และนี่เป็นครั้งที่สามที่อ้ายอ้ายรู้สึกว่าตัวเองถูกเครื่องดูดฝุ่นอันใหญ่ดูดอีกครั้ง วิญญาณของอ้ายอ้ายหายเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกันกับเสียงของหมอตำแยทำคลอดที่ร้องขึ้นมา
"คลอดแล้วเป็นคุณหนู คลอดแล้วเจ้าค่ะ"
สายรกถูกตัดออกพร้อมกับร่างของเด็กน้อยที่ถูกอุ้มไปชำระล้างร่างกายแล้วห่อในห่อผ้ามงคลสีแดง เด็กน้อยลืมตาขึ้นแล้วมีสีหน้าที่ดูค่อนข้าง งุนงง
สีหน้านี้ทำให้หมอตำแยถึงกับมองด้วยความประหลาดใจเด็กคนนี้เกิดมาก็ลืมตาทันใด
ดวงตากลมโตของนางยังกลอกไปมาแล้วจ้องมองใบหน้าหมอตำแยด้วยความสงสัย
หมอตำแยถูกทารกแรกเกิดจ้องมองด้วยดวงตาใสแจ๋วก็รู้สึกใจไม่ดี มิหนำซ้ำเด็กน้อยยังไม่ร้องสักแอะหรือว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ
อ้ะ หรือว่า...นางเป็นใบ้!
ไม่ได้การแล้วต้องรีบทำให้ร้องไห้ให้เร็วที่สุด
ในเมื่อเจ้าหัวไชเท้าขาวอวบที่เพิ่งดึงออกมาจากดินด้วยตนเองไม่ยอมส่งเสียง หมอตำแยจึงใช้ฝ่ามือฟาดที่ตูดไปสองที แต่เด็กน้อยยังมองตาแป๋วเหมือนไม่รู้สึกอันใด
หมอตำแยเริ่มใจเสีย ฮูหยินคนนี้ไม่ได้รับความโปรดปรานหากว่าบุตรสาวที่คลอดมาเป็นใบ้ชีวิตที่เหลือของนางคงไม่พ้นถูกมอบหนังสือหย่าและจากนั้นไม่ต้องเอ่ยว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด
ในขณะที่หมอตำแยกำลังตกอกตกใจ อ้ายอ้ายที่เพิ่งถือกำเนิดในร่างเด็กน้อยก็อยู่ในสภาวะงวยงงสงสัย
ความตายสำหรับนางช่วงรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน และการเกิดใหม่ก็เช่นเดียวกัน เผลอพริบตาเดียวก็ดูเหมือนว่าอ้ายอ้ายกำลังถูกผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อุ้มเอาไว้แล้ว
อ้ายอ้ายมองไปรอบ ๆ และนางก็มองเห็นไม่ค่อยชัด นางจึงพยายามโฟกัสไปที่การมองเห็น
'ในบันทึกไม่ได้มีบอกเอาไว้ว่าเด็กน้อยตาบอด ไม่นะ ฉันไม่น่าตาบอดหรอก ต้องไม่บอดสิ สวรรค์อย่าทำร้ายฉันนักเลย!'
