บทที่ 5 พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลง
คืนที่เงียบสงัดหลังจากที่เจียงหย่าเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ในคืนที่ลมหนาวพัดผ่านทุ่งหญ้าอย่างแผ่วเบา ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวลงมายังค่ายพัก ร่างของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าที่คับแคบ ขณะที่ท่านแม่เจียงซิ่วเหยานั่งข้าง ๆ ด้วยความดีใจสุดขีด นางรีบทำโจ๊กผักอย่างที่ลูกสาวอยากกินมาให้สุดฝีมือ
"เสวี่ยเออร์ กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่นางยกช้อนโจ๊กมาป้อนลูกสาว
"ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องลำบากท่านหรอก"
เจียงหย่าเสวี่ยตอบเบา ๆ แต่ก็รับช้อนจากมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆเจียงซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย นางยิ้มทั้งน้ำตา
"ข้าอยากป้อนเจ้า ให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไป"
หลังจากป้อนโจ๊กเสร็จ เจียงซิ่วเหยาลูบผมลูกสาวและกอดลูกไว้แน่นๆ ราวกับอยากให้ตัวเองมั่นใจว่านางไม่ได้สูญเสียลูกสาวที่รักคนนี้ไปจริง ๆ นางอยากจะมั่นใจว่าลูกยังอยู่ตรงนี้
"ท่านแม่ ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ" เจียงหย่าเสวี่ยพูดปลอบเบา ๆ
เจียงซิ่งเหยาเมื่อป้อนโจ๊กผักให้ลูกสาวเสร็จก็ใช้หน้าผากแตะหน้าผากนางอีกครั้งเป็นการวัดดูว่าลูกสาวยังตัวร้อนอยู่หรือไม่ และเมื่อมั่นใจว่าเจียงหย่าเสวี่ยตัวเย็นลงแล้วโล่งใจลูกของนางปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้ว ในตอนที่ป้าจวงต้มยาให้ ทุกคนต่างก็รีบรุมล้อมและไถ่ถามอาการด้วยความเป็นห่วงเมื่อทราบว่าตอนนี้คุณหนูไม่เป็นอะไรแล้วพวกเขาต่างๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะว่าที่ผ่านมานั้นพวกเขาก็ทราบว่าคุณหนูอาการหนักจริงๆ แต่เมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้ความกังวลต่างๆ ก็ลดลงทันที
เมื่อให้ลูกสาวกินยาและจัดผ้าห่มให้เรียบร้อย นางก็ค่อยๆ นอนลงข้าง เพราะความเครียดและความอ่อนล้าทำให้เมื่อหัวถึงหมอนเจียงซิ่วเหยาก็หลับสนิททันที
เวลาผ่านไปหลายชั่วยามทุกสิ่งอย่างตอนนี้อยู่ในความเงียบสงบ ทุกคนต่างก็นอนหลับกันหมดแล้ว หลี่หนิงที่นอนหลับไปพักหนึ่งก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างรอนางอยู่ แสงสว่างน้อย ๆ เริ่มปรากฏขึ้นจากมุมของรถม้า หลี่หนิงหันไปมองด้วยความตกใจ ในที่สุดร่างโปร่งใสของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า นางมีใบหน้าที่อ่อนโยน แต่ก็เต็มไปด้วยความเศร้าและความห่วงใย หลี่หนิงจำได้ทันทีว่านั่นคือเจียงหย่าเสวี่ย คนที่เคยอาศัยอยู่ในร่างนี้ก่อนที่วิญญาณของนางจะมาแทนที่
"เจ้าคือ...เจียงหย่าเสวี่ยใช่หรือไม่?" หลี่หนิงถามขึ้นมา นางไม่รู้ว่าวิญญาณที่อยู่ตรงหน้านั้นมาดีหรือร้าย
วิญญาณเจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้าช้า ๆ นางยิ้มให้หลี่หนิงอย่างอบอุ่น แม้ในแววตาจะเต็มไปด้วยความเศร้า
"ใช่ ข้าคือเจียงหย่าเสวี่ย...หรือเคยเป็นเจียงหย่าเสวี่ยมาก่อน ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะไปข้ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะขอร้องพี่สาวด้วยเจ้าค่ะ"
น้ำเสียงแสนเศร้าของนางและสายตาก็มองไปที่ท่านแม่และน้องชายที่หลับสนิทอยู่หลี่หนิงรู้สึกได้ถึงความเศร้าของนาง จึงได้เอ่ยถามว่านางต้องการให้นางทำอะไร
"เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ? ข้าไม่รู้ว่าข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะพยายามให้เต็มที่ เพราะถึงอย่างไรร่างนี้ก็เป็นร่างของเจ้าที่ข้ามาสิงสู่"
เจียงหย่าเสวี่ยถอนหายใจเบา ๆ นางมองหลี่หนิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
"ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ตั้งใจที่จะมาอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ท่านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวข้าแล้ว ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยดูแลท่านแม่และน้องชายของข้า พวกเขาต้องการใครสักคนที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเขา ข้าเชื่อว่าท่านมีพลังที่จะทำเช่นนั้นได้เจ้าค่ะ"
หลี่หนิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแม้ว่าสิ่งนี่จะเป็นสิ่งที่นางตั้งใจจะทำอยู่แล้วและแววตาของเจียงหย่าเสวี่ยที่เต็มไปด้วยความหวังนั้นทำให้นางไม่คิดจะปฏิเสธได้ "ข้าจะทำตามคำขอของเจ้า ข้าจะดูแลครอบครัวของเจ้าให้ดีที่สุด ข้าสัญญา และข้าขอบคุณเจ้าสำหรับร่างนี้ด้วยข้าจะดูแลร่างของเจ้าให้ดีเช่นกัน ร่างนี้จะปฎิบัติแต่สิ่งที่ดีเพื่อเป็นบุญกุศลให้เจ้าด้วย"
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มอย่างอบอุ่น น้ำตาเอ่อล้นในดวงตานางพยักหน้า ก่อนที่นางจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ขอบคุณ...ขอบคุณท่านมาก ท่านหลี่หนิงข้าเชื่อว่าท่านจะทำได้ นี่ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”
นางยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวและร่างเริ่มจะเลือนราง เสียงของเจียงหย่าเสวี่ยแผ่วเบาราวกับลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้า
"ของสิ่งนั้น...มันกำลังจะตามมา มันจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกท่าน และอาจทำให้ท่านสมปรารถนาในสิ่งที่ท่านต้องการ จงใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด."
ดวงตาของเจียงหย่าเสวี่ยจับจ้องมาที่หลี่หนิงเหมือนต้องการจะย้ำเตือ
"มันกำลังตามนายของมัน...ผู้ที่ได้ทำพันธสัญญาไว้แล้วมันกำลังกลับมา...จงเตรียมตัวให้พร้อม"
หลี่หนิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "ของสิ่งนั้น? มันคืออะไร? แล้วข้าต้องทำอย่างไร? ข้าไม่เข้าใจ..."
