บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่
การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้
ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด
"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"
คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน
"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ
"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก"
"ใช่ ข้าก็หวังเช่นนั้น เราทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะคุณหนูเจียง ข้าเห็นนางป่วยมาตั้งแต่เริ่มการเดินทาง ใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้" คนขับรถม้าตอบพร้อมถอนหายใจยาว เพราะว่าเดินทางด้วยกันมานาน ทำให้มีความรู้สึกเป็นห่วงผูกพันนั้นเป็นเรื่องปรกติ อีกทั้งนายหญิงก็ใจดีกับพวกเขามากไม่ว่าพวกนางกินอะไร พวกเขาก็จะได้กินเช่นนั้น ทำให้พวกเขานั้นตั้งใจที่จะดูแลพวกนางไปจนถึงจุดหมายมาก เขามองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหวังว่าสภาพอากาศจะปรานีพวกเขาบ้างในวันถัดไป
เจียงหย่าเสวี่ยเริ่มมีไข้ตั้งแต่วันแรกๆ ในการเดินทาง เจียงซิ่วเหยาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวและความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องเดินทางต่อ เจียงซิ่วเหยาทำได้เพียงซื้อยาสมุนไพรจากเมืองที่ผ่านเพื่อบรรเทาอาการของลูกสาว ยาสมุนไพรนั้นช่วยให้อาการดีขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ไม่นานเจียงหย่าเสวี่ยก็กลับมาเป็นไข้และไออย่างรุนแรงอีกครั้ง ความหวังที่นางจะฟื้นตัวค่อย ๆ จางหายไปเมื่อเห็นลูกสาวที่รักค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละคืน เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ข้างเตียงของลูกสาว มองดูเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนหลับอย่างยากลำบาก นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ลูกเพื่อลดไข้ และลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก นางภาวนาให้ลูกสาวฟื้นคืนแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ยิ่งนางภาวนา อาการของเจียงหย่าเสวี่ยกลับยิ่งแย่ลง อาการไอที่รุนแรงขึ้นทุกวัน เสียงไอแหบแห้งที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนทำให้เจียงซิ่วเหยารู้สึกปวดใจอย่างที่สุด นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก แต่ทุกสิ่งที่ทำกลับดูไร้ประโยชน์เมื่อเจียงหย่าเสวี่ยยังคงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน เจียงหยวนเจี๋ยน้องชายของเจียงหย่าเสวี่ย กลับไม่แสดงอาการป่วยหรือเหนื่อยล้าเหมือนพี่สาว ทั้งที่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด เขาดูเหมือนจะชอบการเดินทางครั้งนี้มากด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เขารู้สึกอิสระ เขาไม่ต้องอยู่ในจวนที่เต็มไปด้วยสายตาของคนที่มองเขาเหมือนเป็นสิ่งแปลกประหลาด เด็กน้อยคนนี้รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นท้องฟ้ากว้างและทุ่งหญ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกว่าตัวเองได้หลุดพ้นจากกรงที่ขังเขามาตลอด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการเดินทางนี้เต็มไปด้วยความลำบาก แต่สำหรับเขา มันคือโอกาสที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกของการเป็นภาระยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเจียงหยวนเจี๋ย เขาเห็นพี่สาวที่นอนป่วยอย่างหนัก และเห็นมารดาที่ต้องทนทุกข์เพราะความห่วงใยที่มีต่อลูก เขารู้สึกผิดที่ตนเองกลับไม่มีอาการป่วยเหมือนพี่สาว ทั้งที่เขาอ่อนแอมากกว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้เด็กน้อยรู้สึกเจ็บปวด เขามักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในรถม้า ไม่กล้าแสดงความสุขที่เขามีต่อการเดินทางครั้งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขารู้สึกดีในขณะที่พี่สาวกำลังทุกข์ทรมาน ความรู้สึกขัดแย้งเหล่านี้ทำให้หัวใจของเจียงหยวนเจี๋ยเต็มไปด้วยความสับสนและความเศร้า แม้ว่าเขาจะพยายามยิ้มให้มารดาและพี่สาว แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียคนที่เขารักไป
คืนหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นกว่าปกติ เจียงหย่าเสวี่ยมีอาการไข้สูง ร่างกายของนางสั่นสะท้านตลอดเวลา ริมฝีปากซีดเขียวและแห้งแตก ใบหน้าซีดเผือดเหมือนไร้ชีวิต มือที่อ่อนแรงของนางเกาะกุมมือของเจียงซิ่วเหยาไว้แน่น นางมองไปที่มารดาด้วยสายตาที่พร่ามัว เสียงพูดแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
"ท่านแม่...ข้ารู้สึกหนาวเหลือเกิน..."