เพราะมัวแต่กังวลเรื่องดวงตาอ้ายอ้ายจึงเหม่อลอยไม่ยอมร้องไห้ จึงทำให้หมอตำแยยิ่งเข้าใจผิดว่าเด็กอาจเป็นใบ้ หมอตำแยจึงได้ลงมือตีก้นเด็กแรงขึ้น ด้วยความที่เนื้อยังอ่อนเกินไปเมื่อถูกฝ่ามือตีเข้าไปอย่างแรงคราวนี้อ้ายอ้ายก็รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว
"อุแว้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
คราวนี้อ้ายอ้ายร้องกังวานจนแสบแก้วหูไม่หยุดเพราะทั้งเจ็บที่โดนตีก้นและตกใจที่คิดว่าตัวเองอาจจตาบอด กระทั่งอ้ายอ้ายได้ยินเสียงของมารดาเอ่ยว่า
"ปลอดภัยดีหรือไม่ ให้ข้าดูนางหน่อย บุตรสาวข้า"
ดูเหมือนหมอตำแยจะพ่นลมหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก ตั้งแต่ทำคลอดเด็กมาตลอดชีวิตไม่เคยเห็นเด็กคนใดดื้อด้านไม่ยอมร้องไห้ออกมา และยังมีสีหน้าราวกับผู้ใหญ่เช่นนั้น
"คุณหนูปลอดภัยดี ร้องเสียงดังเช่นนี้ย่อมบ่งบอกว่าสุขภาพแข็งแรง เห็นครรภ์ของฮูหยินเล็ก ๆ ตอนแรกยังเกรงว่าเด็กจะคลอดออกมาไม่สมบูรณ์ แต่ฮูหยินดูรูปร่างอ้วนท้วนนี่สิเจ้าคะ คุณหนูช่างเป็นซาลาเปาน้อยนุ่มฟูน่ารักยิ่งนักเจ้าค่ะ"
หมอตำแยส่งอ้ายอ้ายให้มารดา มารดารับอ้ายอ้ายมาอุ้มเอาไว้พร้อมกับก้มหน้าต่ำลงมาจูบที่หน้าผากของอ้ายอ้าย เด็กน้อยหยุดร้องทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมารดาชัดเจน
อ้ายอ้ายเหลือบตาขึ้นลงแล้วจ้องมารดาเขม็ง ไม่อ้าปากร้องอีกทำเอามารดาประหลาดใจกับท่าทางรู้ความของเด็กน้อย
หมอตำแยปาดเหงื่อพร้อมกับเอ่ยว่า
"คุณหนูช่างรู้ความนัก เพียงฮูหยินอุ้มก็หยุดร้องทันที ราวกับเด็กเจ็ดเดือนกระนั้นไม่เหมือนเด็กแรกคลอดเลยสักนิด"
อ้ายอ้ายไม่ทันฟังคำของคนแก่คนนั้น เพราะตอนนี้อ้ายอ้ายกำลังสงสัยว่าทำไมเดี๋ยวเห็นชัดทำไมเดี๋ยวเห็นไม่ชัด
'เอ๋ ตอนหม่าม้าขยับหน้าเข้ามาใกล้ เห็นหม่าม้าชัดเจน ไม่ตาบอดหรือ'
จากนั้นจึงคิดได้ว่า
'อ้อ เพิ่งคลอดออกมา เด็กจะมองเห็นไม่ชัดนอกจากจะมองใกล้ ๆ กว่าจะมองเห็นชัดก็น่าจะอีกหลายเดือน ไม่ตาบอดแล้ว ไม่ตาบอดแล้ว'
อ้ายอ้ายก็พลันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขยิ่งนัก ดวงตากลมใสแจ๋วจ้องมองมารดา จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอ้อแอ้และส่งรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของนางชัดเจน
มือเล็กป้อมยื่นมาข้างหน้าราวกลับจะคว้าใบหน้าของมารดาเอาไว้ ดูเป็นเจ้าก้อนแป้งน้อยที่กระตือรือร้นเกินเด็กแรกเกิดคนอื่น
'หม่าม้าจ๋า หม่าม้าสวยจังเลย มีหม่าม้าที่สวยแบบนี้อ้ายอ้ายก็คงไม่ขี้เหร่แล้ว'
เพราะบุตรสาวเป็นทารกตัวน้อยจ้ำหม้ำอ้วนท้วนตัวขวบอวบ เวลาแย้มยิ้มแม้จะยังไม่มีฟันก็เหมือนเทพธิดาตัวน้อย พลอยทำให้หัวใจของเมิ่งสืออีพลันรู้สึกเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน นางรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผีเสื้อที่กำลังกระพือปีกบินวนอยู่บนดอกไม้ที่หอมกรุ่น
"เด็กดี อีเจี่ยเอ๋อร์[1]ของแม่ ถึงคนอื่นจะไม่รักแต่แม่รักลูกที่สุดเลยรู้หรือไม่"