แต่ก่อนที่นางจะได้รับคำตอบ เจียงหย่าเสวี่ยกลับค่อย ๆ จางหายไป ร่างโปร่งใสนั้นกลายเป็นแสงเล็ก ๆ แล้วลอยหายไปในความมืด ความเงียบงันกลับมาปกคลุมอีกครั้ง หลี่หนิงนั่งนิ่งอยู่อย่างสับสน นางไม่เข้าใจสิ่งที่เจียงหย่าเสวี่ยบอก แต่ความรู้สึกในใจของนางกลับบอกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมของรถม้า หลี่หนิงหันไปมองและเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งกำลังส่องแสงออกมา มันเป็นพู่กันโบราณด้านนั้น ที่นางได้มาเป็นของขวัญจากลูกศิษย์ก่อนที่ขนของพู่กันที่ดูเหมือนจะนุ่มนวลนั้นกลับมีความแข็งประหนึ่งเข็มที่ทิ่มเข้ามาในนิ้วจนทำให้เลือดของนางไหลออกมา และที่นางจำได้นั้นดูเหมือนว่าพู่กันด้านนี้จะดูดซับเลือดของนางอย่างรวดเร็วด้วย
หลี่หนิงเอื้อมมือไปหยิบพู่กันนั้นขึ้นมา ทันทีที่นิ้วสัมผัสกับด้ามพู่กัน นางรู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนผ่านร่างกายของนาง มันไม่ใช่เพียงแค่พู่กันธรรมดา แต่มันมีพลังบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับอดีตและอนาคต ราวกับว่าวัตถุชิ้นนี้มีจิตวิญญาณของตนเอง นางรู้สึกถึงภาพบางอย่างที่ไหลเวียนเข้ามาในจิตใจ เป็นภาพของการต่อสู้ ภาพของความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา และภาพของครอบครัวเจียงที่กำลังเผชิญกับอันตราย
"นี่คือสิ่งที่เจียงหย่าเสวี่ยพูดถึงหรือ?"
หลี่หนิงพึมพำกับตัวเอง นางรู้สึกถึงความกังวลและความกลัวในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้น นางรู้ว่าตนเองไม่สามารถหันหลังให้กับความรับผิดชอบนี้ได้ นางต้องปกป้องครอบครัวนี้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไร
เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นในหัวของหลี่หนิง มันเป็นเสียงของเจียงหย่าเสวี่ย
"พู่กันนี้จะช่วยท่าน มันมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งให้เป็นไปตามที่ท่านรังสรร ท่านต้องเรียนรู้วิธีใช้มัน...และต้องใช้มันด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์"
หลี่หนิงมองไปที่พู่กันในมือและใช้อีกมือลูบมันเบา ทันใดนั้นเองพู่กันก็เหมือนกับมีชีวิตมันลอยติดตามมือของนางเหมือนกับอยากจะหลอกล้อกับเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น และทันใดนั้นในหัวก็นางก็ปรากฎเสียงดังขึ้นมา..
“เจ้านาย ข้าหาท่านเจอแล้ว.” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น
หลี่หนิงนิ่งงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะทำให้ตัวเองย่อมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นพลางเอ่ยถามว่า
" เจ้าคือใคร "
“ชิงหลง!!!…คือชื่อของข้าหรือหากเป็นชื่อจริงของข้าก็คือ..”
น้ำเสียงที่ดังในหัวของนาง ทำให้นางเหมือนกับเห็นภาพว่าสิ่งที่กำลังพูดนั้นกำลังเชิดหน้าขึ้นและพูดด้วยท่าทางโอ้อวดว่า…
" พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลง"
“พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงอย่างนั้นหรือ!!”
