บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่???
วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ
"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ
"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"
เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
เจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหัวใจบีบแน่น แม้ว่าท่านแม่และป้าจวงจะพยายามช่วยเหลือและทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางหายป่วย แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้ง การที่เงินทองเหลือน้อยเหลือเกินทำให้นางรู้สึกว่าตนเองต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยครอบครัวเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้เจียงหย่าเสวี่ยจะหายป่วยแล้ว แต่ร่างกายของนางยังคงอ่อนแออย่างมาก ร่างผอมบางของนางดูบอบบางเหมือนกิ่งไม้ที่อาจหักได้ง่าย ใบหน้าสวยงามของนางซีดเซียวและไร้สีเลือด ถึงแม้ว่านางจะมีความงามที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ความเจ็บป่วยที่ยาวนานทำให้นางสูญเสียความสดใสไป ความผอมของนางเห็นได้ชัดเมื่อสวมใส่ชุดที่หลวมเกินไป
สามวันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงบริเวณเชิงเขาแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งหญ้าเขียวขจีและดอกไม้ป่าที่เบ่งบาน เจียงซิ่วเหยาจึงตัดสินใจหยุดพักเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย พวกเขาจัดค่ายพักอยู่ใกล้กับเชิงเขา มีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ข้างหลังและป่าไม้ที่สงบล้อมรอบ
เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยบอกท่านแม่ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
"ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินเล่นสักครู่เจ้าค่ะ ตรงนั้นต้นไม้เยอะน่าจะไม่ร้อน ข้าไปไม่ไกลเจ้าค่ะ"
เจียงซิ่วเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางดูเป็นห่วงลูกสาวมาก
"เจ้าใหญ่ เจ้าจะออกไปคนเดียวหรือลูก? แม่ไม่ไว้ใจ ถ้าอย่างนั้นให้เจ้าเล็กเดินไปกับเจ้าด้วยดีหรือไม่?" นางมองร่างผอมบางของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เกิดเป็นลมหมดสติไปจะทำอย่างไร ให้เจ้าเล็กไปด้วยนะดีแล้ว
เจียงหย่าเสวี่ยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ว่าท่านแม่เป็นห่วง นางหันมองเจ้าน้องชาย 6 นิ้ว (มือ) ของนาง เจียงหยวนเจี๋ยที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และยิ้มแป้นมองมาเพราะเขาก็อยากออกไปเดินเล่นเช่นกัน และเขามองกดดันนางมาก สีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ตกลงสิพี่ใหญ่ ตกลงสิพี่ใหญ่’ อะไรประมาณนั้น เมื่อเห็นสายตาคาดหวังขนาดนั้นเจียงหย่าเสวี่ยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า
"ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ เจี๋ยเออร์ไปกับพี่ใหญ่นะ"
“ไป ไป…ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเองพี่ใหญ่”
เจียงหยวนเจี๋ยกระโดดลุกขึ้นด้วยท่าทางกระตือรือร้น แม้ว่าร่างกายของเขาจะผอมบางมาก แต่ในดวงตาของเขายังมีความมุ่งมั่นและความสดใส หน้าตาของเขาน่ารักหล่อเหลาแม้จะยังเด็ก ผมดำยาวตกลงมาเล็กน้อยปิดหน้าผาก และรอยยิ้มที่ซุกซนเล็กน้อยทำให้เขาดูเป็นเด็กที่มีเสน่ห์
"พี่ใหญ่ข้าจะไปกับพี่เอง ข้าจะปกป้องพี่ให้ดีที่สุดเลย! ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ เชื่อใจข้าได้เลย" เจียงหยวนเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจจากนั้นก็ใช้มือเล็กตบที่หน้าอกเล็กๆ ของตัวเองเป็นการบอกว่าให้เชื่อเขาได้เลย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าตนเองยังคงอ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากการเดินทางที่ยาวนานและไม่ได้กินอาหารมากนักทำให้เขาผอมเช่นเดียวกับพี่สาวของเขา แต่ว่า…เขาอยากไปเดินเล่น…เออ…. เขาอยากไปปกป้องพี่ใหญ่….