น้ำตาของเมิ่งสืออีไหลออกเป็นทางยาวจากนั้นก็สะอื้น ในวันนี้ที่นางต้องทรมานเพราะคลอดบุตร นางกลับต้องอยู่เพียงลำพังโดยไร้เงาสามีมาคอยดูแล กระทั่งแม่สามีก็ยังไม่สนใจว่าหลานจะเป็นหญิงหรือชายจะคลอดออกมาปลอดภัยหรือไม่
แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาของลูกน้อยก็ดูเหมือนว่านางจะมีกำลังวังชาขึ้นมาโดยพลัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าจะคลอดเจ้าก้อนแป้งนี้ออกมานางยังหวาดวิตกและเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่จนรู้สึกว่าจิตใจกำลังร่วงดิ่งลงเหวอันมืดมิด
เมื่อสองแม่ลูกปลอดภัยหน้าที่ของหมอตำแยก็เสร็จสิ้นลงแล้ว หญิงชราเดินออกไปข้างนอกกำชับไฉไฉสาวรับใช้ของฮูหยินซึ่งเป็นหลานสาวของตนเองในเรื่องการดูแลสตรีหลังคลอดหลายคำ
"ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านป้าฮูหยินของข้าไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด"
สตรีสูงวัยเอ่ยว่า
"ช่างเป็นฮูหยินที่น่าสงสารยิ่งนัก ข้าอยู่มาจนอายุเกือบจะหกสิบแล้วยังไม่เคยพบเห็นฮูหยินใหญ่บ้านใดตกต่ำเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินของเจ้าทั้งงดงามทั้งอ่อนหวาน จิตใจดีงามเช่นนี้ไยพวกเขาจึงทำร้ายได้ลงคอ ดูเอาเถิดกระทั่งคุณหนูน้อยที่เพิ่งคลอดยังน่าเอ็นดูเพียงนั้น เฮ้ย เห็นทีว่าข้าต้องมองท่านแม่ทัพใหม่เสียแล้ว วันคลอดบุตรสาวคนแรกแท้ ๆ ยังขับไล่ฮู่หยินใหญ่ออกนอกจวนเพื่อเอาใจภรรยารอง ทั้งเหยียบย่ำคน จัดงานแต่งงานใหญ่เพื่อฮูหยินรองเพียงนี้"
ไฉไฉเองก็น้ำตาซึม นางแทบจะกลั้นเสียงของตนเองไม่อยู่แล้วด้วยสงสารผู้เป็นนายของตนเอง
ก่อนหน้านี้ไฉไฉได้เร่งหาหมอตำแยในเมืองหลวงมาหลายคนเพราะกำหนดคลอดของฮูหยินใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใดที่สะดวกมาทำคลอดให้
ไฉไฉย่อมรู้ว่าฮูหยินของตนเองกำลังถูกกลั่นแกล้ง ตั้งแต่เข้าจวนท่านแม่ทัพมาฮูหยินซึ่งกำลังตั้งครรภ์ก็มีชีวิตที่ยากลำบากยิ่งนัก
ในขณะที่ไฉไฉกำลังจะหมดหวังท่านป้าซึ่งเป็นหมอตำแยกลับมายังเมืองหลวงเพื่อมาเยี่ยมมารดาของนางพอดี ไฉไฉจึงขอร้องให้ท่านป้าของตนมาทำคลอดให้ฮูหยิน
สวรรค์ยังไม่โหดร้ายเกินไป ยังให้ทางรอดแก่แม่ลูกผู้น่าสงสารอยู่บ้าง
ตั้งแต่ฮูหยินมาถึงที่จวนแม่ทัพ ไฉไฉได้รับหน้าที่ดูแลนางจากท่านแม่ทัพ ไฉไฉเป็นคนดีและคนซื่อตั้งใจปรนนิบัติฮูหยินเอกอย่างเต็มที่แม้คนอื่นจะรังแกและหลีกหนี
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มีซินแสมาตรวจดูดวงชะตาพบว่าในวันแต่งงานรับฮูหยินรอง ไม่สามารถให้ฮูหยินเอกอยู่ในจวนได้เพราะจะทำให้ชะตาชีวิตของท่านแม่ทัพตกต่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อในคำทำนายนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นฮูหยินของนางจึงถูกฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นใหญ่ในจวนขับไล่ให้ออกมาอยู่นอกจวน อาศัยที่เรือนหลังเล็กอันหนาวเหน็บแห่งนี้ทั้ง ๆ ที่ท้องโตใกล้คลอด
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาเนิ่นนานเป็นบ้านร้างที่ถูกซื้อไว้หลายปีแล้วหลายจุดจึงผุพัง ไม่มีกระทั่งเตียงอุ่นสักหลัง
ฮูหยินของนางมีเงินไม่มากสินเดิมที่ได้รับมาไฉไฉก็รู้ว่าถูกพวกโจรปล้นไปจนหมด ฮูหยินมีปิ่นทองล้ำค่าที่ติดกายมาหนึ่งอันรวมกับหยกขาวห้อยเอวอยู่ชิ้นหนึ่งจึงมอบให้ไฉไฉนำไปจำนำ จึงพอมีเงินมาจ้างให้คนทำเตียงอุ่นและซื้อถ่านมาเตรียมไว้ได้บางส่วน
แต่ว่าเงินมีจำนวนจำกัดไม่รู้ว่าจะสามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้หรือไม่
"เจ้าเข้าไปดูแลฮูหยินเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาช่วยเจ้าแต่เช้า"
ไฉไฉคุกเข่าลงแล้วคำนับผู้เป็นป้า
"ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ"
ท่านป้าหมอตำแยรีบพยุงให้ไฉไฉลุกขึ้น
"เจ้าเป็นหลานข้า หากข้าไม่ช่วยเจ้านายของเจ้าพวกเราก็ไม่ต้องมานับญาติกันแล้ว อาไฉอย่างไรก็ดูแลฮูหยินให้ดี ข้าเห็นว่าคุณหนูน้อยช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ดูสิหลังถูกข้าตีแล้วจนป่านนี้ยังไม่ร้องไห้สักแอะ เหมือนจะรู้ความเกินเด็กทารกทั่วไป ใบหน้าของคุณหนูล้วนเต็มไปด้วยลักษณะผู้มีบารมี ข้าคิดว่านับจากนี้ไปชีวิตของฮูหยินอาจจะพลิกผันดีขึ้นเพราะบุตรสาวผู้นี้"
เชิงอรรถ
^ เจี่ยเอ๋อร์คือคำที่ใช้เรียกเด็กผู้หญิง โดยมีตัวเลขนำหน้าอี = 1อีเจี่ยเอ๋อร์หมายถึงเด็กหญิงคนที่ 1
บทที่ 6 ไร้ญาติขาดมิตร อ้ายอ้ายลืมตาดูโลกได้สามวันแล้วแต่อ้ายอ้ายก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครญาติพี่น้องคนใดมาเยี่ยมนางเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นท่านพ่อของตัวเองอ้ายอ้ายก็ไม่เห็นว่าเขาจะโผล่มา อ้ายอ้ายอยากเห็นหน้าเขาคนผู้นั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ใจจืดใจดำปานนั้นอ้ายอ้ายสงสารหม่าม้าเหลือเกินอยากจะพูดปลอบโยนให้หม่าม้าสบายใจแต่เพราะอ้ายอ้ายยังเป็นเด็กแรกเกิดถึงแม้ว่าจะมีหัวใจเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายที่อ่อนแอและต้องการพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการตามประสาเด็กเกิดใหม่ออกมาได้ ดังนั้นทั้งวันทั้งคืนของอ้ายอ้ายก็คือการนอนและตื่นตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นอ้ายอ้ายแม้จะยังเป็นทารกแต่ก็มีเรื่องที่ชอบที่สุดแล้ว นั่นก็คือตอนนี้อ้ายอ้ายชอบเพ่งมองใบหน้าสวย ๆ ของหม่าม้ามากเป็นพิเศษ อ้ายอ้ายอยากจะพูดคุยกับหม่าม้าแต่ว่าดูเหมือนว่าร่างกายจะยังไม่พร้อมแม้อยากจะส่งเสียงแต่ก็เป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ที่เปล่งออกมาเท่านั้น พอพยายามพูดมากอ้ายอ้ายก็เหนื่อยจนหลับอีกแล้วอ้ายอ้ายกินไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่เพราะว่าน้ำนมของหม่าม้ายังมาน้อยนักจึงทำให้อ้ายอ้ายตื่นขึ้นมาบ่อยครั้ง แล