นางเอ่ยเบาๆ พลางใช้มือลูบไปที่ด้านที่ดูเหมือนจะมีชื่อเล็กๆ สลักอยู่ นางกำลังจะเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับชิงหลง แต่ทว่าท่านแม่ที่หลับอยู่พลิกตัวและคว้ามาที่ร่างของนางเหมือนเป็นการทำให้มั่นใจว่านางยังนอนอยู่ข้างๆ หลี่หนิงจึงได้เงียบและนอนนิ่ง นางถอนหายใจเบา ๆ นางเก็บพู่กันไว้ในเสื้อของนางและตัดสินใจว่าพรุ่งนี้นางจะต้องเริ่มค้นหาคำตอบ นางค่อยๆ เอื่อมมือไปคว้ามือของท่านแม่เพื่อทำให้ท่านแม่อุ่นใจว่านางไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เมื่อเจียงซิ่วเหยาสัมผัสมือของลูกสาวได้แล้วนางค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ และหลับสนิทไปอีกครั้ง หลี่หนิงหลับตาลง นางรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ความหวังและความมุ่งมั่นที่นางมีจะทำให้นางสามารถเผชิญกับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึงได้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป นางมีครอบครัวที่ต้องปกป้อง และนางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเขาได้อีกต่อไป
****ผู้ช่วยตามมาแล้ว ****
บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลงเมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัยตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ
บทที่ 21 ข้าต้องการหย่าภายในห้องพักที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ฉินหลินเหม่ยนั่งอยู่บนเตียงโดยมีลูกสาวน้อยที่เพิ่งเกิดนอนอยู่ข้าง ๆ นางมองลูกน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเศร้า น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของนางอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ความคิดและความทรงจำหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของนาง ภาพของท่านเจ้าเมืองที่เมินเฉยต่อความรู้สึกของนาง ภาพของครอบครัวของเขาที่ไม่เคยยอมรับนางในฐานะภรรยา ไม่ว่านางจะพยายามเอาอกเอาใจพวกเขามากแค่ไหน เพราะความรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวของเขาอับอาย “ลูกน้อยของแม่...” นางกระซิบเบา ๆ ขณะที่ลูบศีรษะทารกน้อยอย่างอ่อนโยน“แม่เสียใจที่แม่ไม่สามารถมอบครอบครัวที่อบอุ่นให้เจ้าได้ แม่ทำให้เจ้าต้องเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ช่างเป็นหญิงร้ายกาจ ไร้ยางอายสิ้นดี…”ความทรงจำในวันที่นางวางยาและมอมเหล้าท่านเจ้าเมืองผุดขึ้นมาในหัวของนาง นางยิ้มเยาะตัวเองด้วยความขมขื่น “ข้าช่างเป็นหญิงที่ไร้ค่า สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่ข้าต้องการ แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด และตอนนี้แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็เกือบจะเสียไป…”น้ำตาของฉิน
