“ว่าอย่างไรนะ!”
ฉือหย่งหลิงโพล่งดังขึ้นมาอย่างหัวเสีย หลังจากได้ยินแม่ทัพชวี่กล่าวเช่นนั้น พิธีแต่งงานอย่างนั้นหรือ เมื่อเช้าที่ท้องพระโรงก็ทีหนึ่ง ที่ต้องตกปากรับสมรสพระราชทานอย่างไม่เต็มใจ แต่เพราะคนที่หาสตรีมาให้แต่งงานนั้น เป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นพันธมิตร ฉือหย่งหลิงจึงต้องตกปากรับคำเอาไว้ก่อน จากนั้นก็อ้างปัญหาบ้านเมืองขึ้นมา เพื่อให้การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
เพราะคิดว่าเมื่อคนรอเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ การเป็นฝ่ายรอให้บุรุษมาสู่ขอเป็นเวลานานๆ นั้น ย่อมไม่ส่งผลดีกับชื่อเสียงและสถานะองค์หญิงของแคว้นหลูที่นางต้องแบกเอาไว้ รอเวลาสักปีสองปี ฉือหย่งหลิงเชื่อว่าฮ่องเต้แคว้นหลู ที่มีอุปนิสัยยอมเสียหน้ามิได้ไม่ว่าเรื่องอะไรผู้นั้น อย่างไรแล้วเพื่อไม่ให้คนติฉินนินทาว่าองค์หญิงห้าอาจจะถูกหลอกให้รอเก้อ ฮ่องเต้แคว้นหลูจะต้องส่งราชโองการขอยกเลิกงานสมรสพระราชทาน ระหว่างตัวเขาและองค์หญิงห้ามาให้เขาอย่างแน่นอน แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวัน ฉือหย่งหลิงก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน หลังจากที่เพิ่งผ่านเรื่องวุ่นวายมาอีกอย่างนั้นหรือ
“ตอนนี้อินเอ๋อร์ของข้า ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ดังนั้น เจ้าต้องรับผิดชอบนาง เพื่อรักษาเกียรติของนางเอาไว้”
“ได้อย่างไรกัน ในเมื่อข้ากับนางยังไม่ไ-”
“แต่ก็เกือบไปแล้วมิใช่หรือ รอยบนตัวของนางก็เป็นผีมือของเจ้า แทบทุกส่วนของร่างกายนาง มิใช่ว่าถูกเจ้าเห็นไปทั้งหมดแล้วหรือ”
หากมองในมุมของบุรุษที่มักไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน การยังไม่ไปถึงขั้นสอดใส่ในเรื่องอย่างว่ากับสตรี โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ก็ย่อมคิดว่านั่นถือว่าไม่มีความเสียหายที่ต้องรับผิดชอบ แต่สำหรับสตรีแล้ว การถูกบุรุษเห็นของสงวนในร่างกาย มิหนำซ้ำยังถูกสัมผัสวาบหวามจนทิ้งร่องรอยเอาไว้เช่นนี้ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจำมีผู้ใดหรือไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ก็นับว่านางได้ผ่านมือชายผู้นั้นไปแล้ว ฉือหย่งหลิงอยากจะแก้ต่างว่าตนเองก็แพะที่บังเอิญผ่านมา จึงทำให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แต่ทว่าสิ่งที่แม่ทัพชวี่กล่าวเมื่อครู่ ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง
ในตอนนั้น แม้ฤทธิ์สุราและฤทธิ์ของนาปลุกกำหนัด ที่ผสมตีรวนกันไปอยู่ในร่างกายเขา จะทำให้เขาขาดสติไป แต่กระนั้นก็ใช่ว่าตัวเขาจะไม่รับรู้สิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ เขาทั้งจูบปากนาง ลูบคลำของสงวนของคุณหนูใหญ่ฟางอิน และยังทิ้งรอยแดงสีเดียวกับกลีบดอกไม้สีแดงช้ำไว้ทั่วร่างกายของนาง ฉือหย่งหลิงในตอนนี้ จึงได้แต่ยืนนิ่ง อย่างไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมา เพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
“พวกเราทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ จะต้องจัดฉากทำทีเป็นว่าแม่ทัพฉือ ที่เดินหลงทางมาถึงเรือนของอินเอ๋อร์ แล้วเกิดพบว่าบุตรสาวคนโตของข้า กำลังถูกคนร้ายผู้นี้ฉุดไปทำมิดีมิร้าย จึงช่วยนางเอาไว้ได้ทัน เจ้าและมันต่อสู้กัน จนกระทั้งคนร้ายตาย”
ไม่เพียงแค่พูดเปล่า แม่ทัพชวี่ยังเดินไปดึงดาบที่มือของชายหนุ่มฟันเข้าไปที่หน้า ลำคอและกลางลำตัวของคนร้าย จากนั้นก็คืนดาบให้กับฉือหย่งหลิง ที่เป็นเจ้าของได้ถือเอาไว้ดังเดิม เป็นการอำพลางไม่ให้ผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้รู้ได้ว่า แม่ทัพชวี่ หั้วชินอ๋องและฉือหย่งหลิง รวมไปถึงทหารที่อยู่ที่นี่ รู้แล้วว่าเหตุการณ์ในคืนวันนี้ เป็นใครที่บงการอยู่เบื้องหลัง
“แม้จะเป็นการช่วยเหลืออย่างไม่ต้องการผลตอบแทน แต่ทว่า การช่วยเหลือในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นนางเปลือยกายต่อหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น เจ้าจึงตัดสินใจที่จะรับผิดชอบนาง ด้วยการแต่งงาน เพื่อรักษาเกียรติ์ของนาง
ส่วนเรื่องสมรสพระราชทานที่ฝ่าบาทประทานให้กับเจ้า เรื่องนี้ ข้าคงต้องรบกวนให้อาหั้วช่วยอีกแรง เพราะข้าจะไม่ยอมให้อินเอ๋อร์แต่งเข้าจวนสกุลฉือ ในฐานะอนุภรรยาเด็ดขาด นางจะต้องแต่งเข้าไปในฐานะฮูหยินใหญ่เท่านั้น”
หั้วชินอ๋องถอนหายใจเล็กน้อย เพราะหนึ่งคนก็สหายรัก และอีกหนึ่งคน ก็เป็นแม่ถึงทัพใหญ่ในกองกำลัง เปรียบเสมือนแขนด้านขวาของตนก็ไม่ปราน แต่จะให้รอจนกว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ แม่นางฟางอินที่เป็นเหยื่อที่แท้จริงในเรื่องนี้ คงจะต้องทุกทรมานใจไปตลอดชีวิต และคงเป็นเรื่องยาก ที่ในอนาคตนางจะได้แต่งกับบุรุษที่สมฐานะ เพราะเรื่องนี้คงจะถูกขุดคุ้ยพูดกันไปไม่รู้จักจบสิ้น เช่นนั้น ก็ถือเสียว่าทั้งฉือหย่งหลิงและแม่นางฟางอิน ทั้งสองคงจะมีชะตาต้องกัน แต่งกันไปอาจจะได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดี ในตัวของอีกฝ่ายซึ่งกันและกันก็เป็นได้ แม้การพบกันจะผิดแปลกประเพณีไปมาก หั้วชินอ๋องที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ได้แต่หวังว่าชีวิตหลังแต่งงานของทั้งคู่ จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวการแต่งงานของคุณหนูใหญ่ และคุณหนูรอง แห่งจวนสกุลชวี่ ก็ได้ถูกแพร่สะพัดออกมา ว่าทั้งสองจะเข้าพิธีแต่งงานในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยผู้เป็นพี่อย่างชวี่ฟางอินจะแต่งออกไปก่อน แต่ทว่าคนที่จะส่งเกี้ยวมารับนางนั้น กลับเป็นแม่ทัพหนุ่มนามว่าฉือหย่งหลิง แม่ทัพผู้มากความสามารถจากแคว้นฟู่ ที่เคยได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้แคว้นหลูเอาไว้ มิใช่บุตรชายจวนคหบดีเพ่ยอย่างที่เคยหมั้นหมายกัน
