เมื่อหลายวันก่อนหิมะแรกของปีได้ตกลงมาเพียงแต่ไม่ตกหนักมากนัก และอ้ายอ้ายก็ได้รับข่าวดี
"อ้ายอ้าย หนังสือกลเม็ดการเอาชนะใจชายยอดขายทะลุ10ล้านเล่มแล้วนะ ยังมีสำนักพิมพ์ต่างประเทศติดต่อมาเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ อ้ายอ้ายจ๋า เธอจะกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้วได้ยินหรือเปล่า อ้ายอ้าย อ้ายอ้าย"
สิ้นเสียงของบรรณาธิการสำนักพิมพ์อ้ายอ้ายก็รู้สึกตื่นเต้นและปวดหน่วงบริเวณหัวใจหนึบ ๆ จากนั้นร่างกายเบาหวิวและเหมือนว่าจะถูกเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ที่กำลังมหาศาลดูดร่างของเธอไปที่ไหนสักแห่ง
และในชั่วขณะนั้นอ้ายอ้ายก็ได้เห็นภาพบางอย่างเป็นภาพตั้งแต่เธอจำความได้และถูกพ่อแม่เลี้ยงมาด้วยความรักจนกระทั่งพวกท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตอนเธออายุสิบหกปี หลังจากนั้นอ้ายอ้ายก็เริ่มแต่งนิยายหาเลี้ยงตัวเองและทำงานพิเศษสารพัด เรื่องราวของเธอมีแค่นี้นอกจากที่ทำงานพิเศษแล้วก็ไปเรียนและนั่งอยู่หน้าคอมเพื่อแต่งนิยายจากนั้นภาพก็ตัดจบไป
อ้ายอ้ายครุ่นคิด ชีวิตที่ผ่านมาของเธอมีแค่นี้จริง ๆ สินะ
ตอนนี้อ้ายอ้ายเห็นตัวเองนอนนิ่งดวงตาเบิกค้างมือยังกำโทรศัพท์แน่น พร้อมกับได้ยินเสียงของบรรณาธิการดังออกมาจากมือถือของเธอไม่หยุดยิ่งทำให้เธอตื่นตะลึง เธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงหล่อ ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู
"ไปกันเถอะ เจ้าตายแล้ว"
อ้ายอ้ายหันขวับไปตามเสียง เธอแทบจะไม่เชื่อตัวเองเมื่อเธอเห็นผู้ชายสวมชุดสูทสีดำสนิทและยังสวมหมวกปีกกว้างที่หน้าขาวยิ่งกว่าสีของกระดาษแต่สีปากของเขาแดงเหมือนใช้ลิปสติกราคาแพงอันชุ่มฉ่ำ
ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้หล่อมาก หล่อเหมือนไม่ใช่คน อ้ายอ้ายเห็นดวงตากลมโตของเขาชัดเจนให้ตายเถิดเขายังมีตาสองชั้นที่ทรงเสน่ห์อ้ายอ้ายเห็นรอยพับของชั้นตาอย่างชัดเจน
และในนาทีต่อมาเธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คน แต่เขาคือยมทูตที่มารับวิญญาณของเธอ
"หนูตายแล้วเหรอคะ"
"ใช่ เจ้าตายแล้ว ดีใจจนหัวใจวายตาย และภาพที่เจ้าเห็นเมื่อสักครู่เป็นภาพที่คนตายทุกคนจะเห็นก่อนตาย อืมเป็นภาพความทรงจำที่คงอยู่ในสมองประมาณนั้น"
อ้ายอ้ายไม่อยากเชื่อ ความตายมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ อ้ายอ้ายยังคงสับสนแต่ท่านยมทูตคนนี้ดูจะยุ่งมากจึงได้พูดขึ้นพร้อมกับท่าทางเร่งรีบ เขายังมองนาฬิการูปทรงประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับหัวกะโหลกบนข้อมือบ่อย ๆ
"เร็วเข้าพวกเราจะไม่ทันแล้ว วันนี้ข้ายุ่งมาก ๆ เพราะมียมทูตลาพักร้อนหลายคน"
จากนั้นเขาก็ฉวยข้อมือของอ้ายอ้ายแล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง
อ้ายอ้ายลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง และยังได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะอยู่ด้านหลังประตูไม้ปะกระดาษแบบโบราณบานนี้
"พี่ชายยมทูตที่นี่ที่ไหนคะ อ้าวเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
