-เรือนซินหยาง จวนอ๋องฉิน-
"พระชายาเพคะ พระชายา"
เสียงเรียกจากสตรีนางหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาทการรับฟัง ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเปลือกตาบางค่อยๆ แย้มกระพริบขึ้น
นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ร่างเพรียวบางพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คนสนิทประคองตัวนางช่วยอีกแรง
ลู่เหยียนซินหันมองรอบๆ ห้องนางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นดวงตาเล็กเรียวทอดมองมายังหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าไร้เดียงสาที่ยังมีหยาดน้ำตานองเต็มดวงตากำลังนั่งมองนางด้วยความดีใจอย่างที่สุด
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพระชายางั้นหรือ"
"เพคะพระชายา ท่านคงไม่ใช่ว่าได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้หรอกนะเพคะ"
สาวใช้คนสนิทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มานานนับหลายวันและมีทีท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่เหยียนซินพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมานั้นในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ลู่เหยียนซินเห็นตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดนางกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตหญิงท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงส่งผลต่อเด็กในครรภ์โดยตรง การผ่าตัดใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆทุกวินาทีนั้นมีค่าหากพลาดแม้แต่นิดเดียวเท่ากับพรากชีวิตผู้เป็นแม่และเด็กน้อยไปตลอดกาล
ในที่สุดผลของความพยายามและแรงกดดันที่มีก็สิ้นสุดลงการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี นางกลับไปยังห้องพักแพทย์ด้วยความเหนื่อยล้าแล้วโน้มตัวลงพักได้เพียงครู่เดียว เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่เสียแล้วและมาอยู่ในร่างของลู่เหยียนซินคนที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับนางอีก
ขณะที่นางนั่งคิดเงียบๆ คนเดียว ความทรงจำบางอย่างในที่ที่ไม่ได้เป็นของนางค่อยๆ ไหลทะลักเข้ามาอย่างช้าๆ
ลู่เหยียนซินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากฮูหยินเอกของอัครมหาเสนาบดีลู่ขุนนางฝ่ายบุ๊นของราชสำนัก นางมีจิตพิศมัยรักใคร่อ๋องฉินตั้งแต่ยังเยาว์วัยเหตุเพราะเขาเคยช่วยนางออกจากป่าทึบทำให้นางประทับใจและหลงรักอ๋องฉินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเติบโตขึ้นจนถึงวัยปิ่นปักก็ได้บังคับให้บิดาขอพระราชทานสมรสให้นางแต่งเป็นพระชายาเอกของอ๋องฉินเยว่เหวินหมิง
ลู่เหยียนซินแต่งงานเข้ามาในจวนแห่งนี้จนเวลาล่วงเลยมาครึ่งปีแล้วอ๋องฉินก็ไม่เคยแตะต้องตัวนางเลยสักครั้ง เหตุเพราะบุรุษผู้นี้มีใจรักใคร่ต่อหยางซูฉินบุตรสาวคนเล็กของตระกูลแม่ทัพหยางและความตั้งใจเดิมของเขาคือแต่งหยางซูฉินมาเป็นชายาเอกแต่กลับได้ลู่เหยียนซินมาแทน
ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาในจวนก็เอาแต่ทะเลาะตบตีบ่าวไพร่ไม่เว้นวันทำให้อ๋องฉินเกลียดชังนางมากขึ้นกว่าเดิม ลู่เหยียนซินคิดว่าเป็นเพราะหยางซูฉินยังอยู่อ๋องฉินจึงไม่รักนาง ถึงกลับกล้าวางแผนส่งคนไปลอบทำร้ายหยางซูฉินระหว่างที่นางเดินทางมาที่จวนอ๋องแห่งนี้
หยางซูฉินถูกอ๋องฉินช่วยไว้ได้ทันเวลาและเมื่อส่งคนไปสืบสาวราวเรื่องแล้วพบว่าเป็นลู่เหยียนซินที่เป็นคนบงการจึงสั่งโบยนาง50ไม้ และกักขังไว้ในตำหนักซินหยางไม่ให้นางย่างกรายออกมาอีกเลย
ขณะนั้นลู่เหยียนซินตระหนักแล้วว่าอ๋องฉินนั้นเกลียดชังนางมากเพียงใด นางยิ้มอย่างขมขื่นกับโชคชะตาที่นางเลือกพร้อมกับหลับตาลง 'ข้าจะตายแล้วสินะ...' นางปิดตาลงพร้อมกับความเสียใจอย่างสุดแสนจะบรรยายออกมา
ลู่เหยียนซินค่อยๆหลับตาลง หูของนางได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ทั้งตะโกนขอความช่วยเหลือพลันสติของนางก็ค่อยๆ ดับวูบไปทีละนิด
อาจจะเพราะเหตุการณ์นี้หรือไม่ที่ทำให้นางได้เข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างเดิมผู้นี้
'เฮ้อ...ข้ามมิติมาทั้งทีเหตุใดไม่ให้เข้าไปอยู่ในร่างของคนธรรมดากันเล่า ทำไมต้องมาอยู่ในร่างของพระชายาผู้ที่สร้างปัญหาใหญ่โตเอาไว้ให้นางตามแก้ไขกัน!'