บทที่ 20 คลอดก่อนกำหนดหลังจากที่ออกจากร้านขายภาพ ท่านแม่บอกว่าจะไปที่จวนท่านเจ้าเมืองเพราะว่าวันก่อนนั้นฮูหยินท่านเจ้าเมืองได้ส่งคนมาแจ้งว่าให้ไปดื่มน้ำชาที่จวน เจียงหย่าเสวี่ยและคณะหลังจากเดินดูร้านรวงครู่หนึ่งก็ได้เดินทางมาที่จวนของท่านเจ้าเมือง และขอเข้าพบกับฮูหยินตามนัดหมาย ทั้งหมดต่างมีท่าทางผ่อนคลายและยิ้มแย้มแต่ทันทีที่เข้ามาถึงประตูหน้าจวน ท่าทีผ่อนคลายกลับเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียด เมื่อเสียงโหวกเหวกของบ่าววิ่งมาทางพวกนาง พร้อมกับเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเร่งด่วน“ช่วยด้วย! ฮูหยิน! ฮูหยินกำลังจะคลอด! ไปตามหมอตำแยเร็วเข้า!! มีใครว่างรีบไปเร็ว” เสียงของบ่าวรับใช้คนสนิทของฉินฮูหยินที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลทำให้ทุกคนหยุดชะงัก“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?" เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนที่นางพบที่เมืองชิงเฉิน“คุณหนูคือว่าฮูหยินของบ่าวถูกกระแทกหกล้มเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่านางจะคลอดแล้ว ข้า ข้าเห็นมีน้ำและเลือดไหลออกมา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยฮูหยินของบ่าวด้วย”สาวใช้นั้นจำได้ว่าพวกนางเคยช่วยชีวิตฉินฮูหยินเอาไว้ที่เมืองชิงเฉินครั้งนั้นนางจึงได้เอ่ยออกไปเพราะว่าไม่รู้จะทำอย่างไร“แล้
บทที่ 19 จิตรกรเอกแห่งยุคหลังจากที่นางเอกได้มาถึงเมืองอวี้ไห่ พวกเขาก็หาบ้านเช่าระหว่างที่รอให้บ้านของตัวเองที่ซื้อที่และกำลังก่อสร้าง ซึ่งท่านเจ้าเมืองเองก็เป็นผู้เสนอว่าให้พวกนางหาที่พักชั่วคราวก่อน นางจึงยินดีรับข้อเสนอและเลือกบ้านเช่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่ดินที่พวกนางกำลังก่อสร้าง การเช่าเป็นเพียงแค่ระยะเวลาชั่วคราวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบ้านใหม่ที่จะสร้างขึ้นในไม่ช้านี้เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวก็ตัดสินใจที่จะออกเดินดูเมืองอวี้ไห่ นางอยากจะสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเมืองและสำรวจสถานที่สำคัญต่างๆ ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและผู้คนที่มีน้ำใจ ร้านค้าต่าง ๆ ตั้งเรียงรายตามท้องถนน มีทั้งร้านขายอาหาร ร้านขายผ้า และร้านขายเครื่องประดับ ทั้งหมดเต็มไปด้วยสีสันและความสดใสของเมืองท่าแห่งนี้ในขณะที่นางกำลังเดินไปตามท้องถนนกับท่านแม่ป้าจวงและเสี่ยวลิ้ว นางก็พบกับร้านหนึ่งที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ หน้าร้านที่มีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านหน้าเป็นรูปพู่กันและกระดาษ แผ่นป้ายสีทองถลอกๆ นั้นมีตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างสวยงาม "ร้านศิลป์เฉินหรู"เจียงหย่าเสวี่ยหยุดเดินและมองเข้าไปใน
บทที่ 18 ซื้อที่ดิน หลังจากทานอาหารและพักผ่อนจนหายเหนื่อยพวกเขาก็เดินทางต่อขบวนมาถึงเมืองอวี้ไห่ในตอนที่ใกล้จะค่ำแล้ว ป้าจวงรีบให้อาหานไปจัดการเรื่องที่พัก โดยพวกนางนั้นเข้าพักโรงเตี้ยมขนาดใหญ่เช่นเดิมและเมื่อเข้าพักเรียบร้อย คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันต้องการที่จะกลับทันที แต่ว่าเจียงหย่าเสวี่ยนั้นบอกว่าให้เขาพักที่นี่ก่อนสัก 2-3 วันเพราะว่านางมีเรื่องอยากจะปรึกษาพวกเขาและนางได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มให้พวกเขาอีกเท่าตัว