บทที่ 7 บุตรสาวของข้า"ลูกของข้าเจ้าจะพาไปไหนไม่ได้"อ้ายอ้ายได้ยินเสียงนั้นพร้อมกับท่าทางตกอกตกใจของมารดานางก็เข้าใจได้โดยพลันว่าผู้ที่มาใหม่นั้นคือผู้ใด ในใจของอ้ายอ้ายคิดแค้นเคืองนัก นี่หรือคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อเขาทักทายคนที่เป็นภรรยาหลวงที่ไม่ได้เจอกันมานานแบบนี้หรือช่างน่าชังนัก นางอยากจะหยุมหัวผู้ชายคนนั้นจริง ๆแม้จะง่วงเพียงใดอ้ายอ้ายก็ยังก่นด่าออกมา"อ้า อ้า อ้อ อ้อ..."หานชางเหยียนได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็พลันรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งทำให้เขาอยากเห็นใบหน้านั้นทว่าเขากลับไม่กล้าขยับบุรุษร่างสูงมองแผ่นหลังของเมิ่งสืออีที่ยังนั่งหันหลังให้เขา พร้อมกับบังร่างทารกเอาไว้อย่างหวงแหนไม่ยอมให้เขาได้เห็นหน้าจึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กดข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้"ลูกสาวข้า ให้ข้าดูนางหน่อย"เมิ่งสืออีทั้งโกรธทั้งแค้นนางหันมามองเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าว สายตาของคนสองคนพลันประสานกันท่ามกลางปุยหิมะที่พัดเข้ามา หานชางเหยียนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในเนตรคู่งาม แต่เขากลับแสร้งไม่รับรู้"อย่ามายุ่งกับลูกของข้า อากาศเย็นมากเปิดประตูลมหนาวเข้ามาลูกของข้าจะไม่สบาย "ไฉไฉที่เพิ่งได้สติจึงขย
บทที่ 8 ลู่ลี่ผู้อ่อนหวาน"ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ได้ยินลู่ลี่หรือไม่ ได้ยินเสียงของเด็กร้องอีเจี่ยเอ๋อร์ไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ ลู่ลี่พาหมอมาด้วยให้ตรวจร่างกายเสียหน่อยดีหรือไม่"น้ำเสียงของลู่ลี่หากฟังเผิน ๆ นั้นช่างอ่อนโยนหวานใสจนทำให้อ้ายอ้ายอยากจะเห็นหน้านักว่านางจะมีใบหน้าอย่างไร ทว่าในใจของอ้ายอ้ายนั้นกลับยิ่งรู้สึกรังเกียจเมิ่งสืออีตะโกนดังลั่นให้เสียงของตนเองดังลอดออกไปด้านนอก"ลู่ลี่ เจ้าหุบปากอย่ามารบกวนบุตรสาวข้า"ลู่ลี่ที่อยู่ภายนอกย่อมได้ยินเสียงอย่างชัดเจน นางกำหมัดแน่นก็แค่เชลยไร้ค่าผู้หนึ่งกล้าดีอย่างไรมาสั่งให้นางเงียบ ลู่ลี่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคำแต่นางกลับโดนแม่นมของตนเองจับมือเอาไว้ทั้งส่ายหน้า"คุณหนู อย่าเจ้าค่ะ"ลู่ลี่ฮึดฮัดขัดใจแต่นางก็เชื่อฟังแม่นมของตนเองอยู่มาก นั่นเป็นเพราะคำสอนของแม่นมจึงทำให้นางคว้าหัวใจของหานชางเหยียนเอาไว้ได้ นางจึงได้แต่เงียบเสียงทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวที่ไร้พิษภัยด้วยความรู้สึกอึดอัดใจอ้ายอ้ายจำได้ว่าฮูหยินรองเป็นงูพิษจึงถ่มน้ำลาย ทั้งค่อนขอดในใจเสแสร้งดัดจริต อย่าคิดว่าคนอื่นเขาโง่เหมือนผู้ชายคนนั้น เพ้ย!คิดดังนั้นก็ปล่อยเต้าของหม่าม้าออกจ
บทที่ 9 ท่านลุงผู้ใจดี"ไยข้าจะมาไม่ได้เล่า ข้ากับหานชางเหยียนเป็นสหายรักกันเจ้าไม่รู้หรือ"ไฉไฉไม่ได้ฝันไปจริง ๆ คุณชายรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงบัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้วคุณชายฮวาผู้นี้มาจากตระกูลบัณฑิตมีบิดาเป็นท่านเจ้ากรมสำนักศึกษา มารดาเป็นยอดอาจารย์หญิงที่สั่งสอนองค์หญิงในวังหลวง ส่วนเขาคือบัณฑิตมากความสามารถที่เก่งรอบด้านที่สุดผู้หนึ่งด้วยใบหน้างดงามดุจเทพเซียนและความสามารถด้านการบรรเลงเพลงพิณและเขียนพู่กันของเขาที่นับว่าเป็นยอดปรมาจารย์ทำให้มีสตรีน้อยใหญ่ต่อแถวกันถึงสามช่วงถนนเพื่อหมายแต่งงานกับเขา