อ้ายอ้ายหันไปมองคนที่พามา เขายังจับมือเธอเอาไว้แต่ว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมตอนนี้กลายเป็นชุดโบราณแบบฮั่นฝูสีขาวปลายสีดำและยังสวมหมวกแบบโบราณอีกด้วย เวลายมทูตใส่ชุดนี้ก็ทำให้เขาเหมือนองค์ชายผู้สูงส่งลูกชายของฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น
"ข้าใส่ให้เข้าบรรยากาศน่ะ นาน ๆ จะได้มาส่งคนที่โลกอดีตสักครั้ง เจ้านี่มันคนพิเศษจริง ๆ เฮ้ย ความจริงอยากอยู่นาน ๆ แต่ว่าวันนี้งานเยอะมากยังต้องไปรับวิญญาณอีกหลายดวงหลังจากส่งเจ้าแล้วไม่มีเวลาให้เจ้าไปที่ยมโลก ก็เลยพามาที่นี่เลย"
อ้ายอ้ายยังไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดว่าเธอฝันไป คงเป็นฝันซ้อนฝันเพราะเมื่อกี้เธอคิดว่าตัวเองฝันว่าสำนักพิมพ์โทรมาบอกยอดขายหนังสือ 10 ล้านเล่มอยู่เลย
"อ้ายอ้ายอายุแค่สิบเจ็ดปีเองนะคะ เรียนยังไม่จบแล้วฉันจะตายได้ยังไง ต้องฝันไปแน่ ๆ ฝันไปแน่เลย"
ใบหน้าหล่อเหลาของยมทูตปากแดงเคร่งขรึมลง
"ความตายไม่ได้เลือกเจ้าเพราะได้กำหนดอายุขัยเอาไว้แล้วตั้งแต่เจ้าเกิด เจ้าโชคดีมากที่ตายปุ๊บก็ได้เกิดเลยบางคนต้องเร่ร่อนอยู่นานจนวิญญาณจะเป็นบ้าก็ยังไม่ได้ไปไหน ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าวาสนาเจ้าสูงส่งได้เกิดเป็นลูกสาวคนรวยเลยนะ"
อ้ายอ้ายดวงตาเบิกกว้าง
"จริงเหรอคะ"
"อืม ข้าพูดมากไม่ได้แม่เจ้ากำลังจะคลอดเจ้าแล้ว เอ๊า กินซะ"
พูดจบยมทูตหน้าหล่อก็ส่งลูกอมให้อ้ายอ้ายเม็ดหนึ่งซึ่งเป็นลูกอมรูปหัวใจแต่ว่าเป็นหัวใจสีดำ
"อะไรคะ ลูกอมอะไร"
"ไม่ใช่ลูกอมธรรมดา นี่คือลูกอมจากแม่น้ำลืมเลือนกินแล้วจะลืมทุกอย่างแล้วเจ้าจะกลายเป็นทารก"
อ้ายอ้ายไม่ยอมรับ
"ไม่ต้องดื่มน้ำแกงเหรอคะ น้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งที่ให้คนตายดื่ม อ้ายอ้ายเคยอ่านมา"
"ใครจะไปเคี่ยวน้ำแกงทัน คนตายเยอะแยะขนาดนี้เดี๋ยวนี้ยมโลกเขาทันสมัย ยายเมิ่งเองก็มั่งมีร่ำรวยเพราะนางเปิดโรงงานทำลูกอมรสน้ำแกงยายเมิ่งให้คนตายกินรวดเร็วกว่า ประหยัดค่าแรงงานผีด้วย อ้าปาก"
ยมทูตสั่งอ้าย ๆ อ้าปาก อ้ายอ้ายยกมือปิดปากตัวเองเอาไว้แล้วถามเสียงอู้อี้
"เดี๋ยวก่อนค่ะ คืออ้ายอ้ายมาเกิดในยุคไหนคะ เป็นลูกใคร"
"เฮ้ยเรื่องมากจัง บอกไปก็จำไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างบอกไปจะรู้จักเหรอ ว่าตัวเองจะเป็นลูกใคร"
"ขอร้องค่ะ บอกมาเถอะค่ะ ถ้าไม่บอกอ้ายอ้ายจะไม่กินลูกอมนี่เด็ดขาด"
คงเพราะวันนี้คิวงานเร่งรัดเขาไม่มีเวลาเล่นกับอ้ายอ้ายแล้ว ท่านยมทูตหน้าหล่อจึงพูดว่า
"เฮ้ย เจ้าเด็กเรื่องมาก นอกจากไม่กลัวแล้วยังถามเก่งน่ารำคาญ แต่เอาเถอะข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน"
อ้ายอ้ายตั้งใจฟัง
"เจ้าเกิดในช่วงตงจื้อ[1]ราชวงศ์โจว เป็นบุตรสาวของแม่ทัพหานชางเหยียนผู้เก่งกาจที่เกิดจากภรรยาเอกชื่อเมิ่งสืออีข้าบอกเท่านี้ พอใจหรือยัง"
"ราชวงศ์โจว แม่ทัพหานชางเหยียน เมิ่งสืออี อ้อ...อ้ายอ้ายจำได้แล้วค่ะ"
ก่อนหน้านี้อ้ายอ้ายเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์มาหลายเล่มเธอจึงทำการบ้านมาไม่น้อย เธอจำเรื่องราวของแม่ทัพหานชางเหยียนได้ดีที่สุดเพราะเรื่องนี้ยังได้ถูกหยิบยกมาเขียนเป็นนิยายและสร้างซีรีส์หลายครั้ง เพียงแต่ว่าซีรีย์นี้มีหลายเวอร์ชันนัก แต่แน่ ๆ เมิ่งสืออีคือตัวประกอบที่มีชีวิตน่าสงสารต้องตายพร้อมบุตรสาวในตอนสุดท้าย
