บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลง
เมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัย
ตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"
ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง
"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือ
ทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง
"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข้า ผู้ที่ทำพันธสัญญากับข้าแล้ว ข้าคือชิงหลง พู่กันที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ตามเจตจำนงของเจ้านาย"
เจียงหย่าเสวี่ยฟังเสียงในหัวของนางด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยคิดว่าพู่กันนี้จะมีชีวิตและสามารถสื่อสารกับนางได้
"เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้? แล้วข้าต้องใช้เจ้าอย่างไร?" เจียงหย่าเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
"ชิงหลงมีพลังในการลิขิตสิ่งที่ท่านต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์หรือทำลายล้าง เพียงแต่เจ้านายต้องใช้พลังของข้าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และมั่นคง จึงจะสามารถควบคุมพลังที่รังสรรค์ออกมาได้ ข้าคือสัญลักษณ์แห่งพลังของสวรรค์ สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง ท่านสามารถใช้ข้าเขียนคำลิขิตหรือวาดสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต วัตถุ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทุกสิ่งที่ท่านรังสรรค์จะก่อกำเนิดขึ้นจากพลังแห่งข้า แต่จงระวัง เพราะพลังของข้าคือการลิขิตชะตา สิ่งที่ท่านวาดไม่ได้เพียงเกิดขึ้นเท่านั้น แต่มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสายธารแห่งชะตากรรมด้วย ดังนั้นจงใช้พลังข้าอย่างรอบคอบและด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์" ชิงหลงตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและมั่นคง
เจียงหย่าเสวี่ยนิ่งคิด นางรู้สึกทั้งทึ่งและตื่นเต้นกับพลังของชิงหลง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นางไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างไม่ระมัดระวัง นางรู้ว่าพลังที่ยิ่งใหญ่นี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางและคนรอบข้างได้ แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลดีหรือผลร้ายอย่างไร
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็เห็นป้าจวงกวักมือเรียกอยู่นางจึงเดินกลับมา ป้าจวงเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชาในมือ นางมองเจียงหย่าเสวี่ยที่ยืนถือพู่กันอยู่ด้วยความสงสัย
"คุณหนูดื่มชาให้อบอุ่นร่างกายของเจ้าค่ะ คุณหนูป่วยมานานอย่าเดินเยอะจนเกินไป ค่อยๆ ออกกำลังและบำรุงนะเจ้าคะ แล้วนั่นคือพู่กันอะไรหรือเจ้าคะ? ป้าไม่เห็นมาก่อนเลย" ป้าจวงถามด้วยความสงสัย นางมองพู่กันในมือของเจียงหย่าเสวี่ยด้วยสายตาที่จับจ้อง
เจียงหย่าเสวี่ยเก็บพู่กันชิงหลงเข้าไปในเสื้อของนางทันที นางยิ้มบาง ๆ ให้กับป้าจวงและตอบว่า "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกป้าจวง ข้าแค่รู้สึกอยากสูดอากาศยามเช้า ส่วนพู่กันนี่ข้าได้มานานแล้ว ดีที่หยิบมันมาด้วย"
ป้าจวงพยักหน้า แม้จะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม นางยื่นน้ำชาให้เจียงหย่าเสวี่ย "นี่เจ้าค่ะน้ำแกงไก่ร้อน ๆ สำหรับเช้านี้ ท่านต้องบำรุงร่างกายมาก ๆ จะได้ฟื้นตัวไว ๆ บ่าวต้มน้ำแกงไก่ และก็ใส่โสมที่ได้มาลงไป คุณหนูดื่มสักหน่อยร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วเจ้าค่ะ " ป้าจวงบอกพลางมองดูคุณหนูของนางอย่างพินิจ ....