บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใ
บทที่ 1 ความอัปยศณ คฤหาสน์ตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าจงค่ำคืนที่เงียบสงบกลับกลายเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนบ่งบอกถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของคนในตระกูลเจียง ภายในจวนใหญ่ของตระกูลเจียง ผู้คนต่างมารวมตัวกันอย่างแน่นหนา เสียงซุบซิบและการพูดคุยกันเบาๆ ของเหล่าคนในตระกูลและบ่าวไพร่ดังขึ้นทั่วบริเวณ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังศาลาที่ใช้สำหรับตัดสินความผิด ศาลาที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและแรงกดดันเจียงซิ่วเหยา ฮูหยินใหญ่ของเสนาบดีเจียงเฉินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางศาลา ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนพื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดอย่างไม่เป็นธรรม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟังนางเลย ทุกคนต่างมองนางด้วยสายตาเย้ยหยันและรังเกียจ แต่ทว่าแม้นางจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แต่ความงดงามของนางยังคงโดดเด่นราวกับดอกสาลี่ที่ต้องสายฝนกระหน่ำ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของนางกลับทำให้คนมองรู้สึกทั้งสงสารและริษยาในความงามพิลาศที่สวรรค์ลำเอียงให้นางมามากมาย ความงามอันอ่อนหวานนั้นเป็นที่ริษยาของบรรดาฮูหยินรองและอี้เห
บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิดภาพสุดท้ายที่เหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเจียงเห็นและกลับไปรายงานให้กับเจ้านายของพวกเขาแต่ละคนก็คือ ภาพของหญิงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากดอกไม้กลีบบอบบางที่โดยฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแต่ทว่ายังแข็งใจเดินออกมา มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือจูงมือลูกชาย และมีบ่าว 4 คนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตามถนนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย"เจี๋ยเออร์ เสวี่ยเออร์ ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ยังอยู่กับพวกเจ้าเสมอ"นางพูดกับลูกๆ ของนางเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยที่ร้องไห้เสียงสั่น "ท่านแม่...เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ? ทำไมท่านพ่อถึง..."เจียงซิ่วเหยาพยายามยิ้มอย่างเข้มแข็งไปที่ลูกสาว "ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะพาพวกเจ้าไปในที่ที่ปลอดภัย เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย"ป้าจวงหันมาพูดกับเจียงซิ่วเหมย"ฮูหยินเจ้าคะ เราแวะพักที่โรงเตี้ยมข้างหน้านั้นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ดูเหมือนคุณหนูทั้งสองจะเหนื่อยกันมากแล้ว"เจียงซิ่วเหยา "คุณหนู!! ต่อไปป้าจวงเรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ..ตอนนี้ไม่มีฮูหยินอีกแล้ว เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ เจี๋ยเออร์กับเสวี่ยเออร์คงจะหิวแล้วจริงไหมลูก?"เจียงเจ
บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน....ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆลอยละล่องพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น รถม้าสองคันแล่นตามกันออกจากเมืองหลวงที่คึกคักสู่ชนบทที่ห่างไกล สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้สูงชะลูดและอาคารแบบทรงนิยมในเมืองหลวง ที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเลือนรางและห่างไกลออกไปทุกที บรรยากาศที่เคยครึกครื้นในเมืองหลวงกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเดียวดาย มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่กระทบกับถนนกรวดดังเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น รถม้าคันหนึ่งเป็นที่นั่งของเจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ และป้าจวงบ่าวคนสนิท อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้สามคนและสัมภาระทั้งหมดที่นำติดตัวมา แม้จะมีคนอยู่ข้างกัน แต่ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งก็ยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขาเจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ในรถม้า ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต นางมองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ นางรู้สึกทั้งกังวลและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน จุดหมายปลายทางของนางคือเมืองที่เรียกว่าอวี้ไห่ เมืองชนบทห่างไกลที่อยู่ริมทะเล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าครั้ง
บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก""ใช่ ข้าก็หวังเช
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใ
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น
