บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่
การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้
ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด
"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"
คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน
"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ
"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก"
"ใช่ ข้าก็หวังเช่นนั้น เราทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะคุณหนูเจียง ข้าเห็นนางป่วยมาตั้งแต่เริ่มการเดินทาง ใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้" คนขับรถม้าตอบพร้อมถอนหายใจยาว เพราะว่าเดินทางด้วยกันมานาน ทำให้มีความรู้สึกเป็นห่วงผูกพันนั้นเป็นเรื่องปรกติ อีกทั้งนายหญิงก็ใจดีกับพวกเขามากไม่ว่าพวกนางกินอะไร พวกเขาก็จะได้กินเช่นนั้น ทำให้พวกเขานั้นตั้งใจที่จะดูแลพวกนางไปจนถึงจุดหมายมาก เขามองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหวังว่าสภาพอากาศจะปรานีพวกเขาบ้างในวันถัดไป
เจียงหย่าเสวี่ยเริ่มมีไข้ตั้งแต่วันแรกๆ ในการเดินทาง เจียงซิ่วเหยาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวและความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องเดินทางต่อ เจียงซิ่วเหยาทำได้เพียงซื้อยาสมุนไพรจากเมืองที่ผ่านเพื่อบรรเทาอาการของลูกสาว ยาสมุนไพรนั้นช่วยให้อาการดีขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ไม่นานเจียงหย่าเสวี่ยก็กลับมาเป็นไข้และไออย่างรุนแรงอีกครั้ง ความหวังที่นางจะฟื้นตัวค่อย ๆ จางหายไปเมื่อเห็นลูกสาวที่รักค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละคืน เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ข้างเตียงของลูกสาว มองดูเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนหลับอย่างยากลำบาก นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ลูกเพื่อลดไข้ และลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก นางภาวนาให้ลูกสาวฟื้นคืนแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ยิ่งนางภาวนา อาการของเจียงหย่าเสวี่ยกลับยิ่งแย่ลง อาการไอที่รุนแรงขึ้นทุกวัน เสียงไอแหบแห้งที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนทำให้เจียงซิ่วเหยารู้สึกปวดใจอย่างที่สุด นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก แต่ทุกสิ่งที่ทำกลับดูไร้ประโยชน์เมื่อเจียงหย่าเสวี่ยยังคงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน เจียงหยวนเจี๋ยน้องชายของเจียงหย่าเสวี่ย กลับไม่แสดงอาการป่วยหรือเหนื่อยล้าเหมือนพี่สาว ทั้งที่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด เขาดูเหมือนจะชอบการเดินทางครั้งนี้มากด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เขารู้สึกอิสระ เขาไม่ต้องอยู่ในจวนที่เต็มไปด้วยสายตาของคนที่มองเขาเหมือนเป็นสิ่งแปลกประหลาด เด็กน้อยคนนี้รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นท้องฟ้ากว้างและทุ่งหญ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกว่าตัวเองได้หลุดพ้นจากกรงที่ขังเขามาตลอด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการเดินทางนี้เต็มไปด้วยความลำบาก แต่สำหรับเขา มันคือโอกาสที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกของการเป็นภาระยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเจียงหยวนเจี๋ย เขาเห็นพี่สาวที่นอนป่วยอย่างหนัก และเห็นมารดาที่ต้องทนทุกข์เพราะความห่วงใยที่มีต่อลูก เขารู้สึกผิดที่ตนเองกลับไม่มีอาการป่วยเหมือนพี่สาว ทั้งที่เขาอ่อนแอมากกว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้เด็กน้อยรู้สึกเจ็บปวด เขามักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในรถม้า ไม่กล้าแสดงความสุขที่เขามีต่อการเดินทางครั้งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขารู้สึกดีในขณะที่พี่สาวกำลังทุกข์ทรมาน ความรู้สึกขัดแย้งเหล่านี้ทำให้หัวใจของเจียงหยวนเจี๋ยเต็มไปด้วยความสับสนและความเศร้า แม้ว่าเขาจะพยายามยิ้มให้มารดาและพี่สาว แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียคนที่เขารักไป
คืนหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นกว่าปกติ เจียงหย่าเสวี่ยมีอาการไข้สูง ร่างกายของนางสั่นสะท้านตลอดเวลา ริมฝีปากซีดเขียวและแห้งแตก ใบหน้าซีดเผือดเหมือนไร้ชีวิต มือที่อ่อนแรงของนางเกาะกุมมือของเจียงซิ่วเหยาไว้แน่น นางมองไปที่มารดาด้วยสายตาที่พร่ามัว เสียงพูดแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
"ท่านแม่...ข้ารู้สึกหนาวเหลือเกิน..."