ความสงสัยเรื่องข่าวลือนั้นอยู่ได้ไม่นานก็ได้รับความกระจ่าง เมื่อทุกคนได้ทราบว่าบุตรชายจวนคหบดีเพ่ยคู่หมั้นเก่าของชวี่ฟางอินนามว่าเพ่ยเหยาซ่างนั้น จะได้แต่งงานกับชวี่หนิงซื่อบุตรสาวคนรองของแม่ทัพชวี่ การเปลี่ยนตัวชายหญิงก่อนวันพิธีแต่งงานนั้น สามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งในหลายครอบครัว นั่นจึงถือว่ามิใช่เรื่องแปลกอะไร ข่าวการสลับตัวเจ้าสาวที่จวนสกุลชวี่ จึงถูกลืมเลือนไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ทางด้านฉือฟางอิน หลังจากที่ฟื้นขึ้นมารับรู้เรื่องแล้ว แม้ภายใจในจะเจ็บรู้สึกเจ็บช้ำ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาให้สำหรับการเสียใจมากนักเมื่อได้ทราบข่าวว่าน้องสาวต่างมารดา อย่างชวี่หนิงซื่อ คือเจ้าสาวคนใหม่ ที่จะได้แต่งงานกับเพ่ยเหยาซ่างแทนนาง เรื่องเมื่อคืนนี้หากไม่ใช่เพ่ยเหยาซ่างเผยทาสแท้ตนเองออกมา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นสองแม่ลูก ที่รวมหัวกันวางแผนนี้ขึ้นมา แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นางก็จะไม่มีวันยอมแพ้ให้อนุเหลียน สตรีที่บิดาปันใจจากท่านแม่ ในตอนที่อยู่ที่สนามรบเป็นอันขาด ความโกรธเกลียดที่มีต่อสองแม่ลูกนั่น ฉือฟางอินจำเป็นต้องทิ้งความเจ็บปวดที่มีอยู่ออกไป แล้วลุกขึ้นมาจัดการกับตนเอง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพิธีแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้ เวลาผ่านไม่ถึงสามวันดี ขบวนสินสอดจากจวนสกุลฉือ สกุลของฉือหย่งหลิง ก็เดินทางมาถึงที่จวนสกุลชวี่ พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลฉือ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงแห่งความฟู่ จึงถูกกำหนดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าด้านหั้วชินอ๋องที่เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจากับฮ่องเต้แคว้นหลู ถึงเรื่องการยกเลิกสมรสพระราชทาน ระหว่างฉ
“ฮ่องเต้เสด็จ!”“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”“เอาเถิดๆ ไม่ต้องมากพิธี เดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียยามเอา”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลชวี่ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต ณ จวนสกุลชวี่ เหตุเพราะหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานนั้น เป็นถึงประมุขของแคว้น ฉะนั้นแล้ว เหล่าเสนบดีและขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จึงได้เดินทางมาร่วมในพิธีด้วย งานนี้นับว่าเป็นงานแต่งในจวนขุนนาง ที่ใหญ่โตมากที่สุดเท่าที่แคว้นหลูเคยมีมาแม้พิธีแต่งงานในครั้งนี้ แม้จะถูกตัดทอนธรรมเนียม ออกไปหลายอย่าง เพราะความร้อนใจของแม่ทัพชวี่ ที่ไม่อยากให้บุตรสาวคนโต ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนานจนเกินไป เขาจึงต้องจัดการเร่งรัดงานทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว และในความรวดเร็วนั้น ก็จะต้องดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ล้วนเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของทุกฝ่าย ไม่ได้จัดขึ้นอย่างขอไปที อย่างที่คำล่ำลือบางกระแส ที่พูดกันไปว่าทางฝั่งว่าที่สามีอย่างแม่ทัพฉือหย่งหลิง มิได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ฟางอิน แต่เป็นเพราะแม่ทัพชวี่บังคับและยัดเยียดบุตรสาวให้แก่เขา“เ