ในเรื่องที่อ้ายอ้ายรู้มาค่อนข้างละเอียดหานชางเหยียนมีภรรยาเอกหนึ่งคนชื่อเมิ่งสืออี ภรรยารองหนึ่งคนที่จำชื่อไม่ได้แล้ว ภรรยาเอกมีบุตรสาวกับเขาและเพราะเป็นผู้หญิงที่มาจากสกุลของศัตรูจึงทำให้หานชางเหยียนไม่รักเมียเอกคนนี้เท่าไหร่
ส่วนเมียรองดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่แม่จัดหามาให้จึงเป็นสะใภ้ที่แม่สามีถือหาง เมิ่งสืออีมีชีวิตอยู่ในจวนอย่างยากลำบากและแร้นแค้น
เมิ่งสืออีได้รับการเยาะเย้ยเสียดสีและการกระทำที่ดูหมิ่นดูแคลนจากคนในครอบครัวนี้ไม่น้อยจนกระทั่งสุดท้ายดูเหมือนว่าชีวิตของเมิ่งสืออีจะจบไม่สวย
สุดท้ายเมิ่งสืออีตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการกินยาพิษไปพร้อมกันทั้งแม่ทั้งลูก
อ้ายอ้ายตกใจจนมือสั่น อ้ายอ้ายไม่อยากตกต่ำอีกแล้วเพิ่งจะกลายเป็นเศรษฐีก็ต้องมาหัวใจวายตาย มีวาสนาได้เกิดใหม่ก็ต้องมาตกระกำลำบาก อ้ายอ้ายลำบากมามากพอแล้วเธอไม่อยากลำบากอีกต่อไป
อ้ายอ้ายมองไปรอบ ๆ ที่นี่ยังไงก็ไม่เหมือนบ้านเศรษฐีเพราะเป็นเพียงบ้านไม้หลังเก่าผุ ๆ ที่แทบจะกันลมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นช่วงชีวิตต่อไปของอ้ายอ้ายจะสุขสบายได้ยังไง
อ้ายอ้ายน้ำตาคลอ ขอร้องท่านยมทูตอีกครั้งหนึ่ง
"ดีตรงไหนสุดท้ายยังไม่ได้ใช้ชีวิตก็ต้องถูกแม่ตัวเองฆ่าตาย ท่านยมทูตพาอ้ายอ้ายไปเกิดที่อื่นได้หรือเปล่าคะ ท่านยมทูตลองดูอ้ายอ้ายดี ๆ"
ยมทูตทำสีหน้างง
"ทำไมต้องดูดี ๆ"
อ้ายอ้ายหมุนตัวสองรอบและหมุนอย่างช้า ๆ ยมทูตยิ่งขมวดคิ้วย่นเข้าไปใหญ่
"ดูว่าอ้ายอ้ายมีปีกหรือเปล่า เหมือนเอ่อทิงเกอร์เบลล์น่ะค่ะ นางฟ้าทิงเกอร์เบลล์ ให้อ้ายอ้ายไปเกิดเป็นนางฟ้าเสกคาถาอะไรแบบนั้นไม่ได้เหรอคะ"
อ้ายอ้ายพยายามทำท่าทางให้น่ารัก แต่ยมทูตทำหน้าเหมือนกับอ้ายอ้ายกำลังพูดเรื่องปัญญาอ่อน พร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ
"ไม่ได้ ชะตากำหนดแล้วยังเพ้อเจ้ออะไร อีกอย่างทิงเกอร์เบลล์ก็แค่นิทานหลอกเด็กไม่ได้มีอยู่จริง"
อ้ายอ้ายผิดหวังเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่ยอมแพ้
"นะคะคุณยมทูตสุดหล่อ ช่วยอ้ายอ้ายด้วยนะคะ อ้ายอ้ายไม่อยากตายเร็วไปเป็นองค์หญิงหรือนางฟ้าก็ได้ค่ะ"
ในตอนที่อ้ายอ้ายอ้าปากขอร้องยมทูตเธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกระเด็นเข้าปากของเธอทำให้อ้ายอ้ายหุบปากและไอแคก ๆ ทันใด ท่าทางของยมทูตดูเร่งร้อนขึ้นเมื่อเขายกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
"ไม่มีเวลาแล้วต้องไปรับวิญญาณอีกดวง ยัยหนูชะตากรรมถูกขีดเอาไว้แล้วเจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ข้าไม่ได้หารือกับเจ้าข้าแค่เล่าให้ฟัง ข้ายุ่งเวลาไม่ทันแล้ว ข้าไปก่อน เดี๋ยวตอนที่เด็กคลอดออกมาวิญญาณของเจ้าจะถูกดูดเข้าไปในร่างเด็กน้อยเองไม่ต้องห่วง รออยู่ที่นี่แหละ อ้อในปากของเจ้าก็คือลูกอมยายเมิ่งไม่ใช่ยาพิษ ถึงจะไม่อร่อยแต่มันช่วยลบความทรงจำของเจ้าทั้งหมดให้กลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง ข้าไปล่ะ บาย"