เหมือนว่าจะมีอะไรไม่เหมือนคุณหนูคนเดิมแต่นางก็บอกไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มรับน้ำแกงมาดื่ม ขณะที่ดื่มนางได้กลิ่นหอมของโสมที่อยู่ในน้ำแกง พลางคิดว่า การใช้โสมนั้นต้องใช้เงินมาก นางไม่สามารถห้ามความกังวลที่เกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้บ้านนางเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ ความคิดเรื่องเงินทองที่ลดลงทำให้นางรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง นางหันไปถามป้าจวงด้วยความห่วงใย "ป้าจวง น้ำแกงนี้มีให้ท่านแม่ด้วยหรือไม่? ข้ารู้ว่าท่านแม่เหนื่อยมากที่ต้องดูแลข้าตลอดทาง" ป้าจวงยิ้มและพยักหน้า "มีเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าเตรียมไว้ให้ท่านแม่ของคุณหนูด้วยแล้ว" เจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกโล่งใจและขอบคุณในใจ นางรู้สึกขอบคุณป้าจวงที่คอยดูแลนางและครอบครัวของเจียงหย่าเสวี่ยอย่างเต็มที่แม้สถานการณ์ทางการเงินจะไม่ค่อยดี แต่เพราะว่าคุณหนูป่วยมานาน หมอที่สั่งยาจึงบอกว่าจำเป็นที่จะต้องให้ดื่มน้ำแกงโสม แม้ว่าเงินที่มีจะไม่เยอะแต่พวกนางก็ซื้อทันทีโดยที่ไม่ลังเลย หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว นางก็หันไปมองที่พู่กันในเสื้อของนางอีกครั้ง นางรู้ว่าตนเองต้องเรียนรู้วิธีใช้พลังนี้เพื่อปกป้องครอบครัวเจียงและต่อสู้กับอันตรายที่อาจกำลังจะมาถึง
ช่วงบ่าย เจียงหย่าเสวี่ยตัดสินใจทดลองใช้พลังของชิงหลง นางเลือกที่จะลองใช้พู่กันนี้ในการวาดสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เพื่อทดสอบว่าพลังของมันเป็นจริงหรือไม่ นางหากระดาษและน้ำหมึกมา แล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนาง
"ข้าจะลองวาดไก่และไข่ไก่" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง นางค่อย ๆ จับพู่กันชิงหลงและเริ่มลงมือวาดภาพไก่และไข่ไก่บนกระดาษ ทันทีที่เส้นแรกสัมผัสกับกระดาษ แสงสีฟ้าประกายออกมาจากปลายพู่กัน เส้นสายที่นางวาดออกมานั้นเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ ราวกับมีชีวิตชีวาและกำลังเต้นรำไปตามจังหวะของพลังวิเศษ เมื่อวาดเสร็จ ไก่ตัวนั้นก็หลุดออกมาจากกระดาษอย่างน่าอัศจรรย์ แสงสีทองกระจายไปรอบ ๆ และกลายเป็นไก่ที่มีชีวิตจริง ๆ พร้อมกับไข่ไก่ที่กลิ้งตกลงมาที่พื้น ไก่ตัวนั้นส่งเสียงร้องก้องกังวาน เสียงนั้นดังก้องไปในป่า และทันใดนั้นเอง พื้นดินรอบ ๆ ก็เหมือนจะตอบรับ พื้นหญ้าสั่นไหวเบา ๆ และลมพัดเข้ามาอย่างอ่อนโยน ราวกับธรรมชาติกำลังยินดีกับการสร้างสรรค์นี้ เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตะลึง นางไม่อยากเชื่อว่าพลังนี้สามารถทำให้สิ่งที่วาดมีชีวิตได้จริง นางหันมองกระดาษที่วาดและพบว่าภาพไก่ที่นางวาดนั้นหายไป เหมือนกับว่ามันได้ก้าวออกมาจากกระดาษและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ แสงสีฟ้ายังคงเรืองรองรอบ ๆ ไก่และไข่ เหมือนกับสิ่งที่นางสร้างขึ้นนี้ยังคงมีพลังแห่งสวรรค์แฝงอยู่
"มัน...เป็นจริง!" นางอุทานออกมา นางไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นความจริง นางหันไปมองกระดาษอีกครั้งและตัดสินใจลองวาดรูปนก นางค่อย ๆ วาดรูปนกด้วยความตั้งใจ เส้นสายดูมีชีวิตชีวา และทันทีที่วาดเสร็จ แสงสีฟ้าประกายขึ้นจากกระดาษอีกครั้ง นกตัวเล็ก ๆ ที่นางวาดขึ้นมาด้วยพู่กันชิงหลงก็ค่อย ๆ หลุดออกมาจากกระดาษและกลายเป็นนกจริง ๆ ที่บินออกไปสู่อิสระบนท้องฟ้า นางมองดูนกที่บินออกไปด้วยความตะลึงและตื่นเต้น
เสียงของชิงหลงดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง "เจ้านาย ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถทำให้สิ่งที่เจ้าวาดหรือเขียนกลายเป็นจริงได้ พลังของข้ามีมากมายมหาศาล แต่เจ้านายต้องใช้มันด้วยความระมัดระวังและด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน"
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงพลังที่นางได้รับมา แต่นางก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของความรับผิดชอบเช่นกัน นางไม่สามารถใช้พลังนี้โดยประมาทได้ นางต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันให้ดี เพื่อที่จะสามารถใช้มันในการปกป้องครอบครัวเจียงและช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
ทันใดนั้น เจียงหย่าเสวี่ยก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา นางหันไปมองชิงหลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง "แล้วข้าสามารถวาดเงินได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าคิดว่าเงินที่มีในบ้านน่าจะเหลือน้อยแล้ว..."