เช้าวันรุ่งขึ้น...พื้นที่ด้านหน้าจวนสกุลชวี่ เต็มไปด้วยเหล่าคนรับใช้กำลังช่วยกันขนข้าวของ ของคุณหนูใหญ่ฟางอิน ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นฮูหยินของจวนสกุลฉือไปแล้วขนรถ พร้อมกับสินเดิมของมารดา เพื่อให้ทันเวลาที่นางจะต้องออกเดินทาง“อินเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ที่นั่นรักษาสุขภาพให้ดี หากเจ้ามีปัญหาอะไร ให้คนมาบอกพ่อได้ทุกเมื่อ เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”ฉือฟางอินพูดตอบรับเสียงสั่น พร้อมกับโผเข้าหาอ้อมกอดของบิดา นับเป็นรกอดแรกในรอบหลายปี ระหว่างสองพ่อลูก ภายในใจของนางยังคงสามารถไม่ให้อภัยเขาได้ทั้งหมด แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ที่บิดาคอยอยู่เคียงข้างนางไม่ห่างไปไหน ทั้งยังออกหน้าให้นางในทุกเรื่อง ทำให้นางไม่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ เพียงลำพังก็ทำให้ฉือฟางอินได้ทบทวนอะไรหลายๆ ในความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อลูก แท้ที่จริงแล้วท่าทีโกรธเกลียดบิดา และทำราวกับว่าชาตินี้ทั้งชาติพวกเขาคงไม่มีวัน กลับมาเป็นพ่อลูกที่รักใคร่กันได้เหมือนเดิมอีกแล้วนั้น การกระทำเหล่าเป็นเพียงการกระทำ ที่ฉือฟางอินทำขึ้นมาเพื่อปกป้องความรู้สึกเสียใจตนเอง ภายในใจลึกๆ ของนางนั้น ยังคงโหยหาอ้อมกอดของบิดาอยู่เสมอ ตลอดหลายวันมานี้
หลังจากได้ฟังคำทำนายของผู้มีวิชาทั้งสองแล้ว สีหน้าของฉือหย่งหลิงก็ส่อแววไม่สู้ดีนัก เพราะนับตั้งแต่เขาจำความได้ การทำนายอนาคตของผู้หยั่งรู้ ในพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษของจวนสกุล ได้ถูกเหล่าผู้สืบเชื้อสายทั้งคนที่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อคำทำนายพิสูจน์ความจริงกันมาแล้วโดยผู้ใดที่เชื่อและทำตามนั้น พวกเขาล้วนมีชีวิตที่ผาสุข ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อและคิดจะต่อต้านคำทำนาย คนเหล่านั้นต่างมีจุดจบที่ไม่ได้เลยสักคน ซึ่งตัวของฉือหย่งหลิงเอง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดสงสัยความจริงในข้อนี้มาก่อน จนกระทั้งเมื่อห้าปีที่แล้ว ในตอนที่เขามีอายุได้สิบเจ็ดหนาว ท่านโหรจากราชสำนัก ได้ทำนายทายทักตัวเขาเอาไว้ว่า ภายในปีนั้น สกุลฉือจะต้องหาทางจัดพิธีสมรสให้ได้ มิเช่นนั้น ทั้งใต้เท้าฉือและฮูหยินฉือจะต้องมีอันเป็นไป แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนไม่ได้อยากจะบังคับ ฝืนใจบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างฉือหย่งหลิง ให้ต้องมาแบกรับหน้าที่นี้ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไม่ทำตามคำทำนาย โดยเชื่อว่าหากพวกเขา ยังคงประพฤติตนเป็นคนดีไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำให้สกุลฉือเสื่อมเสีย ดวงวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลาย คงจะพอให้อภัยพวกเขา ที่ไม่ทำตามคำทำนายในครั้งนั้นได้แต
