บทที่ 11 ย้ายบ้าน ยามเว่ย[1]วันต่อมาหานชางเหยียนก็มารับเมิ่งสืออีเพื่อย้ายไปยังเรือนหลังใหม่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเรือนหลังนั้นคือหนึ่งในเรือนรับรองของจวนสกุลฮวาที่หานชางเหยียนขอเช่าชั่วคราว เพราะสกุลฮวาเป็นสกุลบัณฑิตในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนกับบิดาของฮวาซานเหรินไม่น้อย คุณชายที่มาล้วนเป็นคนมีฐานะสูงส่งจากหลายเมืองหลายแคว้น สกุลฮวาจึงมีเรือนมากมายเพื่อรับรองแขกเหล่านี้แทนที่จะให้คุณชายผู้สูงศักดิ์พักที่โรงเตี๊ยมเมิ่งสืออีไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องบุตรสาวนางจึงอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเองและปล่อยให้ไฉไฉประคองเดินอ้ายอ้ายเพิ่งกินนมอิ่มนางลืมตานอนเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ท่านพ่อของตนได้มารับท่านแม่ไปที่เรือนหลังใหม่หานชางเหยียนรอนางอยู่ที่หน้าประตูเมื่อเดินออกมาเมิ่งสืออีจึงเห็นว่าเขาพาลู่ลี่มาด้วย ลู่ลี่ทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท เมิ่งสืออีมองด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับลู่ลี่ไร้ตัวตนในสายตาของนางลู่ลี่กำมือแน่นและกำลังอดทนไม่แผดเสียงดังด้วยความเกลียดชังออกไปหากไม่มีเมิ่งสืออีแม้นางจะแต่งเข้าจวนในนามฮูหยินรองแต่นางก็ย่อมเป็นหนึ่งในจวนนี้ กระนั้น
บทที่ 12 ต้องเข้มแข็งรถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เพราะต้องผ่านเส้นทางแคบที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ เมิ่งสืออีเห็นหานชางเหยียนขี่ม้ามาเคียงข้างรถของนางแต่ไม่เห็นลู่ลี่แล้ว "ฮูหยินรองสงสัยจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ คงแค้นฮูหยินมากที่ไม่ยอมรับคำขอโทษของนาง""ช่างนางเถิด นางเป็นตัวไร้ค่าสำหรับข้าแล้ว"ไฉไฉช่วยเมิ่งสืออีปิดม่านบังตา เพราะคุณหนูใหญ่ตื่นแล้วต้องให้นม ในระหว่างที่เมิ่งสืออีป้อนนมบุตรสาวอยู่นั้น เด็กน้อยก็หูผึ่งตั้งใจฟังน้าไฉกับหม่าม้าพูดคุยกัน อ้ายอ้ายจึงรู้เรื่องที่ลู่ลี่มาคุกเข่าขออภัย และอดทึ่งในความกล้าหาญเข้มแข็งของหม่าม้าไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าหม่าม้าจะทำแบบนั้น หม่าม้าของอ้ายอ้ายเก่งที่สุดด้วยพื้นฐานที่ได้รับการเลี้ยงดูในจวนเจ้าเมือง ชีวิตเกิดมาไม่เคยลำบากและเป็นคนไม่สู้คน ทำให้เมิ่งสืออีมีนิสัยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออุปสรรคก็เอาแต่ร้องไห้ไม่แม้แต่จะกล้าหาญที่จะปกป้องตัวเอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยของหม่าม้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด คงเป็นเพราะว่าอ้ายอ้ายกลายมาเป็นลูกสาวของหม่าม้ากระมังอ้ายอ้ายไม่รู้ว่าในอนาคตเนื้อเรื่องจะดำเนินไปตามที่นางได้อ่านมาหรือไม่ แต่เมื่ออ้