เจียงหย่าเสวี่ยมองหน้าน้องชายอย่างเอ็นดู นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาเบา ๆ
"ขอบใจมากนะ พอมีเจ้าไปด้วยแล้วพี่ใหญ่รู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลย ไปกัน!!"
เจียงหย่าเสวี่ยเดินจูงมือน้องชายขี้โรคของนางออกมาจากค่ายพัก ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจัดการเตรียมอาหารและดูแลที่พัก
เจียงหย่าเสวี่ยพูดกับน้องชายเมื่อเดินมาไกลสายตาคนพอสมควร
"เจ้าเล็ก เจ้าสามารถรักษาความลับได้หรือไม่?"
เจียงหยวนเจี๋ยตอบทันทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
"รักษาได้สิพี่ใหญ่ ข้านะเป็นคนที่รักษาความลับได้เก่งที่สุดเลยนะ แม้แต่ป้าจวงที่ชอบกระโดดตีลังกา และขวางมีด ฟันดาบ ข้ายังไม่เคยบอกใครเลยนะ ท่านเป็นคนแรกที่ข้าบอก....อะ.อ้าว!!!.."
เมื่อเขานึกได้ว่าตัวเองได้หลุดความลับไปเสียแล้วก็ทำหน้าเหลอหลาน่ารักน่าเอ็นดูใส่พี่สาว
เจียงหย่าเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นท่าทางนั้นของเขาก็กลั้นหัวเราะและยิ้มอย่างก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
"เจ้าเล็ก เจ้าเพิ่งบอกความลับนั้นให้พี่ใหญ่ฟังแล้วนะ ฮาฮาฮา!!! แต่ไม่เป็นไร พี่ใหญ่จะไม่บอกใครว่าป้าจวงเป็นจอมยุทธก็แล้วกัน เจ้าเก่งมากแล้วที่รักษาความลับได้ขนาดนี้ เอาหล่ะข้าก็แค่จะให้เจ้าดูบางอย่าง ซึ่งความลับนี้จะทำให้ครอบครัวเราไม่ลำบากอีกต่อไป แต่อย่าบอกใครนะ"…
.เอาอีกแล้ว เจ้าเล็กจะไหวหรือเปล่า
เจียงหยวนเจี๋ยพยักหน้ารัวๆ ราวกับไก่จิกด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้เมื่อสักครู่เขาตื่นเต้นไปหน่อยที่อยากจะอวดพี่ใหญ่ว่าเขารักษาความลับมานานแล้ว แต่ว่าคราวนี้เขาเอาจริงแล้วนะ จะไม่บอกใคร
"ได้เลยพี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น!"
จากนั้นเขาก็ยกมือเล็กผอมที่มี 6 นิ้วของเขาขึ้นมาปิดปาก เมื่อเขาเหลือบเห็นนิ้วที่หกที่เกือบทิ่มตาของตัวเอง เขาก็ค่อยดึงมือข้างนั้นลงและซ้อนมันเอาไว้อีกครั้ง เจียงหย่าเสวี่ยมองเห็นพอดี นางจึงหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ส่วนเจ้านิ้วน้อยที่เกินมาอันนี้เดี๋ยวพี่ใหญ่จะทำให้มันหายไปเอง เจ้าอดทนรอไม่นานนะน้องรัก”
“จะ ..จริงหรือพี่ใหญ่ท่านจะทำให้เจ้าเสี่ยวลิ้วของข้าหายไปได้จริงๆ หรือ”
เขาถึงขนาดตั้งชื่อนิ้วที่หกของตัวเองว่าเสี่ยวลิ้วแล้วเพราะนึกว่าจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต..