แต่ถึงแม้ว่าจะตกลงปลงใจ ยอมทำตามข้อเสนอของฉือหย่งหลิงไปแล้ว แต่การจะทำเรื่องอย่างว่ากับฉือหย่งหลิง เพื่อให้คนเองมีทายาทให้กับสกุลฉือ สำหรับสตรีอย่างนางแล้วนั้น เรื่องนี้ใช่ว่า จะคิดแล้วทำได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ หญิงสาวจึงขอเวลาทำใจอีกสักหน่อย เพื่อให้จิตใจพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ฉือฟางอินจึงผัดผ่อนเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือน นางยังคงแสร้งทำตัวปกติราวกับว่า เรื่องคำทำนายและข้อตกลง ระหว่างนางและฉือหย่งหลิงนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั้งในวันหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังเพลิดเพลิน กับการทำความสะอาดเรือนอยู่นั้น หูของนางก็แว่วเสียงพ่อบ้านหม่า ส่งเสียงเรียกอยู่ที่หน้าประตูเรือน“พ่อบ้านหม่า มีเรื่องอันใดหรือ”“จดหมายจากแคว้นหลูขอรับ”“แคว้นหลู?”“ขอรับ ทหารที่ทำมาส่ง บอกว่าเป็นจดหมายสำคัญ ที่ต้องส่งให้ถึงมือฮูหยินขอรับ”“เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านมาก”“ยินดีขอรับ เช่นนั้น ข้าน้อยต้องขอตัวก่อน”ทันทีที่พ่อบ้านหม่ากลับออกไป ฉือฟางอินจึงรีบเปิดจดหมายออกด้วยความร้อนใจ เพราะคนจากแคว้นหลู ที่ส่งจดหมายมาหานางได้นั้น ก็คงจะมีเพียงบิดาของนางผู้เดียว แต่ทว่าเนื้อความในจดหมายนั้น ทำเอาฉือฟา
ฉือฟางอินได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จากคนทั้งจวนสกุลฉือ หญิงสาวถูกย้ายมายังเรือนหลังใหม่ ซึ่งเป็นเรือนที่ฉือหย่งหลิงสร้างเอาไว้สำหรับทารกน้อย ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ตามคำแนะนำจากท่านหมอ ว่าสุขภาพเด็กจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอาหารการกินและความเป็นอยู่ของมารดา อาจเป็นเพราะคำแนะนำเหลานี้ จึงทำให้ระยะหลังมานี้ฉือหย่งหลิงถึงได้เพลาการหาเรื่องนางลง ชายหนุ่มมักจะแวะเวียนมาถามไถ่ อาการของหญิงสาวจากคนรับใช้อยู่เป็นประจำครั้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น จนฉือฟางอินเริ่มจะเดินเหินลำบากและอาการเท้าบวมตามมา ในกลางดึกของทุกคืน และในบางคืนก็ค้างอยู่ที่นั่น โดยที่ฉือฟางอินเพิ่งจะรู้ตัวก็ในคืนหนึ่งที่นาง เกิดปวดเบาขึ้นมาในตอนดึก ตามประสาคนมีครรภ์แก่ เมื่อนางจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเคลิ้มหลับต่อ ฉือฟางอินกลับได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา โดยที่ไม่ได้เอ่ยขออนุญาตกับนางก่อนอย่างคนรับใช้คนอื่นๆคนที่เข้ามานั้นก็คือฉือหย่งหลิง ที่มักจะเข้าสัมผัสท้องของนาง และนวดเท้าที่บวมให้เสมอ โดยที่ฉือฟางอินไม่เคยรู้มาก่อน แม้จะรู้ตัวว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มทำให้กับนาง เขาอาจจะท