บทที่ 13 ต้องหนี หลายวันต่อมาอาการของเมิ่งสืออีก็ดีขึ้นมากกระทั่งนางสามารถเดินเหินได้สะดวกยิ่งขึ้น แม่นมที่ฮวาซานเหรินช่วยจัดหามาให้นับว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ด้วยนางผ่านการคลอดบุตรมาแล้วถึงสี่คนและนางยังมาจากสกุลบัณฑิตที่มีความรู้ไม่น้อยวันนี้ฮวาซานเหรินมาเยี่ยมนางพร้อมกับนำของบำรุงร่างกายมาให้ด้วย เมิ่งสืออีกล่าวขอบคุณฮวาซานเหรินอีกครั้งที่ช่วยนางคัดเลือกคนมาเป็นอย่างดี"อย่าเกรงใจไปเลย คนกันเองแท้ ๆ ในเมื่อชางเหยียนไหว้วานและยังเป็นเรื่องของน้องสืออีข้าย่อมให้คนเสาะหาคนที่ไว้วางใจได้มาดูแลเจี่ยเอ๋อร์"เมิ่งสืออีรินน้ำชาให้กับฮวาซานเหรินแล้วเอ่ยต่อ"อย่างไรก็ต้องขอบคุณพี่เหรินที่มีน้ำใจกับสืออี"ฮวาซานเหรินยิ้มบาง "สำหรับพวกเราไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือเกรงใจกันแล้วมิใช่หรือ เจ้าคือน้องสะใภ้ของข้าหากข้าไม่ดูแลจะเป็นผู้ใดกันเล่า"เมิ่งสืออีอยากจะพูดคำว่า ก็บิดาของเจี่ยเอ๋อร์อย่างไรเล่า แต่นางก็ยั้งปากเอาไว้เพราะตนเองสาบานแล้วว่าจะไม่พึ่งพาคนผู้นี้อีก เสียงเด็กน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฮวาซานเหรินและเมิ่งสืออีที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันไปมองด้วยสายตาอบอุ่นเมื
บทที่ 14 จะมาทำอะไรบ่อย ๆบัดนี้เมิ่งสืออีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับหานชางเหยียน บนโต๊ะอาหารเย็นนี้เป็นโจ๊กไก่ฉีกที่ผสมสมุนไพรบำรุงน้ำนม และน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอีกชามใหญ่ ด้วยไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหานชางเหยียนจะกลับมาที่นี่อีกจึงไม่ได้ตระเตรียมอาหารเย็นสำหรับเขาเขาจึงสั่งให้บ่าวนำสุราร้อนมากาหนึ่งพร้อมกับเนื้อแห้งจานหนึ่ง จากนั้นเขาก็มองนางกินอาหารเงียบ ๆ เมื่อเมิ่งสืออีกินโจ๊กหมดชามหานชางเหยียนก็ดื่มสุราไปกาที่สี่แล้วเขาดื่มรวดเร็วราวกับกระหายน้ำ และท่าทางเขาในตอนนี้คล้ายจะมึนเมาไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำสายตาที่มองนางนั้น เมิ่งสืออีไม่กล้าคาดเดาบางครั้งคล้ายจะใส่ใจรักใคร่ บางครั้งก็ดูเหมือนจะจ้องมองนางด้วยสายตาเคียดแค้นและสับสน เมิ่งสืออีถอนใจยาวออกมาคำรบหนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว "ท่านดื่มสุรามาหลายกาแล้วยังไม่กลับอีกหรือ ข้ามิได้ว่างสนทนากับท่านหรอกนะ"อาหารมื้อเดียวที่ต้องกินร่วมกับเขาในแต่ละวันก็ทำให้นางรู้สึกว่ามากเกินพอแล้ว วันนี้ยังต้องร่วมโต๊ะกับเขาถึงสองครั้งเมิ่งสืออีจึงมีสีหน้าที่เรียกได้ว่าฝืดฝืนเต็มกลืนบัดนี้ความรู้สึกในใจของหานชางเหยียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาพจำสำหรับเขาที่
บทที่ 15 ต้าเหรินผู้น่าสงสาร เช้าวันนี้ไฉไฉไปที่เรือนคุณชายฮวาในยามซื่อ[1] เพียงต้าเหรินเห็นไฉไฉเขาก็ร้องเรียกทันใด "ไจ๋ไจ๋ ไจ๋ไจ๋ มา มา อุ้ม อุ้ม"คงเป็นเพราะต้าเหรินรู้ว่าถ้าเห็นหน้าไฉไฉเขาจะได้พบกับท่านแม่เล็กเขาจึงชอบไฉไฉมาก เด็กน้อยคลานเตาะแตะมาหาไฉไฉจากนั้นก็อ้าแขนออก"แม่เละ แม่เละ"มือเล็กจ้อยคว้ามือของไฉไฉเอาไว้ เอ่ยคำว่า ไป ไป ไม่หยุด ไฉไฉย่อมเข้าใจว่าเขาอยากให้นางพาไปหาแม่เล็กของตนเองก็น้ำตารื้นขึ้นมา หากว่าคุณชายน้อยรู้ว่าต่อไปจะไม่ได้พบแม่เล็กของตนเองอีกเขาจะเป็นเช่นใดกันนะ เด็กน้อยไร้เดียงสาตัวกลมป้อมปากแดงฟันขาวกำลังปีนขึ้นมาหาไฉไฉที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วยกมือโอบรอบคอของไฉไฉอย่างรู้ความ ปากก็เรียกแม่เล็กและสั่งให้ไฉไฉพาไปหา"ไปไป ไจ๋ไจ๋ ไปไป"แม่นมเอ่ยว่า"คุณชายน้อยคงอยากไปหาฮูหยินจะแย่แล้ว"ไฉไฉยิ้มแล้วเอ่ยว่า"วันนี้ฮูหยินก็คิดถึงคุณชายน้อยเช่นกัน จึงให้ข้ามารับแต่เช้า คุณชายฮวาอยู่หรือไม่"เอ่ยยังไม่ทันขาดคำฮวาซานเหรินก็เอ่ยขึ้น"เจ้ามารับต้าเอ๋อร์หรือ"ไฉไฉค้อมศีรษะทำความเคารพจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น วันนี้ฮวาซานเหรินสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ส่งเสริมให้เขาดูสง่า
บทที่ 16 พบกันเมื่อสาย เมิ่งสืออีกลืนขนมลงคอ เพราะได้กินของชอบนางจึงมีความสุขใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางให้ไฉไฉไปหาซื้อแต่กลับไม่มีร้านใดที่ทำขายจึงทำให้นางผิดหวัง คาดไม่ถึงว่าแม่นางที่พี่ซานเหรินมีใจให้จะชอบกินขนมชนิดเดียวกันกับนางฮวาซานเหรินจ้องมองนางด้วยสายตาเอ็นดู ถึงเมิ่งสืออีจะเป็นมารดาคนแต่นางก็คือเด็กสาวที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี ใบหน้านี้ยิ่งงดงามอ่อนเยาว์ชวนมองนัก"เป็นอย่างไรบ้างอร่อยถูกปากหรือไม่""ข้าขอชิมอีกสักคำนะเจ้าคะ จึงจะรู้ว่าอร่อยหรือไม่"จากนั้นก็กินอีก กินหมดไปหลายชิ้นจึงบอกเขาว่า"อร่อยยิ่ง ข้าเสียมารยาทแล้วเผลอกินจนเกือบหมด"ฮวาซานเหรินถักทอรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นว่าขนมที่ตนเองตั้งใจทำมาหลายวันถูกนางกินเกือบจะหมดทุกชิ้น คงเป็นของที่นางชอบจริง ๆ น้ำเสียงของเขายิ่งอ่อนโยนลงหลายส่วน"สืออี...เจ้าชอบใช่หรือไม่""ชอบมากเจ้าค่ะ พี่ซานเหรินท่านต้องกุมหัวใจแม่นางผู้นั้นได้เป็นแน่ เชื่อข้าเถิด"ฮวาซานเหรินไม่กล่าวคำใดอีก เขาเห็นนางมีความสุขเช่นนี้เขาก็รู้สึกดียิ่ง ความจริงเขามิได้คาดหวังสิ่งใดจากเมิ่งสืออีและไม่เคยละโมบคิดอยากได้นา
