้งคนเขียนและคนอ่าน *****
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ
บทที่ 14 พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าพ่อของข้าเป็นใคร!!!! เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวกำลังเดินทางไปที่ร้านรถม้าด้วยความร่าเริง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นรถม้าใหม่ที่พวกเขาวางแผนจะซื้อ ระหว่างทางพวกเขาทั้งเจ็ดคนหยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของอย่างสนุกสนาน"ข้าชอบปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มากดูสิ มันช่างงดงามเหลือเกิน" อาหงคุยกับเสี่ยวจิวพลางลูบและยกเครื่องประดับขึ้นมากันดู"เช่นนั้นก็ซื้อเลยพี่อาหง วันนี้เราจะซื้อทุกอย่างที่เราชอบ!" เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่นางหยิบผ้าปักลายมังกรที่มีสีสันสวยงามขึ้นมา มันเป็นผ้าคลุมไหล่ที่ปักได้สวยมาก งานแฮนด์เมดชัดเจนนางจึงหยิบมา 5-6 ชิ้นเอาคละสีกัน และยังเดินดูพวกขนสัตว์ต่างๆ ด้วย ท่านแม่นั้นตอนนี้กำลังเลือกอยู่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ขนสัตว์พวกนี้จะช่วยได้มาก พวกนางขนซื้อจนเถ้าแก่ยิ้มปากกว้างเกือบถึงหูทีเดียว"ไม่ทราบว่าจะให้ทางร้านไปส่งที่หรือขอรับ ซื้อเยอะขนาดนี้ทางร้านมีบริการส่ง""ไปส่งไว้ที่โรงเตี้ยมอิงฮวาเถอะ" ป้าจวงเป็นคนบอก แน่นอนว่าทุกคนในเมืองนั้นรู้ว่าโรงเตี้ยมอิงฮวานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นโรงเตี้ยมที
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่
บทที่ 116 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 1 “มาแล้วรึ องค์ชาย 11 ข้านึกว่าเจ้าจะหดหัวหนีไปตลอดชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้าเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า” เจิ้งหลี่เฟิงหรือตอนนี้คือฮ่องเต้ของแคว้นต้าหมิงค่อยยืนขึ้น ข้างๆ ฮองไทเฮามารดาของเขา…เจิ้งอี้หลงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา…กาฝากเสียด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เศร้าสลด เหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะเอาชนะและอำนาจ… เขาหันมองรอบลานอีกครั้งที่ตอนนี้เหล่าทหารที่ทรยศต่อแผ่นดินกำลังยืนอยู่และพร้อมจะลงมือสังหารเด็กๆ ได้ทุกเมื่อ เขายกพู่กันขึ้นและสะบัดเบาๆ เหล่าทหารที่ยืนอยู่ต่างก็กระเด็นตกจากแท่นพิธีทั้งหมดแขนขาหัก ร้องโอดโอย เหล่าพ่อแม่ที่เห็นพวกทหารที่โหดร้ายกระเด็นตกลงและแขนขาหักร้องอยู่ก็ต่างมองด้วยความสะใจ พวกเราเพียงแขนขาหักก็ร้องขนาดนี้ แล้วพวกเขาที่ลูกๆ กำลังจะถูกพวกเจ้าเข่นฆ่าเล่าจะไม่เจ็บปวดกว่าพวกเขาหรือ….ไม่มีผู้ใดสงสารเหล่าทหารที่นอนกองอยู่เลยสักคน จากนั้นเจิ้งอี้หลงก็สะบัดพู่กันอีกครั้งกรงที่ขังเหล่าประชาชนเอาไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พวกเขาต่างก็กรูกันออกมาและวิ่งหาลูกหลานของตัวเองทันที“พวกเจ้าหลบไปหาที่ปลอ