"ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ได้ยินลู่ลี่หรือไม่ ได้ยินเสียงของเด็กร้องอีเจี่ยเอ๋อร์ไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ ลู่ลี่พาหมอมาด้วยให้ตรวจร่างกายเสียหน่อยดีหรือไม่"
น้ำเสียงของลู่ลี่หากฟังเผิน ๆ นั้นช่างอ่อนโยนหวานใสจนทำให้อ้ายอ้ายอยากจะเห็นหน้านักว่านางจะมีใบหน้าอย่างไร ทว่าในใจของอ้ายอ้ายนั้นกลับยิ่งรู้สึกรังเกียจ
เมิ่งสืออีตะโกนดังลั่นให้เสียงของตนเองดังลอดออกไปด้านนอก
"ลู่ลี่ เจ้าหุบปากอย่ามารบกวนบุตรสาวข้า"
ลู่ลี่ที่อยู่ภายนอกย่อมได้ยินเสียงอย่างชัดเจน นางกำหมัดแน่นก็แค่เชลยไร้ค่าผู้หนึ่งกล้าดีอย่างไรมาสั่งให้นางเงียบ ลู่ลี่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคำแต่นางกลับโดนแม่นมของตนเองจับมือเอาไว้ทั้งส่ายหน้า
"คุณหนู อย่าเจ้าค่ะ"
ลู่ลี่ฮึดฮัดขัดใจแต่นางก็เชื่อฟังแม่นมของตนเองอยู่มาก นั่นเป็นเพราะคำสอนของแม่นมจึงทำให้นางคว้าหัวใจของหานชางเหยียนเอาไว้ได้ นางจึงได้แต่เงียบเสียงทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวที่ไร้พิษภัยด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
อ้ายอ้ายจำได้ว่าฮูหยินรองเป็นงูพิษจึงถ่มน้ำลาย ทั้งค่อนขอดในใจ
เสแสร้งดัดจริต อย่าคิดว่าคนอื่นเขาโง่เหมือนผู้ชายคนนั้น เพ้ย!
คิดดังนั้นก็ปล่อยเต้าของหม่าม้าออกจากปาก จากนั้นก็เบ้ปากตะเบ็งเสียงร้องลั่นดังยิ่งกว่าเมื่อสักครู่
แง้ แง้ แง้...
ทั้ง ๆ ที่อ้ายอ้ายเงียบไปแล้วแท้ ๆ เพียงได้ยินเสียงของลู่ลี่นางก็ส่งเสียงร้องคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัสขึ้นมาอีก บัดนี้ยิ่งทำให้เมิ่งสืออีไม่พอใจคนพวกนั้น
"โอ๋ โอ๋ เจี่ยเอ๋อร์เด็กดีตกใจหรือลูก แม่อยู่นี้แล้วไม่ร้องนะ โอ๋ โอ๋ โอ๋"
เมิ่งสืออีปลอบลูกทาง อีกทางก็หันไปขับไล่คน
"แค่เสียงของสตรีนางนั้นก็ทำให้เจี่ยเอ๋อร์ของข้าตกใจแล้ว ท่านจะยืนเป็นรากไม้อยู่ไย อยากให้เจี่ยเอ๋อร์ร้องจนคอแดงไม่สบายหรืออย่างไร ยังไม่รีบไสหัวพาคนกลับไปอีก"
"เจ้าว่าอะไรนะ ระ...รากไม้ หรือ?"