บทที่ 17 หนีอย่างปลอดภัยเมิ่งสืออีและไฉไฉตกใจจนเกือบจะหลุดเสียงอุทานออกมา พวกนางยกมือขึ้นปิดปากกลืนเสียงร้องเข้าไปในลำคอภรรยาคนขับรถม้าเอ่ยว่า“ใต้เท้ามีปัญหาใดหรือเจ้าคะ”ทหารผู้นั้นเพ่งมองสายตาเย็นชา เอ่ยเสียงขรึม“หมึกตราประทับมีปัญหา ดูเหมือนจะไม่ใช่ของจริง ข้าทำงานตรวจหนังสือผ่านทางมาตลอดชีวิตนี้ ลูกไม้ตื้น ๆ ข้าจะดูไม่ออกเชียวหรือ”ภรรยาคนขับรถม้าขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นตัดสินใจยัดเงินก้อนโตเข้าไปในมือของทหารผู้นั้นโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็น“ท่านตรวจดูให้ดีอีกครั้งนะเจ้าคะ นี่ก็ใกล้ฟ้ามืดเต็มทน ท่านก็รู้ว่าในรถม้ามีทารกน้อย หนังสือผ่านทางนี่ย่อมเป็นของจริงเจ้าค่ะ เพียงแต่ใช้มาหลายปีอาจจะเก่าไปบ้าง”ทหารผู้นั้นมองอย่างเย็นชา เขาเป็นคนตงฉินไม่มีทางรับเงินจากผู้ใดเป็นอันขาด ยิ่งเห็นว่าสตรีนางนี้มีพิรุธยิ่งสงสัย“ทหารจับพวกนางเอาไว้ นำตัวไปสอบสวน”ไฉไฉร้องแผ่วเบาใบหน้าซีดจนเหมือนกระดาษขาว“แย่แล้วเจ้าค่ะ”เมิ่งสืออีเหงื่อเต็มแผ่นหลัง ร่างของนางสั่นไม่หยุด สมองตื้อไปหมดจนไม่รู้ว่าจะหาทางออกได้อย่างไรแม้ว่าแผนการของนางครานี้นางมั่นใจว่าเตรียมเอาไว้อย่างรอบคอบที่สุด กระทั่งบิดามารดาของไฉไฉ
บทที่ 18 คนหายจวนสกุลหานบ่าวรีบเข้ามารายงานวันนี้ส่งคนไปรับฮูหยินและคุณหนูใหญ่แต่ปรากฏว่าพวกเขาได้หายตัวไปพร้อมกับสาวใช้อย่างไร้ร่องรอย กระทั่งแม่นมที่มาคอยดูแลคุณหนูตามปกติก็ยังไม่ทราบเรื่องหานชางเหยียนเร่งรุดขึ้นม้าขี่ผ่านชุมชนอันแออัดโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือทำลายข้าวของใครเสียหายมุ่งหน้าไปหานางที่เรือนอย่างรีบร้อนเขาพบเพียงความว่างเปล่า และสิ่งที่เหลือทิ้งไว้คือหนังสือหย่าที่นางลงลายมือเรียบร้อย เขาฉีกหนังสือหย่าทิ้งด้วยโทสะอันรุนแรง“เจ้ากล้าดีอย่างไร เมิ่งสืออี เจ้ากล้าดีอย่างไร”หานชางเหยียนอาละวาดจนบ้านแทบจะถล่มลงมา“นางพาลูกข้าไปที่ใด นางหนีไปกับผู้ใดนางเป็นของข้าของของข้าแม้ข้าจะโยนทิ้งไปแล้วผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์เอาไปใช้”หานชางเหยียนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน วันนี้เขาได้เตรียมการต้อนรับบุตรสาวกลับจวนและยังเกลี้ยกล่อมท่านย่าให้เข้าร่วมพิธีโกนผมไฟของบุตรสาว แต่สตรีนางนั้นกลับพาบุตรสาวคนเดียวของเขาหนีไปเสียแล้วนางหนีไปแล้ว เหมือนมารดาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แต่เขาไม่ใช่บิดาที่อ่อนแอคนนั้น เขาคือหานชางเหยียนต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชาติเขาก็จะติดตามนางกลับคืนมานางไม
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