“ได้สิน้องรักเดี๋ยวพี่ใหญ่จะทำการผ่าตัดให้เจ้าเอง เสี่ยวลิ้วของเจ้าก็จะหายไป อดทนหน่อยนะ"
เจียงหยวนเจี๋ยน้ำตาไหลทันทีเขาพุ่งเข้าไปกอดพี่สาวแน่นทันที มันแน่นมากๆ ทำให้เจียงหย่าเสวี่ยรู้ทันทีว่าเขานั้นทุกข์ทรมานขนาดไหนที่มีเสี่ยวลิ้วอยู่ นางลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะบอกว่านางจะแสดงบางอย่างให้เขาดู
นางหยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากแขนเสื้อและมองหาบริเวณเหมาะๆ ไปรอบๆ บริเวณที่ยืนอยู่กลางป่า นางเงยหน้ามองภูเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้านางจุงเจ้าเล็กเข้าไปเล็กน้อยจากนั้น…
เจียงหย่าเสวี่ยยืนมั่นคง จับพู่กันชิงหลงให้มั่นและเริ่มลงมือวาดลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่นางนำมาด้วย ภาพในจิตใจของนางชัดเจนมาก นางวาดภาพดงโสมใหญ่ที่แผ่กระจายอยู่รอบๆ เอาสัก 20 หัว พร้อมด้วยเห็ดหลินจือที่ขึ้นหนาแน่นสัก 30 ดอกทันทีพู่กันชิงหลงเริ่มส่องแสงสีฟ้า สายพลังแห่งสวรรค์ไหลผ่านจากปลายพู่กันลงสู่พื้นดิน ราวกับพลังชีวิตที่ค่อย ๆ ก่อเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างที่เปล่งประกายจากพู่กันเริ่มแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ แสงสีฟ้าและสีทองหมุนวนรอบตัวเจียงหย่าเสวี่ย ราวกับว่าพลังสวรรค์กำลังแผ่ขยายผ่านพู่กัน สายลมที่เคยสงบกลับกลายเป็นกระแสลมที่หมุนวนพัดพาเอาใบไม้และกลีบดอกไม้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า รากไม้และพืชพรรณรอบ ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง โสมขาวบริสุทธิ์เริ่มงอกขึ้นมาจากพื้นดินราวเป็นหัวไชเท้าอย่างอัศจรรย์ รากยาว บางหัวมีแขนขาคล้ายคนซึ่งบ่งบอกอายุว่ามากกว่า 500 ปี แน่นอน และถัดไปก็เป็นดงเห็ดหลินจือสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีไม้ผุพังขอนใหญ่อยู่ด้านล่าง มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยพลังแห่งธรรมชาติ
ท่ามกลางแสงสว่างและสายลมที่หมุนวน ดอกไม้ป่าหลากสีเริ่มเบ่งบานขึ้นรอบตัวเจียงหย่าเสวี่ย กลีบดอกไม้สีทองและสีม่วงเปล่งประกายส่องแสงออกมาเหมือนกับดาวตกในยามค่ำคืน สัตว์ป่าที่อยู่ใกล้เคียงค่อย ๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน ราวกับว่าพวกมันถูกดึงดูดด้วยพลังที่เปล่งประกายออกมา กวางสีขาวสองตัวเดินเข้ามาใกล้เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตะลึงงัน ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นกวางเหล่านั้นโค้งคำนับราวกับแสดงความเคารพต่อพลังแห่งสวรรค์ที่นางปลดปล่อยออกมา
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างพอใจ ขณะที่แสงจากพู่กันค่อย ๆ จางลง ดงโสมและดงเห็ดลินจือดงใหญ่ที่นางวาดกลายเป็นจริง ป่าที่เคยเงียบสงบกลับมีชีวิตชีวาด้วยพลังธรรมชาติและสีสันที่น่าทึ่งของโสมและเห็ดหลินจือ แสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้ลงมาสะท้อนกับแสงของดอกไม้และโสม ทำให้พื้นที่รอบ ๆ ดูเหมือนสรวงสวรรค์ นางรู้สึกโล่งใจอย่างมากที่สามารถช่วยท่านแม่และคนอื่น ๆ ได้บ้าง
ส่วนเจ้าเสี่ยวลิ้ว…เอ้ย…เจ้าเสี่ยวเจี๋ยนั้นตาค้างไปแล้ว เขายกนิ้วมือขึ้นและชี้ไปที่แสงสว่างจ้านั้นมือสั่นไปหมด
“ป๊อก!!!"