เจียงซิ่วเหยากุมมือลูกสาวไว้แน่น น้ำตาของนางไหลอาบแก้ม นางรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและความทุกข์ทรมานของลูกที่รัก ใจของนางแทบจะแตกสลายเมื่อเห็นเจียงหย่าเสวี่ยที่เคยสดใสและแข็งแรงกลับต้องทนทุกข์เช่นนี้ นางพยายามฝืนยิ้มและตอบลูกด้วยเสียงสั่น ๆ
"ไม่เป็นไรนะลูกรัก..ท่านแม่อยู่ที่นี่แล้ว ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...อย่าเพิ่งท้อใจนะ เจ้าใหญ่ของแม่ เจ้าจะต้องหายดี"
คำพูดที่ออกมานั้นแม้จะเต็มไปด้วยความหวัง แต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้มกลับบ่งบอกถึงความกังวลและความกลัวที่ซ่อนอยู่ นางหวังเพียงให้ลูกของนางฟื้นคืนความแข็งแรงและมีชีวิตต่อไป แต่ความจริงที่เห็นกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกทุบทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เจียงหย่าเสวี่ยกลับไม่ตอบ นางเพียงแค่หลับตาลงอย่างอ่อนแรงและนิ่งเงียบไป ร่างกายที่ร้อนจัดกลับค่อยๆ เย็นเฉียบลง ลมหายใจของนางค่อย ๆ หลุดลอย เจียงซิ่วเหยาที่กอดร่างลูกสาวเอาไว้ตลอดเวลาค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง นางพยายามกัดฟันแน่นเพื่อไม่ยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า นางฝืนบอกตัวเองว่าลูกสาวของนางไม่เป็นอะไร นางจะต้องปลอดภัย ตอนนี้นางแค่เหนื่อยมากก็เลยหลับตาเท่านั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ได้โปรดเถอะสวรรค์!!!…ท่านอย่าได้…พวกท่านอย่าได้…!!
ความคิดที่ต้องสูญเสียลูกสาวนั้นทำให้นางไม่สามารถที่จะหายใจออกมาได้
"เสวี่ยเออร์ เจ้าใหญ่ของแม่ ...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร..แม่….แม่กอดลูกเอาไว้แล้ว อุ่นหรือไม่ลูกแม่ เจ้าอุ่นหรือยัง แม่กอดเจ้าแล้ว อุ่นหรื..อุ่นหรือไม่ลูกรัก ...เจ้าจะต้องไม่...ไม่เป็นอะไรนะ "
พูดพลางกอดร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของลูกสาวแล้วโยกร่างกายไปมาเหมือนกับเป็นการกล่อมนางให้หลับ
"เจ้าเพียงแค่หลับไปเท่านั้น...ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...เจ้าจะไม่เป็นอะไร...เจ้าจะต้องปลอดภัย ที่เมืองอวี้ไห้ สะ ...สวยมากแม่รู้ว่าลูกต้องชอบ ลูกอดทนหน่อย แม่....แม่จะอยู่ตรงนี้ แม่จะไม่ปล่อยเจ้าไป แม่จะกอดเจ้าเอาไว้แน่นๆ ลูกรัก แม่กอด..."
