แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ฉือฟางอินต้องคิดหาวิธีให้ได้ก่อนว่า นางจะหนีออกจากจวนสกุลฉืออย่างไร และไม่ให้ฉือหย่งหลิงจับได้ เพราะการหนีในครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีไปเดินเที่ยวเตร่ที่ตลาด ในเมืองยามค่ำคืนเหมือนอย่างเคย ที่ถึงแม้เรื่องจะไปถึงหูของฉือหย่งหลิง แต่เขาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าการว่าตักเตือนนางด้วยถ้อยคำร้ายๆ ว่าแม่พันธุ์หมูอย่างนางกำลังทำให้เด็กในท้องเกิดอันตราย อีกอย่างนางจะไม่เสี่ยงหอบครรภ์โตหกเดือนนี่ หนีไปให้ลำบากขึ้นหลายเท่าแน่นอน
สามเดือนผ่านไป...
ในที่สุดฉือฟางอิน ก็สบโอกาสที่จะพาตนเองหนีไปจากฉือหย่งหลิง เมื่อทางวังหลวงมีราชโองการเรียกตัวหั้วชินอ๋องยกกำลังพล ไปช่วยปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือ และไม่ว่าอย่างไร ฉือหย่งหลิงที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ข้างกายหั้วชินอ๋อง ก็จะต้องเดินทางไปทำศึกครั้งนี้ด้วย และการออกรบแต่ละครั้งนั้นกินเวลานานไม่ต่ำกว่าสามเดือน ระหว่างที่ฉือหย่งหลิงไปออกรบ นางจะต้องหาทางหนีไปจากจวนแห่งนี้ให้ได้ เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่นางได้รับ
ซึ่งก่อนหน้าที่ฉือหย่งหลิง จะได้เดินทางไปยังเมืองหลวงนั้น ฉือฟางอินก็ได้เจ็บท้องและคลอดบุตรชายออกมา เขาจึงอยู่ทันได้เห็นหน้าลูกคนแรก และตั้งชื่อให้กับทารกตัวน้อยว่าฉือเฟิ่งเฉียน จากนั้นก็พาบุตรชายไปฝากไว้กับแม่นม ที่เขาได้หาเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ไม่ยอมให้ฉือฟางอินได้เห็นหน้าลูก ตามคำที่นางเคยว่าไว้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมาเมื่อไหร่ นางจะไม่เหลียวแลแม้แต่ปลายเล็บ แม้เขาจะรู้ดีว่าที่นางพูดออกมาเช่นนั้น ก็เพื่ออยากที่จะประชดประชันเขา
ที่เขาบอกว่านางก็เป็นแค่แม่หมูแม่พันธุ์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงดูไว้ให้ออกลูกให้เขา แต่ทว่าฉือหย่งหลิงนั้นกลับไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด ในเมื่อนางไม่เคยประพฤติตนอย่างภรรยาที่ดีควรจะทำ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้หน้านางเช่นกัน เมื่อต่างคนต่างประชดกันไปมา สุดท้ายแล้วฉือฟางอินก็ไม่เคยได้พบหน้าบุตรชายเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันที่นางคลอดเขาออกมา สามวันต่อมา ก็ได้เวลาที่ฉือหย่งหลิงจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง พลันในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เขากลัวว่าเมื่อเขาจากไปแล้ว
เวลาหลายเดือนนี้จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้น ด้วยฝีมือของฉือฟางอินอย่างแน่นอน ครั้นจะพาตัวนางไปด้วย ในสถานการณ์ทำศึกเช่นนั้น ก็เกรงว่าจะเพิ่มความลำบาก ให้กับทหารในกำลังพลคนอื่นๆ และเขาเองก็คงจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มที่นักเช่นนั้น ในคืนก่อนที่จะเดินทาง ฉือหย่งหลิงได้เรียกหัวหน้าคนงานในจวน และแม่นมของเฉียนเอ๋อร์ มาสั่งงานด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง
“พ่อบ้านหม่า ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่จวน นอกจากหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในจวนของเจ้าแล้ว ข้าขอสั่งให้เจ้าจับตาดูฮูหยินเอาไว้ให้ดี หากนางก่อเรื่องเมื่อไหร่ ให้ส่งคนไปรายงานข้าทันที”
“รับทราบขอรับ ท่านแม่ทัพ”
“ส่วนแม่นมหลี่ ดูแลเฉียนเอ๋อร์ให้ดี อย่าให้เขาได้รับอันตรายเป็นอันขาด”
“รับทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ แต่เอ่อ ... คือว่า”
“อะไรหรือ”
“ถ้าฮูหยิน ต้องการพบคุณชายล่ะเจ้าคะ”
ฉือหย่งหลิง เลิกคิ้วขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแม่นมหลี่ถามขึ้นมา เพราะตลอดสามเดือนหลังจากที่บุตรชายเกิดมา ฉือฟางอินไม่มีความพยายามที่จะเป็นแม่คนเลยสักนิด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาดูหน้าเด็ก ที่นางเป็นคนเบ่งออกมา ฉือหย่งหลิงจึงไม่เคยคิดถึงเรื่อง ที่จะให้ฉือฟางอินได้พบหน้าเฉียนเอ๋อร์ ในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ที่จวนเป็นเวลานานเช่นนี้ ฉือหย่งหลิงใช้เวลาคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงหันไปสั่งการเรื่องนี้กับแม่นมหลี่
“หากนางมาดีก็ให้นางมา แต่แม่นมหลี่จะต้องอยู่ตรงนั้นด้วย ห้ามให้นางอยู่กับเฉียนเอ๋อร์ตามลำพัง และหากที่ตัวนางมีกลิ่นสุรา ห้ามให้นางเฉียดเข้าใกล้เฉียนเอ๋อร์แม้แต่ปลายเล็บ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”
เช้าวันที่ฉือหย่งหลิงต้องออกเดินทาง ฉือฟางอินที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อมายืนแอบดูเขาผ่านหน้าต่าง ทว่านางกลับไม่รู้เลยว่าคนที่นางเฝ้าดูอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้ว ได้มายืนกอดอกมองนางอยู่ครู่ใหญ่แล้ว จนเมื่อเขาเอ่ยปากพูดขึ้นมานางถึงได้รู้ตัว
“เหตุใดถึงทำท่าลับๆ ล่อๆ เช่นนั้น เจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ว๊าย! ท ท่าน เข้ามาได้อย่างไรกัน”
“จวนสกุลฉือมีข้าเป็นเจ้าของ เรือนนี้ที่เจ้าอาศัยอยู่ก็เป็นเรือนของสกุลฉือ แล้วเหตุใดข้าจะเข้ามาไม่ได้”
ฉือฟางอินเม้มปากกำหมัดกับคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
“แล้วท่านเข้ามาทำไม มีอะไรกับข้าอย่างงั้นรึ”
“หึ”
ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ ยามที่ได้เห็นท่าทางและน้ำเสียงไม่พอใจของหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหานาง หญิงสาวที่เห็นสามีเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางน่ากลัวเช่นนั้น นางจึงค่อยๆ ถอยเพื่อจะหลบจากเขา แต่ยังไม่ทันที่จะเดินหนีไปที่ใด ก็ถูกฉือหย่งหลิงคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อน ทำให้ใบหน้าของนาง ชนเข้ากับแผงอกเขาอย่างจัง ส่วนเอวของนางนั้น ก็ถูกเขารั้งกอดเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ยิ่งนางดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดนางแน่นมากเท่านั้น
หากเป็นคนอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนสกุลฉือ ผ่านมาเห็นภาพนี้เข้า อาจจะคิดไปในแง่ดีที่เห็นสองสามีภรรยา ท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิง และฮูหยินฉือฟางอิน คงจะกำลังล่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ แต่ทว่าความจริงแล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“นี่ท่าน! ปล่อยข้านะ ไหนท่านบอกว่าจะไม่แตะต้องตัวข้าอีกอย่างไรเล่า”
“ไม่ต้องห่วง ข้าปล่อยแน่ เพราะข้าเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้เจ้านักหรอก แต่ข้ามีเรื่องจะต้องเตือนเจ้าเสียก่อน”
“มีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาสิ เหตุใดต้องทำรุนแรงเช่นนี้”
“ก็เพราะคนอย่างเจ้า พูดดีๆ ด้วยไม่ได้น่ะสิ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ฉือฟางอิน แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่นี่ แต่เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ทำสิ่งใดตามอำเภอใจ หากเจ้าก่อปัญหาขึ้นมาล่ะก็ ข้ากลับมาจัดการเจ้าอย่างแน่นอน อ่อ แล้วก็เฉียนเอ๋อร์ หากเกิดขึ้นอะไรกับเขาเพราะเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”
