แต่ถึงแม้ว่าจะตกลงปลงใจ ยอมทำตามข้อเสนอของฉือหย่งหลิงไปแล้ว แต่การจะทำเรื่องอย่างว่ากับฉือหย่งหลิง เพื่อให้คนเองมีทายาทให้กับสกุลฉือ สำหรับสตรีอย่างนางแล้วนั้น เรื่องนี้ใช่ว่า จะคิดแล้วทำได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ หญิงสาวจึงขอเวลาทำใจอีกสักหน่อย เพื่อให้จิตใจพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ฉือฟางอินจึงผัดผ่อนเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือน นางยังคงแสร้งทำตัวปกติราวกับว่า เรื่องคำทำนายและข้อตกลง ระหว่างนางและฉือหย่งหลิงนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั้งในวันหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังเพลิดเพลิน กับการทำความสะอาดเรือนอยู่นั้น หูของนางก็แว่วเสียงพ่อบ้านหม่า ส่งเสียงเรียกอยู่ที่หน้าประตูเรือน
“พ่อบ้านหม่า มีเรื่องอันใดหรือ”
“จดหมายจากแคว้นหลูขอรับ”
“แคว้นหลู?”
“ขอรับ ทหารที่ทำมาส่ง บอกว่าเป็นจดหมายสำคัญ ที่ต้องส่งให้ถึงมือฮูหยินขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านมาก”
“ยินดีขอรับ เช่นนั้น ข้าน้อยต้องขอตัวก่อน”
ทันทีที่พ่อบ้านหม่ากลับออกไป ฉือฟางอินจึงรีบเปิดจดหมายออกด้วยความร้อนใจ เพราะคนจากแคว้นหลู ที่ส่งจดหมายมาหานางได้นั้น ก็คงจะมีเพียงบิดาของนางผู้เดียว แต่ทว่าเนื้อความในจดหมายนั้น ทำเอาฉือฟางอินแทบจะยืนไม่อยู่ เมื่อเนื้อความจดหมายนั้น บอกว่าบิดาของนางได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างการต่อสู้ กับกลุ่มโจรป่าที่ลอบเข้ามาทำร้าย และขโมยเสบียงชาวบ้านในเมืองจิ๋น ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของจวนสกุลชวี่ พร้อมทั้งลอบวางเพลิงบ้านเรือนของชาวบ้าน
จวนสกุลชวี่เองก็โดนรอบวางเพลิง จนเสียหายไปหลายส่วนเช่นกัน แต่ใจความนั้นก็ไม่สำคัญเท่าใจความแรก ที่เขียนถึงอาการบาดเจ็บของแม่ทัพชวี่ เพราะแม้ในจดหมายจะระบุว่า แม่ทัพวี่จะได้รับดารรักษา อาการบาดเจ็บทุเลาลงแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลใจ ของฉือฟางอินลดน้อยลงได้แม้แต่น้อย หญิงสาวถือจดหมายที่อ่านจบแล้ว ด้วยมือสั่นเทาเช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ในหัวของนางเอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ อ่านคำทำนาย ในวันพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษสกุลฉือ และข้อตกลงที่นางได้ตอบรับฉือหย่งหลิงไปเมื่อหลายวันก่อน สลับกันไปมาอยู่เช่นนั้น ด้วยความกลัว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดานั้น เป็นผลมาจากคำทำนายหรือไม่
ตกดึกของคืนวันเดียวกันนั้น ในขณะที่ฉือหย่งหลิงกำลังนั่งตรวจงานในราชสำนักอยู่ที่เรือน พลันที่ด้านนอกก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น เมื่อให้เฉ่ากงหลานสมุนมือขวาออกไปดู ก็ได้การว่าเสียงเอะอะกันอยู่ด้านนอกนั่น ก็เพราะฉือฟางอินมาขอพบเขา ด้วยสภาพที่ดื่มสุรามาอย่างหนัก
“นางมาอาละวาดข้าอย่างนั้นรึ”
“มิใช่ขอรับ อ เอ่อ ฮูหยินกล่าวว่า มาพบท่านเพราะเรื่องคำทำนายขอรับ”