เจียงซิ่วเหยาพูดซ้ำ ๆ ราวกับเป็นการสะกดจิตตัวเอง น้ำเสียงสั่นเครือและแผ่วเบา นางจับมือของลูกสาวไว้แน่นราวกับจะยึดลูกสาวให้อยู่กับนางตลอดไป หัวใจของเจียงซิ่วเหยาเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ น้ำตาของนางไหลลงอย่างไม่อาจหยุดได้ ขณะนั้นเอง ป้าจวงที่นั่งอยู่ข้างๆ มาตลอดค่อยๆ ยื่นมือมาจับที่ชีพจรของเจียงหย่าเสวี่ย นางวางมือลงไปครู่หนึ่งมือของนางสั่นอย่างรุนแรง เมื่อยกออกจากข้อมือผอมบางนั้น นางไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งน้ำตาของนางเริ่มเอ่อล้น ความเงียบที่ปกคลุมในเวลานั้นกลับเป็นเหมือนเสียงกรีดร้องที่ก้องกังวานในใจของเจียงซิ่วเหยา
ในความมืดของค่ำคืน ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งค่ายพัก เสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้าทำให้บรรยากาศดูเย็นเยียบและเงียบงันยิ่งขึ้น ในขณะที่ทุกคนหลับสนิท วิญญาณของหลี่หนิง ผู้ที่เคยเป็นอัจฉริยะจากยุค 21 ได้หลุดลอยจากภพของตนอย่างไม่ทราบสาเหตุ วิญญาณนั้นหลงทางในความว่างเปล่า จนกระทั่งพบกับร่างของเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนสงบนิ่งอยู่ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง หลี่หนิงถูกดึงเข้าไปในร่างนั้นโดยไม่สามารถต่อต้านได้
ทันใดนั้น วิญญาณของหลี่หนิงก็เข้ามาอยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ย นางรู้สึกถึงความหนักอึ้งของร่างกาย และความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่ว นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความมืดรอบตัวทำให้นางรู้สึกสับสนและงุนงง นางไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ร่างกายของนาง นางมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีหญิงคนหนึ่งนั่งกอดร่างนางเอาไว้แน่น เนื้อตัวของหญิงคนนั้นสั่นเทาอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย หลี่หนิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือที่กุมไว้ นางรู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่มาจากหญิงคนนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ความทรงจำของร่างเดิมก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวของหลี่หนิง นางเห็นภาพของเจียงหย่าเสวี่ยที่เติบโตมาในความรักและความห่วงใยของผู้เป็นแม่ นางรับรู้ถึงความทรมานที่ร่างนี้ต้องเผชิญจากการเจ็บป่วย และความเจ็บปวดที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญเมื่อลูกสาวของนางป่วยหนัก หลี่หนิงสัมผัสได้ถึงความรักที่เจียงซิ่วเหยามีต่อลูกสาวของนาง ความรักที่ยิ่งใหญ่และไม่ยอมแพ้น้ำตาของหลี่หนิงไหลออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นน้ำตาของร่างนี้ที่ร้องไห้ออกมา เพราะนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างลึกซึ้ง ความรักและความสูญเสียที่ท่วมท้นในหัวใจของเจียงซิ่วเหยาได้ทำให้หลี่หนิงรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย และนั่นทำให้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หญิงผู้นี้ได้พบกับความสุขอีกครั้ง
"ทะ..ท่าน…ท่านแม่..."