นั่นคือสิ่งที่ฉือหย่งหลิงต้องการกล่าวกับนาง ก่อนที่เขาจะผลักนางออกแล้วเดินจากไป ฉือฟางอินรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำขู่ บุรุษผู้นั้นทำอย่างที่เขาพูดเอาไว้แน่ แม้ลึกๆ ภายในใจจะเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็จะไม่เปลี่ยนความคิด ระหว่างเขาและนางไม่มีวันเป็นเหมือนสามีภรรยาคู่อื่นได้ สู้นางหนีไปให้ไกลจากเขาเสีย ดีกว่าต้องทนทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ต่อไป
ห้าวันผ่านไปแล้ว เวลานี้กำลังพลของหั้วชินอ๋องที่มีฉือหย่งหลิงเป็นแม่ทัพใหญ่ คงจะถึงเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะเดินร่วมกับกองกำลังของฮ่องเต้ ไปปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือของแคว้น ด้านฉือฟางอินเองก็ใช้ช่วงเวลาห้าวันนั้น คัดแยกสินเดิมจากมารดาที่นางเหลืออยู่ที่ลงในย่าม ด้วยความที่ตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ที่จวนสกุลฉือในฐานะฮูหยิน นอกจากเรือนหลังนี้ที่นางหลับนอนและใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่มีสิ่งใดที่เลยที่บ่งบอกฐานะฮูหยินของนาง ฉือฟางอินต้องจัดการทุกอย่างในเรือนนี้ด้วยตัวเอง ไร้ซึ่งคนรับใช้ไร้ซึ่งอำนาจจัดการในจวน ต้องลำบากทำทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเองก็คือคุณหนูใหญ่ในจวนขุนนาง มีคนคอยรองมือรองเท้ามาตั้งแต่เกิด แต่ฉือหย่งหลิงผู้นี้กลับทำใช้ชีวิตนางตกต่ำลง ไม่เหลือเคล้าของการเป็นสตรีที่เกิดในชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขาปักใจเชื่อว่า นางจงใจวางแผนทำให้ตนเองได้แต่งงานกับเขา ในคืนงานเลี้ยงที่จัดขึ้น ณ จวนสกุลชวี่สกุลเดิมของนางคืนวันนั้นเป็นคืนจวนสกุลชวี่ จัดงานเลี้ยงต้อนรับหั้วชินอ๋อง สหายเก่าในวัยเด็กของใต้เท้าชวี่บิดาของนาง ทั้งสองเคยเล่าเรียนในสำนักศึกษา
หั้วชินอ๋องไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงพยักหน้าแล้วหันหลังเป็นสัญญาณให้แม่ทัพชวี่ เดินตามไปที่ด้านหลังเรือนของฉือฟางอิน แม้จะยังไม่เข้าใจกับท่าทีนั้นของสหาย แต่แม่ทัพชวี่ก็ยอมเดินตามไป แต่ทว่าสิ่งที่แม่ทัพชวี่เห็นทันทีที่ไปถึงนั้น ทำเอาเขาถึงกับผงะ เมื่อบริเวณด้านหลังเรือนของบุตรสาว กลับเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคน ยืนล้อมชายฉกรรจ์ที่กำลังคุกเข่า พร้อมกับถูกมัดมือและถูกปิดปากเอาไว้ใกล้ๆ กันนั้นยังปรากฏร่างของฉือหย่งหลิง แม่ทัพใหญ่ในกองกำลังของสหาย อยู่ในสภาพสวมอาภรไม่เรียบร้อย เหมือนกับสภาพของเพ่ยเหยาซ่าง ที่แม่ทัพชวี่พึ่งได้พบไปเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด โดยที่แขนข้างซ้ายของฉือหย่งหลิง ยังมีบาทแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ตามเนื้อตัวของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด ภายในใจของแม่ทัพชวี่เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่อยากคาดการณ์สิ่งใดอีกต่อไป จึงต้องคาดคั้นเอากับสหายอย่างหั้วชินอ๋องเสียก่อน “อาหั้ว บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนที่ข้าจะฆ่าคนผู้นั้น”“อาโหลว เจ้าใจเย็นก่อน เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก”“เรื่องอะไร!”“ดูเหมือนว่าบุตรสาวของท่านจะวางยาคนของข้า”“ว่าอย่างไรนะ! อาหั้ว เจ้ากล่าวเกินไปแล
