บทที่ 19 เอาชีวิตรอดภายนอกหน้าต่างรถม้ามีแสงอาทิตย์สดใส ดอกเหมยเบ่งบานส่งกลิ่นหอมโชยระรื่น เมิ่งสืออีหยุดพักรถม้าที่ตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งนางมิได้อาศัยเส้นทางหลักไปที่เมืองอวีเพราะก่อนหน้านี้นางเจอเข้ากับด่านตรวจค้นและได้พบว่าบัดนี้หานชางเหยียนกำลังติดตามหานางอยู่โชคดีที่คนขับรถม้าสองผัวเมียคู่นี้รู้จักกับทหารผู้นั้นจึงทำให้นางสามารถผ่านด่านนี้ได้โดยสะดวก ทหารผู้นั้นยังกระซิบว่า“หากพวกท่านจะเดินทางอย่าอาศัยเส้นทางหลักเลยมิเช่นนั้นต้องถูกท่านแม่ทัพจับได้เป็นแน่ เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่การหลบหนีจากเงื้อมมือของเขามิใช่เรื่องง่าย”“ขอบคุณต้าเกอร์”คนขับรถม้ากล่าวขอบคุณญาติของตนเอง เมิ่งสืออียังมอบสินน้ำใจให้กับเขาแต่ทหารคนนั้นกลับไม่ยอมรับ“ฮูหยินท่านต้องเดินทางอีกไกล เก็บเงินไว้เลี้ยงดูคุณหนูเถิด ข้าเตือนท่านสักคำอย่ามุ่งหน้าไปเมืองอวีเด็ดขาด เพราะด่านเมืองอวีนั้นถูกตรวจค้นละเอียดยิ่งนัก”เมิ่งสืออีรู้แล้วว่าหานชางเหยียนต้องคิดว่านางจะกลับเมืองอวีเป็นแน่ เช่นนี้แล้วนางจะไปที่ใด เมิ่งสืออีเอ่ยขอบคุณทหารผู้นั้น“พี่ชายท่านมีนามว่าอย่างไร อนาคตหากข้าไม่ตายเสียก่อนข้าหวังจะกลับมาแทนคุณท่าน”ทหา
บทที่ 20 เมื่อเข้าตาจนก็จำเป็นต้องกระโดดลงหุบเหวหานชางเหยียนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของสะพาน เพ่งมองนางด้วยสายตาเยือกเย็นเอ่ยว่า“เจ้าคิดว่าจะหนีข้าพ้นหรือ เมิ่งสืออี”ขอทานเอ่ยขึ้น“อา...สามีฮูหยินน้อยมารับแล้วหรือ”เมิ่งสืออีส่ายหน้า เอ่ยเบา ๆ ราวกับพูดกับตนเอง“ข้าไม่ไปกับเขา ข้าไม่ไป”เมิ่งสืออีไม่รอช้านางหันหลังกลับก้าวขาคิดวิ่งหนีแม้จะรู้ว่าไม่มีทางหลุดพ้นแต่เท้าของนางก็ไม่หยุดแล้วเมิ่งสืออีอุ้มลูกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตหลบหนีเหมือนกระต่ายป่าที่กำลังหลบหนีนักล่าหานชางเหยียนขยับเท้าเล็กน้อยก็ลอยละล่องมาขวางหน้านางไว้“ยังคิดจะหนีอีก พาเจี่ยเอ๋อร์มาลำบากยังไม่สำนึก กลับไปกับข้า แล้วสำนึกตนให้ดีเสีย”เมิ่งสืออีเอ่ยเสียงสั่น“หานชางเหยียน”“ใช่เป็นข้า เจ้ายังจะคิดว่าเป็นผู้ใดอีก”หานชางเหยียนมองบุตรสาวที่กำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ก็รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก เขาคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังทำให้บุตรสาวของเขาได้รับความลำบากทารกน้อยจึงร้องไห้หนักเช่นนี้“ท่านจะตามพวกเรามาทำไม ขะ ข้าทิ้งหนังสือหย่าไว้ให้ท่านแล้ว”หานชางเหยียนหัวเราะหยัน“ข้าฉีกทิ้งไปแล้ว เจ้าเป็นผู้ใดกันจึงกล้าเขียนหนังสือไร้สาระน