เสียงกิ่งไม้ที่หักทำให้ทั้งสองหันควับมองไปด้านหลังทันที และคนที่ทำกิ่งไม้หักนั้นก็ไม่ใช่ใครแต่ว่าเป็นป้าจวง…เป็นท่านจอมยุทธนั้นเองรึ …. เจียงหย่าเสวี่ยมองและยิ้มเล็กน้อย….
****เอาหล่ะสิต่างฝ่ายต่างก็มีความลับแล้ว5555*****
**** สิ่งที่ไรท์ต้องการ....หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้นและคอมเมนต์มาเมาท์มอย ชี้แนะค่ะ จะได้อ่านนิยายสนุกด้วยกันทั้งคนเขียนและคนอ่าน *****
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
บทที่ 13 วงการแฟชั่นเมืองชิงเฉินต้องสะเทือนภายในห้องนั้นพักขนาดใหญ่ของโรงเตี้อมอิงฮวา ที่เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองชิงเฉินที่พวกนางเลือกที่จะเข้าพัก เจียงซิ่วเหยาและเด็กๆ ต่างก็มองไปที่ตำลึงเงินตำลึงทองที่กองอยู่ในตะกร้าที่บ้านจวงแบกเข้ามา ภาพตะกร้าที่มีตำลึงเงินตำลึงทองนั้นสร้างความตะลึงและดึใจแก่ทุกคน ตอนนี้อาหงและเสี่ยวจิวบ่าวรับใช้ทั้งสองก็นั่งมองตาลอยอยู่เช่นกัน พวกนางนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะว่าเมื่อวานอยู่ๆคุณหนูเล็กกับป้าจวงก็บอกว่าจะออกไปหาเงินมาไว้ใช้สักเล็กน้อย และวันนี้พวกเจ้านายทั้งสามรวมทั้งป้าจวงก็พากันออกไปอีกครั้ง และเมื่อไม่นานเจ้านายทั้งสามนั้ได้กลับมาที่โรงเตี้ยมก่อนและบอกว่าป้าจวงไปรับเงิน เมื่อป้าจวงเดินแบกตะกร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ มันมากมายจริงๆ เพราะตอนแรกที่ถูกไล่ออกจากจวนและต่อมาคุณหนูเล็กก็มาล้มป่วยอีกเป็นเดือน พวกนางนั้นรู้ดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่ใครจะนึกว่า เมื่อไม่นานมานี้ไม่เพียงแต่คุณหนูเล็กจะหายป่วยและกลับมาค่อยๆ แข็งแรงแต่พวกเขากลับสามารถหาเงินมาเต็มเ
บทที่ 14 พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าพ่อของข้าเป็นใคร!!!! เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวกำลังเดินทางไปที่ร้านรถม้าด้วยความร่าเริง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นรถม้าใหม่ที่พวกเขาวางแผนจะซื้อ ระหว่างทางพวกเขาทั้งเจ็ดคนหยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของอย่างสนุกสนาน"ข้าชอบปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มากดูสิ มันช่างงดงามเหลือเกิน" อาหงคุยกับเสี่ยวจิวพลางลูบและยกเครื่องประดับขึ้นมากันดู"เช่นนั้นก็ซื้อเลยพี่อาหง วันนี้เราจะซื้อทุกอย่างที่เราชอบ!" เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่นางหยิบผ้าปักลายมังกรที่มีสีสันสวยงามขึ้นมา มันเป็นผ้าคลุมไหล่ที่ปักได้สวยมาก งานแฮนด์เมดชัดเจนนางจึงหยิบมา 5-6 ชิ้นเอาคละสีกัน และยังเดินดูพวกขนสัตว์ต่างๆ ด้วย ท่านแม่นั้นตอนนี้กำลังเลือกอยู่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ขนสัตว์พวกนี้จะช่วยได้มาก พวกนางขนซื้อจนเถ้าแก่ยิ้มปากกว้างเกือบถึงหูทีเดียว"ไม่ทราบว่าจะให้ทางร้านไปส่งที่หรือขอรับ ซื้อเยอะขนาดนี้ทางร้านมีบริการส่ง""ไปส่งไว้ที่โรงเตี้ยมอิงฮวาเถอะ" ป้าจวงเป็นคนบอก แน่นอนว่าทุกคนในเมืองนั้นรู้ว่าโรงเตี้ยมอิงฮวานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นโรงเตี้ยมที