เจียงซิ่วเหยากุมมือลูกสาวไว้แน่น น้ำตาของนางไหลอาบแก้ม นางรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและความทุกข์ทรมานของลูกที่รัก ใจของนางแทบจะแตกสลายเมื่อเห็นเจียงหย่าเสวี่ยที่เคยสดใสและแข็งแรงกลับต้องทนทุกข์เช่นนี้ นางพยายามฝืนยิ้มและตอบลูกด้วยเสียงสั่น ๆ
"ไม่เป็นไรนะลูกรัก..ท่านแม่อยู่ที่นี่แล้ว ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...อย่าเพิ่งท้อใจนะ เจ้าใหญ่ของแม่ เจ้าจะต้องหายดี"
คำพูดที่ออกมานั้นแม้จะเต็มไปด้วยความหวัง แต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้มกลับบ่งบอกถึงความกังวลและความกลัวที่ซ่อนอยู่ นางหวังเพียงให้ลูกของนางฟื้นคืนความแข็งแรงและมีชีวิตต่อไป แต่ความจริงที่เห็นกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกทุบทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เจียงหย่าเสวี่ยกลับไม่ตอบ นางเพียงแค่หลับตาลงอย่างอ่อนแรงและนิ่งเงียบไป ร่างกายที่ร้อนจัดกลับค่อยๆ เย็นเฉียบลง ลมหายใจของนางค่อย ๆ หลุดลอย เจียงซิ่วเหยาที่กอดร่างลูกสาวเอาไว้ตลอดเวลาค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง นางพยายามกัดฟันแน่นเพื่อไม่ยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า นางฝืนบอกตัวเองว่าลูกสาวของนางไม่เป็นอะไร นางจะต้องปลอดภัย ตอนนี้นางแค่เหนื่อยมากก็เลยหลับตาเท่านั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ได้โปรดเถอะสวรรค์!!!…ท่านอย่าได้…พวกท่านอย่าได้…!!
ความคิดที่ต้องสูญเสียลูกสาวนั้นทำให้นางไม่สามารถที่จะหายใจออกมาได้
"เสวี่ยเออร์ เจ้าใหญ่ของแม่ ...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร..แม่….แม่กอดลูกเอาไว้แล้ว อุ่นหรือไม่ลูกแม่ เจ้าอุ่นหรือยัง แม่กอดเจ้าแล้ว อุ่นหรื..อุ่นหรือไม่ลูกรัก ...เจ้าจะต้องไม่...ไม่เป็นอะไรนะ "
พูดพลางกอดร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของลูกสาวแล้วโยกร่างกายไปมาเหมือนกับเป็นการกล่อมนางให้หลับ
"เจ้าเพียงแค่หลับไปเท่านั้น...ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...เจ้าจะไม่เป็นอะไร...เจ้าจะต้องปลอดภัย ที่เมืองอวี้ไห้ สะ ...สวยมากแม่รู้ว่าลูกต้องชอบ ลูกอดทนหน่อย แม่....แม่จะอยู่ตรงนี้ แม่จะไม่ปล่อยเจ้าไป แม่จะกอดเจ้าเอาไว้แน่นๆ ลูกรัก แม่กอด..."