เสียงที่หลุดออกมาจากปากนางนั้นแผ่วเบาและสั่นเครือ หลี่หนิงรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับหญิงคนนี้ ความรักและความห่วงใยที่มากมายจนทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอและเจ็บปวด แต่วิญญาณของหลี่หนิงกลับรู้สึกถึงพลังที่ลึกลับอยู่ในร่างนี้ นางไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางรับรู้ได้ชัดเจนคือ หญิงคนนี้รักและห่วงใยนางอย่างสุดหัวใจ
ราวกับเสียงสวรรค์ เจียงซิ่วเหยาสะดุ้งอย่างแรงจากนั้นนางก็กรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของราตรี มันเป็นเสียงกรีดร้องของความดีใจ ที่ตนได้ของรักกลับคืนมา…
“เสวี่ยเออร์ เสวี่ยเออร์ลูกแม่…ฮื่อออออ”
รุ่งเช้า เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านของรถม้า เจียงซิ่วเหยาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า นางมองไปที่ลูกสาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ และสังเกตเห็นว่าลูกสาวของนางกำลังลืมตาขึ้น เจียงซิ่วเหยารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก นางยิ้มทั้งน้ำตาและก้มลงไปกอดลูกสาวไว้แน่น
"เจ้าใหญ่! เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหนหรือไม่ บอกแม่เร็วเข้า ลูกอยากจะกินอะไรบอกท่านแม่มาเร็ว"
หลี่หนิงที่อยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่ท่วมท้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้คือ นางจะต้องปกป้องหญิงคนนี้และเด็กน้อยอีกคนที่นั่งมองนางตาแป๋วอยู่นั่น นางกวาดสายไปที่ร่างเล็กผอมของเด็กน้อยและในที่สุดก็เห็นบางอย่างที่ไม่ปรกติ ที่มือของเขา…มือของเขามีนิ้วงอกออกมาเกินหนึ่งนิ้ว เด็กน้อยรู้สึกถึงการจ้องมองของพี่สาวที่แปลกไป และเมื่อเขามองตามสายตาเขาก็เห็นว่าพี่สาวกำลังจ้องมาที่มือที่มี 6 นิ้วของเขา ด้วยความกังวลเขาจึงค่อยๆซ้อนมือข้างนั้นเอาไว้ข้างหลังและขยับออกห่างพี่สาวเล็กน้อย เขาคิดว่านางคงจะไม่เห็น แต่ทว่าหลีหนิงที่ตอนนี้คือ เจียงหย่าเสวี่ยนั้นรู้สึกและเห็นนางเข้าใจความรู้สึกของน้องชายดีเพราะความทรงจำจากร่างนี้ นางไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย พลางคิดในใจว่า เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะจัดการให้เองน้องชาย….
“ท่านแม่ข้าอยากจะกินโจ๊กผักเจ้าค่ะ” นางตอบออกมาเบาๆ ในที่สุด เจียงซิ่วเหยานั้นดีใจมากที่รู้สาวฟื้นและสามารถโต้ตอบได้นางรีบกุลีกุจอไปทำอาหารเองทันที ทั้งๆ ที่ป้าจวงบอกว่าจะทำให้นางก็ไม่ยอม
ความสูญเสียและความเศร้าที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับการมาถึงของหลี่หนิง แม้ว่าเจียงซิ่วเหยาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของนางได้จากไปแล้ว และวิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริง แต่หลี่หนิงตั้งใจว่าจะทำให้หญิงคนนี้มีความสุขอีกครั้ง นางจะใช้ชีวิตในร่างนี้เพื่อทดแทนความรักและความห่วงใยที่เจียงซิ่วเหยาได้มอบให้ และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวนี้ได้อีกต่อไป
