บทที่ 25 เงินสิบอีแปะซื้อองครักษ์ผู้หนึ่งปลายสารทฤดูปีแรกในโลกโบราณของอ้ายอ้ายนับผ่านอะไรมาไม่น้อย หลังจากกินข้าวจนอิ่มอ้ายอ้ายก็ง่วงจนหม่าม้าต้องอุ้มมานอนไปราวหนึ่งชั่วยามอ้ายอ้ายก็ลืมตาตื่นอ้ายอ้ายไม่เห็นหม่าม้าจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัย ปากเล็ก ๆ ของอ้ายอ้ายเริ่มเบะกระทั่งได้ยินเสียงหม่าม้าพูดคุยกับน้าไฉไฉอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอ้ายอ้ายยังไม่หิวและไม่ได้ปวดปัสสาวะจึงไม่คิดจะร้องแล้ว หลังจากมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งอ้ายอ้ายก็ยกเท้าตนเองขึ้นมาอ้ายอ้ายมองนิ้วเท้าด้วยความสนใจเพราะรู้สึกเบื่อมากสมควรที่จะหาอะไรทำอา...นิ้วเท้านี้ช่างตลกนัก จากนั้นอ้ายอ้ายก็ใช้มือน้อย ๆ ดึงนิ้วมาใกล้ ๆ แล้วอ้าปากงับทันใดการอมนิ้วเท้าทำให้อ้ายอ้ายรู้สึกผ่อนคลาย นับเป็นสิ่งโปรดปรานอันดับหนึ่ง เพราะสิ่งโปรดปรานอันดับสองก็คือการดูดนิ้วโป้งอวบ ๆ ของตนเองตอนนี้จิตใจของอ้ายอ้ายผ่อนคลายไปแล้วเมื่อได้ดูดนิ้วเท้าอ้วน ๆ ของตนเองหม่าม้ากับน้าไฉกำลังเย็บเสื้อผ้าเตรียมเอาไว้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงให้อ้ายอ้ายพร้อมกับพูดคุยกับน้าไฉไฉว่า“วันนี้ชาวบ้านจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวพี่เหวินอาจจะมา อาหาร
บทที่ 26 ลุงเหวินของข้าผู้ใดอย่าแตะเด็กน้อยคิดไปไกลตามประสานักคนที่เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ แน่นอนว่านี่เป็นพล็อตนิยายที่อ้ายอ้ายต้องจดจำเอาไว้ให้ดีเผื่ออนาคตจะนำมาเขียนนิยายขายในยุคนี้ไม่แน่อาจจะทำเงินมหาศาลไฉไฉกล่าวทักทายนายท่านเหวินของนาง บุรุษผู้นี้ในเวลานี้ไม่ได้สวมอาภรณ์ขาดอีกต่อไปแล้ว เวลานี้เขาสวมเสื้อผ้าป่านหยาบแบบชาวบ้านทั่วไป จึงดูสะอาดขึ้นผิดหูผิดตาทว่าน่าแปลกใจนัก ถึงแม้ว่าใบหน้าจะอัปลักษณ์ไม่น่าดูชมแต่รัศมีของเขากลับเต็มเปี่ยมและทรงพลังทั้งองอาจเป็นอย่างยิ่งอ้ายอ้ายโบกมือหย็อย ๆ แล้วกล่าวทักทายเสียงดังลั่นเรียกร้องความสนใจอีกครา“อา ยา หย๋า”จากนั้นก็ชูมือขึ้นให้ลุงเหวินอุ้มขาสองข้างตีกันไปมาทั้งยังดีดดิ้นดุ๊กดิ๊กราวกับขาของตั๊กแตนเมิ่งสืออียิ้ม“อ้ายอ้ายคงคิดถึงท่านจริง ๆ เห็นหน้าท่านคราใดก็สดชื่นครานั้น ดูสิดวงตาแป๋ว ๆ ของนางจับจ้องท่านไม่หยุดเลย”ขอทานเหวินยิ้ม บอกกับไฉไฉว่า“ส่งนางให้ข้าเถิด ข้าเองก็คิดถึงองค์หญิงน้อยเช่นกัน”ขอทานเหวินรับอ้ายอ้ายไปอุ้มเขามักจะเรียกอ้ายอ้ายว่าองค์หญิง เพราะใบหน้าของอ้ายอ้ายที่น่ารักชวนมองเช่นนี้ช่างเหมือนองค์หญิงจริง ๆเด็กน้อยแนบ