หานชางเหยียนว่าตกใจเสียงร้องของทารกน้อยน้อยแล้ว ครานี้เขายังตกใจกับวาจาของภรรยาเอกที่กล่าวหาว่าเขาเป็นรากไม้ สตรีนางนี้กลายเป็นสตรีใจกล้าตั้งแต่เมื่อใด นางไม่ใช่คนอ่อนแอปวกเปียกน่ารำคาญที่เขาเคยรู้จัก บัดนี้ดูเหมือนนางจะกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว
ไฉไฉเห็นด้วยกับเมิ่งสืออี นางไม่เคยเห็นคุณหนูเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงหวาดกลัวว่าคุณหนูจะร้องไห้จนคอแดงแล้วจับไข้ นางจึงทำใจกล้าเอ่ยกับนายท่านไปว่า
"นายท่านเจ้าคะ บ่าวยอมถูกลงโทษหากนายท่านจะไม่พอใจ แต่บ่าวขอกล่าวสักประโยค เป็นจริงดังนั้นเจ้าค่ะปกติคุณหนูใหญ่ไม่เคยร้องไห้เลย แต่เพียงได้ยินเสียงท่านและเอ้อ...เสียงของฮูหยินรองก็เป็นเช่นนี้ วันนี้กลับไปก่อนเถิดนะเจ้าคะ"
หานชางเหยียนเป็นแม่ทัพ สิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือการออกคำสั่งผู้อื่น วันนี้กลับถูกเมิ่งสืออีและสาวใช้ขับไล่เขาจึงวางสีหน้าไม่ถูก เขาเองก็ไม่อาจรังแกภรรยาเอกไปมากกว่านี้ และอีกทั้งไม่อาจทนฟังเสียงบุตรสาวที่กลายมาเป็นแก้วตาดวงใจในชั่วพริบตาร้องไห้ได้อีก เขาจึงเอ่ยเบา ๆ
"ได้วันนี้ข้าจะกลับไปก่อน"
จากนั้นเขาจึงหันไปบอกไฉไฉ
"เจ้าตามข้าออกมา"
ไฉไฉเดินตามหานชางเหยียนออกจากเรือน นางเห็นคนที่มายืนออกันอยู่ลานของเรือนเล็กจนเต็มก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนฮูหยินของตนเอง เพราะท่าทางของคนพวกนี้เหมือนมาหาเรื่องคนเสียมากกว่ามาด้วยความหวังดี
หานชางเหยียนหยุดยืนอยู่ข้างลู่ลี่ เมื่อเขาออกมาเสียงของทารกก็ค่อย ๆ สงบลงจนเงียบไปในที่สุด หานชางเหยียนรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะรักบุตรสาวได้เพียงนั้น เขาไม่อยากให้ลูกน้อยเกลียดเขาเลยแม้แต่น้อย
ไฉไฉถูกลู่ลี่จับจ้องด้วยความสงสัย นางย่อมอยากรู้ว่าสาวใช้ของเมิ่งสืออีติดตามหานชางเหยียนออกมาด้วยเรื่องอันใด ไฉไฉมองเห็นสายตาอำมหิตคู่นั้นก็รู้สึกหวาดกลัว
นั่นเป็นเพราะไฉไฉเคยถูกลู่ลี่สั่งคนลงโทษโบยไปคราหนึ่งในข้อหาลักขโมยที่ไฉไฉไม่ได้ทำ ซึ่งครานั้นเป็นลู่ลี่ที่ต้องการใส่ร้ายกลั่นแกล้งทำให้สาวใช้หวาดกลัว ไม่ให้มีคนใดกล้ารับใช้เมิ่งสืออีอีกต่อไป
ยามนั้นเพราะเมิ่งสืออีปกป้องใช้ตัวเองบังไฉไฉเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ท้อง จึงทำให้ลู่ลี่ไม่กล้าลงมือเพราะเกรงกระทบเด็กในครรภ์ของเมิ่งสืออีจนทำให้ตัวเองลำบาก มิเช่นนั้นไฉไฉคิดว่าตนเองอาจตายคาไม้ไปแล้วก็เป็นได้
ตั้งแต่วันนั้นมาไฉไฉจึงหวาดกลัวลู่ลี่เป็นอย่างมากแต่นางก็สงสารเมิ่งสืออีเกินจะทอดทิ้ง ไฉไฉเป็นบ่าวที่เหลือเพียงคนเดียวที่กล้ามารับใช้ฮูหยินใหญ่ในจวน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท้ายที่สุดทั้งนายทั้งบ่าวจึงถูกขับไล่ออกมาเผชิญความลำบากด้วยกันโดยไม่มีผู้ใดสนใจ
"คารวะฮูหยินรอง"
ลู่ลี่ส่งยิ้มหวาน สีหน้าเต็มไปด้วยความปรานีแต่ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องไฉไฉเขม็งจนสาวใช้ตัวสั่น