ฉือหย่งหลิงตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หลายวันมานี้ นางเอาแต่ผลัดวันเรื่องที่เคยตกลงกันเอาไว้ จนเขาคิดว่านางอาจจะเปลี่ยนใจไปแล้ว วันนี้ที่กลับมาจากวังท่านอ๋อง ได้ข่าวจากพ่อบ้านหม่าว่ามีคนจากแคว้นหลู นำจนหมายสำคัญมาให้นาง คิดเอาว่าเช้าวันพรุ่งนี้ ตนจะต้องไปถามไถ่ถึงจดหมายนั่นกับนางเสียหน่อย ไม่คิดมาก่อนว่านางจะมาหาเขา ด้วยเรื่องคำทำนายในเวลานี้ ด้วยสภาพเช่นนั้น หรือใจความในจดหมายที่ส่งมา อาจจะเกี่ยวกับบิดาและสกุลดื่มของนางก็เป็นได้
“ปล่อยให้นางเข้ามา”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
แต่ไม่ทันที่เฉ่ากงหลานจะได้เปิดประตู ฉือฟางอินที่เพิ่งดิ้นหลุดจากคนรับใช้ด้านนอก ก็ผลักประตูเข้ามาเสียก่อน นางยืนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกวาดสายตาไปแล้วสบตาเข้ากับฉือหย่งหลิง ที่มองนางอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวก็ตรงเข้าไปหาเขาทันที พร้อมกับกระชากคอเขาเข้ามาจุมพิต พยายามขบเม้มริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างคนเอาแต่ใจ
จดหมายที่ถูกส่งมานั้นได้สร้างความกลัว ให้กับฉือฟางอินเป็นอย่างมาก เมื่อนึกไปถึงวันที่ฉือหย่งหลิงมาพบนาง เพื่อยื่นข้อเสนอเรื่องการแก้คำทำนายในวันนั้น ชายหนุ่มเองก็มีท่าทีแสดงออกว่า ตัวเขานั่นก็กังวลเกี่ยวคำนาย ราวกับว่าเชื่อสุดใจว่าสิ่งร้ายจะเกิดขึ้นจริงๆ หากว่าเขาไม่สามารถหาทางแก้ได้
มิหนำซ้ำเวลาเพียงไม่กี่วัน ตัวนางก็ได้รู้ข่าวไม่สู้ดีของบิดา ฉือฟางอินจึงกลัวว่า หากนางยังคงบ่ายเบี่ยงต่อไป อาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอีกก็เป็นได้ นางถึงได้ตัดสินใจที่จะมอบกาย ให้ฉือหย่งหลิงในคืนนี้ เพื่อจบเรื่องร้ายในอนาคตทั้งหมด แต่เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น แล้วพูดกับเขาว่านางต้องการขึ้นเตียงกับเขา ขาทั้งสองข้างของนางก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ นางถึงต้องดื่มสุราให้ตนเองไม่สติ เพื่อที่จะได้มีความกล้า ไปเผชิญหน้ากับฉือหย่งหลิง
ส่วนทางด้านของฉือหย่งหลิง ที่เป็นฝ่ายถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว แม้จะตกใจกับกระทำอุกอาจของหญิงสาว แต่เขาก็ไม่ได้ผลักใสนางในทันที แต่กลับตระกองกอดนางไว้ แล้วส่งสายตาให้เฉ่ากงหลานกับคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง จากนั้นก็อุ้มพาร่างบางในอ้อมกอด ไปยังเตียงของตนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แม้เขาและนางจะเคยทำเรื่องอย่างว่ากันมาแล้ว
แต่ตอนนั้นต่างคนก็ต่างไร้สติกันทั้งคู่ ต่างจากตอนนี้ที่เขามีครบถ้วนอยู่เพียงผู้เดียว ทำให้เขาหวนนึกไปถึงเรื่องการใช้ยาปลุกกำหนัด เพื่อให้อะไรง่ายขึ้นยามที่ทั้งนางและเขาถูกฤทธิ์ของยาครอบงำ แต่อีกใจก็เกรงว่ายามเมื่อขาดสติไปแล้ว ตนเองอาจจะเผลอพลาดพลั้ง ทำร้ายนางในระหว่างนั้นหรือไม่ แต่ในระหว่างที่ฉือหย่งหลิงยังไม่ตกอยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่ามือไม้ของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง จะเริ่มอยู่ไม่สุขเข้าไปทุกที
“นี่เจ้า”
“เหตุใดท่านยังชักช้าอยู่อีกเล่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรอกหรือ”
ฉือฟางอินกล่าวออกด้วยอารมณ์ ที่เริ่มจะไม่พอใจสักเท่าใดนัก ที่เห็นว่าฉือหย่งหลิงยังคงไม่ทำอะไรเสียที หากเขายังคงชักช้าอยู่เช่นนี้ เห็นทีว่านางคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง
“หรือพอไม่มียาปลุกกำหนัดช่วย ท่านก็เป็นเพียงแค่บุรุษไร้น้ำยา”
“ปากดีนัก ดี เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้า รังแกเจ้าก็แล้วกัน”
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองนั้น ไม่น่าพูดยั่วยุชายหนุ่มออกไป ก็สายไปเกินเสียแล้ว เมื่อรสสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ ทำให้นางปั่นป่วนจนฤทธิ์ของสุรา ก็ไม่ช่วยให้ตัวนางไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ ไหนจะเสียงร้องแปลกประหลาด ที่ตนเองเปล่งออกมายามที่รู้สึกหฤหรรษ์ ทำให้นางรู้สึกอับอายต่อหน้าฉือหย่งหลิง
จนต้องพยายามกลั้นเสียงหน้าอายของตัวเองเอาไว้ ด้วยการเอาฝามือปิดใบหน้าของตนเอง แต่ทว่าฉือหย่งหลิงก็เอาแต่ดึงมือนางออกอยู่ร่ำไป ส่วนตัวเขาเองที่ถูกความวาบหวามเข้าครอบงำ ยามที่ได้ยินเสียงครางของคนใต้ร่าง และเสียงร้องขอให้เขาช่วยหยุดการกระทำ อันหน้าอายอย่างน่าสงสารนั้น ก็ยิ่งทำให้เขาอยากกระทำกับนางมากขึ้นอีก
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจร่วงรู้ได้ แต่สิ่งที่รู้คือคืนทั้งคืนนั้น แม่ทัพหนุ่มจับฮูหยินของเขา พลิกร่างไปมาทั้งคืนจนเกือบฟ้าสาง สองเดือนหลังจากนั้น ฉือหย่งหลิงก็ได้ข่าวดีสมใจ เมื่อหมอที่เข้ามาดูอาการป่วยของฉือฟางอินที่ระยะหลัง มักจะอ่อนเพลียอยู่บ่อยครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ รายงานว่าอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลมาจากหญิงสาวกำลังตั้งครรภ์
ฉือฟางอินได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จากคนทั้งจวนสกุลฉือ หญิงสาวถูกย้ายมายังเรือนหลังใหม่ ซึ่งเป็นเรือนที่ฉือหย่งหลิงสร้างเอาไว้สำหรับทารกน้อย ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ตามคำแนะนำจากท่านหมอ ว่าสุขภาพเด็กจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอาหารการกินและความเป็นอยู่ของมารดา อาจเป็นเพราะคำแนะนำเหลานี้ จึงทำให้ระยะหลังมานี้ฉือหย่งหลิงถึงได้เพลาการหาเรื่องนางลง ชายหนุ่มมักจะแวะเวียนมาถามไถ่ อาการของหญิงสาวจากคนรับใช้อยู่เป็นประจำครั้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น จนฉือฟางอินเริ่มจะเดินเหินลำบากและอาการเท้าบวมตามมา ในกลางดึกของทุกคืน และในบางคืนก็ค้างอยู่ที่นั่น โดยที่ฉือฟางอินเพิ่งจะรู้ตัวก็ในคืนหนึ่งที่นาง เกิดปวดเบาขึ้นมาในตอนดึก ตามประสาคนมีครรภ์แก่ เมื่อนางจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเคลิ้มหลับต่อ ฉือฟางอินกลับได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา โดยที่ไม่ได้เอ่ยขออนุญาตกับนางก่อนอย่างคนรับใช้คนอื่นๆคนที่เข้ามานั้นก็คือฉือหย่งหลิง ที่มักจะเข้าสัมผัสท้องของนาง และนวดเท้าที่บวมให้เสมอ โดยที่ฉือฟางอินไม่เคยรู้มาก่อน แม้จะรู้ตัวว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มทำให้กับนาง เขาอาจจะท