บทที่ 21 ไม่อาจหลับตาลงได้“สืออี!”หานชางเหยียนตะโกนสุดเสียงหลังจากที่เห็นคาตาว่าร่างของเมิ่งสืออีกอดบุตรสาวของเขาร่วงลงจากหน้าผาพร้อมขอทานผู้นั้นไปแล้วโลหิตในร่างเย็นเยียบขึ้นมาโดยพลัน หัวใจยิ่งคล้ายจะหยุดเต้นหานชางเหยียนพุ่งตัวมาหยุดที่หน้าผา ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับสีเลือด ร่างทั้งร่างเครียดตึงเขม็งมือกำกระบี่แน่นจนเนื้อขาว“เจี่ยเอ๋อร์! สืออี!”น้ำเสียงของเขาช่างเศร้าระทมทุกข์อย่างที่สุด ร้องเรียกคนจนร่างกายและหัวใจแหลกสลายแล้วเขาไม่อาจปกป้องลูกกับเมียเอาไว้ได้ เป็นเขาเองที่ไร้ความสามารถเขาหันมามองนักฆ่าที่กำลังต่อสู้กับคนของเขาอยู่เบื้องหลัง ความเสียใจนี้ไม่อาจมีสิ่งใดเทียบได้หานชางเหยียนระเบิดโทสะดุจฟ้าผ่าร้อง “ฆ่า” ออกมาคำหนึ่งแล้วกระโจนเข้าไปจัดการสังหารนักฆ่าทั้งหมดการต่อสู้ผ่านไปอย่างยาวนานสุดท้ายนักฆ่าก็เป็นฝ่ายล่าถอย หานชางเหยียนสังหารนักฆ่าไปไม่น้อย แม้จะมีหลายคนที่หลบหนีไปได้ แต่ยังจับคนเป็นได้บางส่วนเพื่อสอบสวนเพราะคนของเขาน้อยกว่ามากดังนั้นหานชางเหยียนเองได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เลือดไหลย้อยลงมาตามแขนแต่เขาหาได้สนใจความเจ็บปวดนี้ไม่เหล่านักฆ่าถูกจับถอดเสื้อผ้าจนเหล
บทที่ 22 ลู่ลี่ต้องเป็นที่หนึ่งศึกของขุนนางภายใต้การสนับสนุนฮองเฮาและหวงกุ้ยเฟยจึงความจริงได้ต่อสู้กันมาเนิ่นนาน ทว่าบัดนี้ยิ่งใกล้ถึงเวลาปะทุขึ้นมาแล้วเมื่อเจรจาไม่สำเร็จเสนาบดีลู่จึงไร้ทางออก ทางเดียวที่จะจัดการได้ก็คือการสังหารหานชางเหยียนทิ้งอย่างลับ ๆ โดยที่เมิ่งสืออีไม่รู้ เพื่อกำจัดขวากหนามให้พ้นทางและเป็นเวลาประจวบเหมาะยิ่งที่ลู่ลี่มาขอให้เขาช่วยกำจัดสองแม่ลูกพอดีเช่นนั้นคนสกุลหานก็ตายตกตามกันไปทั้งหมดเถิดเสนาบดีลู่ประเมินหานชางเหยียนต่ำไป คิดว่าหากส่งมือสังหารไปมากหน่อยต่อให้หานชางเหยียนมีปีกก็ไม่อาจบินหนี ที่ไหนได้คนที่ต้องตายกลายเป็นมือสังหารที่ไร้ความสามารถพวกนั้นหากเขาไม่เตรียมแผนสำรองเอาไว้ บัดนี้หานชางเหยียนคงได้หลักฐานว่าเขาเป็นผู้ส่งคนไปแล้วศัตรูของหานชางเหยียนนอกจากเขาแล้วยังมีคนอีกมากมาย แต่คนที่กล้าลงมือมีเพียงเขา เสนาบดีลู่คิดว่าหานชางเหยียนคงมองออกแล้วว่าตนเองได้ประกาศสงครามอย่างเปิดเผยไปแล้วเช่นนั้นเขาอาจจะต้องใช้งานลู่ลี่ในการกำจัดหานชางเหยียนโดยที่นางไม่รู้ตัวหากจำเป็นเสนาบดีลู่ก็พร้อมจะสละกระทั่งบุตรสาวผู้นี้ไปพร้อมกับหานชางเหยียน เพื่อก้าวขึ้นสู่อำน