"ไม่ต้องมากพิธีไป เจ้ากับข้าก็พบเจอกันหลายครั้งแล้ว เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของพี่หญิงก็นับว่าเป็นคนกันเองแล้ว"
ไฉไฉหลบสายตาไม่กล้าเงยหน้ามองคน หานชางเหยียนจึงเอ่ยขึ้น
"เจ้าบอกข้ามาตามตรง เกิดอะไรขึ้นในจวนกันแน่ไยฮูหยินจึงต้องมาอยู่ที่นี่"
แน่นอนว่าหานชางเหยียนย่อมรู้เรื่องแล้ว แต่เขาต้องการได้ยินจากปากของสาวใช้นางนี้เช่นกัน
"หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญซินแสมาที่จวนเจ้าค่ะ ซินแสผู้นั้นเอ่ยว่าในวันมงคลของท่านกับฮูหยินรองไม่อาจให้ฮูหยินใหญ่อยู่ที่จวนเพราะจะทำให้ชะตาของนายท่านอัปมงคล ดังนั้นจนกว่าเวลาจะล่วงผ่านไปสามเดือนห้ามกลับเข้าจวนโดยเด็ดขาด"
หานชางเหยียนได้รับการยืนยันว่ามีซินแสมาทำนายดวงจริงก็พยักหน้า เขาคิดว่าเรื่องดวงนี้ท่านย่าเชื่อถือนัก ซินแสแนะนำเช่นใดก็ย่อมทำตามอยู่แล้ว
"ยังมีสิ่งใดอีกที่นางได้รับความลำบากเล่ามาทั้งหมด"
ไฉไฉได้โอกาสจึงฟ้องไปทั้งหมด ทั้งเรื่องหมอตำแยและเรื่องเงินที่ขัดสนจนเมิ่งสืออีต้องจำนำสิ่งที่มีค่าที่สุดของตนเองเพื่อมาใช้จ่ายทั้งยังไม่มีบ่าวบุรุษมาคอยรับใช้หาบน้ำผ่าฟืน ทุกสิ่งล้วนเป็นไฉไฉที่จัดหามาทั้งหมด
ลู่ลี่ถูกแม่นมสะกิดที่แผ่นหลังเบา ๆ เวลานี้สมควรแสดงความห่วงใยคนออกมา
"ท่านพี่พี่หญิงช่างน่าสงสารยิ่ง หากลู่ลี่รู้จะไม่มีวันให้พี่หญิงได้รับความลำบากเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของลู่ลี่แล้ว มิน่าเล่าพี่หญิงจึงตั้งแง่รังเกียจลู่ลี่ ท่านพี่ท่านต้องชดเชยให้พี่หญิงนะเจ้าคะ"
ลู่ลี่น้ำตาคลอ ดวงหน้างามเศร้าสลดเต็มไปด้วยสีหน้าระทมทุกข์เพราะรู้สึกผิด หานชางเหยียนเอ่ยปลอบเบา ๆ
"จะใช่ความผิดของเจ้าได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย ข้าจะจัดการชดเชยให้นางเอง"
ท่านย่าของเขาไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ให้เมิ่งสืออีออกมาอยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสถานที่ให้นางอยู่นั้นเป็นเช่นใด เขาเองก็พูดไม่ออกเพราะรู้ถึงความเกลียดชังที่อยู่ในใจของท่านย่า
คนที่ทำให้ท่านปู่ต้องตายก็คือท่านปู่ของเมิ่งสืออี เป็นไปได้ยากที่ท่านย่าจะไม่มองเมิ่งสืออีเป็นศัตรู เขาเองก็พยายามถอยห่างจากนางเพื่อให้ท่านย่าสบายใจที่สุด แต่การที่นางได้รับความลำบากทั้ง ๆ ที่มีบุตรสาวของเขาอยู่ในท้องเขาก็ไม่อาจวางเฉยได้เช่นกัน
สายตาของหานชางเหยียนเยียบเย็นลงหลายส่วน ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความละอายที่มีต่อบุตรสาวและภรรยาหลวง ยิ่งคิดถึงใบหน้าของบุตรสาวและสายตาของเมิ่งสืออีที่มองเขาอย่างรังเกียจทั้งตัดพ้อเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวและขมขื่น
เมื่อลู่ลี่เห็นหานชางเหยียนนิ่งไปทั้งสีหน้าเศร้าสลดนางจึงได้จับมือของเขาเอาไว้ มือของลู่ลี่เย็นเยียบจนหานชางเหยียนสะดุ้งเล็กน้อย
"ลู่ลี่ไยมือเจ้าเย็นเช่นนี้"