สิ้นเสียงจากคนด้านนอก ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคน ตรงเข้ามาในห้อง พร้อมกับคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือน“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเป็นใคร อย่าเข้ามานะ!” ฉือฟางอินร้องถามออกไปด้วยความร้อนรน“ใจเย็นก่อนขอรับฮูหยิน มิต้องตกใจไป พวกเราคือคนของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิง มีหน้าที่คอยคุ้มกันคุณชายน้อยและฮูหยินขอรับ”“เช่นนั้นหรือ แล้วที่ด้านนอกนั่น”“กลุ่มโจรกบฏขอรับ พวกมันคงทราบข่าวแล้วว่า หั้วชินอ๋องและท่านแม่ทัพ จะต้องพากองกำลังออกไปไกลจากเมืองอี้ของเรานานหลายเดือน พวกมันถึงได้บุกเข้ามา เพื่อปล้นเสบียงของชาวบ้านและหวังที่จะยึดเมืองอี้ขอรับ”“แล้วข้าต้องทำเช่นไร”“เชิญทางนี้ขอรับ”ฉือฟางอินที่อุ้มเฉียนเอ๋อร์อยู่ ถูกคนของฉือหย่งหลิงพาตัวออกไปที่ด้านหลังของเรือน และเดินลึกเจ้าไปทางด้านหลังจวน ที่มีหลุมหลบภัยซ่อนเอาไว้“พวกเจ้าจะให้ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ หลบอยู่ในนี้หรือ”“ขอรับ ข้างล่างนี่เป็นห้องลับที่ท่านแม่ทัพ สั่งใหพวกข้าน้อยทำเอาไว้ขอรับ ในนั้นพอจะมีเสบียงและสิ่งอำนวยความสะดวก พอให้ท่านกับคุณชาย หลบอยู่ในนั้นสักพักขอรับ”“แล้วข้ากับลูกต้องอยู่ในนั้นนานแค่ไหน”“จนกว่าพวกข้าน้อยจะมารับพวกท่านขอรับ”“แล้วมันนา
“อีกไกลแค่ไหนกันนะ” ฉือฟางอินยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ใบหน้าของนาง ระยะทางที่เดินมาจากต้นไม้ต้นนั้นก็นานมากแล้ว แต่นางกลับยังไม่เห็นวี่แววของหมูบ้านที่คนของฉือหย่งหลิงบอกไว้สักที“ข้าเดินมาผิดทางหรือเปล่านะ”“อื้ออ..ฮิก”ระหว่างที่กำลังพึมพำว่าตนเองมาผิดทางหรือไม่นั้น เจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดก็ส่งเสียง คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา พอก้มมองดูก็พบว่าที่แก้มของเจ้าก้อนหมั่นโถวอวบอ้วนของนาง กำลังขึ้นสีแดงเพราะอากาศร้อน“โอ๋ๆ เฉียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังไม่สบายตัวใช่หรือไม่ หน้าเจ้าแดงไปหมดแล้ว” เมื่อเห็นว่าเฉียนเอ๋อร์กำลังไม่สบายตัว นางจึงพยายามคลายผ้าห่อตัวให้กับเขา“เปียกขนาดนี้เลยหรือ โอ้ะ! นี่เจ้าฉี่ใส่แม่เข้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”ยามฉือฟางอินเอามือจับผ้าที่ห่อตัวเฉียนเอ๋อร์ เพื่อคลายออกให้เขาได้สบายตัวขึ้น นางถึงได้รู้ว่าผ้าที่ห่อเจ้าเด็กน้อยเอาไว้นั้น ล้วนแล้วแต่ชุ่มเหงื่อไปหมด นางถึงได้รู้สาเหตุที่เฉียนเอ๋อร์ เริ่มส่งเสียงงอแงให้นางได้ยิน นางจึงพยายามคลายผ้าห่อตัวของเฉียนเอ๋อร์ให้มากขึ้น เพื่อระบายความร้อนให้เขา แต่ปรากฏว่า ทันทีที่นางคลายผ้าออกจนหมด เจ้ามังกรน้อยของเฉียนเอ๋อร์กลับพ่นน้ำใส่นาง จนแขนเสื้อทั
“หยุด! อย่าขยับ”เฮือก!ฉือฟางอินผวากอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น ทันทีที่ได้ยินเสียงบุคคลปริศนาดังมาจากด้านหลังเดิมทีคิดว่าบริเวณนี้อยู่ในทางที่คนของฉือหย่งหลิงกำชับเอาไว้ นางจึงคิดว่าบริเวณนี้น่าจะปลอดภัย และต้นไม้ต้นนี้เองก็ใหญ่พอ ที่จะเป็นที่กำบังสายตาจากผู้อื่นให้กับนางและเฉียนเอ๋อรได้พักพิง ในยามที่อากาศร้อนจนเฉียนเอ๋อร์ร้องโยเยเพราะไม่สบายตัว แล้วค่อยออกเดินทางหาหมู่บ้านที่ว่านั่นต่อแต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ และแม้นางจะรู้สึกกลัวเพราะไม่รู้ว่า คนพวกนั้นต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ แต่ฉือฟางอินก็พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ นางจึงมองไปรอบๆ บริเวณนั้น เพื่อหาสิ่งที่พอจะนำมาป้องกันตัวได้ ขณะที่เสียงฝีเท้าของคนด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มือของนางก็คว้าเอาไม้ท่อนหนึ่งได้พอดี“อ อย่าเข้ามานะ!”ฉือฟางอินกอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น แล้วตระโกนจนสุดเสียง พร้อมกับใช้มือที่ถือท่อนไม้อยู่ กวัดแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว ในขณะที่ฉือฟางอินกำลังใช้ไม้ กวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะ โดยไม่ลืมหูลืม
จินซีจ่าวได้ฟังบิดาพูดกล่าวเช่นนั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรกลับไป เพราะหลายครั้งเขาเองก็มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากบิดา จริงอยู่ว่าในตอนแรกที่ฮูหยินฉือฟางอิน ได้เข้ามาอยู่ในจวนสกุลฉือ การกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพ บ่งบอกได้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้ปรารถนาและพิศวาสในตัวฮูหยินเลยแม้แต่น้อยนั่นอาจจะด้วยเรื่องราวที่นำพาให้ทั้งสองคน ต้องมาลงเอยเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ประกอบกับเดิมทีท่านแม่ทัพเอง เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้บิดามารดา ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ท่านแม่ทัพจึงเอาเวลาทั้งหมดของตนเอง ไปทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และออกตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของบิดามารดาเรื่องการแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่อยู่อันดับสุดท้าย หรือไม่ก็ไม่เคยอยู่ในความคิดของท่านแม่ทัพเลย การที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องในจวนสกุลชวี่ จนเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพต้องรับผิดชอบ ด้วยการแต่งงานกับฮูหยินอย่างไม่เต็มใจนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ทัพ กระทำการอย่างใจร้ายต่อฮูหยินเช่นนั้น มาตั้งแต่ที่ฮูหยินก
“อื้อ! แอ๊ คิกๆ”เสียงทารกเปร่งเสียงชอบใจ พร้อมกับเสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังเดินทางกลับหมู่บ้าน การที่ฉือฟางอินสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง แล้วหันไปสนใจแต่เฉียนเอ๋อร์นั้น ทำให้นางเลิกสนใจบุรุษที่เดินอยู่ข้าง ๆ ที่นางไม่รู้ว่าเขาคือฉือหย่งหลิงได้จริงๆ ฝ่ายฉือหย่งหลิงเองยามที่ได้เห็นฉือฟางอิน หยอกล้อเล่นกับเฉียนเอ๋อร์ได้เป็นอย่าง ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดใจไม่น้อยสำหรับเขาเดิมทีที่ฉือหย่งหลิงต้องมาเดินอยู่ใกล้ๆ ฉือฟางอินเช่นนี้ ก็เพราะเขากลัวว่าคนเป็นแม่ ที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกอย่างนาง อาจจะทำอะไรที่เป็นอันตรายกับเฉียนเอ๋อร์เอาได้ ครั้นจะให้ชิงเอาตัวเฉียนเอ๋อร์มาอุ้มเสียเอง ในยามที่ตนเองอำพรางตัวอยู่นี้ ก็เกรงว่าจะผิดสังเกตจนเกินไป การที่เขาละเว้นนางเอาไว้ ไม่เปิดเผยตัวตนให้รู้เหมือนกับคนอื่นที่อยู่ที่นี้ นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการ ที่จะสำรวจการกระทำของนางที่มีต่อบุตรชาย ว่าแม่อย่างนางที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลยสักครั้ง จะทำอย่างไรเมื่อต้องมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเองตามลำพัง แต่อันที่จริงหากมองย้อนกลับไป การที่ฉือหย่งหลิงต้องมากังวลกลัวว่าฉือฟางอิ