ลู่เหยียนซินนอนพักอยู่บนเตียงงามหลังใหญ่ไม่นานนักก็ได้ยินว่าหยางซูฉินมาขอเข้าพบ นางเดินเข้ามาในห้องด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมสาวใช้ประจำตัวที่ถือถาดน้ำชามาด้วย
"พระชายาหม่อมฉันมาเยี่ยมเพคะ"
"เยี่ยมข้า? ไม่จำเป็นหรอก"
"พูดอะไรเช่นนั้นอีกไม่นานท่านอ๋องก็จะไปสู่ขอข้าเป็นชายารองแล้ว ข้าจึงต้องมาทำความคุ้นเคยกับท่านเอาไว้" นางพูดพลางยิ้มเยาะใบหน้าของหยางซูฉินหวานละมุนมาก เครื่องหน้าของนางงดงามสมส่วนไปหมด
"อีกอย่างเรื่องที่ท่านส่งคนไปลอบทำร้ายข้า ข้าจะถือว่าเรื่องนี้เป็นความดีความชอบของท่านแทน ข้าจะยกโทษให้ท่านแล้วกัน"
"อะไรนะ?"
"ฟังไม่เข้าใจงั้นหรือ?ข้าต้องมาเจ็บตัวเพราะเจ้า ท่านอ๋องถึงได้ดูแลข้าไม่ห่างอีกทั้งยังให้พักที่จวนแห่งนี้ได้ ข้านั้นดีใจสุดๆไปเลยละ"
"ข้านั้นนึกอุตส่าห์หาทางเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกวิถีทางแต่จนสุดท้ายก็เป็นเจ้าที่เปิดทางทำให้ข้าได้ใกล้ชิดกับท่านอ๋องเสียเอง ไม่ให้ข้าขอบคุณเจ้าก็คงจะแล้งน้ำใจเกินไป" นางเหยียดยิ้มปนเย้ยหยันมาให้ลู่เหยียนซิน หยางซูฉินคิดว่าลู่เหยียนซินคงจะระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นแน่แต่นางคิดผิด! ลู่เหยียนซินเพียงมองนางด้วยแววตานิ่งเฉยพร้อมกับเอ่ยปากออกมาว่า
"เป็นเช่นนั้นเองเหรอ…หากเจ้าได้ตามที่ปรารถนาแล้วก็ออกไปจากเรือนของข้าได้แล้วข้าต้องการพักผ่อน"
"เฮอะ!…ลู่เหยียนซินข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบหย่ากับท่านอ๋องโดยเร็วจะดีกว่า เจ้าไม่เห็นแววตาของท่านอ๋องที่เกลียดชังเจ้ามากหรืออย่างไรกัน"
"หากอยากให้ข้าหย่าเจ้าก็ไปรบเร้าท่านอ๋องเองอย่ามารบกวนข้า ออกไปได้แล้ว!" ลู่เหยียนซินออกปากไล่เพราะนึกรำคานนางเต็มทน
"เจ้า! เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองมีดีพอที่จะเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องเช่นนั้นหรือ หากไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวสายตรงของใต้เท้าลู่เจ้าจะได้อยู่ตำแหน่งนี้ง่ายๆ หรืออย่างไรกัน!"
"แล้วเจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เช่นนั้นหรือ?"
"ข้าเป็นคนรักของท่านอ๋อง อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวของแม่ทัพหยางและหลานสาวของพระสนมหยางกุ้ยเฟยสถานะของข้าไม่เหมาะสมตรงไหนกัน อย่างไรสักวันท่านอ๋องต้องยกให้ข้าเป็นชายาเอกแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว"
"เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกท่านอ๋องเสียเองสิ"
"ข้าไม่จำเป็นต้องรบเร้าท่านอ๋อง เจ้าคอยดูเถอะว่าข้าจะใช้วิธีไหนที่ทำให้ท่านอ๋องเขี่ยเจ้าออกจากตำแหน่งชายาเอกอย่างเร็วที่สุด!"
หยางซูฉินหยิบถ้วยชาในมือสาวใช้ของนางแล้วยกขึ้นพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ลู่เหยียนซินมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งนางเริ่มรำคานหยางซูฉินผู้นี้ขึ้นมาทีละนิดแล้ว
เพล้ง !