บทที่ 27 ความรักก่อเกิดวันนี้เพราะได้เนื้อมาจึงนับเป็นมื้อพิเศษ ท่านแม่จึงทำหัวสิงโตตุ๋น เป็นอาหารที่อ้ายอ้ายชื่นชอบซึ่งทำจากเนื้อหมูสับปั้นเป็นก้อนกลมลักษณะคล้ายหัวสิงโตมาวางบนชามข้าวเพื่อหลอกล่อให้อ้ายอ้ายกินข้าวได้มากขึ้นความจริงอ้ายอ้ายไม่มีปัญหาเรื่องการกินอาหาร เพราะอ้ายอ้ายไม่ใช่เด็กทารก ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมาอ้ายอ้ายก็พยายามกินจนหมดจนร่างกายอ้วนกลมเหมือนซาลาเปานุ่มฟูเช่นนี้เด็กที่เลี้ยงง่ายกินเก่งเช่นอ้ายอ้าย ช่วยเบ่งเบาความกลัดกลุ้มของท่านแม่ไปไม่น้อยเพราะเพียงแต่เห็นอ้ายอ้ายกินและนอนอย่างมีความสุข ทุกข์ในใจของเมิ่งสืออีก็คล้ายจะถูกปลดเปลื้องลงทันใดน้าไฉได้ลงมือกินข้าวจนอิ่มไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่อหม่าม้าป้อนเจ้าก้อนแป้งเสร็จก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะกันพอดี“บ่าวพาคุณหนูไปที่ลานหมู่บ้านก่อนนะเจ้าคะ เสียงดนตรีครึกครื้นนักดูท่าทางคุณหนูจะตื่นเต้นมาก”ใช่ อ้ายอ้ายตื่นเต้นจริง ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้นี่เป็นครั้งแรกที่อ้ายอ้ายได้ออกไปเที่ยวชมงานเทศกาล ถึงแม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านก็เถอะแต่ที่สำคัญก็คืออ้ายอ้ายต้องการให้ท่านลุงเหวินกับท่านแม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตาม
บทที่ 28 อ้ายอ้ายเปิดโปงคนเสียแล้วอ้ายอ้ายหลับไปแล้วแม้ว่าจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจฝืนธรรมชาติของเด็กน้อยที่ยังไม่โตได้ก่อนหน้านี้อ้ายอ้ายย่อมรู้ย่อมเห็นว่าท่านลุงเหวินผู้นี้แท้จริงเป็นใครเริ่มแรกก็คือกลิ่นที่ติดกาย ท่านลุงเหวินมักจะอุ้มอ้ายอยู่เสมอและยังมีกลิ่นเหมือนท่านลุงซานเหรินของอ้ายอ้ายจึงทำให้อ้ายอ้ายสงสัย กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของโป้เหอหรือกลิ่นมิ้นท์เย็นอ่อน ๆ สูดดมแล้วทำให้สบายใจยิ่งนักต่อมาก็เสียงพูดที่เวลาอยู่กับอ้ายอ้ายเพียงลำพังลุงเหวินจะไม่ดัดเสียงให้แหบแห้งแต่กลับใช้เสียงที่แท้จริงพูดคุยกับอ้ายอ้าย แน่นอนว่าเสียงนี้คือเสียงของท่านลุงซานเหรินไม่ผิดเพี้ยนและอย่างสุดท้ายเป็นท่านลุงเหวินเองที่สารภาพกับอ้ายอ้ายโดยตรงว่าเขาคือฮวาซานเหริน คงเป็นเพราะคิดว่าเด็กทารกไม่รู้ความจึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่อ้ายอ้ายอายุได้เพียงสามเดือนอ้ายอ้ายจึงนับว่าเป็นผู้กุมความลับและรอคอยเวลาที่จะเปิดโปงคนโดยไร้ช่องโหว่อยู่นานแล้วคนที่ปลอมกายมาดูแลอ้ายอ้ายและหม่าม้ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะนอกจากท่านลุงซานเหรินแล้วก็ยังมีคนอีกผู้หนึ่งซึ่งคอยคุ้มครองอยู่ไม่ห่าง นั่นก็คือท่านน้าอาเจาท