ยมทูตหายไปแล้วอ้ายอ้ายยังกุมคอและท่าทางเหมือนทุรนทุรายเมื่อเธอรู้สึกว่าลูกอมยายเมิ่งกำลังติดอยู่ที่คอหอยของเธอ อ้ายอ้ายจึงตัดสินใจใช้วิธีล้วงนิ้วเข้าไปในลำคอของตนเอง เธอดันนิ้วเข้าไปลึกจนสุดและในที่สุดก็บังเกิดอาการอยากจะอาเจียนกระทั่งสามารถคายลูกอมยายเมิ่งที่จะล้างสมองของเธอออกมาได้
อ้ายอ้ายใช้เท้าเหยียบขยี้ลูกอมรูปหัวใจสีดำจนละเอียด
'ในเมื่อไม่มีทางแก้ไข อ้ายอ้ายก็จะแก้ไขด้วยวิธีของอ้ายอ้ายเอง ชิ'
เชิงอรรถ
^ ตงจื้อเป็น 1 ใน 24 ฤดูลักษณ์ของจีน หมายถึงช่วงที่หนาวที่สุดของจีนในรอบปี ปกติจะอยู่ในช่วงเวลา 21-23 ของเดือนธันวาคม
บทที่ 5 เกิดใหม่ และนี่เป็นครั้งที่สามที่อ้ายอ้ายรู้สึกว่าตัวเองถูกเครื่องดูดฝุ่นอันใหญ่ดูดอีกครั้ง วิญญาณของอ้ายอ้ายหายเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกันกับเสียงของหมอตำแยทำคลอดที่ร้องขึ้นมา"คลอดแล้วเป็นคุณหนู คลอดแล้วเจ้าค่ะ"สายรกถูกตัดออกพร้อมกับร่างของเด็กน้อยที่ถูกอุ้มไปชำระล้างร่างกายแล้วห่อในห่อผ้ามงคลสีแดง เด็กน้อยลืมตาขึ้นแล้วมีสีหน้าที่ดูค่อนข้าง งุนงงสีหน้านี้ทำให้หมอตำแยถึงกับมองด้วยความประหลาดใจเด็กคนนี้เกิดมาก็ลืมตาทันใดดวงตากลมโตของนางยังกลอกไปมาแล้วจ้องมองใบหน้าหมอตำแยด้วยความสงสัยหมอตำแยถูกทารกแรกเกิดจ้องมองด้วยดวงตาใสแจ๋วก็รู้สึกใจไม่ดี มิหนำซ้ำเด็กน้อยยังไม่ร้องสักแอะหรือว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติอ้ะ หรือว่า...นางเป็นใบ้!ไม่ได้การแล้วต้องรีบทำให้ร้องไห้ให้เร็วที่สุดในเมื่อเจ้าหัวไชเท้าขาวอวบที่เพิ่งดึงออกมาจากดินด้วยตนเองไม่ยอมส่งเสียง หมอตำแยจึงใช้ฝ่ามือฟาดที่ตูดไปสองที แต่เด็กน้อยยังมองตาแป๋วเหมือนไม่รู้สึกอันใดหมอตำแยเริ่มใจเสีย ฮูหยินคนนี้ไม่ได้รับความโปรดปรานหากว่าบุตรสาวที่คลอดมาเป็นใบ้ชีวิตที่เหลือของนางคงไม่พ้นถูกมอบหนังสือหย่าและจากนั้นไม่ต้องเอ่ยว่าจะมีชีวิตที
บทที่ 6 ไร้ญาติขาดมิตร อ้ายอ้ายลืมตาดูโลกได้สามวันแล้วแต่อ้ายอ้ายก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครญาติพี่น้องคนใดมาเยี่ยมนางเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นท่านพ่อของตัวเองอ้ายอ้ายก็ไม่เห็นว่าเขาจะโผล่มา อ้ายอ้ายอยากเห็นหน้าเขาคนผู้นั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ใจจืดใจดำปานนั้นอ้ายอ้ายสงสารหม่าม้าเหลือเกินอยากจะพูดปลอบโยนให้หม่าม้าสบายใจแต่เพราะอ้ายอ้ายยังเป็นเด็กแรกเกิดถึงแม้ว่าจะมีหัวใจเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายที่อ่อนแอและต้องการพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการตามประสาเด็กเกิดใหม่ออกมาได้ ดังนั้นทั้งวันทั้งคืนของอ้ายอ้ายก็คือการนอนและตื่นตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นอ้ายอ้ายแม้จะยังเป็นทารกแต่ก็มีเรื่องที่ชอบที่สุดแล้ว นั่นก็คือตอนนี้อ้ายอ้ายชอบเพ่งมองใบหน้าสวย ๆ ของหม่าม้ามากเป็นพิเศษ อ้ายอ้ายอยากจะพูดคุยกับหม่าม้าแต่ว่าดูเหมือนว่าร่างกายจะยังไม่พร้อมแม้อยากจะส่งเสียงแต่ก็เป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ที่เปล่งออกมาเท่านั้น พอพยายามพูดมากอ้ายอ้ายก็เหนื่อยจนหลับอีกแล้วอ้ายอ้ายกินไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่เพราะว่าน้ำนมของหม่าม้ายังมาน้อยนักจึงทำให้อ้ายอ้ายตื่นขึ้นมาบ่อยครั้ง แล