เมื่อคนได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงรีบตรงไปที่ร่างของชายผู้ต้องสงสัยผู้นั้นทันที และเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็พบว่า ศพของชายผู้นั้นมีสภาพตาเหลือกโปนน้ำลายฟูมปาก อย่างคนถูกยาพิษร้ายแรงจริงๆ บุรุษทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนเคยได้ในฝึกวรยุทธในสนามรบ และเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา อย่างวิธีการซ่อนยาพิษเอาไว้ในปากเช่นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นได้รับภารกิจสำคัญเท่ากับชีวิตของพวกเขาเมื่อใดที่ภารกิจที่เขาแบกรับอยู่ ถูกผู้ใดก็ตามล่วงรู้เขา เมื่อนั้นเขาจะต้องจบชีวิตตนเอง ด้วยการเคี้ยวยาพิษที่ซ่อนเอาไว้ในปากทันที เพื่อเป็นการปิดเส้นทาง การสาวไปถึงตัวบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง และการที่ชายผู้นี้รีบจบชีวิตตนเองด้วยวิธีนี้ นั่นก็แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ มีคนจงใจให้เกิดขึ้นอย่างที่หั้วชินอ๋อง คาดเดาเอาไว้จริงๆ“บุตรสาวของเจ้า นางมีศัตรูหรือ” “ไม่มี นางไม่เคยมีศัตรูที่ใด นางเป็นที่รักในสังคมคุณหนูด้วยกัน และด้วนิสัยของนางแล้ว นางไม่เคยโกรธเกลียดผู้ใด นอกเสียจากข้าและ…”ขณะที่แม่ทัพชวี่กำลังกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของเขา ผู้ที่อ
“ว่าอย่างไรนะ!” ฉือหย่งหลิงโพล่งดังขึ้นมาอย่างหัวเสีย หลังจากได้ยินแม่ทัพชวี่กล่าวเช่นนั้น พิธีแต่งงานอย่างนั้นหรือ เมื่อเช้าที่ท้องพระโรงก็ทีหนึ่ง ที่ต้องตกปากรับสมรสพระราชทานอย่างไม่เต็มใจ แต่เพราะคนที่หาสตรีมาให้แต่งงานนั้น เป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นพันธมิตร ฉือหย่งหลิงจึงต้องตกปากรับคำเอาไว้ก่อน จากนั้นก็อ้างปัญหาบ้านเมืองขึ้นมา เพื่อให้การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะคิดว่าเมื่อคนรอเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ การเป็นฝ่ายรอให้บุรุษมาสู่ขอเป็นเวลานานๆ นั้น ย่อมไม่ส่งผลดีกับชื่อเสียงและสถานะองค์หญิงของแคว้นหลูที่นางต้องแบกเอาไว้ รอเวลาสักปีสองปี ฉือหย่งหลิงเชื่อว่าฮ่องเต้แคว้นหลู ที่มีอุปนิสัยยอมเสียหน้ามิได้ไม่ว่าเรื่องอะไรผู้นั้น อย่างไรแล้วเพื่อไม่ให้คนติฉินนินทาว่าองค์หญิงห้าอาจจะถูกหลอกให้รอเก้อ ฮ่องเต้แคว้นหลูจะต้องส่งราชโองการขอยกเลิกงานสมรสพระราชทาน ระหว่างตัวเขาและองค์หญิงห้ามาให้เขาอย่างแน่นอน แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวัน ฉือหย่งหลิงก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน หลังจากที่เพิ่งผ่านเรื่องวุ่นวายมาอีกอย่างนั้นหรือ “ตอนนี้อินเอ๋อร์ของข้า ต้องตกอยู่ใ
ทางด้านฉือฟางอิน หลังจากที่ฟื้นขึ้นมารับรู้เรื่องแล้ว แม้ภายใจในจะเจ็บรู้สึกเจ็บช้ำ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาให้สำหรับการเสียใจมากนักเมื่อได้ทราบข่าวว่าน้องสาวต่างมารดา อย่างชวี่หนิงซื่อ คือเจ้าสาวคนใหม่ ที่จะได้แต่งงานกับเพ่ยเหยาซ่างแทนนาง เรื่องเมื่อคืนนี้หากไม่ใช่เพ่ยเหยาซ่างเผยทาสแท้ตนเองออกมา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นสองแม่ลูก ที่รวมหัวกันวางแผนนี้ขึ้นมา แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นางก็จะไม่มีวันยอมแพ้ให้อนุเหลียน สตรีที่บิดาปันใจจากท่านแม่ ในตอนที่อยู่ที่สนามรบเป็นอันขาด ความโกรธเกลียดที่มีต่อสองแม่ลูกนั่น ฉือฟางอินจำเป็นต้องทิ้งความเจ็บปวดที่มีอยู่ออกไป แล้วลุกขึ้นมาจัดการกับตนเอง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพิธีแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้ เวลาผ่านไม่ถึงสามวันดี ขบวนสินสอดจากจวนสกุลฉือ สกุลของฉือหย่งหลิง ก็เดินทางมาถึงที่จวนสกุลชวี่ พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลฉือ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงแห่งความฟู่ จึงถูกกำหนดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าด้านหั้วชินอ๋องที่เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจากับฮ่องเต้แคว้นหลู ถึงเรื่องการยกเลิกสมรสพระราชทาน ระหว่างฉ