บทที่ 29 ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินเช้าวันต่อมาอ้ายอ้ายก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นว่าหม่าม้ากำลังเก็บของ หลังจากน้าไฉจัดการล้างหน้าล้างตาและป้อนข้าวอ้ายอ้ายแล้วก็ปล่อยให้อ้ายอ้ายคลานเล่นในบ้านและรีบไปเก็บข้าวของของตนเองอ้ายอ้ายส่ายก้นคลานกระดึ๊บ ๆ มานั่งข้าง ๆ หม่าม้าแล้วดึงแขนเสื้อกว้างเบา ๆจากนั้นเด็กน้อยจ้องมารดาตาแป๋วอย่างน่าเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถามออกมา“อา อา อี”หม่าม้าย่อมรู้ใจบุตรสาวจึงตอบว่า“ท่านลุงเหวินจะพาพวกเราไปอยู่ที่อื่นแม่จึงต้องเก็บของ ประเดี๋ยวช่วงบ่ายพวกเราต้องไปแล้ว อ้ายอ้ายรู้หรือไม่ว่าท่านลุงเหวินก็คือท่านลุงซานเหรินของเจ้า เป็นเพราะอ้ายอ้ายพวกเราจึงจับโกหกเขาได้ เด็กดีของแม่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”ได้รับคำชมจากหม่าม้าสุดสวยมีผู้ใดบ้างจะไม่ชอบใจ อ้ายอ้ายจึงเงยหน้ายิ้มร่าจนเห็นฟันซี่เล็ก ๆ น่ารักน่าเอ็นดู“อา วา ยา อา”‘อ้ายอ้ายเก่งอีกแล้วใช่หรือไม่’ “อ้ายอ้ายของแม่เก่งที่สุดจริง ๆ”อ้ายอ้ายรับคำด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มละลายใจ“ต๊า ต๊า ต๊า”หม่าม้ายิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของอ้ายอ้ายแผ่วเบา มือของหม่าม้าไม่ได้นุ่มเหมือนเดิมแล้วแต่ว่ามือนี้ทำให้อ้ายอ้ายรู้ว่าเพื่ออ้ายอ้ายแล
บทที่ 30 คนที่ไม่ควรกล่าวถึง“ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ”“หมู่บ้านไร้ชื่อ”“หมู่บ้านนี้ไร้ชื่อหรือเจ้าคะ ไยชื่อแปลกจริง”ฮวาซานเหรินพยักหน้าจากนั้นก็ให้นางสวมหน้ากากหนังมนุษย์เพื่อปลอมแปลงหน้าตาพร้อมกับเอ่ยว่า“ชื่อแปลกใช่หรือไม่ จริง ๆ หมู่บ้านแห่งนี้เดิมไม่มีชื่อมาก่อนเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งพวกเขาบุกเบิกเส้นทางสัญจรด้วยตนเอง ผู้คนผ่านไปมาล้วนเรียกว่าหมู่บ้านไร้ชื่อ กระทั่งปัจจุบันมีคนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยทางการจึงมอบชื่อ ไร้ชื่อ ให้เป็นชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้จริง ๆ”แม้ว่าหมู่บ้านในตำบลแห่งนี้จะไม่ใหญ่โตมากแต่ก็นับว่ามีคนเดินกันขวักไขว่ เมิ่งสืออีเห็นว่าฮวาซานเหรินกำลังหลบซ่อนตัวจากหานชางเหยียนเข่าให้นางสวมหน้ากากปกปิดทว่าเขากล้ากลับเปิดเผยใบหน้าของตนเองอย่างไม่เกรงกลัวจึงทำให้นางเป็นกังวล“หากมีคนเห็นท่านแล้วเอาไปแจ้งให้คนของหานชางเหยียนรู้...”ฮวาซานเหรินยิ้ม“น้องสืออีห่วงพี่หรือ”เมิ่งสืออีพยักหน้า“ได้รู้ว่าเจ้าห่วงพี่ก็ดีใจ”“อย่ามาเย้าข้าเล่นอยู่เลย ข้าจริงจังนะหากว่ามีคนพบเห็น”ฮวาซานเหรินโน้มกายมาหานางเล็กน้อยแล้วยกมือป้องปากกระซิบ“ไม่ต้องห่วงทั้งหมดล้วนเป็นแผนการ