บทที่ 7 บุตรสาวของข้า"ลูกของข้าเจ้าจะพาไปไหนไม่ได้"อ้ายอ้ายได้ยินเสียงนั้นพร้อมกับท่าทางตกอกตกใจของมารดานางก็เข้าใจได้โดยพลันว่าผู้ที่มาใหม่นั้นคือผู้ใด ในใจของอ้ายอ้ายคิดแค้นเคืองนัก นี่หรือคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อเขาทักทายคนที่เป็นภรรยาหลวงที่ไม่ได้เจอกันมานานแบบนี้หรือช่างน่าชังนัก นางอยากจะหยุมหัวผู้ชายคนนั้นจริง ๆแม้จะง่วงเพียงใดอ้ายอ้ายก็ยังก่นด่าออกมา"อ้า อ้า อ้อ อ้อ..."หานชางเหยียนได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็พลันรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งทำให้เขาอยากเห็นใบหน้านั้นทว่าเขากลับไม่กล้าขยับบุรุษร่างสูงมองแผ่นหลังของเมิ่งสืออีที่ยังนั่งหันหลังให้เขา พร้อมกับบังร่างทารกเอาไว้อย่างหวงแหนไม่ยอมให้เขาได้เห็นหน้าจึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กดข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้"ลูกสาวข้า ให้ข้าดูนางหน่อย"เมิ่งสืออีทั้งโกรธทั้งแค้นนางหันมามองเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าว สายตาของคนสองคนพลันประสานกันท่ามกลางปุยหิมะที่พัดเข้ามา หานชางเหยียนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในเนตรคู่งาม แต่เขากลับแสร้งไม่รับรู้"อย่ามายุ่งกับลูกของข้า อากาศเย็นมากเปิดประตูลมหนาวเข้ามาลูกของข้าจะไม่สบาย "ไฉไฉที่เพิ่งได้สติจึงขย
บทที่ 8 ลู่ลี่ผู้อ่อนหวาน"ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ได้ยินลู่ลี่หรือไม่ ได้ยินเสียงของเด็กร้องอีเจี่ยเอ๋อร์ไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ ลู่ลี่พาหมอมาด้วยให้ตรวจร่างกายเสียหน่อยดีหรือไม่"น้ำเสียงของลู่ลี่หากฟังเผิน ๆ นั้นช่างอ่อนโยนหวานใสจนทำให้อ้ายอ้ายอยากจะเห็นหน้านักว่านางจะมีใบหน้าอย่างไร ทว่าในใจของอ้ายอ้ายนั้นกลับยิ่งรู้สึกรังเกียจเมิ่งสืออีตะโกนดังลั่นให้เสียงของตนเองดังลอดออกไปด้านนอก"ลู่ลี่ เจ้าหุบปากอย่ามารบกวนบุตรสาวข้า"ลู่ลี่ที่อยู่ภายนอกย่อมได้ยินเสียงอย่างชัดเจน นางกำหมัดแน่นก็แค่เชลยไร้ค่าผู้หนึ่งกล้าดีอย่างไรมาสั่งให้นางเงียบ ลู่ลี่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคำแต่นางกลับโดนแม่นมของตนเองจับมือเอาไว้ทั้งส่ายหน้า"คุณหนู อย่าเจ้าค่ะ"ลู่ลี่ฮึดฮัดขัดใจแต่นางก็เชื่อฟังแม่นมของตนเองอยู่มาก นั่นเป็นเพราะคำสอนของแม่นมจึงทำให้นางคว้าหัวใจของหานชางเหยียนเอาไว้ได้ นางจึงได้แต่เงียบเสียงทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวที่ไร้พิษภัยด้วยความรู้สึกอึดอัดใจอ้ายอ้ายจำได้ว่าฮูหยินรองเป็นงูพิษจึงถ่มน้ำลาย ทั้งค่อนขอดในใจเสแสร้งดัดจริต อย่าคิดว่าคนอื่นเขาโง่เหมือนผู้ชายคนนั้น เพ้ย!คิดดังนั้นก็ปล่อยเต้าของหม่าม้าออกจ