“ฮ่องเต้เสด็จ!”“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”“เอาเถิดๆ ไม่ต้องมากพิธี เดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียยามเอา”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลชวี่ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต ณ จวนสกุลชวี่ เหตุเพราะหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานนั้น เป็นถึงประมุขของแคว้น ฉะนั้นแล้ว เหล่าเสนบดีและขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จึงได้เดินทางมาร่วมในพิธีด้วย งานนี้นับว่าเป็นงานแต่งในจวนขุนนาง ที่ใหญ่โตมากที่สุดเท่าที่แคว้นหลูเคยมีมาแม้พิธีแต่งงานในครั้งนี้ แม้จะถูกตัดทอนธรรมเนียม ออกไปหลายอย่าง เพราะความร้อนใจของแม่ทัพชวี่ ที่ไม่อยากให้บุตรสาวคนโต ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนานจนเกินไป เขาจึงต้องจัดการเร่งรัดงานทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว และในความรวดเร็วนั้น ก็จะต้องดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ล้วนเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของทุกฝ่าย ไม่ได้จัดขึ้นอย่างขอไปที อย่างที่คำล่ำลือบางกระแส ที่พูดกันไปว่าทางฝั่งว่าที่สามีอย่างแม่ทัพฉือหย่งหลิง มิได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ฟางอิน แต่เป็นเพราะแม่ทัพชวี่บังคับและยัดเยียดบุตรสาวให้แก่เขา“เ
แอะ แง๊...แค่กๆ ฮือออ แง๊...“อื้อ...”เฮือก!เสียงร้องกระจองอแงของเด็กทารกดังไปทั่วผืนป่า พาให้คนที่นั่งกำลังสลบอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอเริ่มตั้งสติได้ก็รับรู้ได้ว่าในอ้อมกอดของตัวเองนั้น ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังแหกปากร้องด้วยความหิวโหยฉือฟางอิน สำรวจดูเจ้าก้อนน้อยๆ ที่กำลังร้องไห้โยเย เอาหน้าซุกอกของนางอยู่“เฉียนเอ๋อร์ลูกแม่ ไหนให้แม่ดูเจ้าหน่อย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”“ฮืออ แง๊ ฮือออ” ทารกที่ยังไม่รู้ความ ยังคงส่งเสียงร้องไห้ต่อไปเพราะความหิว ยามถูกพลิกตัวไปมาจนใบหน้ามาจ่อใกล้กับอกของมารดา ปากน้อยๆ ก็ห่อเล็กน้อยแล้วยื่นหน้ามาใกล้กับอกอุ่น พยายามจะดูดนมจากอกนั้นให้ได้ จนได้ยินเสียงจ้อบแจ้บ ฉือฟางอินถึงได้รู้ว่าที่ฉือเฟิ่งเฉียน ร้องไห้นั้นเป็นเพราะเขากำลังหิวนม“โอ๋ๆ เจ้าหิวมากใช่หรือไม่ ได้ๆ มากินนมของแม่เถิด ครั้งนี้แม่จะให้เจ้าดูดจนกว่าเจ้าจะพอใจเลย ดีหรือไม่”เมื่อพูดจบฉือฟางอินก็รีบปลดชุดของตนเองลง แล้วรีบหันหน้าเด็กน้อยเข้าเต้านม เฉียนเอ๋อร์เมื่อสัมผัสได้ถึงเต้าอุ่นๆ ก็รีบใช้มือน้อยๆ นั้นคว้าเอาไว้ แล้วผวาอ้าปากงับหัวนมของมารดาดูดทันที ฉือฟางอินสะดุ้งกับสัมผัสแปลกใหม่นั้น นางนิ