สิ้นเสียงจากคนด้านนอก ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคน ตรงเข้ามาในห้อง พร้อมกับคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือน“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเป็นใคร อย่าเข้ามานะ!” ฉือฟางอินร้องถามออกไปด้วยความร้อนรน“ใจเย็นก่อนขอรับฮูหยิน มิต้องตกใจไป พวกเราคือคนของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิง มีหน้าที่คอยคุ้มกันคุณชายน้อยและฮูหยินขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วที่ด้านนอกนั่น”“กลุ่มโจรกบฏขอรับ พวกมันคงทราบข่าวแล้วว่า หั้วชินอ๋องและท่านแม่ทัพ จะต้องพากองกำลังออกไปไกลจากเมืองอี้ของเรานานหลายเดือน พวกมันถึงได้บุกเข้ามา เพื่อปล้นเสบียงของชาวบ้านและหวังที่จะยึดเมืองอี้ขอรับ”“แล้วข้าต้องทำเช่นไร”“เชิญทางนี้ขอรับ”ฉือฟางอินที่อุ้มเฉียนเอ๋อร์อยู่ ถูกคนของฉือหย่งหลิงพาตัวออกไปที่ด้านหลังของเรือน และเดินลึกเจ้าไปทางด้านหลังจวน ที่มีหลุมหลบภัยซ่อนเอาไว้“พวกเจ้าจะให้ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ หลบอยู่ในนี้หรือ”“ขอรับ ข้างล่างนี่เป็นห้องลับที่ท่านแม่ทัพ สั่งใหพวกข้าน้อยทำเอาไว้ขอรับ ในนั้นพอจะมีเสบียงและสิ่งอำนวยความสะดวก พอให้ท่านกับคุณชาย หลบอยู่ในนั้นสักพักขอรับ”“แล้วข้ากับลูกต้องอยู่ในนั้นนานแค่ไหน”“จนกว่าพวกข้าน้อยจะมารับพวกท่านขอรับ”“แล้วมันนา
“อีกไกลแค่ไหนกันนะ” ฉือฟางอินยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ใบหน้าของนาง ระยะทางที่เดินมาจากต้นไม้ต้นนั้นก็นานมากแล้ว แต่นางกลับยังไม่เห็นวี่แววของหมูบ้านที่คนของฉือหย่งหลิงบอกไว้สักที“ข้าเดินมาผิดทางหรือเปล่านะ”“อื้ออ..ฮิก”ระหว่างที่กำลังพึมพำว่าตนเองมาผิดทางหรือไม่นั้น เจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดก็ส่งเสียง คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา พอก้มมองดูก็พบว่าที่แก้มของเจ้าก้อนหมั่นโถวอวบอ้วนของนาง กำลังขึ้นสีแดงเพราะอากาศร้อน“โอ๋ๆ เฉียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังไม่สบายตัวใช่หรือไม่ หน้าเจ้าแดงไปหมดแล้ว” เมื่อเห็นว่าเฉียนเอ๋อร์กำลังไม่สบายตัว นางจึงพยายามคลายผ้าห่อตัวให้กับเขา“เปียกขนาดนี้เลยหรือ โอ้ะ! นี่เจ้าฉี่ใส่แม่เข้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”ยามฉือฟางอินเอามือจับผ้าที่ห่อตัวเฉียนเอ๋อร์ เพื่อคลายออกให้เขาได้สบายตัวขึ้น นางถึงได้รู้ว่าผ้าที่ห่อเจ้าเด็กน้อยเอาไว้นั้น ล้วนแล้วแต่ชุ่มเหงื่อไปหมด นางถึงได้รู้สาเหตุที่เฉียนเอ๋อร์ เริ่มส่งเสียงงอแงให้นางได้ยิน นางจึงพยายามคลายผ้าห่อตัวของเฉียนเอ๋อร์ให้มากขึ้น เพื่อระบายความร้อนให้เขา แต่ปรากฏว่า ทันทีที่นางคลายผ้าออกจนหมด เจ้ามังกรน้อยของเฉียนเอ๋อร์กลับพ่นน้ำใส่นาง จนแขนเสื้อทั
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้