เจียงซิ่วเหยาพูดซ้ำ ๆ ราวกับเป็นการสะกดจิตตัวเอง น้ำเสียงสั่นเครือและแผ่วเบา นางจับมือของลูกสาวไว้แน่นราวกับจะยึดลูกสาวให้อยู่กับนางตลอดไป หัวใจของเจียงซิ่วเหยาเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ น้ำตาของนางไหลลงอย่างไม่อาจหยุดได้ ขณะนั้นเอง ป้าจวงที่นั่งอยู่ข้างๆ มาตลอดค่อยๆ ยื่นมือมาจับที่ชีพจรของเจียงหย่าเสวี่ย นางวางมือลงไปครู่หนึ่งมือของนางสั่นอย่างรุนแรง เมื่อยกออกจากข้อมือผอมบางนั้น นางไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งน้ำตาของนางเริ่มเอ่อล้น ความเงียบที่ปกคลุมในเวลานั้นกลับเป็นเหมือนเสียงกรีดร้องที่ก้องกังวานในใจของเจียงซิ่วเหยา
ในความมืดของค่ำคืน ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งค่ายพัก เสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้าทำให้บรรยากาศดูเย็นเยียบและเงียบงันยิ่งขึ้น ในขณะที่ทุกคนหลับสนิท วิญญาณของหลี่หนิง ผู้ที่เคยเป็นอัจฉริยะจากยุค 21 ได้หลุดลอยจากภพของตนอย่างไม่ทราบสาเหตุ วิญญาณนั้นหลงทางในความว่างเปล่า จนกระทั่งพบกับร่างของเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนสงบนิ่งอยู่ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง หลี่หนิงถูกดึงเข้าไปในร่างนั้นโดยไม่สามารถต่อต้านได้
ทันใดนั้น วิญญาณของหลี่หนิงก็เข้ามาอยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ย นางรู้สึกถึงความหนักอึ้งของร่างกาย และความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่ว นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความมืดรอบตัวทำให้นางรู้สึกสับสนและงุนงง นางไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ร่างกายของนาง นางมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีหญิงคนหนึ่งนั่งกอดร่างนางเอาไว้แน่น เนื้อตัวของหญิงคนนั้นสั่นเทาอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย หลี่หนิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือที่กุมไว้ นางรู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่มาจากหญิงคนนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ความทรงจำของร่างเดิมก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวของหลี่หนิง นางเห็นภาพของเจียงหย่าเสวี่ยที่เติบโตมาในความรักและความห่วงใยของผู้เป็นแม่ นางรับรู้ถึงความทรมานที่ร่างนี้ต้องเผชิญจากการเจ็บป่วย และความเจ็บปวดที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญเมื่อลูกสาวของนางป่วยหนัก หลี่หนิงสัมผัสได้ถึงความรักที่เจียงซิ่วเหยามีต่อลูกสาวของนาง ความรักที่ยิ่งใหญ่และไม่ยอมแพ้น้ำตาของหลี่หนิงไหลออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นน้ำตาของร่างนี้ที่ร้องไห้ออกมา เพราะนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างลึกซึ้ง ความรักและความสูญเสียที่ท่วมท้นในหัวใจของเจียงซิ่วเหยาได้ทำให้หลี่หนิงรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย และนั่นทำให้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หญิงผู้นี้ได้พบกับความสุขอีกครั้ง
"ทะ..ท่าน…ท่านแม่..."
เสียงที่หลุดออกมาจากปากนางนั้นแผ่วเบาและสั่นเครือ หลี่หนิงรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับหญิงคนนี้ ความรักและความห่วงใยที่มากมายจนทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอและเจ็บปวด แต่วิญญาณของหลี่หนิงกลับรู้สึกถึงพลังที่ลึกลับอยู่ในร่างนี้ นางไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางรับรู้ได้ชัดเจนคือ หญิงคนนี้รักและห่วงใยนางอย่างสุดหัวใจ
ราวกับเสียงสวรรค์ เจียงซิ่วเหยาสะดุ้งอย่างแรงจากนั้นนางก็กรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของราตรี มันเป็นเสียงกรีดร้องของความดีใจ ที่ตนได้ของรักกลับคืนมา…
“เสวี่ยเออร์ เสวี่ยเออร์ลูกแม่…ฮื่อออออ”
รุ่งเช้า เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านของรถม้า เจียงซิ่วเหยาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า นางมองไปที่ลูกสาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ และสังเกตเห็นว่าลูกสาวของนางกำลังลืมตาขึ้น เจียงซิ่วเหยารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก นางยิ้มทั้งน้ำตาและก้มลงไปกอดลูกสาวไว้แน่น
"เจ้าใหญ่! เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหนหรือไม่ บอกแม่เร็วเข้า ลูกอยากจะกินอะไรบอกท่านแม่มาเร็ว"
หลี่หนิงที่อยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่ท่วมท้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้คือ นางจะต้องปกป้องหญิงคนนี้และเด็กน้อยอีกคนที่นั่งมองนางตาแป๋วอยู่นั่น นางกวาดสายไปที่ร่างเล็กผอมของเด็กน้อยและในที่สุดก็เห็นบางอย่างที่ไม่ปรกติ ที่มือของเขา…มือของเขามีนิ้วงอกออกมาเกินหนึ่งนิ้ว เด็กน้อยรู้สึกถึงการจ้องมองของพี่สาวที่แปลกไป และเมื่อเขามองตามสายตาเขาก็เห็นว่าพี่สาวกำลังจ้องมาที่มือที่มี 6 นิ้วของเขา ด้วยความกังวลเขาจึงค่อยๆซ้อนมือข้างนั้นเอาไว้ข้างหลังและขยับออกห่างพี่สาวเล็กน้อย เขาคิดว่านางคงจะไม่เห็น แต่ทว่าหลีหนิงที่ตอนนี้คือ เจียงหย่าเสวี่ยนั้นรู้สึกและเห็นนางเข้าใจความรู้สึกของน้องชายดีเพราะความทรงจำจากร่างนี้ นางไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย พลางคิดในใจว่า เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะจัดการให้เองน้องชาย….