ทันใดนั้นเอง ชิงหลงตอบเสียงดังและแข็งกร้าวทันทีแบบไม่ย่อมผ่อนปรนในเรื่องนี้เด็ดขาด
"ไม่ได้!!!!"
น้ำเสียงของชิงหลงทำให้เจียงหย่าเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย นางมองพู่กันในมือด้วยสีหน้าตกใจ แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ นางพูดกับตัวเองอย่างขบขัน "เอาล่ะ เอาละ!!!ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเสียงแข็งขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่ลองถามดูเท่านั้นเอง ( เผื่อว่าจะฟลุก ) ไม่คิดว่าชิงหลงจะจริงจังขนาดนี้"
นางยิ้มขำกับท่าทีของพู่กันที่ดูเหมือนจะมีบุคลิกของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ท่านแม่เจียงซิ่วเหยาก็ตื่นขึ้นมา นางหันไปหาลูกสาวตามปกติ แต่เมื่อไม่เห็นเจียงหย่าเสวี่ยนอนอยู่ข้าง ๆ นางก็รู้สึกใจหาย ความกังวลเริ่มเข้ามาในใจ นางรีบลุกขึ้นและเดินออกจากรถม้าอย่างรวดเร็ว นางมองไปรอบ ๆ ค่ายพักด้วยความเร่งรีบ จนกระทั่งนางเห็นร่างผอมบางของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความห่วงและความกังวลที่มีต่อบุตรสาวค่อย ๆ เบาบางลง
เจียงซิ่วเหยาเดินเข้ามาหาเจียงหย่าเสวี่ยและนั่งลงข้าง ๆ อย่างแผ่วเบา
"มานั่งทำอะไรตรงนี้ลูก เจ้าเพิ่งจะหายป่วยอย่าให้โดนลมมาก "
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของลูกสาวอีกเมื่อเห็นว่าร่างกายของนางไม่ร้อนและหน้าตาก็สดใสขึ้นนางจึงเบาใจ
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงความห่วงใยที่แท้จริงที่มาจากฝ่ามือที่แตะที่หน้าผากของนาง ...ท่านแม่คนนี้ดีจังเลย เจียงหย่าเสวี่ยคิด เพราะว่าชีวิตก่อนนั้นนางเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด เพราะพ่อแม่ของนางเอานางมาทิ้งเอาไว้ที่หน้าประตู นางต้องเติบโตท่ามกลางความโดดเดี่ยวและการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่โชคดีที่นางมีพรสวรรค์ทางศิลปะที่โดดเด่น นางเริ่มวาดรูปตั้งแต่ยังเด็ก ภาพที่นางวาดนั้นเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและสื่ออารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้นางได้รับความสนใจจากครูผู้ดูแล
ด้วยความสามารถทางศิลปะของนาง นางจึงได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากมูลนิธิเด็กกำพร้า จนกระทั่งได้เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะที่มีชื่อเสียง นางตั้งใจเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก นางใช้เวลาส่วนใหญ่กับการวาดภาพจนกลายเป็นอัจฉริยะด้านการวาดภาพ และมีชื่อเสียงมากในวงการศิลปะ แม้นางจะได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียง แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวในหัวใจนั้นก็ไม่เคยหายไป จนกระทั่งนางมาอยู่ในชาตินี้ นางเพิ่งได้สัมผัสถึงความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นครั้งแรก ...มันดีจริงๆ เจียงหย่าเสวี่ยคิด
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและจับมือท่านแม่ นางรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ด้วยพลังของพู่กันชิงหลงและความรักที่นางมีต่อครอบครัว นางจะสามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคและปกป้องครอบครัวเจียงให้ปลอดภัยได้ นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่นางรักได้อีกต่อไป จากนั้นนางก็หันหลังและร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า…