ทว่าเขากลับรักอิสรเสรีและยังเจ้าสำราญจึงไม่ยินยอมแต่งกับผู้ใด นามของเขาคือ 'ฮวาซานเหริน'ไฉไฉเคยเห็นเขาในภาพวาดที่มีคนวาดขายในเมืองหลวงอยู่หลายครา แต่นางไม่เคยเห็นตัวจริงของเขามาก่อน เพราะเขาเป็นคนที่หาตัวยากนักไปมาไร้ร่องรอย แต่เพราะความโดดเด่นอันยากที่จะลืมเลือนของเขาเพียงนางเห็นใบหน้านี้ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือผู้ใดเขาปล่อยให้ไฉไฉดื่มด่ำกับใบหน้าของเขาครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยว่า "ในนี้มีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นของชางเหยียนที่เตรียมเอาไว้ให้ฮูหยิน พรุ่งนี้ก็ไปไถ่ของที่จำนำ
บทที่ 10 ข้าไม่เชื่อ หลังจากฮวาซานเหรินกลับไปแล้วเขามิได้ไปหาแม่นางคนงามอย่างที่บอกกับหานชางเหยียน ทว่าสองเท้าของฮวาซานเหรินกลับมุ่งตรงกลับเรือนของตนเองทันใด เมื่อไปถึงเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคานั่งดื่มสุราใต้แสงจันทร์เพียงลำพังทว่าสายตากับจดจ้องไปยังเรือนข้าง ๆเรือนหลังนั้นแสงตะเกียงยังไม่ดับมืด เขาจึงเห็นเงาสตรีนางหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะให้นมบุตรสาดส่องออกมาพร้อมกับได้ยินน้ำเสียงแผ่วหวานของนางพูดคุยกับบุตรสาวไม่หยุดฮวาซานเหรินมองเงานั้นด้วยหัวใจสงบ เด็กน้อยคนนั้นมักจะตื่นขึ้นกลางดึกเสมอคงเป็นเพราะหิวและยังไม่ยอมนอนจนต้องให้มารดากล่อมอย่างยากลำบากในทุกคืนเพียงแค่เงาของสองแม่ลูกที่เขาเห็นฮวาซานเหรินก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่คนเป็นพ่ออย่างหานชางเหยียนนั้นกลับไม่เคยสนใจความอบอุ่นนี้เลยแม้แต่น้อย คิดดังนั้นฮวาซานเหรินก็ได้แต่ทอดถอนหายใจด้วยความสงสารสองแม่ลูกอยู่เพียงลำพังด้านหานชางเหยียนเขามิได้กลับไปนอนยังเรือนของลู่ลี่ เขาตรงมายังห้องหนังสือแล้วดื่มสุราต่อ ทุกคำพูดของฮวาซานเหรินยังก้องอยู่ในหูของเขาในช่วงเวลาที่เขาออกรบนั้นเมิ่งสืออีได้รับความลำบากมากมายเพียงใดเขาไ
บทที่ 11 ย้ายบ้าน ยามเว่ย[1]วันต่อมาหานชางเหยียนก็มารับเมิ่งสืออีเพื่อย้ายไปยังเรือนหลังใหม่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเรือนหลังนั้นคือหนึ่งในเรือนรับรองของจวนสกุลฮวาที่หานชางเหยียนขอเช่าชั่วคราว เพราะสกุลฮวาเป็นสกุลบัณฑิตในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนกับบิดาของฮวาซานเหรินไม่น้อย คุณชายที่มาล้วนเป็นคนมีฐานะสูงส่งจากหลายเมืองหลายแคว้น สกุลฮวาจึงมีเรือนมากมายเพื่อรับรองแขกเหล่านี้แทนที่จะให้คุณชายผู้สูงศักดิ์พักที่โรงเตี๊ยมเมิ่งสืออีไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องบุตรสาวนางจึงอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเองและปล่อยให้ไฉไฉประคองเดินอ้ายอ้ายเพิ่งกินนมอิ่มนางลืมตานอนเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ท่านพ่อของตนได้มารับท่านแม่ไปที่เรือนหลังใหม่หานชางเหยียนรอนางอยู่ที่หน้าประตูเมื่อเดินออกมาเมิ่งสืออีจึงเห็นว่าเขาพาลู่ลี่มาด้วย ลู่ลี่ทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท เมิ่งสืออีมองด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับลู่ลี่ไร้ตัวตนในสายตาของนางลู่ลี่กำมือแน่นและกำลังอดทนไม่แผดเสียงดังด้วยความเกลียดชังออกไปหากไม่มีเมิ่งสืออีแม้นางจะแต่งเข้าจวนในนามฮูหยินรองแต่นางก็ย่อมเป็นหนึ่งในจวนนี้ กระนั้น