“ฮ่องเต้เสด็จ!”“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”“เอาเถิดๆ ไม่ต้องมากพิธี เดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียยามเอา”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลชวี่ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต ณ จวนสกุลชวี่ เหตุเพราะหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานนั้น เป็นถึงประมุขของแคว้น ฉะนั้นแล้ว เหล่าเสนบดีและขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จึงได้เดินทางมาร่วมในพิธีด้วย งานนี้นับว่าเป็นงานแต่งในจวนขุนนาง ที่ใหญ่โตมากที่สุดเท่าที่แคว้นหลูเคยมีมาแม้พิธีแต่งงานในครั้งนี้ แม้จะถูกตัดทอนธรรมเนียม ออกไปหลายอย่าง เพราะความร้อนใจของแม่ทัพชวี่ ที่ไม่อยากให้บุตรสาวคนโต ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนานจนเกินไป เขาจึงต้องจัดการเร่งรัดงานทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว และในความรวดเร็วนั้น ก็จะต้องดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ล้วนเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของทุกฝ่าย ไม่ได้จัดขึ้นอย่างขอไปที อย่างที่คำล่ำลือบางกระแส ที่พูดกันไปว่าทางฝั่งว่าที่สามีอย่างแม่ทัพฉือหย่งหลิง มิได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ฟางอิน แต่เป็นเพราะแม่ทัพชวี่บังคับและยัดเยียดบุตรสาวให้แก่เขา“เ
ทางด้านฉือฟางอิน หลังจากที่ฟื้นขึ้นมารับรู้เรื่องแล้ว แม้ภายใจในจะเจ็บรู้สึกเจ็บช้ำ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาให้สำหรับการเสียใจมากนักเมื่อได้ทราบข่าวว่าน้องสาวต่างมารดา อย่างชวี่หนิงซื่อ คือเจ้าสาวคนใหม่ ที่จะได้แต่งงานกับเพ่ยเหยาซ่างแทนนาง เรื่องเมื่อคืนนี้หากไม่ใช่เพ่ยเหยาซ่างเผยทาสแท้ตนเองออกมา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นสองแม่ลูก ที่รวมหัวกันวางแผนนี้ขึ้นมา แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นางก็จะไม่มีวันยอมแพ้ให้อนุเหลียน สตรีที่บิดาปันใจจากท่านแม่ ในตอนที่อยู่ที่สนามรบเป็นอันขาด ความโกรธเกลียดที่มีต่อสองแม่ลูกนั่น ฉือฟางอินจำเป็นต้องทิ้งความเจ็บปวดที่มีอยู่ออกไป แล้วลุกขึ้นมาจัดการกับตนเอง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพิธีแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้ เวลาผ่านไม่ถึงสามวันดี ขบวนสินสอดจากจวนสกุลฉือ สกุลของฉือหย่งหลิง ก็เดินทางมาถึงที่จวนสกุลชวี่ พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลฉือ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงแห่งความฟู่ จึงถูกกำหนดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าด้านหั้วชินอ๋องที่เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจากับฮ่องเต้แคว้นหลู ถึงเรื่องการยกเลิกสมรสพระราชทาน ระหว่างฉ
“ว่าอย่างไรนะ!” ฉือหย่งหลิงโพล่งดังขึ้นมาอย่างหัวเสีย หลังจากได้ยินแม่ทัพชวี่กล่าวเช่นนั้น พิธีแต่งงานอย่างนั้นหรือ เมื่อเช้าที่ท้องพระโรงก็ทีหนึ่ง ที่ต้องตกปากรับสมรสพระราชทานอย่างไม่เต็มใจ แต่เพราะคนที่หาสตรีมาให้แต่งงานนั้น เป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นพันธมิตร ฉือหย่งหลิงจึงต้องตกปากรับคำเอาไว้ก่อน จากนั้นก็อ้างปัญหาบ้านเมืองขึ้นมา เพื่อให้การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะคิดว่าเมื่อคนรอเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ การเป็นฝ่ายรอให้บุรุษมาสู่ขอเป็นเวลานานๆ นั้น ย่อมไม่ส่งผลดีกับชื่อเสียงและสถานะองค์หญิงของแคว้นหลูที่นางต้องแบกเอาไว้ รอเวลาสักปีสองปี ฉือหย่งหลิงเชื่อว่าฮ่องเต้แคว้นหลู ที่มีอุปนิสัยยอมเสียหน้ามิได้ไม่ว่าเรื่องอะไรผู้นั้น อย่างไรแล้วเพื่อไม่ให้คนติฉินนินทาว่าองค์หญิงห้าอาจจะถูกหลอกให้รอเก้อ ฮ่องเต้แคว้นหลูจะต้องส่งราชโองการขอยกเลิกงานสมรสพระราชทาน ระหว่างตัวเขาและองค์หญิงห้ามาให้เขาอย่างแน่นอน แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวัน ฉือหย่งหลิงก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน หลังจากที่เพิ่งผ่านเรื่องวุ่นวายมาอีกอย่างนั้นหรือ “ตอนนี้อินเอ๋อร์ของข้า ต้องตกอยู่ใ