เพล้ง !เสียงกระเบื้องเคลือบตกลงกระทบกับพื้นแตกกระจายทั่วทั้งพื้นห้องน้ำหวานสีแดงสดสาดกระเซ็นโดนปลายกระโปรงของหยางซูฉิน ไม่พอเท่านั้นนางยังยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของตัวเองแรงๆไปทีหนึ่ง ลู่เหยียนซินมองนางด้วยความตื่นตะลึง 'นี่ต้องลงทุนทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลยหรือ?’"พระชายา หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ"หยางซูฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้องนางมองมาที่ลู่เหยียนซินด้วยแววตาที่ชิงชัง เรียวปากของนางเหยียดยิ้มออกมาพลางบีบน้ำตาให้ไหลอาบใบหน้าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางสร้างความรำคาญให้แก่ลู่เหยียนซินผู้เป็นเจ้าของห้องนี้เป็นอย่างมาก นางจ้องมองการกระทำของหยางซูฉินด้วยสายตาแข็งกร้าวจนหยางซูฉินเองรู้สึกขนลุกขนชันทั่วทั้งร่างกายหากเป็นแต่ก่อนลู่เหยียนซินคงจะอาระวาดหนักไปแล้วแต่วันนี้นางกลับนิ่งเงียบนั่งมองหยางซูฉินแสดงละครด้วยสีหน้านิ่งเฉย ลู่เหยียนซินกรอกตามองไปที่หยางซูฉินผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามกิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน นางเผยตัวตนที่เลวทรามให้ลู่เหยียนซินเห็นมาหลายครั้งหลายคราแต่กลับไม่มีผู้ใดมองเห็นมันเสียทีปัง!ประตูห้องนอนของนางถูกถีบออกด้วยฝ่าเท้าของบุรุษชุดคลุมสีเขียวหยก
-เรือนฉางหมิง จวนอ๋องฉิน-"ท่านอ๋องอย่าลงโทษพระชายาอีกเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังเองหากลงโทษนางอีกเกรงว่าร่างกายของพระชายาจะรับไม่ไหว""อืม วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ""แต่ว่าท่านอ๋อง...""เจ้าเองก็หายดีแล้วหากอยู่ที่นี่นานจะมีแต่คำติฉินนินทา วันนี้ข้าต้องเข้าวังเจ้ากลับไปก่อนไว้ข้าจะหารือเรื่องของเรากับฝ่าบาทอีกครั้ง""เช่นนั้นก็ได้เพคะหม่อมฉันทูลลา"หลังหยางซูฉินจากไปอ๋องฉินก็เข้าไปในห้องตำราก่อนจะนั่งลงพลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ดูจากหลักฐานแล้วลู่เหยียนซินไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นก่อนแน่นอนแล้วหยางซูฉินจะใส่ความนางทำไมกัน?หากเป็นแต่ก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่พ้นที่นางจะโวยวายและเป็นฝ่ายตบตีหยางซูฉินก่อนเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ต่างไปนางนิ่งเงียบแววตาไร้ซึ่งอารมณ์กรุ่นโกรธเหมือนกำลังดูอะไรสนุกๆอยู่อย่างไรอย่างนั้น"ท่านอ๋องให้เรียกท่านหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่จำเป็น"อ๋องฉินที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นทันทีคราบเลือดเริ่มแห้งลงบ้างแล้ว เขาไม่สนใจบาดแผลนี้เลยสักนิดก่อนจะหันมองไปยังองค์รักษ์คนสนิท"ชิงอี""ท่านอ๋องเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ""สั่งให้
วันรุ่งขึ้นลู่เหยียนซินถูกลี่ถิงปลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่เช้า ดวงตาที่ยังไม่เต็มตื่นปากของนางก็ยังหาวหวอดๆ อยู่เลย “ลี่ถิง ข้าต้องแต่งตัวเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”“เตรียมตัวไว้เพคะพระชายา ท่านยังต้องกินอาหารก่อนเข้าวังอีกนะเพคะหากท่านอ๋องต้องคอยนานเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกทำโทษอีก”“ก็ได้”ทางด้านเรือนฉางหมิงเมื่อเห็นว่าจวนจะสายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นนางออกมา อ๋องฉินที่กำลังจะสั่งให้ชิงอีไปเรียกในตอนนั้นลู่เหยียนซินก็เดินออกมาพอดี นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานปักลวดลายดอกไม้สวยงามขับสีผิวขาวเนียนใส ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกัน ทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้นดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล มวยผมที่เกล้าขึ้นยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆหวานใส แก้มแดงระเรื่อเมื่อโดนแสงแดดกลับสว่างใสมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที“ไปกันได้หรือยังข้ามีงานต้องกลับมาทำต่อนะ”“.....”‘เป็นเขาที่รอนางนานไม่ใช่หรืออย่างไรกัน นางมาช้ายังจะกล้าบ่นอีก’อ๋องฉินเดินนำหน้านางไปยังหน้าประตูจวน ลู่เหยียนซินหันมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นรถม้า ‘ไหนบอกว่ารีบ? รถม้าสักคันก็ไม่เห็นเตรียมเอาไว้แล้วจะมาเร่งนางทำไมกัน’ลู่เหยียนซิ
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