บทที่ 9 ท่านลุงผู้ใจดี"ไยข้าจะมาไม่ได้เล่า ข้ากับหานชางเหยียนเป็นสหายรักกันเจ้าไม่รู้หรือ"ไฉไฉไม่ได้ฝันไปจริง ๆ คุณชายรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงบัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้วคุณชายฮวาผู้นี้มาจากตระกูลบัณฑิตมีบิดาเป็นท่านเจ้ากรมสำนักศึกษา มารดาเป็นยอดอาจารย์หญิงที่สั่งสอนองค์หญิงในวังหลวง ส่วนเขาคือบัณฑิตมากความสามารถที่เก่งรอบด้านที่สุดผู้หนึ่งด้วยใบหน้างดงามดุจเทพเซียนและความสามารถด้านการบรรเลงเพลงพิณและเขียนพู่กันของเขาที่นับว่าเป็นยอดปรมาจารย์ทำให้มีสตรีน้อยใหญ่ต่อแถวกันถึงสามช่วงถนนเพื่อหมายแต่งงานกับเขา ทว่าเขากลับรักอิสรเสรีและยังเจ้าสำราญจึงไม่ยินยอมแต่งกับผู้ใด นามของเขาคือ 'ฮวาซานเหริน'ไฉไฉเคยเห็นเขาในภาพวาดที่มีคนวาดขายในเมืองหลวงอยู่หลายครา แต่นางไม่เคยเห็นตัวจริงของเขามาก่อน เพราะเขาเป็นคนที่หาตัวยากนักไปมาไร้ร่องรอย แต่เพราะความโดดเด่นอันยากที่จะลืมเลือนของเขาเพียงนางเห็นใบหน้านี้ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือผู้ใดเขาปล่อยให้ไฉไฉดื่มด่ำกับใบหน้าของเขาครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยว่า "ในนี้มีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นของชางเหยียนที่เตรียมเอาไว้ให้ฮูหยิน พรุ่งนี้ก็ไปไถ่ของที่จำนำ
บทที่ 10 ข้าไม่เชื่อ หลังจากฮวาซานเหรินกลับไปแล้วเขามิได้ไปหาแม่นางคนงามอย่างที่บอกกับหานชางเหยียน ทว่าสองเท้าของฮวาซานเหรินกลับมุ่งตรงกลับเรือนของตนเองทันใด เมื่อไปถึงเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคานั่งดื่มสุราใต้แสงจันทร์เพียงลำพังทว่าสายตากับจดจ้องไปยังเรือนข้าง ๆเรือนหลังนั้นแสงตะเกียงยังไม่ดับมืด เขาจึงเห็นเงาสตรีนางหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะให้นมบุตรสาดส่องออกมาพร้อมกับได้ยินน้ำเสียงแผ่วหวานของนางพูดคุยกับบุตรสาวไม่หยุดฮวาซานเหรินมองเงานั้นด้วยหัวใจสงบ เด็กน้อยคนนั้นมักจะตื่นขึ้นกลางดึกเสมอคงเป็นเพราะหิวและยังไม่ยอมนอนจนต้องให้มารดากล่อมอย่างยากลำบากในทุกคืนเพียงแค่เงาของสองแม่ลูกที่เขาเห็นฮวาซานเหรินก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่คนเป็นพ่ออย่างหานชางเหยียนนั้นกลับไม่เคยสนใจความอบอุ่นนี้เลยแม้แต่น้อย คิดดังนั้นฮวาซานเหรินก็ได้แต่ทอดถอนหายใจด้วยความสงสารสองแม่ลูกอยู่เพียงลำพังด้านหานชางเหยียนเขามิได้กลับไปนอนยังเรือนของลู่ลี่ เขาตรงมายังห้องหนังสือแล้วดื่มสุราต่อ ทุกคำพูดของฮวาซานเหรินยังก้องอยู่ในหูของเขาในช่วงเวลาที่เขาออกรบนั้นเมิ่งสืออีได้รับความลำบากมากมายเพียงใดเขาไ
บทที่ 11 ย้ายบ้าน ยามเว่ย[1]วันต่อมาหานชางเหยียนก็มารับเมิ่งสืออีเพื่อย้ายไปยังเรือนหลังใหม่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเรือนหลังนั้นคือหนึ่งในเรือนรับรองของจวนสกุลฮวาที่หานชางเหยียนขอเช่าชั่วคราว เพราะสกุลฮวาเป็นสกุลบัณฑิตในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนกับบิดาของฮวาซานเหรินไม่น้อย คุณชายที่มาล้วนเป็นคนมีฐานะสูงส่งจากหลายเมืองหลายแคว้น สกุลฮวาจึงมีเรือนมากมายเพื่อรับรองแขกเหล่านี้แทนที่จะให้คุณชายผู้สูงศักดิ์พักที่โรงเตี๊ยมเมิ่งสืออีไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องบุตรสาวนางจึงอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเองและปล่อยให้ไฉไฉประคองเดินอ้ายอ้ายเพิ่งกินนมอิ่มนางลืมตานอนเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ท่านพ่อของตนได้มารับท่านแม่ไปที่เรือนหลังใหม่หานชางเหยียนรอนางอยู่ที่หน้าประตูเมื่อเดินออกมาเมิ่งสืออีจึงเห็นว่าเขาพาลู่ลี่มาด้วย