บทที่ 31 สถานที่รอคอยห่านทองคำรถม้าของเมิ่งสืออีได้รับการคุ้มครองโดยหม่าเจา พวกเขาเร่งออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เมิ่งสืออีไม่เห็นว่าฮวาซานเหรินติดตามมาพร้อมกันนางจึงเอ่ยถามหม่าเจา“อาเจาพี่ซานเหรินเล่า”“พี่สืออีไม่ต้องเป็นห่วง พี่ซานเหรินไปทำธุระสำคัญจากนั้นจะติดตามพวกเรามาภายหลัง”เมิ่งสืออีพยักหน้า ในเมื่อหม่าเจาบอกให้นางไม่ต้องกังวลนางก็ควรจะรู้สึกเช่นนั้น ทว่าในใจกลับไม่อาจปล่อยวางได้“แล้วเมื่อไหร่จะติดตามมา”หม่าเจาทำท่าคิด“คงหลังจากพวกเราไปถึงราวสิบวัน ก็คงตามมาแล้ว ข้ารู้ว่าท่านห่วงเขา แต่ไม่ต้องกลัวไปพี่ซานเหรินไม่มีพวกเราทำงานง่ายกว่า เขาต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนภายนอกเขาอาจจะดูเป็นบัณฑิตนุ่มนวลทั้งยังเจ้าสำราญ แต่จริง ๆ แล้วเขาเก่งรอบด้าน พี่ซานเหรินของข้าไม่เคยอวดตัวในเรื่องฝีมือมาก่อน ท่านอาจจะยังไม่เคยเห็น แต่ข้าบอกได้เลยว่าแม้แต่หัวหน้าก็ยังสู้เขาไม่ได้ วางใจเถิด”เมิ่งสืออีย่อมเคยเห็นฝีมือของฮวาซานเหรินมาแล้ว หุบเขาสูงชันขนาดนั้นเขายังพานางและอ้ายอ้ายลงมาได้อย่างปลอดภัยคนผู้นี้แม้จะดูเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แต่เขามีความสามารถอันสูงส่งทั้งความคิดความอ่านยังลึกซึ้ง
บทที่ 32 นางต้องโดดเด่นเวลาล่วงผ่านอย่างรวดเร็วบัดนี้ลู่ลี่มีอายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่เจ็ดแล้ว สีหน้าจึงดูอิ่มเอิบและมีน้ำมีนวลมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งนักหานชางเหยียนและฟู่ไท่ผินดูแลนางอย่างดี เรื่องราวของเมิ่งสืออีและบุตรสาวค่อย ๆ เลือนหายไปตามวันเวลา ลู่ลี่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่จวนราวกับฮองเฮาผู้หนึ่งในตำหนักหลังอ้ายอ้ายตัวปลอมมีนามว่าหานซ่งหยาง หรือท่านหญิงหยางที่ทุกคนเรียกขานก็มีอายุได้หนึ่งปีเจ็ดเดือนแล้วเด็กน้อยไม่เคยรู้ว่าตนเองเป็นตัวปลอมยังเชื่อสนิทว่าตนเองเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกที่เสียชีวิตไปแล้วที่ต้องเก็บงำเป็นความลับไม่ให้เด็กน้อยรู้ เพราะฟู่ไท่ผินเกรงว่านางจะเผยพิรุธออกมา ดังนั้นหานซ่งหยางจึงใช้ชีวิตประดุจคุณหนูผู้หนึ่งที่ฟู่ไท่ผินอบรมสั่งสอนด้วยตนเองมาตั้งแต่ถูกพาเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานทว่าหานชางเหยียนกับห่างเหินกับบุตรสาวตัวปลอมผู้นี้ยิ่งนัก เขาปวดใจทุกคราที่เห็นใบหน้าของเด็กน้อย ดังนั้นท่านหญิงหยางจึงได้โหยหาความรักจากบิดา และไม่เข้าใจว่าไยท่าทางของบิดาจึงเป็นเช่นนั้นไม่เพียงแต่หานชางเหยียนที่ห่างเหิน กระทั่งลู่ลี่แม่เล็กของนางเองก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่สนใจท่านหญิงหยา
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