“ท่านแม่เจ้าคะ!!! ดูนั่น ตรงนั้น….นั่นมันแม่ไก่นี่เจ้าคะ…มีไข่ด้วยเจ้าค่ะ….” จากนั้นรีบวิ่งไปจับมาทันที ( ไก่ไม่บินหนีด้วยนะ )
เนียนๆ เลย…
****ไม่ยอมให้วาดเงิน ไม่งั้นน้องสบายเลย 555 ***
**** สิ่งที่ไรท์ต้องการ....หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้นและคอมเมนต์มาเมาท์มอย ชี้แนะค่ะ จะได้อ่านนิยายสนุกด้วยกันทั้งคนเขียนและคนอ่าน *****
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ
บทที่ 14 พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าพ่อของข้าเป็นใคร!!!! เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวกำลังเดินทางไปที่ร้านรถม้าด้วยความร่าเริง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นรถม้าใหม่ที่พวกเขาวางแผนจะซื้อ ระหว่างทางพวกเขาทั้งเจ็ดคนหยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของอย่างสนุกสนาน"ข้าชอบปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มากดูสิ มันช่างงดงามเหลือเกิน" อาหงคุยกับเสี่ยวจิวพลางลูบและยกเครื่องประดับขึ้นมากันดู"เช่นนั้นก็ซื้อเลยพี่อาหง วันนี้เราจะซื้อทุกอย่างที่เราชอบ!" เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่นางหยิบผ้าปักลายมังกรที่มีสีสันสวยงามขึ้นมา มันเป็นผ้าคลุมไหล่ที่ปักได้สวยมาก งานแฮนด์เมดชัดเจนนางจึงหยิบมา 5-6 ชิ้นเอาคละสีกัน และยังเดินดูพวกขนสัตว์ต่างๆ ด้วย ท่านแม่นั้นตอนนี้กำลังเลือกอยู่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ขนสัตว์พวกนี้จะช่วยได้มาก พวกนางขนซื้อจนเถ้าแก่ยิ้มปากกว้างเกือบถึงหูทีเดียว"ไม่ทราบว่าจะให้ทางร้านไปส่งที่หรือขอรับ ซื้อเยอะขนาดนี้ทางร้านมีบริการส่ง""ไปส่งไว้ที่โรงเตี้ยมอิงฮวาเถอะ" ป้าจวงเป็นคนบอก แน่นอนว่าทุกคนในเมืองนั้นรู้ว่าโรงเตี้ยมอิงฮวานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นโรงเตี้ยมที
บทที่ 21 ข้าต้องการหย่าภายในห้องพักที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ฉินหลินเหม่ยนั่งอยู่บนเตียงโดยมีลูกสาวน้อยที่เพิ่งเกิดนอนอยู่ข้าง ๆ นางมองลูกน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเศร้า น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของนางอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ความคิดและความทรงจำหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของนาง ภาพของท่านเจ้าเมืองที่เมินเฉยต่อความรู้สึกของนาง ภาพของครอบครัวของเขาที่ไม่เคยยอมรับนางในฐานะภรรยา ไม่ว่านางจะพยายามเอาอกเอาใจพวกเขามากแค่ไหน เพราะความรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวของเขาอับอาย “ลูกน้อยของแม่...” นางกระซิบเบา ๆ ขณะที่ลูบศีรษะทารกน้อยอย่างอ่อนโยน“แม่เสียใจที่แม่ไม่สามารถมอบครอบครัวที่อบอุ่นให้เจ้าได้ แม่ทำให้เจ้าต้องเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ช่างเป็นหญิงร้ายกาจ ไร้ยางอายสิ้นดี…”ความทรงจำในวันที่นางวางยาและมอมเหล้าท่านเจ้าเมืองผุดขึ้นมาในหัวของนาง นางยิ้มเยาะตัวเองด้วยความขมขื่น “ข้าช่างเป็นหญิงที่ไร้ค่า สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่ข้าต้องการ แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด และตอนนี้แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็เกือบจะเสียไป…”น้ำตาของฉิน