“ท่านแม่ข้าอยากจะกินโจ๊กผักเจ้าค่ะ” นางตอบออกมาเบาๆ ในที่สุด เจียงซิ่วเหยานั้นดีใจมากที่รู้สาวฟื้นและสามารถโต้ตอบได้นางรีบกุลีกุจอไปทำอาหารเองทันที ทั้งๆ ที่ป้าจวงบอกว่าจะทำให้นางก็ไม่ยอม
ความสูญเสียและความเศร้าที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับการมาถึงของหลี่หนิง แม้ว่าเจียงซิ่วเหยาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของนางได้จากไปแล้ว และวิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริง แต่หลี่หนิงตั้งใจว่าจะทำให้หญิงคนนี้มีความสุขอีกครั้ง นางจะใช้ชีวิตในร่างนี้เพื่อทดแทนความรักและความห่วงใยที่เจียงซิ่วเหยาได้มอบให้ และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวนี้ได้อีกต่อไป
***ไรท์ถึงกับน้ำตาซึมเลยความรู้สึกของการสูญเสียมันบีบหัวใจจริงๆ เกือบไปแล้ว****
บทที่ 5 พู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงคืนที่เงียบสงัดหลังจากที่เจียงหย่าเสวี่ยฟื้นขึ้นมา ในคืนที่ลมหนาวพัดผ่านทุ่งหญ้าอย่างแผ่วเบา ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวลงมายังค่ายพัก ร่างของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าที่คับแคบ ขณะที่ท่านแม่เจียงซิ่วเหยานั่งข้าง ๆ ด้วยความดีใจสุดขีด นางรีบทำโจ๊กผักอย่างที่ลูกสาวอยากกินมาให้สุดฝีมือ"เสวี่ยเออร์ กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่นางยกช้อนโจ๊กมาป้อนลูกสาว"ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องลำบากท่านหรอก"เจียงหย่าเสวี่ยตอบเบา ๆ แต่ก็รับช้อนจากมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆเจียงซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย นางยิ้มทั้งน้ำตา "ข้าอยากป้อนเจ้า ให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไป"หลังจากป้อนโจ๊กเสร็จ เจียงซิ่วเหยาลูบผมลูกสาวและกอดลูกไว้แน่นๆ ราวกับอยากให้ตัวเองมั่นใจว่านางไม่ได้สูญเสียลูกสาวที่รักคนนี้ไปจริง ๆ นางอยากจะมั่นใจว่าลูกยังอยู่ตรงนี้"ท่านแม่ ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ" เจียงหย่าเสวี่ยพูดปลอบเบา ๆเจียงซิ่งเหยาเมื่อป้อนโจ๊กผักให้ลูกสาวเสร็จก็ใช้หน
บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลงเมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัยตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่??? วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยเจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหั
บทที่ 8 ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะ…ท่านแม่!!!เสียงจากข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง เป็นป้าจวงที่ตามมาหานาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความประหลาดใจเมื่อเห็นดงโสมและเห็ดหลินจือที่เพิ่งเกิดขึ้น"คะ…คุณหนู คือ..คือ..เออ ท่านทำทั้งหมดนี้หรือเจ้าคะ?"ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา ป้าจวงถึงจะเป็นคนจิตแข็งขนาดไหนเมื่อเห็นกับตาว่าคุณหนู่ของนางอยู่ก็วาดๆ อะไรสักอย่างและเมื่อนางสะบัดแปรงเบาๆ ก็ทำให้มีเส้นแสงสีเงินสีทองวูบวาบเต็มไปหมดไม่ถึง5 อึดใจต้นโสมที่เป็นของหายากอันดับหนึ่งของป่าต่างก็รีบผุดขึ้นมาจากดินราวกับว่าหากขึ้นช้าแล้วจะไม่ทันหัวอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้นนางก็ตกใจทีเดียวเจียงหย่าเสวี่ยนั้นแต่แรกก็ไม่ได้คิดจะปิดบังครอบครัวแต่เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกไป แต่เมื่อป้าจวงที่เป็นคนที่ภักดีที่สุดของท่านแม่มาเห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ปล่อยให้ได้เห็น“ป้าจวงเร็วเข้ารีบมาขุดโสมเหล่านี้เร็ว ด้านนั้นยังมีเห็ดหลินจือด้วยเจ้าค่ะ ดอกใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่างเพิ่งนิ่ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ”เจียงหย่าเสวี่ยไม่อยากจะเสียเวลาเพราะหากอยู่ที่นี่นางไม่แน่ว่าท่านแม่อาจจะส่งใครมาตามพวกนางอีก ป้าจ
บทที่ 9 ขายโสม“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมาป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดูเมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขน
บทที่ 10 โรงประมูลมังกรเหินก่อนที่จะกลับมาที่โรงเตี้ยม ทั้งสองได้แวะไปที่โรงประมูลมังกรเหินและแจ้งตามที่หลงจู๊ของร้านขายยาหยูอี้ถังบอกว่าต้องการเข้าร่วมประมูล เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีโสมอายุ 1,000 ปี และเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีเข้าประมูล ทำให้โรงประมูลนั้นตื่นเต้นและโกลาหลกันขึ้นมาทันที พวกเขาถึงขนาดเชิญหลงจู๊มาและขอให้พวกนางนำโสมและเห็ดหลินจือออกมาให้ดู เพราะว่ากลัวว่าพวกนางจะพูดไม่จริง และเมื่อได้เห็นของเรียบร้อย ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองสองป้าหลานนั้นมีความนับถือมากขึ้นมาหลายส่วน"ข้าไม่ได้เห็นโสมที่มีอายุถึงพันปีมานานเหลือเกินแล้ว น่าจะเกือบ 10 ปีได้แล้ว มันล้ำค่าจริงๆ"หลงจู๊พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยตื่นเต้นและความประทับใจมาก นานมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่มีอายุเยอะขนาดนี้ในโรงประมูลมังกรเหินของพวกเขาและที่สำคัญมันถูกส่งเข้าประมูลเป็นคู่ด้วยครั้งนี้เมืองชิงเฉินจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน พวกเขารีบส่งสายตาให้กันเป็นการบอกว่า พวกเจ้ารีบไปกระจายข่าวนี้ให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะว่า ของมีค่าเช่นนี้มาถึงโรงประมูลกระชั้นชิดเหลือเกิน พวกเขาได้แต่ต้องทำวิธีการส่งข่า
บทที่ 11 แหวนมิติจากนั้นเสียงของฟู่เสี่ยวหานดังขึ้นมาอีกครั้ง“และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าคิดว่าทุกท่านรอคอยแล้ว!!!…..”ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงประมูลมังกรเหิน จากที่เงียบเมื่อสักครู่เสียงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวหานก้าวไปด้านหน้า และเปิดกล่องที่อยู่ตรงกลางทันที จากนั้นก็หยิบแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งในมือของเขา แม้แต่ผู้ที่อยู่ห้องรับรองพิเศษด้านบนนั้นถึงกับเปิดประตูเพื่อออกมามองมันให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนที่คิดว่าจะได้เห็นการประมูลโสมและเห็ดหลินจือในครั้งนี้ ฟู่เสี่ยวหานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดความสนใจ"ทุกท่านที่มาในวันนี้ข้าน้อยทราบดีว่านี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจะได้เห็นและเป็นเจ้าของ ข้าน้อยขอเชิญทุกท่านจับตามองให้ดี เพราะของที่ทางโรงประมูลมังกรเหินจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ใช่โสมอายุ 1,000 ปีและเห็ดหลินจืออายุ 500 ปีที่ท่านคาดหวังไว้"จากนั้น เขาค่อยๆ กางมือออก แหวนวงเล็กๆ นั้นลอยขึ้นกลางอากาศและเปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา เสียงผู้คนเริ่มเงียบลงด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน"แหวนวงนั้น...