ลู่ลี่ทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท เมิ่งสืออีมองด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับลู่ลี่ไร้ตัวตนในสายตาของนางลู่ลี่กำมือแน่นและกำลังอดทนไม่แผดเสียงดังด้วยความเกลียดชังออกไปหากไม่มีเมิ่งสืออีแม้นางจะแต่งเข้าจวนในนามฮูหยินรองแต่นางก็ย่อมเป็นหนึ่งในจวนนี้ กระนั้น
บทที่ 12 ต้องเข้มแข็งรถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เพราะต้องผ่านเส้นทางแคบที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ เมิ่งสืออีเห็นหานชางเหยียนขี่ม้ามาเคียงข้างรถของนางแต่ไม่เห็นลู่ลี่แล้ว "ฮูหยินรองสงสัยจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ คงแค้นฮูหยินมากที่ไม่ยอมรับคำขอโทษของนาง""ช่างนางเถิด นางเป็นตัวไร้ค่าสำหรับข้าแล้ว"ไฉไฉช่วยเมิ่งสืออีปิดม่านบังตา เพราะคุณหนูใหญ่ตื่นแล้วต้องให้นม ในระหว่างที่เมิ่งสืออีป้อนนมบุตรสาวอยู่นั้น เด็กน้อยก็หูผึ่งตั้งใจฟังน้าไฉกับหม่าม้าพูดคุยกัน อ้ายอ้ายจึงรู้เรื่องที่ลู่ลี่มาคุกเข่าขออภัย และอดทึ่งในความกล้าหาญเข้มแข็งของหม่าม้าไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าหม่าม้าจะทำแบบนั้น หม่าม้าของอ้ายอ้ายเก่งที่สุดด้วยพื้นฐานที่ได้รับการเลี้ยงดูในจวนเจ้าเมือง ชีวิตเกิดมาไม่เคยลำบากและเป็นคนไม่สู้คน ทำให้เมิ่งสืออีมีนิสัยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออุปสรรคก็เอาแต่ร้องไห้ไม่แม้แต่จะกล้าหาญที่จะปกป้องตัวเอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยของหม่าม้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด คงเป็นเพราะว่าอ้ายอ้ายกลายมาเป็นลูกสาวของหม่าม้ากระมังอ้ายอ้ายไม่รู้ว่าในอนาคตเนื้อเรื่องจะดำเนินไปตามที่นางได้อ่านมาหรือไม่ แต่เมื่ออ้
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ
บทที่ 49 เด็กน้อยผู้วิเศษหานชางเหยียนเจ็บจนสะดุ้งและด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาก็ปล่อยเมิ่งสืออีจนร่างของนางหล่นลงไปกองลงพื้นเมิ่งสืออีตะเกียกตะกายหายใจอย่างแรง นางคิดว่านางจะตายไปแล้วเสียอีกมีดยังปักคาเท้าของหานชางเหยียน เมื่อหม่าม้าเป็นอิสระอ้ายอ้ายผวาเข้าไปหามารดาที่กองอยู่บนพื้นและเมิ่งสืออีก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้ทันใดหานชางเหยียนจ้องมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก้มลงไปดึงมีดออกจากเท้า แม้อ้ายอ้ายจะมีแรงน้อยแต่เมื่อสักครู่นางออกแรงสุดชีวิตเพื่อปักมีดลงไปที่เท้าจึงทำให้หานชางเหยียนได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยหานชางเหยียนยิ้มประดุจคนบ้า ชี้มีดสั้นไปที่พวกนางเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ลูกอกตัญญู ข้าน่าจะบีบคอให้เจ้าตายไปเสีย ไม่ต้องเกิดมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจเช่นนี้”หานชางเหยียนคิดจะสั่งสอนสองแม่ลูกด้วยโทสะ ทว่าธนูดอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องเอนกายหลบทันใดหานชางเหยียนดึงกระบี่ออกมาปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาอีกหลายลูกจากนั้นก็ตั้งรับกระบี่จากบุรุษชุดขาวที่โถมฟันลงมาอย่างรุนแรงเป็นฮวาซานเหรินฮวาซานเหรินเอ่ยเสียงรัวเร็ว“อาเจาพาสืออีกับอ้ายอ้ายออกไป”หม่าเจาติดตามฮวาซานเหรินมาพร้อมก