บทที่ 20 คลอดก่อนกำหนดหลังจากที่ออกจากร้านขายภาพ ท่านแม่บอกว่าจะไปที่จวนท่านเจ้าเมืองเพราะว่าวันก่อนนั้นฮูหยินท่านเจ้าเมืองได้ส่งคนมาแจ้งว่าให้ไปดื่มน้ำชาที่จวน เจียงหย่าเสวี่ยและคณะหลังจากเดินดูร้านรวงครู่หนึ่งก็ได้เดินทางมาที่จวนของท่านเจ้าเมือง และขอเข้าพบกับฮูหยินตามนัดหมาย ทั้งหมดต่างมีท่าทางผ่อนคลายและยิ้มแย้มแต่ทันทีที่เข้ามาถึงประตูหน้าจวน ท่าทีผ่อนคลายกลับเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียด เมื่อเสียงโหวกเหวกของบ่าววิ่งมาทางพวกนาง พร้อมกับเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเร่งด่วน“ช่วยด้วย! ฮูหยิน! ฮูหยินกำลังจะคลอด! ไปตามหมอตำแยเร็วเข้า!! มีใครว่างรีบไปเร็ว” เสียงของบ่าวรับใช้คนสนิทของฉินฮูหยินที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลทำให้ทุกคนหยุดชะงัก“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?" เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนที่นางพบที่เมืองชิงเฉิน“คุณหนูคือว่าฮูหยินของบ่าวถูกกระแทกหกล้มเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่านางจะคลอดแล้ว ข้า ข้าเห็นมีน้ำและเลือดไหลออกมา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยฮูหยินของบ่าวด้วย”สาวใช้นั้นจำได้ว่าพวกนางเคยช่วยชีวิตฉินฮูหยินเอาไว้ที่เมืองชิงเฉินครั้งนั้นนางจึงได้เอ่ยออกไปเพราะว่าไม่รู้จะทำอย่างไร“แล้
บทที่ 19 จิตรกรเอกแห่งยุคหลังจากที่นางเอกได้มาถึงเมืองอวี้ไห่ พวกเขาก็หาบ้านเช่าระหว่างที่รอให้บ้านของตัวเองที่ซื้อที่และกำลังก่อสร้าง ซึ่งท่านเจ้าเมืองเองก็เป็นผู้เสนอว่าให้พวกนางหาที่พักชั่วคราวก่อน นางจึงยินดีรับข้อเสนอและเลือกบ้านเช่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่ดินที่พวกนางกำลังก่อสร้าง การเช่าเป็นเพียงแค่ระยะเวลาชั่วคราวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบ้านใหม่ที่จะสร้างขึ้นในไม่ช้านี้เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวก็ตัดสินใจที่จะออกเดินดูเมืองอวี้ไห่ นางอยากจะสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเมืองและสำรวจสถานที่สำคัญต่างๆ ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและผู้คนที่มีน้ำใจ ร้านค้าต่าง ๆ ตั้งเรียงรายตามท้องถนน มีทั้งร้านขายอาหาร ร้านขายผ้า และร้านขายเครื่องประดับ ทั้งหมดเต็มไปด้วยสีสันและความสดใสของเมืองท่าแห่งนี้ในขณะที่นางกำลังเดินไปตามท้องถนนกับท่านแม่ป้าจวงและเสี่ยวลิ้ว นางก็พบกับร้านหนึ่งที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ หน้าร้านที่มีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านหน้าเป็นรูปพู่กันและกระดาษ แผ่นป้ายสีทองถลอกๆ นั้นมีตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างสวยงาม "ร้านศิลป์เฉินหรู"เจียงหย่าเสวี่ยหยุดเดินและมองเข้าไปใน