***ไรท์ถึงกับน้ำตาซึมเลยความรู้สึกของการสูญเสียมันบีบหัวใจจริงๆ เกือบไปแล้ว****
บทที่ 5 พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงคืนที่เงียบสงัดหลังจากที่เจียงหย่าเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ในคืนที่ลมหนาวพัดผ่านทุ่งหญ้าอย่างแผ่วเบา ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวลงมายังค่ายพัก ร่างของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าที่คับแคบ ขณะที่ท่านแม่เจียงซิ่วเหยานั่งข้าง ๆ ด้วยความดีใจสุดขีด นางรีบทำโจ๊กผักอย่างที่ลูกสาวอยากกินมาให้สุดฝีมือ"เสวี่ยเออร์ กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่นางยกช้อนโจ๊กมาป้อนลูกสาว"ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องลำบากท่านหรอก"เจียงหย่าเสวี่ยตอบเบา ๆ แต่ก็รับช้อนจากมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆเจียงซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย นางยิ้มทั้งน้ำตา "ข้าอยากป้อนเจ้า ให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไป"หลังจากป้อนโจ๊กเสร็จ เจียงซิ่วเหยาลูบผมลูกสาวและกอดลูกไว้แน่นๆ ราวกับอยากให้ตัวเองมั่นใจว่านางไม่ได้สูญเสียลูกสาวที่รักคนนี้ไปจริง ๆ นางอยากจะมั่นใจว่าลูกยังอยู่ตรงนี้"ท่านแม่ ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ" เจียงหย่าเสวี่ยพูดปลอบเบา ๆเจียงซิ่งเหยาเมื่อป้อนโจ๊กผักให้ลูกสาวเสร็จก็ใช้หน
บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลงเมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัยตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
ตอนพิเศษ 3 บทส่งท้ายแห่งความสุข EP 2 NC...“…อา อื๊อ อี้หลง”เจิ้งอี้หลงใช้ความจัดเจนดูดดุนปลายลิ้นกับทรวงอกอวบสวยทำให้นางแอ่นหน้าอกขึ้นมาด้วยเสียวซ่าน ขณะที่มืออีกข้างก็เขี่ยคลึงเล่นไปที่ปลายถันที่ยังว่างอยู่จนยอดแข็งชันสู้มือหญิงสาวส่ายร่างบิดไปมาบนที่นอนด้วยด้วยความกระสันซ่าน อารมณ์ปรารถนาของนางถูกปลุกเร้าจนตื่นเพริศ เนื้อตัวเร่าร้อนไปหมดนางปรารถนาเขาจริงๆ ส่วนเจิ้งอี้หลงนั้น เมื่อหญิงสาวตอบสนองและไม่หวงเนื้อหวงตัว เขาจึงจัดเต็มตามอารมณ์ที่เก็บกดไว้ ริมฝีปากของเขาหยอกเย้าดูดดุนอยู่ที่ปลายถัน ส่วนมือก็บีบเค้นปทุมถันอวบใหญ่แรงขึ้นจนผิวขาวๆ เริ่มเป็นจ้ำสีแดงตามรอยมือและปาก จนเมื่อเขาละริมฝีปากจากปลายถันก็เล็มไล้ไต่ลงมาที่เนินหน้าท้อง แล้วซุกไซ้จมูกและปากอยู่ที่สะดือสวย ก่อนจะใช้นิ้วเลื่อนลูบไปที่เนินเนื้อโหนกนูนที่บิดส่ายอยู่ใต้ร่างเขา“อ๊า…อี้หลงค่ะ ฉัน..”หญิงสาวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แล้วจับข้อมือชายหนุ่มไว้ เจิ้งอี้หลงยกยิ้มที่มุมปากและค่อยดึงมือของเขาออก และยกมือของนางมาจูบและรวบดูดปลายนิ้วเล็กเรียวแสนสวยนั้นเสียเลย เฟิงหย่าเสวี่ยตัวอ่อนระรวย ไม่มีแรงที่จะห้ามปรามเขาเสียแล้ว… (เฮ้อช่าง
ตอนพิเศษ3 บทส่งท้ายแห่งความสุข ep 1ค่ำคืนอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ายามราตรีเหนือพระราชวังต้าหมิงสว่างไสวไปด้วยแสงประกายของดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสูง สาดส่องท้องฟ้าด้วยสีสันอันตระการตา เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านผสมผสานกับเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะของเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและความปลื้มปีติภายในพระราชวังงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกำลังดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ ท้องพระโรงอันวิจิตรตระการตาประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี เสนาอำมาตย์และขุนนางจากทั้งแคว้นต้าหมิงและแคว้นต้าโจวต่างมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความยินดีและสรรเสริญความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองแคว้นฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงประทับบนบัลลังก์แกะสลักมังกร พระพักตร์เปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ ขณะที่เฟิงฮองเฮา หรือเฟิงหย่าเสวี่ยนั่งเคียงข้างพระสวามี สวมอาภรณ์สีเหลือทองประดับประดาอย่างงดงามสมเกียรติสะท้อนความงดงามหยดย้อยของนางอย่างชัดเจน แววตาของนางแสดงถึงความมุ่งมั่นและความรักและความเมตตาที่มีต่อแผ่นดินและประชาชน"กระหม่อมขอกราบบังคมทูล" เสนาบดีอาวุ