และยังให้เงินพิเศษให้พวกเขาหาซื้อข้าวของไปฝากครอบครัวพวกเขาอีกคนละ 100 ตำลึงซึ่งทั้ง 4 คนนั้นเมื่อได้ทั้งค่าจ้างเพิ่มและยังได้เงินพิเศษพวกเขาจึงไม่ปฎิเสธเช้าวันต่อมาพวกนางนั้นให้อาหานไปถามเสี่ยวเออเพื่อที่จะขอที่อยู่ของจวนเจ้าเมือง เพื่อที่จะได้ส่งเทียบขอเข้าพบฮูหยินของท่านเจ้าเมืองซึ่งก็เป็นไปอย่างราบรื่นมากเพราะว่าฮูหยินท่านเจ้าเมืองนั้นก็รอการมาถึงของพวกนางอยู่ ขบวนของนางจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองอวี้ไห่ ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่โตและสง่างาม มีรั้วล้อมรอบอย่างเป็นระเบียบ พวกบ่าวรับใช้ต่างพากันมองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นขบวนม้าที่หรูหราและงดงามเช่นนี้มาขอพบท่านเจ้าเมืองอวี้ไห่
บทที่ 17 สงสัย / ม้านิลมังกรมาแล้ว ในตอนที่ทั้งสองเดินจูงม้าสีขาวสองตัวออกมา ป้าจวงมีสีหน้าที่น้อยอกน้อยใจเล็กน้อย และมีการมองเคืองไปที่คุณหนูเล็กของนางเป็นบางครั้ง ซึ่งต่างจากเจียงหย่าเสวี่ยที่เดินยิ้มหน้าบาน มือไพล่หลังนำหน้ามาก่อน จะไม่ให้ป้าจวงหน้างอได้อย่างไร เมื่อนางบอกว่าอยากจะได้ม้าสีดำคุณหนูเล็กกลับบอกว่าให้รอถึงเมืองอวี้ไห่ก่อน เพราะว่าตอนนี้ม้าสองตัวนี้จะต้องมีคนขี่มัน หากว่าป้าจวงมีม้าสีดำแล้ว ใครจะเป็นคนขับรถม้าเล่าป้าจวงจึงขัดใจและเดินลากขาตามมาอย่างหมดอารมณ์"คุณหนูเล็ก ท่านช่างทำร้ายจิตใจหญิงชราเช่นข้ายิ่งนัก ข้าอยากจะมีม้าสีดำของตัวเองจริงๆ นะเจ้าคะ" ป้าจวงพูดพร้อมถอนหายใจเงียบ ๆ นางเหลือบมองม้าสีขาวที่เดินข้าง ๆ ด้วยความอิจฉาเจียงหย่าเสวี่ยหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง"ป้าจวงท่านก็ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเชียวนะเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงอวี้ไห่แล้ว ข้าจะวาดม้าสีดำแสนสวยให้ท่านแน่นอน ข้าเพียงต้องการให้ท่านช่วยดูแลรถม้าของพวกเราก่อนจะถึงที่นั่นเท่านั้นเอง หากว่าข้านำม้าสีดำออกมาคนของพวกเราก็จะไม่พอใครจะเป็นคนขี่ม้าขาวสองตัวนี่เล่าเจ้าค่ะ ใจเย็นๆ อดทน อดทน ฮ่าฮ่าฮ่า!!! " นาง
บทที่ 16 เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิล รวดเร็วประดุจสายลมหลังจากปัญหาเล็กๆ ที่ตัวใหญ่วิ่งหนีหายไป หลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานก็เดินมาหากลุ่มของเจียงหย่าเสวี่ย และได้ทราบว่าพวกนางต้องการรถม้าเพื่อที่จะใช้เดินทางไปเมืองอวี้ไห่ต่อไป หลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสนอตัวเป็นผู้ช่วยในทันที"ข้ารู้ดีว่าในเมืองนี้ที่ไหนมีรถม้าที่ดีที่สุดให้ข้าจะพาท่านไปเถอะขอรับ" เมื่อมีคนเขาอาสาพวกนางก็ไม่ขัดอยู่แล้วหลงจู๊ฟู่เสี่ยวหานนำพวกเจียงหย่าเสวี่ยไปยังร้านขายรถม้าขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเป็นร้านที่เป็นสาขาของโรงประมูลมังกรเหินนั้นเอง เมื่อมาถึงเถ้าแก่ร้านเห็นหลงจู๊ฟู่พามาก็เข้าใจในทันทีว่าคนกลุ่มนี้ VVIP อย่างแน่นอนเขารีบเดินออกมารับด้วยตัวเองและเอ่ยต้อนรับอย่างสุภาพ"ยินดีต้อนรับท่านฮูหยินและคุณหนู พวกท่านมองหารถม้าแบบใดหรือขอรับ? ที่ร้านของเรามีรถม้าหรูหราหลากหลายแบบให้ท่านเลือกสรร"ภายในร้านที่เต็มไปด้วยรถม้าหลากหลายแบบ ทั้งคันใหญ่ คันเล็ก หรูหราและเรียบง่ายเจียงหย่าเสวี่ยยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า “ข้าต้องการรถม้าที่ดีที่สุด แข็งแรง สะดวกสบาย และหรูหราเพียงพอสำหรับการเดินทางไกล”เถ้าแก่ร้านยิ้มอย่