มันทำอะไรได้?"ม
บทที่ 12 ป้าจวงขณะที่ทุกคนภายในโรงประมูลยังคงตื่นตะลึงที่อยู่ๆ ผู้ชนะที่ประมูลแหวนมิติไปได้อยู่ก็หายวับไปกับตา เสียงอุทานด้วยความตกใจและการซุบซิบคาดเดาถึงตัวตนของผู้ประมูลผู้ลึกลับนั้นยังคงดังก้องอยู่ทั่วห้องโถงหลายคนยังไม่ทันได้คิดแผนร้ายที่จะหาทางช่วงชิงแหวนมา นางก็หายตัวไปเสียแล้ว ราวกับภูตผีที่ปรากฏขึ้นและหายไปในพริบตา"นางหายไปไหน!" ชายคนหนึ่งอุทานพลางหันไปมองรอบตัว"ข้าไม่ทันเห็นอะไรเลย นางหายไปเหมือนลม!" อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง"หรือว่านางจะเป็นจอมยุทธผู้วิเศษ?" หญิงสาวในชุดหรูหราถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย"ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน นางต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่าง ถึงได้กล้าทุ่มเงินมากขนาดนั้นและหายตัวไปได้ในพริบตา" ชายสูงชุดสีทองเบอร์ 9 คนที่ ที่บ้านไม่มีอะไรมากนอกจากเงินซึ่งเป็นไปได้ว่ามีไม่เยอะเท่าหญิงสาวเมื่อสักครู่แล้ว พึมพำขณะที่มองดูที่ว่างตรงเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตาเสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับเริ่มออกความคิดเห็นอย่างร้อนแรง"ข้าคิดว่าคนแบบนี้อาจจะเป็นสายลับของแคว้นอื่นก็ได้! นางดูไม่ธรรมดาเกินไป!""ข้าว่าเราไม
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่
บทที่ 116 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 1 “มาแล้วรึ องค์ชาย 11 ข้านึกว่าเจ้าจะหดหัวหนีไปตลอดชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้าเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า” เจิ้งหลี่เฟิงหรือตอนนี้คือฮ่องเต้ของแคว้นต้าหมิงค่อยยืนขึ้น ข้างๆ ฮองไทเฮามารดาของเขา…เจิ้งอี้หลงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา…กาฝากเสียด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เศร้าสลด เหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะเอาชนะและอำนาจ… เขาหันมองรอบลานอีกครั้งที่ตอนนี้เหล่าทหารที่ทรยศต่อแผ่นดินกำลังยืนอยู่และพร้อมจะลงมือสังหารเด็กๆ ได้ทุกเมื่อ เขายกพู่กันขึ้นและสะบัดเบาๆ เหล่าทหารที่ยืนอยู่ต่างก็กระเด็นตกจากแท่นพิธีทั้งหมดแขนขาหัก ร้องโอดโอย เหล่าพ่อแม่ที่เห็นพวกทหารที่โหดร้ายกระเด็นตกลงและแขนขาหักร้องอยู่ก็ต่างมองด้วยความสะใจ พวกเราเพียงแขนขาหักก็ร้องขนาดนี้ แล้วพวกเขาที่ลูกๆ กำลังจะถูกพวกเจ้าเข่นฆ่าเล่าจะไม่เจ็บปวดกว่าพวกเขาหรือ….ไม่มีผู้ใดสงสารเหล่าทหารที่นอนกองอยู่เลยสักคน จากนั้นเจิ้งอี้หลงก็สะบัดพู่กันอีกครั้งกรงที่ขังเหล่าประชาชนเอาไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พวกเขาต่างก็กรูกันออกมาและวิ่งหาลูกหลานของตัวเองทันที“พวกเจ้าหลบไปหาที่ปลอ