บทที่ 48 ลูกเนรคุณหานชางเหยียนคิดว่าเมิ่งสืออีกำลังหึงหวง เขาจึงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาอย่างมีความสุข ที่แท้การที่นางไม่กลับมาเพราะว่าสตรีนางนั้นจริง ๆ"หากเจ้าไม่ชอบลู่ลี่ ข้าจะกำจัดนางให้พ้นทาง ให้สตรีนางนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า หรือว่าให้ตายไปให้พ้นสายตา เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ ต่อไปเจ้าอยู่ในจวนกับลูก ไม่ต้องพบเจอผู้อื่นที่จะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะให้เจ้ามีอาภรณ์สวยงาม เงินทองมากมาย และให้เจ้าคลอดบุตรให้ข้ามาก ๆ ครอบครัวของพวกเราจะมีความสุข สืออีอยู่กับข้าดีที่สุดใช่หรือไม่"เมิ่งสืออีถึงกับนิ่งอึ้งไป มือของนางที่จับอ้ายอ้ายเอาไว้กำแน่น"แม้แต่ลู่ลี่ที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าเพียงนั้น เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง ได้อย่างไร หานชางเหยียน เจ้าทำได้อย่างไร"หานชางเหยียนยักไหล่ เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำนั้นคือสิ่งผิด"นางคือตัวหายนะ ทำให้ครอบครัวของพวกเราแตกแยกทำให้เจ้าหนีไปจากข้าทั้งยังพาอ้ายอ้ายไปด้วย ลู่ลี่ยังทำสิ่งชั่วร้ายมากมายนางหักหลังบิดาได้ก็หักหลังข้าได้เช่นกัน ดังนั้นงูพิษเช่นลู่ลี่ ข้าไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้อีก"เมิ่งสือ
บทที่ 47 ลักพาตัวและแล้วก็มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เมื่อโรงเลี้ยงม้าเกิดโรคระบาดอย่างหนักจนทำให้ม้าล้มตายไปนับหมื่นตัวภายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ถูกถวายฎีกาอย่างเร่งด่วนและทำให้ฝ่าบาทต้องเรียกประชุมขุนนางแม้ว่าจะเป็นเวลายามดึกแล้ว“เกิดเรื่องได้อย่างไร”ฝ่าบาททรงพิโรธยิ่งนักที่กองงานทหารม้าปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้หัวหน้าหน่วยกองงานทหารม้ารีบคุกเข่ารายงาน“เมื่อสองเดือนก่อนมีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่เกิดล้มป่วยที่หน่วยเพาะพันธุ์ม้าศึกเวลานั้นได้มีการแยกม้าป่วยออกไปรักษาอย่างเข้มงวดแต่คาดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เกิดมีม้าล้มตายเป็นจำนวนมากและยังตายติดต่อกันทุกวันบัดนี้เสียชีวิตนับหมื่นตัวภายในพริบตา โรคม้าชนิดนี้เป็นโรคใหม่ที่ไม่เคยพบจึงยากที่จะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าจะบอกข้าว่าไม่รู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรคระบาดหรือ”ทุกคนล้วนอึกอัก กระทั่งหานชางเหยียนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องออกหน้า เรื่องนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่เมื่อได้รับรายงานแล้วก็ละเลยด้วยคิดว่าการล้มป่วยไร้สาเหตุของม้าไม่กี่ตัวจะทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้เพียงนี้เขาคุกเข่าลงรับผิดและเอ่ยว่า“ฝ่าบาททั้งหมดเ