เมื่อคนได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงรีบตรงไปที่ร่างของชายผู้ต้องสงสัยผู้นั้นทันที และเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็พบว่า ศพของชายผู้นั้นมีสภาพตาเหลือกโปนน้ำลายฟูมปาก อย่างคนถูกยาพิษร้ายแรงจริงๆ บุรุษทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนเคยได้ในฝึกวรยุทธในสนามรบ และเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา อย่างวิธีการซ่อนยาพิษเอาไว้ในปากเช่นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นได้รับภารกิจสำคัญเท่ากับชีวิตของพวกเขาเมื่อใดที่ภารกิจที่เขาแบกรับอยู่ ถูกผู้ใดก็ตามล่วงรู้เขา เมื่อนั้นเขาจะต้องจบชีวิตตนเอง ด้วยการเคี้ยวยาพิษที่ซ่อนเอาไว้ในปากทันที เพื่อเป็นการปิดเส้นทาง การสาวไปถึงตัวบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง และการที่ชายผู้นี้รีบจบชีวิตตนเองด้วยวิธีนี้ นั่นก็แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ มีคนจงใจให้เกิดขึ้นอย่างที่หั้วชินอ๋อง คาดเดาเอาไว้จริงๆ“บุตรสาวของเจ้า นางมีศัตรูหรือ” “ไม่มี นางไม่เคยมีศัตรูที่ใด นางเป็นที่รักในสังคมคุณหนูด้วยกัน และด้วนิสัยของนางแล้ว นางไม่เคยโกรธเกลียดผู้ใด นอกเสียจากข้าและ…”ขณะที่แม่ทัพชวี่กำลังกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของเขา ผู้ที่อ
หั้วชินอ๋องไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงพยักหน้าแล้วหันหลังเป็นสัญญาณให้แม่ทัพชวี่ เดินตามไปที่ด้านหลังเรือนของฉือฟางอิน แม้จะยังไม่เข้าใจกับท่าทีนั้นของสหาย แต่แม่ทัพชวี่ก็ยอมเดินตามไป แต่ทว่าสิ่งที่แม่ทัพชวี่เห็นทันทีที่ไปถึงนั้น ทำเอาเขาถึงกับผงะ เมื่อบริเวณด้านหลังเรือนของบุตรสาว กลับเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคน ยืนล้อมชายฉกรรจ์ที่กำลังคุกเข่า พร้อมกับถูกมัดมือและถูกปิดปากเอาไว้ใกล้ๆ กันนั้นยังปรากฏร่างของฉือหย่งหลิง แม่ทัพใหญ่ในกองกำลังของสหาย อยู่ในสภาพสวมอาภรไม่เรียบร้อย เหมือนกับสภาพของเพ่ยเหยาซ่าง ที่แม่ทัพชวี่พึ่งได้พบไปเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด โดยที่แขนข้างซ้ายของฉือหย่งหลิง ยังมีบาทแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ตามเนื้อตัวของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด ภายในใจของแม่ทัพชวี่เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่อยากคาดการณ์สิ่งใดอีกต่อไป จึงต้องคาดคั้นเอากับสหายอย่างหั้วชินอ๋องเสียก่อน “อาหั้ว บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนที่ข้าจะฆ่าคนผู้นั้น”“อาโหลว เจ้าใจเย็นก่อน เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก”“เรื่องอะไร!”“ดูเหมือนว่าบุตรสาวของท่านจะวางยาคนของข้า”“ว่าอย่างไรนะ! อาหั้ว เจ้ากล่าวเกินไปแล