แม้ฉือหย่งหลิงจะรู้สึกชอบใจเมื่อเห็นเฉียนเอ๋อร์ ที่พึ่งจะมีอายุได้เพียงสามเดือน ก็เริ่มฉายแววเฉลียวฉลาดให้ได้เห็นถึงเพียงนี้แล้ว แต่ทว่าหากเขายังเดินอยู่ตรงนี้ ก็เกรงว่าจะถูกฉือฟางอินอาจจับพิรุธเอาได้ ฉือหย่งหลิงจำต้องเดินไปยังด้านหลัง แล้วสั่งให้บุรุษสองในสามคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลัง สับเปลี่ยนมาเดินขนาบข้างอยู่ห่างๆ คอยคุ้มกันฉือฟางอินกับเฉียนเอ๋อร์แทนเขา“ฮูหยินขอรับ พวกเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้วขอรับ”เมื่อมองไปตามองตามมือของจินซีจ่าว สิ่งที่ฉือฟางอินเห็นก็คือกำแพงหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันแน่นหนาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีทางเข้าเล็กๆ ที่มีพื้นที่พอให้แค่มนุษย์เดินเรียงแถวกันเข้าไปเท่านั้น และทันทีที่ฉือฟางอินเห็นทางแคบๆ นั่น พลันโรคกลัวที่แคบที่เป็นโรคประจำตัวของนาง ก็เกิดกำเริบขึ้นมาซึ่งอาการกำเริบที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลพวงมาจากในตอนที่นางยังเล็ก ในวันหนึ่งที่นางได้เล่นซ่อนหากับคนใช้ที่จวนสกุลชวี่ในวันนั้นฉือฟางอินได้เข้าไปแอบในหีบใส่ของใบใหญ่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่ดีขึ้นเมื่อมีคน แอบลอบมาลงกุญแจหีบที่นางซ่อ
ฉือฟางอินจำได้ขึ้นใจ เพราะนี่เป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ที่นางทำขึ้นมาให้กับเขา ในภายหลังที่นางได้รู้ว่าฉือหย่งหลิง แอบเข้ามาหานางในยามดึก เพื่อมาลูบท้องและนวดขาให้กับนาง นางจึงอยากตอบแทนความดีในของเขาข้อนี้ ฉือฟางอินจึงตั้งใจเตรียมน้ำผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยในเรื่องขับไล่ความเหนื่อยล้า ให้ฉือหย่งหลิงได้แช่ตัวหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวันสิ่งนี้เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติสามี ที่มารดาของนางได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเอาไว้ให้ เมื่อครั้งที่มารดาและบิดาของนาง ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ ฉือฟางอินมักจะเห็นมารดาของนาง เตรียมน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่ทำมาจากสมุนไพร ไว้สำหรับให้กับบิดาของนางได้แช่ตัว ก่อนที่บิดาจะกลับมาจากการไปว่าราชการ ที่ราชสำนักในวังหลวงในทุกวันเมื่อฉือฟางอินถามมารดาอย่างใคร่รู้ มารดาของนางจึงใจสอนความรู้ให้นางอย่างละเอียดทุกขั้นตอนและยังบอกเคล็ดลับกรรมวิธี ที่จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นกายของผู้ที่ลงไปแช่ ให้มีกลิ่นสมุนไพรอย่างที่คนทำเลือกแต่งกลิ่นขึ้นมาได้ ถ้าหากภรรยาอยากจะให้สามีมีกลิ่นกายเช่นไร ก็ให้จับคู่กลิ่นสมุนไพรที่ตนเองต้องการ นำไปทำน้ำมันหอมระเหย และผสม
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้