บทที่ 23 เรื่องต่ำช้าอันใดก็สามารถทำได้ทั้งหมดเกิดศึกประชิดทิศประจิมหานชางเหยียนจึงได้รับพระบัญชาให้นำทัพออกศึกเพื่อเสริมกำลังให้แม่ทัพประจิมที่กำลังจะต้านไม่ไหวสามเดือนต่อมาหานชางเหยียนก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะ คนในเมืองล้วนออกไปต้อนรับเขาทั้งยังโปรยดอกไม้ในขณะที่ขบวนทัพของหานชางเหยียนเดินทางกลับเข้าสู่เมืองหลวงและในครานั้นหานชางเหยียนก็ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมกองทัพทั้งสี่หลังจากที่แม่ทัพใหญ่คนปัจจุบันได้ปลดเกษียณตนเองเมื่อถึงวัยชราคนที่มีสีหน้าเบิกบานที่สุดก็คือฮูหยินผู้เฒ่า คำทำนายนั้นเป็นจริงตระกูลหานบัดนี้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงยิ่งนักเดือนที่แล้วเป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า นางมิได้จัดงานใหญ่โตเพราะหลานชายกำลังทำศึก เพียงแต่มอบโจ๊กและแจกเงินให้ขอทานและผู้ที่ลำบากอยู่หน้าจวนก็ยังได้รับเสียงชื่นชมในความเหมาะสมไปทั่วเมืองเพราะไม่ได้จัดงานในวันสำคัญเมื่อหานชางเหยียนกลับมาอย่างปลอดภัย ยังได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ปกป้องเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องยกทัพจับศึกไปยังชายแดนอีกแล้วเพราะเหตุนี้ท่านย่าของเขาอยากจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดและวันรับตำแหน่งใหม่ ท่านย่าจึงได้หารือ
บทที่ 24 ไม่ใช่ไม่รู้แต่เพราะเห็นแก่ตัวหานชางเหยียนยังนอนฝันละเมอเรียกชื่อเมิ่งสืออีอยู่บ่อยครั้ง ร่ำร้องถึงบุตรสาวที่ตายไปด้วยน้ำตา เหมือนกับว่าหานชางเหยียนชาตินี้จะไม่มีวันลืมสองแม่ลูกนั่นได้ลงเด็กที่ฮูหยินผู้เฒ่านำมาเลี้ยงดูแทนเจี่ยเอ๋อร์ที่ตายไป แม้จะไม่เต็มใจก็ล้วนเป็นนางที่ช่วยจัดหาต้องเป็นเด็กที่มีใบหน้าถูกต้องตามตำรา พื้นฐานดวงชะตาต้องดีและช่วยส่งเสริม ใบหน้ายังต้องดูคล้ายคลึงหานชางเหยียนหรือไม่ก็เมิ่งสืออีอยู่หลายส่วนสุดท้ายแล้วเป็นหานชางเหยียนที่คัดเลือกคนที่มีใบหน้าคล้ายเมิ่งสืออีที่สุดมาและเพื่อไม่ให้ผิดพลาดหลังจากนำเงินก้อนโตไปให้บิดามารดาของเด็กคนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้ส่งคนไปสังหารพวกเขาทั้งสองอย่างเงียบเชียบและให้มือสังหารนำศพไปทิ้งในป่าเพื่อให้สัตว์กัดแทะไม่เหลือซากโดยที่หานชางเหยียนไม่ล่วงรู้มาก่อนหานชางเหยียนพ่นลมหายใจออกมา เขาไม่เพียงแต่ตั้งหลุมศพของเมิ่งสืออีที่ตำบลซานไห่ แต่ที่นี่เขาก็สั่งให้คนทำสุสานของนางขึ้นมานอกเมืองและเขาก็มักจะมาคารวะหลุมศพของเมิ่งสืออีปลอม ๆ อยู่บ่อยครั้งสายตาของหานชางเหยียนทอดมองหลุมศพเล็กที่อยู่ข้าง ๆ หลุมศพของเมิ่งสืออีด้วยสายตาที