บทที่ 15 เจ้ารู้หรือไม่ ป้าจวงคือใคร???!!!เจียงหย่าเสวี่ยที่มาจากอนาคตนั้นรู้ทันทีว่าประโยคต่อมาที่คุณชายท่านนี้จะพูดนั้นคืออะไร"หากว่าข้าเดาไม่ผิด ประโยคต่อมาที่เจ้าจะพูดก็คือ... พวกเจ้ารู้ไหมว่าพ่อของข้าเป็นใครใช่หรือไม่!!!!""เจ้า!!! เจ้ากล้ามากที่มาพูดจาเช่นนี้กับข้า! ทั่วทั้งชิงเฉินนี่มีใครไม่รู้บ้างว่ามีแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถพูดประโยคนี้ได้ " ฉินหลงแค่นเสียง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง"แต่ถึงเจ้าจะพูดไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะต้องได้พูดประโยคนี้ด้วย!!! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าฉินหลง ข้าเป็นลูกชายของเจ้าเมืองชิงเฉิน! พ่อของข้าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนี้และไม่มีใครกล้าหือกับข้า!!"พูดเสร็จก็ยกกำปั้นอวบอ้วนของตัวเองขึ้นฟ้า และเชิดหน้าเล็กน้อย ถ้าหากว่าเป็นคนที่ผอมกว่านี้ทำมันอาจจะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้แต่นี่เพราะเขาอ้วนมากเมื่อยกกำปั้นเงยหน้าก็เลยเป็นภาพที่ดูตลกเสียมากกว่าตอนนี้ผู้คนต่างก็เมียงมองและไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวพลางคิดสงสารกลุ่มเจียงหย่าเสวี่ยที่อุตส่าห์เข้าช่วยเหลือคนแต่กลับจะมีปัญหากับลูกอันธพาลของท่านเจ้าเมืองเสียแล้ว เฮ้ออ....
บทที่ 14 พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าพ่อของข้าเป็นใคร!!!! เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวกำลังเดินทางไปที่ร้านรถม้าด้วยความร่าเริง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นรถม้าใหม่ที่พวกเขาวางแผนจะซื้อ ระหว่างทางพวกเขาทั้งเจ็ดคนหยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของอย่างสนุกสนาน"ข้าชอบปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มากดูสิ มันช่างงดงามเหลือเกิน" อาหงคุยกับเสี่ยวจิวพลางลูบและยกเครื่องประดับขึ้นมากันดู"เช่นนั้นก็ซื้อเลยพี่อาหง วันนี้เราจะซื้อทุกอย่างที่เราชอบ!" เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่นางหยิบผ้าปักลายมังกรที่มีสีสันสวยงามขึ้นมา มันเป็นผ้าคลุมไหล่ที่ปักได้สวยมาก งานแฮนด์เมดชัดเจนนางจึงหยิบมา 5-6 ชิ้นเอาคละสีกัน และยังเดินดูพวกขนสัตว์ต่างๆ ด้วย ท่านแม่นั้นตอนนี้กำลังเลือกอยู่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ขนสัตว์พวกนี้จะช่วยได้มาก พวกนางขนซื้อจนเถ้าแก่ยิ้มปากกว้างเกือบถึงหูทีเดียว"ไม่ทราบว่าจะให้ทางร้านไปส่งที่หรือขอรับ ซื้อเยอะขนาดนี้ทางร้านมีบริการส่ง""ไปส่งไว้ที่โรงเตี้ยมอิงฮวาเถอะ" ป้าจวงเป็นคนบอก แน่นอนว่าทุกคนในเมืองนั้นรู้ว่าโรงเตี้ยมอิงฮวานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นโรงเตี้ยมที
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