ตอนพิเศษ 2 สองสุดยอดแพทย์แห่งยุคภายในห้องผ่าตัดขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงอย่างพิถีพิถัน แสงจากโคมไฟหลากดวงส่องรวมตรงกลาง เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนเตียงมีชายชราผู้สูญเสียขาจากสงครามนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาชา รอบข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ดูแปลกตาสำหรับแพทย์จำนวนไม่น้อยในยุคนี้วันนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่หลายคนต่างพูดถึง เพราะจะมีการผ่าตัดเพื่อใส่ขาเทียมให้กับผู้ป่วยที่ขาพิการโดยผู้นำการผ่าตัดคือนายท่านเฟิงหยวนเจี๋ย คุณชายหมอเทวดาซึ่งกำลังมีชื่อเสียงขจรขจาย และถือเป็นคุณชายเนื้อหอมมากๆ ผู้หนึ่งของแคว้นต้าหมิง และอีกผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็คือฮองเฮาเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งแม้ร่างกายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน แต่ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของนางก็ไม่เป็นสองรองใคร และการผ่าตัดในครั้งนี้ก็เป็นการที่นางต้องการที่จะทำด้วย และวาระสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นนั้นไม่รอช้าที่จะส่งนายแพทย์มาเพื่อศึกษาดูงาน ซึ่งฮองเฮาเฟิงนั้นก็ยินดีที่จะให้พวกเขาได้เรียนรู้ในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วยเหล่าแพทย์ของจากทั้งสองแคว้นคือแคว้นต้าโจวและต้าหมิงรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ทางด้านหลังเพื่อศึกษาขั้นตอนในก
ตอนพิเศษ ครอบครัวสุขสันต์หลังจากที่เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นคืนสติ ข่าวดีนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วตอนนี้ทั้งประชาชนแคว้นอวี้ไห่และประชาชนแคว้นต้าหมิงต่างก็ความสุขที่ได้รับรู้ว่าเฟิงฮองเฮานั้นได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เมืองอวี้ไห่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกเหมยท้อบานสะพรั่งทั้งสวนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ภายในสวนที่จัดแต่งเอาไว้อย่างงดงามนั้นมีเสียงหัวเราะและบทบทสนทนาของคนในครอบครัวเฟิงที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยหลังจากฟื้นก็ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งจากอาจารย์ของนาง ท่านป้าจวงและเฟิงหยวนเจี๋ยที่มักจะนำยาบำรุงชั้นเลิศที่เขาคิดค้นขึ้นมาสำหรับนางโดยเฉพาะมาให้ดื่มเสมอ ทำให้ร่างก่ายของนางนั้นแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สมกับที่นางนั้นได้ตกอยู่ในมือของเหล่าหมอเทวดาจริงๆ"ท่านแม่" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยเรียกเฟิงซิ่งเหยาที่กำลังนั่งปักรองเท้าอยู่ในสวนดอกไม้ "ท่านแม่ดูอิ่มเอิบขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ" เฟิงซิ่งเหยายิ้มอายๆ ขณะที่มือลูบท้องน้อยที่เริ่มนูนขึ้น"เสด็จพ่อของเจ้านี่สิ... ตั้งแต่รู้ว่าข้าตั้งครรภ์บุตรคนนี้ก็เอาแต่แพ้ท้องแทนข้า กินไม่ได้นอนไม่หลับวิงเวียนอยู่ตลอดเ
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใช
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น