บทที่ 25 เงินสิบอีแปะซื้อองครักษ์ผู้หนึ่งปลายสารทฤดูปีแรกในโลกโบราณของอ้ายอ้ายนับผ่านอะไรมาไม่น้อย หลังจากกินข้าวจนอิ่มอ้ายอ้ายก็ง่วงจนหม่าม้าต้องอุ้มมานอนไปราวหนึ่งชั่วยามอ้ายอ้ายก็ลืมตาตื่นอ้ายอ้ายไม่เห็นหม่าม้าจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัย ปากเล็ก ๆ ของอ้ายอ้ายเริ่มเบะกระทั่งได้ยินเสียงหม่าม้าพูดคุยกับน้าไฉไฉอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอ้ายอ้ายยังไม่หิวและไม่ได้ปวดปัสสาวะจึงไม่คิดจะร้องแล้ว หลังจากมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งอ้ายอ้ายก็ยกเท้าตนเองขึ้นมาอ้ายอ้ายมองนิ้วเท้าด้วยความสนใจเพราะรู้สึกเบื่อมากสมควรที่จะหาอะไรทำอา...นิ้วเท้านี้ช่างตลกนัก จากนั้นอ้ายอ้ายก็ใช้มือน้อย ๆ ดึงนิ้วมาใกล้ ๆ แล้วอ้าปากงับทันใดการอมนิ้วเท้าทำให้อ้ายอ้ายรู้สึกผ่อนคลาย นับเป็นสิ่งโปรดปรานอันดับหนึ่ง เพราะสิ่งโปรดปรานอันดับสองก็คือการดูดนิ้วโป้งอวบ ๆ ของตนเองตอนนี้จิตใจของอ้ายอ้ายผ่อนคลายไปแล้วเมื่อได้ดูดนิ้วเท้าอ้วน ๆ ของตนเองหม่าม้ากับน้าไฉกำลังเย็บเสื้อผ้าเตรียมเอาไว้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงให้อ้ายอ้ายพร้อมกับพูดคุยกับน้าไฉไฉว่า“วันนี้ชาวบ้านจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวพี่เหวินอาจจะมา อาหาร
บทที่ 26 ลุงเหวินของข้าผู้ใดอย่าแตะเด็กน้อยคิดไปไกลตามประสานักคนที่เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ แน่นอนว่านี่เป็นพล็อตนิยายที่อ้ายอ้ายต้องจดจำเอาไว้ให้ดีเผื่ออนาคตจะนำมาเขียนนิยายขายในยุคนี้ไม่แน่อาจจะทำเงินมหาศาลไฉไฉกล่าวทักทายนายท่านเหวินของนาง บุรุษผู้นี้ในเวลานี้ไม่ได้สวมอาภรณ์ขาดอีกต่อไปแล้ว เวลานี้เขาสวมเสื้อผ้าป่านหยาบแบบชาวบ้านทั่วไป จึงดูสะอาดขึ้นผิดหูผิดตาทว่าน่าแปลกใจนัก ถึงแม้ว่าใบหน้าจะอัปลักษณ์ไม่น่าดูชมแต่รัศมีของเขากลับเต็มเปี่ยมและทรงพลังทั้งองอาจเป็นอย่างยิ่งอ้ายอ้ายโบกมือหย็อย ๆ แล้วกล่าวทักทายเสียงดังลั่นเรียกร้องความสนใจอีกครา“อา ยา หย๋า”จากนั้นก็ชูมือขึ้นให้ลุงเหวินอุ้มขาสองข้างตีกันไปมาทั้งยังดีดดิ้นดุ๊กดิ๊กราวกับขาของตั๊กแตนเมิ่งสืออียิ้ม“อ้ายอ้ายคงคิดถึงท่านจริง ๆ เห็นหน้าท่านคราใดก็สดชื่นครานั้น ดูสิดวงตาแป๋ว ๆ ของนางจับจ้องท่านไม่หยุดเลย”ขอทานเหวินยิ้ม บอกกับไฉไฉว่า“ส่งนางให้ข้าเถิด ข้าเองก็คิดถึงองค์หญิงน้อยเช่นกัน”ขอทานเหวินรับอ้ายอ้ายไปอุ้มเขามักจะเรียกอ้ายอ้ายว่าองค์หญิง เพราะใบหน้าของอ้ายอ้ายที่น่ารักชวนมองเช่นนี้ช่างเหมือนองค์หญิงจริง ๆเด็กน้อยแนบ
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