บทที่ 18 ซื้อที่ดิน หลังจากทานอาหารและพักผ่อนจนหายเหนื่อยพวกเขาก็เดินทางต่อขบวนมาถึงเมืองอวี้ไห่ในตอนที่ใกล้จะค่ำแล้ว ป้าจวงรีบให้อาหานไปจัดการเรื่องที่พัก โดยพวกนางนั้นเข้าพักโรงเตี้ยมขนาดใหญ่เช่นเดิมและเมื่อเข้าพักเรียบร้อย คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันต้องการที่จะกลับทันที แต่ว่าเจียงหย่าเสวี่ยนั้นบอกว่าให้เขาพักที่นี่ก่อนสัก 2-3 วันเพราะว่านางมีเรื่องอยากจะปรึกษาพวกเขาและนางได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มให้พวกเขาอีกเท่าตัว และยังให้เงินพิเศษให้พวกเขาหาซื้อข้าวของไปฝากครอบครัวพวกเขาอีกคนละ 100 ตำลึงซึ่งทั้ง 4 คนนั้นเมื่อได้ทั้งค่าจ้างเพิ่มและยังได้เงินพิเศษพวกเขาจึงไม่ปฎิเสธเช้าวันต่อมาพวกนางนั้นให้อาหานไปถามเสี่ยวเออเพื่อที่จะขอที่อยู่ของจวนเจ้าเมือง เพื่อที่จะได้ส่งเทียบขอเข้าพบฮูหยินของท่านเจ้าเมืองซึ่งก็เป็นไปอย่างราบรื่นมากเพราะว่าฮูหยินท่านเจ้าเมืองนั้นก็รอการมาถึงของพวกนางอยู่ ขบวนของนางจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองอวี้ไห่ ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่โตและสง่างาม มีรั้วล้อมรอบอย่างเป็นระเบียบ พวกบ่าวรับใช้ต่างพากันมองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นขบวนม้าที่หรูหราและงดงามเช่นนี้มาขอพบท่านเจ้าเมืองอวี้ไห่
บทที่ 17 สงสัย / ม้านิลมังกรมาแล้ว ในตอนที่ทั้งสองเดินจูงม้าสีขาวสองตัวออกมา ป้าจวงมีสีหน้าที่น้อยอกน้อยใจเล็กน้อย และมีการมองเคืองไปที่คุณหนูเล็กของนางเป็นบางครั้ง ซึ่งต่างจากเจียงหย่าเสวี่ยที่เดินยิ้มหน้าบาน มือไพล่หลังนำหน้ามาก่อน จะไม่ให้ป้าจวงหน้างอได้อย่างไร เมื่อนางบอกว่าอยากจะได้ม้าสีดำคุณหนูเล็กกลับบอกว่าให้รอถึงเมืองอวี้ไห่ก่อน เพราะว่าตอนนี้ม้าสองตัวนี้จะต้องมีคนขี่มัน หากว่าป้าจวงมีม้าสีดำแล้ว ใครจะเป็นคนขับรถม้าเล่าป้าจวงจึงขัดใจและเดินลากขาตามมาอย่างหมดอารมณ์"คุณหนูเล็ก ท่านช่างทำร้ายจิตใจหญิงชราเช่นข้ายิ่งนัก ข้าอยากจะมีม้าสีดำของตัวเองจริงๆ นะเจ้าคะ" ป้าจวงพูดพร้อมถอนหายใจเงียบ ๆ นางเหลือบมองม้าสีขาวที่เดินข้าง ๆ ด้วยความอิจฉาเจียงหย่าเสวี่ยหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง"ป้าจวงท่านก็ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเชียวนะเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงอวี้ไห่แล้ว ข้าจะวาดม้าสีดำแสนสวยให้ท่านแน่นอน ข้าเพียงต้องการให้ท่านช่วยดูแลรถม้าของพวกเราก่อนจะถึงที่นั่นเท่านั้นเอง หากว่าข้านำม้าสีดำออกมาคนของพวกเราก็จะไม่พอใครจะเป็นคนขี่ม้าขาวสองตัวนี่เล่าเจ้าค่ะ ใจเย็นๆ อดทน อดทน ฮ่าฮ่าฮ่า!!! " นาง
บทที่ 16 เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิล รวดเร็วประดุจสายลมหลังจากปัญหาเล็กๆ ที่ตัวใหญ่วิ่งหนีหายไป หลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานก็เดินมาหากลุ่มของเจียงหย่าเสวี่ย และได้ทราบว่าพวกนางต้องการรถม้าเพื่อที่จะใช้เดินทางไปเมืองอวี้ไห่ต่อไป หลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสนอตัวเป็นผู้ช่วยในทันที"ข้ารู้ดีว่าในเมืองนี้ที่ไหนมีรถม้าที่ดีที่สุดให้ข้าจะพาท่านไปเถอะขอรับ" เมื่อมีคนเขาอาสาพวกนางก็ไม่ขัดอยู่แล้วหลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานนำพวกเจียงหย่าเสวี่ยไปยังร้านขายรถม้าขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเป็นร้านที่เป็นสาขาของโรงประมูลมังกรเหินนั้นเอง เมื่อมาถึงเถ้าแก่ร้านเห็นหลงจู๊ฟู่พามาก็เข้าใจในทันทีว่าคนกลุ่มนี้ VVIP อย่างแน่นอนเขารีบเดินออกมารับด้วยตัวเองและเอ่ยต้อนรับอย่างสุภาพ"ยินดีต้อนรับท่านฮูหยินและคุณหนู พวกท่านมองหารถม้าแบบใดหรือขอรับ? ที่ร้านของเรามีรถม้าหรูหราหลากหลายแบบให้ท่านเลือกสรร"ภายในร้านที่เต็มไปด้วยรถม้าหลากหลายแบบ ทั้งคันใหญ่ คันเล็ก หรูหราและเรียบง่ายเจียงหย่าเสวี่ยยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า “ข้าต้องการรถม้าที่ดีที่สุด แข็งแรง สะดวกสบาย และหรูหราเพียงพอสำหรับการเดินทางไกล”เถ้าแก่ร้านยิ้มอย่