บทที่ 15 เจ้ารู้หรือไม่ ป้าจวงคือใคร???!!!เจียงหย่าเสวี่ยที่มาจากอนาคตนั้นรู้ทันทีว่าประโยคต่อมาที่คุณชายท่านนี้จะพูดนั้นคืออะไร"หากว่าข้าเดาไม่ผิด ประโยคต่อมาที่เจ้าจะพูดก็คือ... พวกเจ้ารู้ไหมว่าพ่อของข้าเป็นใครใช่หรือไม่!!!!""เจ้า!!! เจ้ากล้ามากที่มาพูดจาเช่นนี้กับข้า! ทั่วทั้งชิงเฉินนี่มีใครไม่รู้บ้างว่ามีแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถพูดประโยคนี้ได้ " ฉินหลงแค่นเสียง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง"แต่ถึงเจ้าจะพูดไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะต้องได้พูดประโยคนี้ด้วย!!! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าฉินหลง ข้าเป็นลูกชายของเจ้าเมืองชิงเฉิน! พ่อของข้าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนี้และไม่มีใครกล้าหือกับข้า!!"พูดเสร็จก็ยกกำปั้นอวบอ้วนของตัวเองขึ้นฟ้า และเชิดหน้าเล็กน้อย ถ้าหากว่าเป็นคนที่ผอมกว่านี้ทำมันอาจจะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้แต่นี่เพราะเขาอ้วนมากเมื่อยกกำปั้นเงยหน้าก็เลยเป็นภาพที่ดูตลกเสียมากกว่าตอนนี้ผู้คนต่างก็เมียงมองและไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวพลางคิดสงสารกลุ่มเจียงหย่าเสวี่ยที่อุตส่าห์เข้าช่วยเหลือคนแต่กลับจะมีปัญหากับลูกอันธพาลของท่านเจ้าเมืองเสียแล้ว เฮ้ออ....
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่
บทที่ 116 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 1 “มาแล้วรึ องค์ชาย 11 ข้านึกว่าเจ้าจะหดหัวหนีไปตลอดชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้าเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า” เจิ้งหลี่เฟิงหรือตอนนี้คือฮ่องเต้ของแคว้นต้าหมิงค่อยยืนขึ้น ข้างๆ ฮองไทเฮามารดาของเขา…เจิ้งอี้หลงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา…กาฝากเสียด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เศร้าสลด เหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะเอาชนะและอำนาจ… เขาหันมองรอบลานอีกครั้งที่ตอนนี้เหล่าทหารที่ทรยศต่อแผ่นดินกำลังยืนอยู่และพร้อมจะลงมือสังหารเด็กๆ ได้ทุกเมื่อ เขายกพู่กันขึ้นและสะบัดเบาๆ เหล่าทหารที่ยืนอยู่ต่างก็กระเด็นตกจากแท่นพิธีทั้งหมดแขนขาหัก ร้องโอดโอย เหล่าพ่อแม่ที่เห็นพวกทหารที่โหดร้ายกระเด็นตกลงและแขนขาหักร้องอยู่ก็ต่างมองด้วยความสะใจ พวกเราเพียงแขนขาหักก็ร้องขนาดนี้ แล้วพวกเขาที่ลูกๆ กำลังจะถูกพวกเจ้าเข่นฆ่าเล่าจะไม่เจ็บปวดกว่าพวกเขาหรือ….ไม่มีผู้ใดสงสารเหล่าทหารที่นอนกองอยู่เลยสักคน จากนั้นเจิ้งอี้หลงก็สะบัดพู่กันอีกครั้งกรงที่ขังเหล่าประชาชนเอาไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พวกเขาต่างก็กรูกันออกมาและวิ่งหาลูกหลานของตัวเองทันที“พวกเจ้าหลบไปหาที่ปลอ