ห้าวันผ่านไปแล้ว เวลานี้กำลังพลของหั้วชินอ๋องที่มีฉือหย่งหลิงเป็นแม่ทัพใหญ่ คงจะถึงเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะเดินร่วมกับกองกำลังของฮ่องเต้ ไปปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือของแคว้น ด้านฉือฟางอินเองก็ใช้ช่วงเวลาห้าวันนั้น คัดแยกสินเดิมจากมารดาที่นางเหลืออยู่ที่ลงในย่าม ด้วยความที่ตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ที่จวนสกุลฉือในฐานะฮูหยิน นอกจากเรือนหลังนี้ที่นางหลับนอนและใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่มีสิ่งใดที่เลยที่บ่งบอกฐานะฮูหยินของนาง ฉือฟางอินต้องจัดการทุกอย่างในเรือนนี้ด้วยตัวเอง ไร้ซึ่งคนรับใช้ไร้ซึ่งอำนาจจัดการในจวน ต้องลำบากทำทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเองก็คือคุณหนูใหญ่ในจวนขุนนาง มีคนคอยรองมือรองเท้ามาตั้งแต่เกิด แต่ฉือหย่งหลิงผู้นี้กลับทำใช้ชีวิตนางตกต่ำลง ไม่เหลือเคล้าของการเป็นสตรีที่เกิดในชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขาปักใจเชื่อว่า นางจงใจวางแผนทำให้ตนเองได้แต่งงานกับเขา ในคืนงานเลี้ยงที่จัดขึ้น ณ จวนสกุลชวี่สกุลเดิมของนางคืนวันนั้นเป็นคืนจวนสกุลชวี่ จัดงานเลี้ยงต้อนรับหั้วชินอ๋อง สหายเก่าในวัยเด็กของใต้เท้าชวี่บิดาของนาง ทั้งสองเคยเล่าเรียนในสำนักศึกษา
แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ฉือฟางอินต้องคิดหาวิธีให้ได้ก่อนว่า นางจะหนีออกจากจวนสกุลฉืออย่างไร และไม่ให้ฉือหย่งหลิงจับได้ เพราะการหนีในครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีไปเดินเที่ยวเตร่ที่ตลาด ในเมืองยามค่ำคืนเหมือนอย่างเคย ที่ถึงแม้เรื่องจะไปถึงหูของฉือหย่งหลิง แต่เขาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าการว่าตักเตือนนางด้วยถ้อยคำร้ายๆ ว่าแม่พันธุ์หมูอย่างนางกำลังทำให้เด็กในท้องเกิดอันตราย อีกอย่างนางจะไม่เสี่ยงหอบครรภ์โตหกเดือนนี่ หนีไปให้ลำบากขึ้นหลายเท่าแน่นอนสามเดือนผ่านไป...ในที่สุดฉือฟางอิน ก็สบโอกาสที่จะพาตนเองหนีไปจากฉือหย่งหลิง เมื่อทางวังหลวงมีราชโองการเรียกตัวหั้วชินอ๋องยกกำลังพล ไปช่วยปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือ และไม่ว่าอย่างไร ฉือหย่งหลิงที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ข้างกายหั้วชินอ๋อง ก็จะต้องเดินทางไปทำศึกครั้งนี้ด้วย และการออกรบแต่ละครั้งนั้นกินเวลานานไม่ต่ำกว่าสามเดือน ระหว่างที่ฉือหย่งหลิงไปออกรบ นางจะต้องหาทางหนีไปจากจวนแห่งนี้ให้ได้ เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่นางได้รับ ซึ่งก่อนหน้าที่ฉือหย่งหลิง จะได้เดินทางไปยังเมืองหลวงนั้น ฉือฟางอินก็ได้เจ็บท้องและคลอดบุตรชายออกมา เขาจึงอยู่ทันได้เห็นหน้าล
แอะ แง๊...แค่กๆ ฮือออ แง๊...“อื้อ...”เฮือก!เสียงร้องกระจองอแงของเด็กทารกดังไปทั่วผืนป่า พาให้คนที่นั่งกำลังสลบอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอเริ่มตั้งสติได้ก็รับรู้ได้ว่าในอ้อมกอดของตัวเองนั้น ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังแหกปากร้องด้วยความหิวโหยฉือฟางอิน สำรวจดูเจ้าก้อนน้อยๆ ที่กำลังร้องไห้โยเย เอาหน้าซุกอกของนางอยู่“เฉียนเอ๋อร์ลูกแม่ ไหนให้แม่ดูเจ้าหน่อย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”“ฮืออ แง๊ ฮือออ” ทารกที่ยังไม่รู้ความ ยังคงส่งเสียงร้องไห้ต่อไปเพราะความหิว ยามถูกพลิกตัวไปมาจนใบหน้ามาจ่อใกล้กับอกของมารดา ปากน้อยๆ ก็ห่อเล็กน้อยแล้วยื่นหน้ามาใกล้กับอกอุ่น พยายามจะดูดนมจากอกนั้นให้ได้ จนได้ยินเสียงจ้อบแจ้บ ฉือฟางอินถึงได้รู้ว่าที่ฉือเฟิ่งเฉียน ร้องไห้นั้นเป็นเพราะเขากำลังหิวนม“โอ๋ๆ เจ้าหิวมากใช่หรือไม่ ได้ๆ มากินนมของแม่เถิด ครั้งนี้แม่จะให้เจ้าดูดจนกว่าเจ้าจะพอใจเลย ดีหรือไม่”เมื่อพูดจบฉือฟางอินก็รีบปลดชุดของตนเองลง แล้วรีบหันหน้าเด็กน้อยเข้าเต้านม เฉียนเอ๋อร์เมื่อสัมผัสได้ถึงเต้าอุ่นๆ ก็รีบใช้มือน้อยๆ นั้นคว้าเอาไว้ แล้วผวาอ้าปากงับหัวนมของมารดาดูดทันที ฉือฟางอินสะดุ้งกับสัมผัสแปลกใหม่นั้น นางนิ