บทที่ 15 เจ้ารู้หรือไม่ ป้าจวงคือใคร???!!!เจียงหย่าเสวี่ยที่มาจากอนาคตนั้นรู้ทันทีว่าประโยคต่อมาที่คุณชายท่านนี้จะพูดนั้นคืออะไร"หากว่าข้าเดาไม่ผิด ประโยคต่อมาที่เจ้าจะพูดก็คือ... พวกเจ้ารู้ไหมว่าพ่อของข้าเป็นใครใช่หรือไม่!!!!""เจ้า!!! เจ้ากล้ามากที่มาพูดจาเช่นนี้กับข้า! ทั่วทั้งชิงเฉินนี่มีใครไม่รู้บ้างว่ามีแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถพูดประโยคนี้ได้ " ฉินหลงแค่นเสียง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง"แต่ถึงเจ้าจะพูดไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะต้องได้พูดประโยคนี้ด้วย!!! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าฉินหลง ข้าเป็นลูกชายของเจ้าเมืองชิงเฉิน! พ่อของข้าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนี้และไม่มีใครกล้าหือกับข้า!!"พูดเสร็จก็ยกกำปั้นอวบอ้วนของตัวเองขึ้นฟ้า และเชิดหน้าเล็กน้อย ถ้าหากว่าเป็นคนที่ผอมกว่านี้ทำมันอาจจะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้แต่นี่เพราะเขาอ้วนมากเมื่อยกกำปั้นเงยหน้าก็เลยเป็นภาพที่ดูตลกเสียมากกว่าตอนนี้ผู้คนต่างก็เมียงมองและไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวพลางคิดสงสารกลุ่มเจียงหย่าเสวี่ยที่อุตส่าห์เข้าช่วยเหลือคนแต่กลับจะมีปัญหากับลูกอันธพาลของท่านเจ้าเมืองเสียแล้ว เฮ้ออ....
บทที่ 14 พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าพ่อของข้าเป็นใคร!!!! เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวกำลังเดินทางไปที่ร้านรถม้าด้วยความร่าเริง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นรถม้าใหม่ที่พวกเขาวางแผนจะซื้อ ระหว่างทางพวกเขาทั้งเจ็ดคนหยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของอย่างสนุกสนาน"ข้าชอบปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มากดูสิ มันช่างงดงามเหลือเกิน" อาหงคุยกับเสี่ยวจิวพลางลูบและยกเครื่องประดับขึ้นมากันดู"เช่นนั้นก็ซื้อเลยพี่อาหง วันนี้เราจะซื้อทุกอย่างที่เราชอบ!" เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่นางหยิบผ้าปักลายมังกรที่มีสีสันสวยงามขึ้นมา มันเป็นผ้าคลุมไหล่ที่ปักได้สวยมาก งานแฮนด์เมดชัดเจนนางจึงหยิบมา 5-6 ชิ้นเอาคละสีกัน และยังเดินดูพวกขนสัตว์ต่างๆ ด้วย ท่านแม่นั้นตอนนี้กำลังเลือกอยู่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ขนสัตว์พวกนี้จะช่วยได้มาก พวกนางขนซื้อจนเถ้าแก่ยิ้มปากกว้างเกือบถึงหูทีเดียว"ไม่ทราบว่าจะให้ทางร้านไปส่งที่หรือขอรับ ซื้อเยอะขนาดนี้ทางร้านมีบริการส่ง""ไปส่งไว้ที่โรงเตี้ยมอิงฮวาเถอะ" ป้าจวงเป็นคนบอก แน่นอนว่าทุกคนในเมืองนั้นรู้ว่าโรงเตี้ยมอิงฮวานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นโรงเตี้ยมที
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