ก่อนหน้าที่หานชางเหยียนจะออกมาจากห้องลู่ลี่กำหิมะเอาไว้ในมือ ทั้งอดทนไม่ยอมกอดเตาอุ่นตามคำแนะนำของแม่นมมือของนางจึงเย็นเช่นนี้
"ลู่ลี่ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ คงเพราะรีบร้อนออกมาด้วยใจเป็นห่วงพี่หญิงจึงไม่ได้ใส่ถุงมือทั้งยังไม่ได้ให้คนเตรียมเตาอุ่นมาด้วย"
หานชางเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าช่างดียิ่ง เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิดเจ้าร่างกายบอบบางอยู่ข้างนอกนานเช่นนี้จะไม่สบายเอาได้"
ลู่ลี่กระหยิ่มในใจ ไม่ว่าวิธีการใดของแม่นมล้วนได้ผลทั้งหมด หานชางเหยียนลุ่มหลงนางเพียงนี้ เชลยนางนั้นไม่อาจเทียบเคียงได้ เช่นนั้นก็จงเหี่ยวแห้งตายไปพร้อมกับบุตรสาวที่คนสกุลหานไม่ยอมรับเสียเถิด
แม้ในใจจะรู้สึกเยาะหยันเพียงใดทว่าเบื้องหน้าลู่ลี่กลับแสร้งตีหน้าเศร้าแสดงความรู้สึกห่วงใยออกมา
"แต่ว่าพี่หญิงกับเจี่ยเอ๋อร์"
หานชางเหยียนเอ่ยเสียงขรึม
"ไม่เป็นไร ให้พวกนางอยู่ที่นี่ต่อไปเถิดเจ้าไม่ต้องห่วงผู้อื่นให้มาก ระวังรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอย่าให้ล้มป่วย"
หานชางเหยียนเอ่ยกับไฉไฉอีกประโยค
"เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลฮูหยินกับบุตรสาวของข้าให้ดี ที่ผ่านมาเจ้านับว่าทำความชอบข้าขอบคุณเจ้ามาก"
หานชางเหยียนประคองลู่ลี่ขึ้นรถม้า เรือนหลังนี้อยู่ห่างจากจวนสกุลหานอยู่มาก เรียกว่าคนละฟากฝั่งท้องถนนเดิมทีชาวบ้านละแวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตรีอาภัพที่ไร้สามีผู้นี้คือผู้ใดเพราะเมิ่งสืออีแทบไม่ออกจากเรือนไปสนทนากับผู้ใด
ส่วนไฉไฉเองวันทั้งวันก็ยุ่งจนหัวหมุนเพราะต้องเตรียมการเรื่องคลอดบุตรให้ผู้เป็นนายจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาพูดคุยสอบถาม
กระทั่งวันนี้แม้ว่าจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วแต่หลายคนก็ยังไม่เข้าเรือนนอน ยามที่หานชางเหยียนมาถึงก็มาอย่างเงียบเชียบแต่ในเวลาที่ลู่ลี่ตามมากลับนั่งรถม้าคันโอ่อ่าใหญ่โตที่มีตราสัญลักษณ์ของสกุลหานมาพร้อมกับคนจำนวนหนึ่งเรื่องนี้จึงทำให้ชาวบ้านสนใจมามุงดู
แต่ถึงจะมุงดูพวกเขาก็ยังมุงดูอย่างเงียบกริบเพราะทหารที่ติดตามท่านแม่ทัพมาแต่ละคนช่างน่ากลัวและมีสายตาที่ดุดันเหลือเกิน กระทั่งรถม้าของท่านแม่ทัพกลับไปพร้อมกับอนุแล้วเสียงนินทาจึงเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฮูหยินใหญ่ของจวนแม่ทัพเป็นแค่เชลยสงคราม ไม่ผิดที่จะถูกขับไล่มาอยู่ที่นี่
ฮูหยินรองช่างดียิ่ง ใจกว้างดุจขุนเขาที่ห่วงใยฮูหยินใหญ่เพียงนี้
ฮูหยินใหญ่มีชีวิตที่น่าสงสารมิหนำซ้ำยังคลอดบุตรสาว หากคลอดบุตรชายท่านแม่ทัพคงรับกลับจวนไปแล้ว
ความผิดนี้เป็นของจวนแม่ทัพ ไยรังแกสตรีท้องแก่ได้เพียงนี้