บทที่ 12 ต้องเข้มแข็งรถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เพราะต้องผ่านเส้นทางแคบที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ เมิ่งสืออีเห็นหานชางเหยียนขี่ม้ามาเคียงข้างรถของนางแต่ไม่เห็นลู่ลี่แล้ว "ฮูหยินรองสงสัยจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ คงแค้นฮูหยินมากที่ไม่ยอมรับคำขอโทษของนาง""ช่างนางเถิด นางเป็นตัวไร้ค่าสำหรับข้าแล้ว"ไฉไฉช่วยเมิ่งสืออีปิดม่านบังตา เพราะคุณหนูใหญ่ตื่นแล้วต้องให้นม ในระหว่างที่เมิ่งสืออีป้อนนมบุตรสาวอยู่นั้น เด็กน้อยก็หูผึ่งตั้งใจฟังน้าไฉกับหม่าม้าพูดคุยกัน อ้ายอ้ายจึงรู้เรื่องที่ลู่ลี่มาคุกเข่าขออภัย และอดทึ่งในความกล้าหาญเข้มแข็งของหม่าม้าไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าหม่าม้าจะทำแบบนั้น หม่าม้าของอ้ายอ้ายเก่งที่สุดด้วยพื้นฐานที่ได้รับการเลี้ยงดูในจวนเจ้าเมือง ชีวิตเกิดมาไม่เคยลำบากและเป็นคนไม่สู้คน ทำให้เมิ่งสืออีมีนิสัยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออุปสรรคก็เอาแต่ร้องไห้ไม่แม้แต่จะกล้าหาญที่จะปกป้องตัวเอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยของหม่าม้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด คงเป็นเพราะว่าอ้ายอ้ายกลายมาเป็นลูกสาวของหม่าม้ากระมังอ้ายอ้ายไม่รู้ว่าในอนาคตเนื้อเรื่องจะดำเนินไปตามที่นางได้อ่านมาหรือไม่ แต่เมื่ออ้
บทที่ 13 ต้องหนี หลายวันต่อมาอาการของเมิ่งสืออีก็ดีขึ้นมากกระทั่งนางสามารถเดินเหินได้สะดวกยิ่งขึ้น แม่นมที่ฮวาซานเหรินช่วยจัดหามาให้นับว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ด้วยนางผ่านการคลอดบุตรมาแล้วถึงสี่คนและนางยังมาจากสกุลบัณฑิตที่มีความรู้ไม่น้อยวันนี้ฮวาซานเหรินมาเยี่ยมนางพร้อมกับนำของบำรุงร่างกายมาให้ด้วย เมิ่งสืออีกล่าวขอบคุณฮวาซานเหรินอีกครั้งที่ช่วยนางคัดเลือกคนมาเป็นอย่างดี"อย่าเกรงใจไปเลย คนกันเองแท้ ๆ ในเมื่อชางเหยียนไหว้วานและยังเป็นเรื่องของน้องสืออีข้าย่อมให้คนเสาะหาคนที่ไว้วางใจได้มาดูแลเจี่ยเอ๋อร์"เมิ่งสืออีรินน้ำชาให้กับฮวาซานเหรินแล้วเอ่ยต่อ"อย่างไรก็ต้องขอบคุณพี่เหรินที่มีน้ำใจกับสืออี"ฮวาซานเหรินยิ้มบาง "สำหรับพวกเราไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือเกรงใจกันแล้วมิใช่หรือ เจ้าคือน้องสะใภ้ของข้าหากข้าไม่ดูแลจะเป็นผู้ใดกันเล่า"เมิ่งสืออีอยากจะพูดคำว่า ก็บิดาของเจี่ยเอ๋อร์อย่างไรเล่า แต่นางก็ยั้งปากเอาไว้เพราะตนเองสาบานแล้วว่าจะไม่พึ่งพาคนผู้นี้อีก เสียงเด็กน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฮวาซานเหรินและเมิ่งสืออีที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันไปมองด้วยสายตาอบอุ่นเมื
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