บทที่ 158 กองทัพของไป่เหลียนเฟิงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปที่โต๊ะทดลอง หยิบสมุนไพรและอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว จวงหลิงเฟิงวางเฟิงซินซินลงบนเก้าอี้นุ่มและเดินมายืนข้างนาง"เร็วเข้า!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก "ประตูวังจะพังแล้ว!""ศิษย์มีความคิดหนึ่ง" เฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ "แต่อาจจะเสี่ยงเกินไป""ว่ามา""ถ้าเราใช้พู่กันจุ่มน้ำยาและวาดในอากาศให้มันไปสัมผัสบนร่างของผู้ติดเชื้อโดยตรง..." นางกลืนน้ำลาย "มันอาจจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"จวงหลิงเฟิงขมวดคิ้ว "แต่นั่นหมายความว่า...""ใช่" เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า "พวกเราต้องใช้พู่กันทั้งสามด้านพร้อมกัน""อา!" เฟิงซินซินปรบมือ พู่กันในมือส่องแสงวูบวาบ ราวกับเห็นด้วยกับแผนนี้เสียงระเบิดดังสนั่น ประตูวังถูกพังทลาย ร่างของผู้ติดเชื้อทะลักเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ส่วนเหล่านายทหารก็พยายามที่จะต่อสู้ แม้ว่าจะไม่ทำให้ตายแต่ทำให้บาดเจ็บก็ยังเป็นการชะลอการบุกของพวกเขาได้บ้าง"ไม่มีเวลาแล้ว" จวงหลิงเฟิงอุ้มเฟิงซินซินขึ้น "พร้อมหรือไม่?"เฟิงหย่าเสวี่ยกระชับขวดยาในมือ "พร้อมแล้ว!""อึก!" เฟิงซินซินชี้พู่กันไปที่กลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังบุกเข
บทที่ 157 ท่านอาจารย์พานางมาด้วยเพราะเหตุใดเจ้าคะ??ที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยอง กลุ่มผู้ติดเชื้ออักขระมารนับร้อยกำลังปีนป่ายกำแพงเมืองด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ ดวงตาสีดำสนิทและลายอักขระที่เรืองแสงบนผิวหนังส่งเสียงครวญครางน่าสะพรึงกลัว"ยิง!" เสียงแม่ทัพเว่ยตะโกนสั่ง ลูกธนูนับพันพุ่งใส่ผู้ติดเชื้อ แต่พวกเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงปีนป่ายต่อแม้ร่างจะถูกธนูปักเต็มไปหมด"ไม่ได้ผล!" ทหารตะโกนอย่างหวาดกลัว "พวกมันไม่รู้สึกเจ็บ!“แย่แล้ว!! พิษที่พวกเขาได้รับกลายพันธ์ุอย่างที่แม่นางเฟิงบอกเสียแล้ว” แม่ทัพเว่ยสิงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นตอนนี้นั้นคือ เหล่าผู้ที่ติดพิษนั้นราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาไร้แวว และมุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะปล่อยพิษที่อยู่ในตัวพวกเขาให้มากที่สุด…ภายในห้องทดลองของเฟิงหย่าเสวี่ย เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังก้องไปทั่วห้องทดลอง เฟิงหย่าเสวี่ยหันขวับไปมอง เห็นจวงหลิงเฟิงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงเข้ามา พร้อมกับพู่กันโบราณที่แผ่รัศมีสีดำออกมาเป็นระลอก"อาจารย์!" เฟิงหย่าเสวี่ยรีบเดินเข้าไปต้อนรับ แต่ต้องชะงักเมื่อเ
บทที่ 156 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 2การทดลองดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดทั้งคืน เฟิงหย่าเสวี่ยทุ่มเทสุดความสามารถในการปรุงยา ใช้ความรู้ทั้งจากยุคปัจจุบันและโบราณผสานเข้าด้วยกัน ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวง นางนำพืชวิญญาณมาสกัดร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ จนได้ยาเม็ดที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆเมื่อถึงเวลา ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงพร้อมเหล่าขุนนางและป้าจวงก็มาถึงห้องทดลอง ทุกคนต่างรอดูผลการทดลองด้วยความคาดหวัง ผู้ป่วยระยะสามที่อาการหนักที่สุดถูกนำเข้ามา ร่างของเขาอ่อนแรงจนแทบจะไร้ลมหายใจ แต่ลายอักขระสีดำบนร่างกลับเต้นรัวเหมือนมันยังคงต่อสู้"มาถึงเวลาทดสอบแล้ว" เฟิงหย่าเสวี่ยพูดขึ้น เสียงของนางมั่นคงแม้หัวใจจะเต้นแรง นางค่อยๆ ป้อนยาเม็ดให้ผู้ป่วย และเริ่มฝังเข็มทองคำตามจุดสำคัญบนร่างกายเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงครางของผู้ป่วยดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวด ร่างของเขาสั่นเทาจนเกือบจะหลุดจากเตียง อักขระสีดำบนผิวเริ่มเรืองแสงจ้า ทุกคนในห้องต่างถอยห่างด้วยความตกใจ"หย่าเสวี่ย... หรือมันจะไม่ได้ผล?" ป้าจวงถามด้วยเสียงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่
บทที่ 155 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 1เสียงครวญครางแผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลมยามใกล้รุ่งสาง ภายในค่ายรักษาริมกำแพงพระราชวังต้าหมิง เฟิงหย่าเสวี่ยยืนนิ่ง ดวงตาอิดโรยจับจ้องไปยังร่างของผู้ป่วยที่นอนทุรนทุรายอยู่เบื้องหน้า ลายอักขระสีดำทะมึนเลื้อยไปตามผิวหนังของพวกเขา ส่งเสียงครางน่าสะพรึงกลัวราวกับมีชีวิต"อย่าให้พวกเขาหลุดออกไปจากค่ายเด็ดขาด!" เสียงตะโกนของป้าจวงดังก้องขึ้น ขณะที่นางและทหารอาสาพยายามควบคุมผู้ป่วยที่กำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเฟิงหย่าเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่ลายอักขระสีดำบนร่างผู้ป่วยที่ขดตัวทุรนทุรายบนพื้น ลายอักขระนั้นเต้นเป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต เส้นสายของมันเลื้อยไปทั่วร่างผู้ป่วย ส่งเสียงครางแผ่วเบาที่ฟังดูน่าขนลุกนางสูดหายใจลึกพยายามสงบจิตใจ แม้จะเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายมาก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป พิษที่ไป่เหลียนสร้างขึ้นมานั้นไม่เพียงแต่เป็นพิษธรรมดา หากยังผสานกับอักขระโบราณที่มีพลังควบคุมจิตใจผู้ป่วยได้โดยสมบูรณ์ ความคิดของนางย้อนกลับไปยังยุคปัจจุบันเมื่อครั้งที่นางเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ"มันเหมือนอาวุธชีวภาพในยุคของข้า" นาง