และอีกสารพัดคำของชาวบ้านที่นินทาและพูดถึงกันโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ไฉไฉพ่นลมหายใจออกมาหลังจากได้ระบายทุกเรื่องออกไปจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้นางยืนอยู่หน้าประตูเรือนใหญ่คิดปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าเรือนแต่แล้วก็มีรถม้าสองคันพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งมาหยุดอยู่หน้าเรือน
ไฉไฉมองเห็นตรารถม้าของจวนสกุลหานก็ยิ้มกว้างออกมา เมื่อสักครู่นายท่านบอกว่าจะจัดการเองก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว คนของจวนนางล้วนรู้จักจึงสั่งให้พวกเขายกข้าวของที่มีทั้งเตาอุ่นและของใช้จำเป็นหลายอย่างไปวางไว้ด้านใน
และแล้วคนผู้หนึ่งก็ขี่ม้าสีขาวกำยำใหญ่โตมาหยุดที่หน้าเรือน เขาส่งยิ้มอบอุ่นให้ไฉไฉแล้วขยับกายลงจากหลังม้าหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง
ไฉไฉเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง นางเอ่ยคำประดุจเหม่อลอยออกมา
"คุณชายฮวา ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าฝันไปใช่หรือไม่"
บทที่ 9 ท่านลุงผู้ใจดี"ไยข้าจะมาไม่ได้เล่า ข้ากับหานชางเหยียนเป็นสหายรักกันเจ้าไม่รู้หรือ"ไฉไฉไม่ได้ฝันไปจริง ๆ คุณชายรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงบัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้วคุณชายฮวาผู้นี้มาจากตระกูลบัณฑิตมีบิดาเป็นท่านเจ้ากรมสำนักศึกษา มารดาเป็นยอดอาจารย์หญิงที่สั่งสอนองค์หญิงในวังหลวง ส่วนเขาคือบัณฑิตมากความสามารถที่เก่งรอบด้านที่สุดผู้หนึ่งด้วยใบหน้างดงามดุจเทพเซียนและความสามารถด้านการบรรเลงเพลงพิณและเขียนพู่กันของเขาที่นับว่าเป็นยอดปรมาจารย์ทำให้มีสตรีน้อยใหญ่ต่อแถวกันถึงสามช่วงถนนเพื่อหมายแต่งงานกับเขา ทว่าเขากลับรักอิสรเสรีและยังเจ้าสำราญจึงไม่ยินยอมแต่งกับผู้ใด นามของเขาคือ 'ฮวาซานเหริน'ไฉไฉเคยเห็นเขาในภาพวาดที่มีคนวาดขายในเมืองหลวงอยู่หลายครา แต่นางไม่เคยเห็นตัวจริงของเขามาก่อน เพราะเขาเป็นคนที่หาตัวยากนักไปมาไร้ร่องรอย แต่เพราะความโดดเด่นอันยากที่จะลืมเลือนของเขาเพียงนางเห็นใบหน้านี้ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือผู้ใดเขาปล่อยให้ไฉไฉดื่มด่ำกับใบหน้าของเขาครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยว่า "ในนี้มีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นของชางเหยียนที่เตรียมเอาไว้ให้ฮูหยิน พรุ่งนี้ก็ไปไถ่ของที่จำนำ
บทที่ 10 ข้าไม่เชื่อ หลังจากฮวาซานเหรินกลับไปแล้วเขามิได้ไปหาแม่นางคนงามอย่างที่บอกกับหานชางเหยียน ทว่าสองเท้าของฮวาซานเหรินกลับมุ่งตรงกลับเรือนของตนเองทันใด เมื่อไปถึงเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคานั่งดื่มสุราใต้แสงจันทร์เพียงลำพังทว่าสายตากับจดจ้องไปยังเรือนข้าง ๆเรือนหลังนั้นแสงตะเกียงยังไม่ดับมืด เขาจึงเห็นเงาสตรีนางหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะให้นมบุตรสาดส่องออกมาพร้อมกับได้ยินน้ำเสียงแผ่วหวานของนางพูดคุยกับบุตรสาวไม่หยุดฮวาซานเหรินมองเงานั้นด้วยหัวใจสงบ เด็กน้อยคนนั้นมักจะตื่นขึ้นกลางดึกเสมอคงเป็นเพราะหิวและยังไม่ยอมนอนจนต้องให้มารดากล่อมอย่างยากลำบากในทุกคืนเพียงแค่เงาของสองแม่ลูกที่เขาเห็นฮวาซานเหรินก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่คนเป็นพ่ออย่างหานชางเหยียนนั้นกลับไม่เคยสนใจความอบอุ่นนี้เลยแม้แต่น้อย คิดดังนั้นฮวาซานเหรินก็ได้แต่ทอดถอนหายใจด้วยความสงสารสองแม่ลูกอยู่เพียงลำพังด้านหานชางเหยียนเขามิได้กลับไปนอนยังเรือนของลู่ลี่ เขาตรงมายังห้องหนังสือแล้วดื่มสุราต่อ ทุกคำพูดของฮวาซานเหรินยังก้องอยู่ในหูของเขาในช่วงเวลาที่เขาออกรบนั้นเมิ่งสืออีได้รับความลำบากมากมายเพียงใดเขาไ
บทที่ 11 ย้ายบ้าน ยามเว่ย[1]วันต่อมาหานชางเหยียนก็มารับเมิ่งสืออีเพื่อย้ายไปยังเรือนหลังใหม่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเรือนหลังนั้นคือหนึ่งในเรือนรับรองของจวนสกุลฮวาที่หานชางเหยียนขอเช่าชั่วคราว เพราะสกุลฮวาเป็นสกุลบัณฑิตในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนกับบิดาของฮวาซานเหรินไม่น้อย คุณชายที่มาล้วนเป็นคนมีฐานะสูงส่งจากหลายเมืองหลายแคว้น สกุลฮวาจึงมีเรือนมากมายเพื่อรับรองแขกเหล่านี้แทนที่จะให้คุณชายผู้สูงศักดิ์พักที่โรงเตี๊ยมเมิ่งสืออีไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องบุตรสาวนางจึงอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเองและปล่อยให้ไฉไฉประคองเดินอ้ายอ้ายเพิ่งกินนมอิ่มนางลืมตานอนเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ท่านพ่อของตนได้มารับท่านแม่ไปที่เรือนหลังใหม่หานชางเหยียนรอนางอยู่ที่หน้าประตูเมื่อเดินออกมาเมิ่งสืออีจึงเห็นว่าเขาพาลู่ลี่มาด้วย ลู่ลี่ทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท เมิ่งสืออีมองด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับลู่ลี่ไร้ตัวตนในสายตาของนางลู่ลี่กำมือแน่นและกำลังอดทนไม่แผดเสียงดังด้วยความเกลียดชังออกไปหากไม่มีเมิ่งสืออีแม้นางจะแต่งเข้าจวนในนามฮูหยินรองแต่นางก็ย่อมเป็นหนึ่งในจวนนี้ กระนั้น
บทที่ 12 ต้องเข้มแข็งรถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เพราะต้องผ่านเส้นทางแคบที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ เมิ่งสืออีเห็นหานชางเหยียนขี่ม้ามาเคียงข้างรถของนางแต่ไม่เห็นลู่ลี่แล้ว "ฮูหยินรองสงสัยจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ คงแค้นฮูหยินมากที่ไม่ยอมรับคำขอโทษของนาง""ช่างนางเถิด นางเป็นตัวไร้ค่าสำหรับข้าแล้ว"ไฉไฉช่วยเมิ่งสืออีปิดม่านบังตา เพราะคุณหนูใหญ่ตื่นแล้วต้องให้นม ในระหว่างที่เมิ่งสืออีป้อนนมบุตรสาวอยู่นั้น เด็กน้อยก็หูผึ่งตั้งใจฟังน้าไฉกับหม่าม้าพูดคุยกัน อ้ายอ้ายจึงรู้เรื่องที่ลู่ลี่มาคุกเข่าขออภัย และอดทึ่งในความกล้าหาญเข้มแข็งของหม่าม้าไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าหม่าม้าจะทำแบบนั้น หม่าม้าของอ้ายอ้ายเก่งที่สุดด้วยพื้นฐานที่ได้รับการเลี้ยงดูในจวนเจ้าเมือง ชีวิตเกิดมาไม่เคยลำบากและเป็นคนไม่สู้คน ทำให้เมิ่งสืออีมีนิสัยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออุปสรรคก็เอาแต่ร้องไห้ไม่แม้แต่จะกล้าหาญที่จะปกป้องตัวเอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยของหม่าม้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด คงเป็นเพราะว่าอ้ายอ้ายกลายมาเป็นลูกสาวของหม่าม้ากระมังอ้ายอ้ายไม่รู้ว่าในอนาคตเนื้อเรื่องจะดำเนินไปตามที่นางได้อ่านมาหรือไม่ แต่เมื่ออ้
บทที่ 13 ต้องหนี หลายวันต่อมาอาการของเมิ่งสืออีก็ดีขึ้นมากกระทั่งนางสามารถเดินเหินได้สะดวกยิ่งขึ้น แม่นมที่ฮวาซานเหรินช่วยจัดหามาให้นับว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ด้วยนางผ่านการคลอดบุตรมาแล้วถึงสี่คนและนางยังมาจากสกุลบัณฑิตที่มีความรู้ไม่น้อยวันนี้ฮวาซานเหรินมาเยี่ยมนางพร้อมกับนำของบำรุงร่างกายมาให้ด้วย เมิ่งสืออีกล่าวขอบคุณฮวาซานเหรินอีกครั้งที่ช่วยนางคัดเลือกคนมาเป็นอย่างดี"อย่าเกรงใจไปเลย คนกันเองแท้ ๆ ในเมื่อชางเหยียนไหว้วานและยังเป็นเรื่องของน้องสืออีข้าย่อมให้คนเสาะหาคนที่ไว้วางใจได้มาดูแลเจี่ยเอ๋อร์"เมิ่งสืออีรินน้ำชาให้กับฮวาซานเหรินแล้วเอ่ยต่อ"อย่างไรก็ต้องขอบคุณพี่เหรินที่มีน้ำใจกับสืออี"ฮวาซานเหรินยิ้มบาง "สำหรับพวกเราไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือเกรงใจกันแล้วมิใช่หรือ เจ้าคือน้องสะใภ้ของข้าหากข้าไม่ดูแลจะเป็นผู้ใดกันเล่า"เมิ่งสืออีอยากจะพูดคำว่า ก็บิดาของเจี่ยเอ๋อร์อย่างไรเล่า แต่นางก็ยั้งปากเอาไว้เพราะตนเองสาบานแล้วว่าจะไม่พึ่งพาคนผู้นี้อีก เสียงเด็กน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฮวาซานเหรินและเมิ่งสืออีที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันไปมองด้วยสายตาอบอุ่นเมื
บทที่ 14 จะมาทำอะไรบ่อย ๆบัดนี้เมิ่งสืออีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับหานชางเหยียน บนโต๊ะอาหารเย็นนี้เป็นโจ๊กไก่ฉีกที่ผสมสมุนไพรบำรุงน้ำนม และน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอีกชามใหญ่ ด้วยไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหานชางเหยียนจะกลับมาที่นี่อีกจึงไม่ได้ตระเตรียมอาหารเย็นสำหรับเขาเขาจึงสั่งให้บ่าวนำสุราร้อนมากาหนึ่งพร้อมกับเนื้อแห้งจานหนึ่ง จากนั้นเขาก็มองนางกินอาหารเงียบ ๆ เมื่อเมิ่งสืออีกินโจ๊กหมดชามหานชางเหยียนก็ดื่มสุราไปกาที่สี่แล้วเขาดื่มรวดเร็วราวกับกระหายน้ำ และท่าทางเขาในตอนนี้คล้ายจะมึนเมาไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำสายตาที่มองนางนั้น เมิ่งสืออีไม่กล้าคาดเดาบางครั้งคล้ายจะใส่ใจรักใคร่ บางครั้งก็ดูเหมือนจะจ้องมองนางด้วยสายตาเคียดแค้นและสับสน เมิ่งสืออีถอนใจยาวออกมาคำรบหนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว "ท่านดื่มสุรามาหลายกาแล้วยังไม่กลับอีกหรือ ข้ามิได้ว่างสนทนากับท่านหรอกนะ"อาหารมื้อเดียวที่ต้องกินร่วมกับเขาในแต่ละวันก็ทำให้นางรู้สึกว่ามากเกินพอแล้ว วันนี้ยังต้องร่วมโต๊ะกับเขาถึงสองครั้งเมิ่งสืออีจึงมีสีหน้าที่เรียกได้ว่าฝืดฝืนเต็มกลืนบัดนี้ความรู้สึกในใจของหานชางเหยียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาพจำสำหรับเขาที่
บทที่ 15 ต้าเหรินผู้น่าสงสาร เช้าวันนี้ไฉไฉไปที่เรือนคุณชายฮวาในยามซื่อ[1] เพียงต้าเหรินเห็นไฉไฉเขาก็ร้องเรียกทันใด "ไจ๋ไจ๋ ไจ๋ไจ๋ มา มา อุ้ม อุ้ม"คงเป็นเพราะต้าเหรินรู้ว่าถ้าเห็นหน้าไฉไฉเขาจะได้พบกับท่านแม่เล็กเขาจึงชอบไฉไฉมาก เด็กน้อยคลานเตาะแตะมาหาไฉไฉจากนั้นก็อ้าแขนออก"แม่เละ แม่เละ"มือเล็กจ้อยคว้ามือของไฉไฉเอาไว้ เอ่ยคำว่า ไป ไป ไม่หยุด ไฉไฉย่อมเข้าใจว่าเขาอยากให้นางพาไปหาแม่เล็กของตนเองก็น้ำตารื้นขึ้นมา หากว่าคุณชายน้อยรู้ว่าต่อไปจะไม่ได้พบแม่เล็กของตนเองอีกเขาจะเป็นเช่นใดกันนะ เด็กน้อยไร้เดียงสาตัวกลมป้อมปากแดงฟันขาวกำลังปีนขึ้นมาหาไฉไฉที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วยกมือโอบรอบคอของไฉไฉอย่างรู้ความ ปากก็เรียกแม่เล็กและสั่งให้ไฉไฉพาไปหา"ไปไป ไจ๋ไจ๋ ไปไป"แม่นมเอ่ยว่า"คุณชายน้อยคงอยากไปหาฮูหยินจะแย่แล้ว"ไฉไฉยิ้มแล้วเอ่ยว่า"วันนี้ฮูหยินก็คิดถึงคุณชายน้อยเช่นกัน จึงให้ข้ามารับแต่เช้า คุณชายฮวาอยู่หรือไม่"เอ่ยยังไม่ทันขาดคำฮวาซานเหรินก็เอ่ยขึ้น"เจ้ามารับต้าเอ๋อร์หรือ"ไฉไฉค้อมศีรษะทำความเคารพจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น วันนี้ฮวาซานเหรินสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ส่งเสริมให้เขาดูสง่า
บทที่ 16 พบกันเมื่อสาย เมิ่งสืออีกลืนขนมลงคอ เพราะได้กินของชอบนางจึงมีความสุขใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางให้ไฉไฉไปหาซื้อแต่กลับไม่มีร้านใดที่ทำขายจึงทำให้นางผิดหวัง คาดไม่ถึงว่าแม่นางที่พี่ซานเหรินมีใจให้จะชอบกินขนมชนิดเดียวกันกับนางฮวาซานเหรินจ้องมองนางด้วยสายตาเอ็นดู ถึงเมิ่งสืออีจะเป็นมารดาคนแต่นางก็คือเด็กสาวที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี ใบหน้านี้ยิ่งงดงามอ่อนเยาว์ชวนมองนัก"เป็นอย่างไรบ้างอร่อยถูกปากหรือไม่""ข้าขอชิมอีกสักคำนะเจ้าคะ จึงจะรู้ว่าอร่อยหรือไม่"จากนั้นก็กินอีก กินหมดไปหลายชิ้นจึงบอกเขาว่า"อร่อยยิ่ง ข้าเสียมารยาทแล้วเผลอกินจนเกือบหมด"ฮวาซานเหรินถักทอรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นว่าขนมที่ตนเองตั้งใจทำมาหลายวันถูกนางกินเกือบจะหมดทุกชิ้น คงเป็นของที่นางชอบจริง ๆ น้ำเสียงของเขายิ่งอ่อนโยนลงหลายส่วน"สืออี...เจ้าชอบใช่หรือไม่""ชอบมากเจ้าค่ะ พี่ซานเหรินท่านต้องกุมหัวใจแม่นางผู้นั้นได้เป็นแน่ เชื่อข้าเถิด"ฮวาซานเหรินไม่กล่าวคำใดอีก เขาเห็นนางมีความสุขเช่นนี้เขาก็รู้สึกดียิ่ง ความจริงเขามิได้คาดหวังสิ่งใดจากเมิ่งสืออีและไม่เคยละโมบคิดอยากได้นา
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